จอมภูคิดในใจเพราะหล่อนใจร้อนจริงๆถ้าไม่สบใจหล่อนและความพึงพอใจของหล่อนก็จากไปทันที..แต่ยังหรอก
แผนของเขายังไม่สัมฤทธิ์ และจะไม่ยอมให้หล่อนหลุดจากตรงนี้ไปได้ง่ายหรอก อีกอย่างเพราะเขาทราบมาว่าน้องชายของเขากำลังจะหางานทำให้หล่อนโดยฝากญาติ และคนรู้จัก
เขาไม่ต้องการให้คนอย่างมณีรัชดาเหยียบเข้าไปทำงานกับเครือญาติของเขา
และงานที่นี่ดูจะเหมาะกับเธอ เป็นงานด้านบัญชี หรือเป็นผู้ช่วยพี่สาวของจราดลก็ได้ และอีกอย่างฝ่ายคอสตูมดูแลเสื้อผ้าของนักแสดงหรือเลือกเฟ้นนักแสดงกับปันณชา
หากเพราะในเวลานี้ มณีรัชดาไม่อยากจะรอ
เพราะหล่อนไม่มีความอดทนมากถึงขนาดนั้น
ยิ่งด้วยเขาทำให้หล่อนอารมณ์เสียและรู้สึกว่ามาเก้อ และถูกหลอก
ยิ่งได้มาเจอหน้าวิภัสชายหนุ่มที่หล่อนจำหน้าเขาได้
ชายหนุ่มหล่อเงยหน้ามองอีกครั้ง เขาพยายามใจเย็นให้มากที่สุด
ขณะที่สาวสวยตรงหน้า เห็นชัดว่าหล่อนกำลังอึดอัดอย่างที่สุด
“เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณเองครับ แต่ขอรับปากว่า คุณได้งานทำแน่ ถ้าหากไม่เลือกมาก”
หญิงสาวเงยหน้าหวานคม จ้องเขา ที่ดวงตาของหล่อนนั้นระยับวับวาว
“งานอะไรกัน..งานสกปรกที่คุณกับเพื่อนคุณกำลังจะหลอกฉันหรือไง”
เขารู้สึกอึดอัดขัดใจไม่น้อย
แต่พยายามเก็บซ่อนให้มิดชิดในสีหน้า
“อย่าคิดอย่างนั้นสิครับ ผมแค่อยากให้คุณเลือกงานดู ถ้าคุณไม่ชอบ ก็เลือกอย่างอื่น”
“ใช่ ฉันไม่ชอบแน่”
มณีรัชดาเน้นเสียงเข้ม
“งั้นมีงานอะไรอีกล่ะคะ”
“ก็เกี่ยวกับงานในกองถ่าย พวกคอสตูมเกี่ยวกับเสื้อผ้านักแสดงดูแลในเรื่องนี้ คุณคิดว่า ไหวมั๊ย อยากจะทำมั๊ย เพราะผมคิดว่าคุณกำลังตกงาน อย่าเลือกงานเลยครับ”
วิภัสหรือจอมภูใช้คำพูดดีกว่าเดิม
จนหล่อนพยักหน้าใช่สิ ตอนนี้หล่อนกำลังตกงานด้วย
ทำไมหางานทำยากเย็นอย่างนี้ ที่คนรักอย่างภูวพลสัญญาว่าจะหาให้ หล่อนไม่รู้ว่าได้ทำวันไหน
สิ่งที่มณีรัชดาต้องการก็คือ หล่อนอยากจะทำงานเพื่อจะได้อวดกับพ่อแม่และน้าว่า ในที่สุดหล่อนก็หางานทำได้แล้ว
“ถ้าเป็นงานที่ไม่ใช่เปลื้องผ้าเปลื้องผ่อนขายเนื้อหนังละก็ดิฉันตกลงค่ะ”
มณีรัชดาเอ่ยย้ำเสียงของหล่อนในตอนท้ายอ่อนลง
หากวิภัสหรือจอมภูถอนใจ
ที่สามารถเอาใจผู้หญิงที่เอาแต่ใจคนนี้ได้แล้วในตอนนี้
จนหรือก็จน ยังจะทำหยิ่งใส่เขาอีก ฮึ เอาตัวเองให้รอดจากการงานได้ก่อนเถอะ แล้วเขาจะเริ่มแผนต่อไป
“ก็ดีครับ เอาล่ะถ้าเข้าใจแล้ว เอาเป็นว่าอีกสักสามวัน ผมจะให้คุณมาทำงานที่นี่ได้ แล้วเข้าไปติดต่อขอพบพี่ปัน ชื่อจริงแก ชื่อ ปันณชา เป็นพี่สาวนายดลเพื่อนผม”
ครั้นมณีรัชดาถือว่าทำธุระของหล่อนเสร็จแล้ว ถือว่าได้คำตอบเป็นที่พึงพอใจ
แต่หล่อนอาจจะเสียมารยาท ตรงที่พูดจาเหมือนขมขู่ใส่เขา
แน่นอนละ ถ้าหล่อนไม่ได้รับความเป็นธรรม คอยดูเถอะ
เลือดในกายของมณีรัชดามันจะฮึดสู้ขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
ในที่สุดยินยอมที่จะนั่งรถมากับเขา
หากแต่พอถึงบริเวณปากซอยหล่อนกลับเอ่ย
“จอดให้ดิฉันตรงนี้เถอะค่ะ จะขอนั่งรถสองแถวเข้าไปในซอย ไม่อยากนั่งรถของคุณค่ะ รบกวนและเกรงใจ”
เขาอึ้งพร้อมกับปรายตามองดูสาวสวยทีนั่งอยู่ด้านหลัง
เพราะหล่อนไม่ยอมลุกมานั่งเคียงเขาข้างหน้า..
ก็บอกให้เขารู้ว่าหล่อนหยิ่งแค่ไหน
เขาเลยอดเอ่ยไม่ได้
“แต่ว่ามันเสียเวลานะครับคุณ ไหนๆก็มาสมัครงาน แล้วก็เหนื่อยอย่างนี้ ผมหวังดีกับคุณนะคุณณี ก็เลยอยากให้คุณสบาย แล้วกลับถึงบ้านเร็ว”
“แหม.. ถ้ากลับบ้านเร็วเพราะต้องพึ่งพาคนอื่น มณีรัชดาก็ไม่ต้องการเหมือนกัน ฉันอยากทำอะไรที่เป็นส่วนตัวมากกว่าค่ะ ก็หมายความว่า ไม่อยากจะใคร่ใฝ่สูงสักเท่าใดนัก อีกอย่างรถคันหรูของคุณ มันโก้หรูเกินกว่าฐานะของดิฉัน..จอดเถอะค่ะ ดิฉันจะลงตรงนี้ละ”
เมื่อถึงใกล้ปากซอยแล้ว และเห็นรถราบนท้องถนนใหญ่วิ่งกันขวักไขว่ มณีรัชดาเลยร้องขึ้น
เขาจึงหันมาทางหล่อนด้วยความรู้สึกที่ขัดอกขัดใจยิ่งนัก
แต่ก็ยอมจอดให้ ไม่งั้นแม่คุณคงได้แหวหนักเอ็ดตะโรใส่เขาแน่
เพราะท่าทางมณีรัชดาไม่คิดจะกลัวเขาสักนิด แม่สมันน้อย..ฮึ
เมื่อจอดแล้ว มณีรัชดาเปิดประตูผลักออก ก่อนจะเอ่ยบอกเขา
“ขอบคุณในความเป็นสุภาพบุรุษของคุณมากนะคะ คุณวิภัส ที่ใจดี ยอมมาส่งณีถึงหน้าปากซอย อย่างที่บอก ณีขอรบกวนคุณเท่านี้ละค่ะ แล้วเจอกันใหม่”
เขานั้นแทบจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่หล่อนตามหลัง
ที่มณีรัชดานั้นทำกับเขาแสบมาก แต่ก็หยุดรถจอดนิ่ง
โชคดีที่ไม่มีรถแล่นสวนเข้ามาในยามนี้ เขากลัวตัวเองเป็นภาระในการจอดกีดขวางการจราจรของผู้อื่น
จนมณีรัชดาลับสายตาไปแล้วนั่นล่ะ คงไปนั่งรอรถเมล์หรือสองแถวที่ป้ายสมใจอยากของหล่อน
เขาเลยหัวเสีย คิ้วเรียวขมวดบึ้งตึงก่อนจะหาช่องทางกลับรถในฝั่งตรงกันข้ามที่มองเห็น และเขาก็ตรงดิ่งกลับไปที่เดิมอีกครั้ง
คำแรกที่ได้ยินคือทักจากเพื่อนรักประโยคนี้
“ว่าไงวะ ไอ้เสือ นี่ส่งแม่เสือสาวของนายกลับแล้วหรือไงว่ะ พับผ่าจริง หล่อนดุจริงๆ ยิ่งกว่าอะไร นายไปขุดมาจากไหนวะ”
เลิกคิ้วถามเพื่อนพร้อมทำท่าเหมือนสนใจ
“หล่อนคิดจะจับน้องชายของฉันไง นายดล ฉันเลยคิดจะแบล็คเมล์หล่อนด้วยการย้อนเกล็ด”
จอมภูแค่ตอบเพื่อนด้วยคำพูดง่ายๆ
สำหรับเขาไม่มีสลับซับซ้อนมากนักในยามนี้ คิดอะไรก็ง่ายๆเพราะมันง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
แต่เมื่อคิดเรื่องนี้แล้วกลับหยุดชะงัก
นี่แบบนี้ ใครว่าปอกกล้วยเข้าปากล่ะ ยายมณีรัชดาร้ายอย่างที่เห็น
หากจราดลเจ้าของสตูดิโอส่ายหน้า
“นายทำกับหล่อนเกินไปหรือเปล่าว่ะดูซิ อับอายไปหมดหน้าตาของฉันแล้ว หน้าผากนี่ด้วย”
เขาจิ้มที่หน้าผากของตัวเอง
“ฮึไอ้จอมฉันนะบอกว่ามันตรายี่ห้อเจ้าพ่อนู้ด หล่อนฉลาดนาโว้ย มองปราดเดียวก็รู้ ฉันว่ากลัวแต่เพียงอย่างเดียว นายจะถูกหล่อนแบล็คเมล์กลับใส่นะซี”
จราดลเอ่ยใส่หน้าเพื่อนเขาแทบจะหัวเราะเยาะใส่จราดลในทันที “บ้า ไอ้ดล ตลกแค่คำขู่ผู้หญิงคนนี้ นายก็กลัวแล้วหรือไงสำหรับคนอย่างไอ้จอมภู นะ ไม่โว้ย..ฉันมีวิธีของตัวเอง” “หมายความว่าวะ ที่อยากจะตอแย หาเรื่องหล่อนอีกว่างั้นเหอะ” จอมภูหรี่ดวงตาคม ไปทางเพื่อน เอ่ยเยาะ “ไม่ใช่กงการอะไรของนาย..ฮึหรือว่านายเกิดสนใจ” “แน่นอนล่ะ สวยขนาดนี้ นี่ถ้าไม่มีป้ายแขวนคอติดไว้จากน้องชายของนาย ฉันกระโดดเข้าไปตะครุบแล้ว.. แต่ท่าทางต่อยหนักฤทธิ์เยอะ..แต่ฉันก็ชอบเธอน่าคบหาด้วย”แล้วเอ่ยอีก “นายไปเจอที่ไหนวะ ถึงรู้ว่าเป็นเอ้อ แฟนของน้องชายนาย” “เจอกันครั้งสุดท้ายที่สวนลุม แต่ว่าก่อนหน้านั้น ฉันแอบติดตามสะกดรอยมาสักระยะแล้วเพิ่งรู้ว่าหล่อนตกงาน หางานทำไม่ได้” “อ้าว งั้น เข้าทางพอดีล่ะ ไอ้เสือที่อยากกินลูกแกะอย่างนาย มันก็เข้ามาสวมรอยเสียเลยใช่ไหมวะเพื่อน” “ก็ใช่สิวะ”จอมภูตอบอย่างไม่เห็นมีปัญหาอะไร เขาขมุบขมิบปากยังเข่นเขี้ยวไปถึงสาวสวยที่เพิ่งจากไป หมั่นไส้ด้วยกับท่าทางหยิ่งจองหอง ทั้งที่ฐานะไม่มีอะไรจะเทียบชั้นเขาได้ “หล่อนเป็นประเภท
ท่านจะได้รับทราบว่าเขาเป็นคนที่ไม่ถือตัว และคิดอย่างไรกับมณีรัชดาคนรักลูกหลานของท่าน อีกอย่างครอบครัวของหล่อนจะได้เปิดโอกาสให้เขาและหล่อนคบหากันอย่างเปิดเผยมากกว่าเดิมฃ ในสิ่งที่ภูวพลต้องการ คือไปไหนมาไหนกับหล่อนโดยไม่มีใครกีดกันและขัดขวาง และเขาจะสบายใจอย่างมากถ้าพ่อแม่ของหล่อนเปิดไฟเขียวให้อีกทีนั่นคือความรักของเขา ที่จะขยับไปใกล้กับความสมหวังเข้าถึงทุกขณะซึ่งอยากจะพูดกับมณีรัชดาอีกครั้งว่า เขาอยากจะแต่งงานกับหล่อนให้เร็วอย่างที่สุด คิดว่าจะออกจากบ้านแล้วก็เช่าที่พักอยู่กันตามลำพังสองคน เขาก็สามารถทำได้ ทำเพื่อความรักของเขาและหล่อน ภูวพลฝันเพ้ออีกครั้ง เมื่อมณีรัชดากลับเข้ามาถึงบ้านแล้วนั้น มารดาจึงเอ่ยทัก“อ้าวกลับมาแล้วยัยณี ได้ความว่ายังไงบ้างลูกเรื่องงาน” มณีรัชดายิ้มให้กับผู้เป็นมารดา “ได้จ้ะแม่ คราวนี้ ณีได้งานทำแล้วค่ะ” “เหรอลูก” นางรัชนีกับไพจิตรน้าสาวพลอยตื่นเต้นไปด้วยพร้อมกับละมือที่กำลังคลุกถั่วเหลืองนึ่งใส่แป้งเพื่อทำถั่วแปบ “เอ้อ แม่กับน้าจะได้หายห่วงซะที” “จ้ะแม่ เขาให้ทำวันพฤหัส” ตอบมารดาอย่างอาร
อีกครั้งที่ภูวพลดีใจอย่างมาก ที่เมื่อรับโทร.จากมณีรัชดานั้น แต่หล่อนกลับมาบอกเขาว่า ได้งานทำแล้ว ซึ่งเขาแปลกใจ แม้เขาจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่หล่อนไม่ได้เลือกงานในบริษัทของญาติที่เขาคุยตกลงไว้อย่างดิบดี โธ่ บทจะได้ก็ได้เสียปุบปับอย่างนี้ ไม่คาดฝัน “พลอุตส่าห์ไปร้องขอกับคุณลุงนะครับ ให้ท่านช่วยกั๊กไว้ให้ตำแหน่งนึง ก็พอดีมันว่างไง.. นี่ถ้าณีไม่ตัดสินใจเลือก คงแย่ล่ะ เพราะตำแหน่งนี้ต้องมีคนอื่นรับเอาไป” หากแต่มณีรัชดาก็ตอบเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ค่ะ ก็ปล่อยให้เขารับคนอื่นไปสิจ้ะ พล เพราะณีเพิ่งได้งานกะทันหัน และอังคารนี้จะต้องไปทำแล้วล่ะ” ภูวพลถอนใจ แม้จะรู้สึกน้อยใจแกมผิดหวัง แต่ก็ดีใจกับหล่อนเพราะท่าทางน้ำเสียงของมณีรัชดานั้นตื่นเต้นอย่างดีใจ หล่อนคงชื่นชอบกับงานนี้มาก “ว่าแต่งานเกี่ยวกับอะไรหรือณี เห็นท่าทางตื่นเต้นเหลือเกิน” “ค่ะ งานเกี่ยวกับกองถ่ายจ้ะพล เป็นงานที่ณีรู้สึกตื่นเต้น ที่จะได้เห็นคลุกคลีกับพวกดาราละครทีวี” มณีรัชดาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงและดูแจ่มใส ความจริงงานเกี่ยวกับเบื้องหลังที่ใกล้ชิดกับ
“ใช่ครับ ก็ผมรู้ว่ามีเงินเก็บ เป็นเงินก้อน แต่ว่าผมต้องการจะใช้นี่” เพราะว่าเขาดื้อรั้นที่จะเถียงและเอาให้ได้ดั่งใจ เลยทำให้นางภวานันท์ถอนใจ อ่อนอกอ่อนใจยิ่ง เรื่องนี้ถ้าจะเป็นเรื่องหนักเสียแล้วสำหรับนางนี่เกิดอะไรขึ้นกับลูกชาย นางจึงเอ่ยเสียงแข็งอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้นะ และแม่จะไม่อนุญาตให้แกไปเบิกเงินสดออกมามากมายขนาดนั้นหรอก เพื่อทำอะไรตามใจแก” และในเวลานั้น สีหน้าของเขาผิดหวังอย่างมาก ด้วยแววตาที่สลด พร้อมกับคำตีโพยตีพายพร่ำออกมาด้วยสีหน้าที่เศร้า “ฮึ อะไรก็ไม่ได้ๆ สำหรับผมทุกทีเลย แต่ทีกะพี่ใหญ่ โน่น ทำไมครับ แม่ถึงคิดประเคนให้มันทั้งหมดเลย อยากได้อะไร ก็ไม่เคยขัดห้ามสักเลยนิด” และเขาทำท่าเหมือนจะร้องไห้มีน้ำตาคลอออกมา “ทีพี่ใหญ่อะไรๆก็ประเคนให้หมด..แล้วผมล่ะผมไม่ใช่ลูกหรือยังไง ผมก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน อยากทำอะไรเพื่อตัวเอง ที่มันเป็นอิสระ เพื่อที่ทุกคนจะได้มองเห็นว่า ผมโตพอแล้วที่จะเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่อย่างที่ทุกคนมองเห็นผมเป็นแค่เด็กอนุบาล” เขาเผลอเกรี้ยวกราดเอากับคุณภวานันท์ที่นางกำลังตกใจใหญ่พร้อมกับสีหน้าตึง
หล่อนตอบ และอีกอย่างไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเขาที่โทร.มาถาม “ที่ผมโทร.มาหาคุณ ก็เพราะความคิดถึงนั่นละครับ”เขาบอกกับพอดีกับที่หล่อนกำลังดึงปลั๊กไฟจากเต้าเสียบออก แต่ก็ต้องอึ้งเพราะคำของเขา คิดถึง คิดถึงหล่อนพูดหวานอีกแล้ว ก็น่าจะรู้ว่าเขาพูดจาเกี้ยวจีบหล่อนแบบนี้ หล่อนจึงเงียบไป “คุณณีได้ยินมั๊ยครับ” มณีรัชดาเลยต้องตอบ “ค่ะยังได้ยินอยู่ แล้วคุณวิภัสมีอะไรจะโทร.มาหานอกจากความคิดถึงนี้มั๊ย” เสียงของมณีรัชดาตอบออกมาเหมือนไม่พอใจ ทำให้เขาบดกรามเข้าหากัน ที่หล่อนเป็นฝ่ายรวนเขา แต่ยังหนีบความสุภาพเอาไว้กับตัว “แต่ถ้าผมมีอะไรอยากจะบอกคุณ นอกจากความคิดถึงละครับ” แววตาของจอมภูหรือวิภัสยิ้มกริ่มเมื่อท้าทาย “คืออะไรล่ะคะ” หล่อนตอบกลับมา “คือเย็นนี้ผมอยากจะนัดคุณณีไปทานข้าวด้วยกันนะครับ” “ดิฉันต้องขอปฏิเสธไว้ก่อนค่ะ” หล่อนสวนตอบทันทีทำเขาอึ้ง ผู้หญิงคนนี้เล่นตัวนัก ฉลาด ท่าจะพิษสงเยอะ มาแผนสูง แบบนี้ต้องการจับน้องชายของเขาให้อยู่หมัดแน่นายพลอ่อนยังกะอะไรดี คงตามไม่ทัน จากนั้นเขาเปลี่ยนแผนแกล้งตัดพ้อหล่อน “โธ่
นั่นเป็นเพราะหญิงสาวมัวแต่กังวลเครียดในเรื่องหางาน และตระเวนไปในที่ต่างๆ แต่พอรู้สึกว่าได้งานทำแล้ว นั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้น และอยากจะไปไหนมาไหนก็อิสระ จากนั้นมณีรัชดาก็หอบหิ้วเอาข้าวของจำเป็น และพวกขันน้ำกับที่วางสบู่ผ้าขนหนูผืนเล็กกับวุ้นในลูกมะพร้าว เพราะนึกอยากทาน ตั้งใจจะซื้อไปแช่ไว้ในตู้เย็นขณะที่น้าสาวแวะเข้าร้านชำด้านหน้า เพื่อซื้อถ่านทำขนมสักสองสามถุง เพราะว่าไหนๆเดินผ่านแวะร้านพอดีก็หิ้วกลับเสียเลย ถึงยังไงก็ต้องแวะผ่านมาอยู่ดี หญิงสาวยืนอยู่ริมฟุตบาธ เนื่องจากร้านส้มตำตั้งอยู่บริเวณริมถนน ร้านอาหารรถเข็นอีกสามสี่ร้านจอดเรียงรายเป็นแถว แบ่งทางเดินให้เพียงเล็กน้อยเนื่องจากเป็นช่วงเย็นและผู้คนก็ขวักไขว่รวมทั้งเป็นเวลาเดินทางกลับบ้านของหนุ่มสาวพนักงานและออฟฟิศ ส่วนการจราจรก็คล่องตัวบางช่วง และบางช่วงก็ติดขัด ที่แล่นปรู๊ดปร๊าดได้ตลอดก็คือรถมอเตอร์ไซค์ เสร็จแล้ว หล่อนต้องยืนรอคิวสามคิว จนกระทั่งเสร็จสรรพ ระหว่างที่รอไม่ได้รู้สึกท้อบ่นใดๆ เพราะเดินเที่ยวตลาดนัดจนอิ่มนึกอยากจะทานส้มตำ เอากลับไปบ้านเผื่อให้มารดาด้วย หล่อนจึงต้องสั่งสองครก ทั้งส้มตำไทยกับตำปูปลาร้า
“เอางี้ดีกว่าครับ นี่เป็นนามบัตรของผม และบริษัท ถ้าเกิดว่าคุณมีแผลอักเสบหรือต้องการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลโทร.มาตามเบอร์นี้นะครับ” “ตกลง นี่คุณจะไม่เข้าไปตรวจดูอาการที่คลินิกใช่ไหม คือผมอยากจะให้แน่ใจนะครับ” และท่าทางเขานั้นคงจะหวังดีต่อหล่อนเป็นอย่างมาก และเป็นผู้ผิดที่เป็นห่วงเป็นใย ต่ออาการบาดเจ็บของหล่อนด้วยเหตุนี้ มณีรัชดาจึงยอมพยักหน้า “ก็ได้ค่ะ” ดังนั้นจึงเปิดประตูให้หล่อนก้าวเข้าไปนั่งพอถึงคลินิกเจ้าของร้านก็รีบเปิดประตูออกมา พร้อมด้วยลูกน้องและผู้ช่วยอีกสองคน ถามไถ่อาการจากนั้นพามณีรัชดานั่งรถเข็น กระทั่งให้หล่อนนอนบนเตียงในห้องฉุกเฉิน เพื่อเอกซเรย์ดูอวัยวะภายในที่สำคัญชิ้นกระดูกแขนและขาว่าตรงไหนมีร้าวหรือหัก จะได้ทำการรักษาต่อ และในครึ่งชั่วโมงต่อมา จึงได้รับคำตอบจากนายแพทย์เจ้าของคลินิกเอ่ย ”หมอได้เอกซเรย์ดูทุกจุดในร่างกายแล้วนะครับ ปรากฏว่าไม่มีอาการที่น่าเป็นห่วง คนไข้สามารถกลับบ้านได้ ไม่มีส่วนไหนที่บอกว่ากระดูกร้าวหรือหักอวัยวะทุกส่วนยังอยู่ครบดีครับ ไม่เป็นอันตราย ถือว่าคุณโชคดี” ซึ่งนายแพทย์หันมาเอ่ยกับหล่อน
“รวมเบ็ดเสร็จแล้วก็หกพันกว่าบาทครับ” “ก็ดีแล้ว ถือเสียว่าฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน” “แล้วผมก็ให้นามบัตรเขาไปแล้วครับ เผื่อมีอะไรเกิดขึ้นอีก ก็ให้ติดต่อมา” “ต๊าย แกนี่ จ่ายแล้วก็ถือว่าจบ ยังอยากจะเสียเงินซ้ำซาก เอานามบัตรไปให้เขา” คุณปานนิตย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุอย่างไม่พอใจ “แกถือว่าตัวเองเป็นพ่อพระหรือยังไงรังสินัย ถึงได้เที่ยวทำตัวเองเป็นมูลนิธิสังคมสงเคราะห์ ” คุณปานนิตย์อดไม่ได้ที่ลูกชายนั้นหวังดีเกินเหตุ “แต่ผมเป็นคนขับรถเฉี่ยวเขานี่ครับ ผมต้องรับผิดชอบเต็มที่” “ย่ะ พ่อพระพ่อสุภาพบุรุษ เชิญแกคิดอย่างนั้นเถอะย่ะ”คุณปานนิตย์ค้อนสีหน้าปะหลับปะเหลือกใส่ลูกชายที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านอย่างน่าหมั่นไส้ หล่อนประสบพบเหตุอะไรที่เพิ่งเกิดขึ้นหนอ และมณีรัชดาก็จับคลำที่ข้อเท้าของหล่อน เห็นว่ามีอาการบวมช้ำเล็กน้อย หลังจากที่นวดด้วยยาคลายกล้ามเนื้อที่นายแพทย์ให้มา อาการของหล่อนก็พอทุเลาขึ้น นึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มที่มีน้ำใจที่ไม่ทอดทิ้งทิ้งขว้างไร้การรับผิดชอบเหมือนรายกรณีอื่นๆ ที่ส่วนมากชนแล้วหนีทุกราย ปัดความรับผิดชอบ