นั่นเป็นเพราะหญิงสาวมัวแต่กังวลเครียดในเรื่องหางาน และตระเวนไปในที่ต่างๆ แต่พอรู้สึกว่าได้งานทำแล้ว นั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้น และอยากจะไปไหนมาไหนก็อิสระ จากนั้นมณีรัชดาก็หอบหิ้วเอาข้าวของจำเป็น และพวกขันน้ำกับที่วางสบู่ผ้าขนหนูผืนเล็กกับวุ้นในลูกมะพร้าว เพราะนึกอยากทาน ตั้งใจจะซื้อไปแช่ไว้ในตู้เย็นขณะที่น้าสาวแวะเข้าร้านชำด้านหน้า เพื่อซื้อถ่านทำขนมสักสองสามถุง เพราะว่าไหนๆเดินผ่านแวะร้านพอดีก็หิ้วกลับเสียเลย ถึงยังไงก็ต้องแวะผ่านมาอยู่ดี หญิงสาวยืนอยู่ริมฟุตบาธ เนื่องจากร้านส้มตำตั้งอยู่บริเวณริมถนน ร้านอาหารรถเข็นอีกสามสี่ร้านจอดเรียงรายเป็นแถว แบ่งทางเดินให้เพียงเล็กน้อยเนื่องจากเป็นช่วงเย็นและผู้คนก็ขวักไขว่รวมทั้งเป็นเวลาเดินทางกลับบ้านของหนุ่มสาวพนักงานและออฟฟิศ ส่วนการจราจรก็คล่องตัวบางช่วง และบางช่วงก็ติดขัด ที่แล่นปรู๊ดปร๊าดได้ตลอดก็คือรถมอเตอร์ไซค์ เสร็จแล้ว หล่อนต้องยืนรอคิวสามคิว จนกระทั่งเสร็จสรรพ ระหว่างที่รอไม่ได้รู้สึกท้อบ่นใดๆ เพราะเดินเที่ยวตลาดนัดจนอิ่มนึกอยากจะทานส้มตำ เอากลับไปบ้านเผื่อให้มารดาด้วย หล่อนจึงต้องสั่งสองครก ทั้งส้มตำไทยกับตำปูปลาร้า
“เอางี้ดีกว่าครับ นี่เป็นนามบัตรของผม และบริษัท ถ้าเกิดว่าคุณมีแผลอักเสบหรือต้องการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลโทร.มาตามเบอร์นี้นะครับ” “ตกลง นี่คุณจะไม่เข้าไปตรวจดูอาการที่คลินิกใช่ไหม คือผมอยากจะให้แน่ใจนะครับ” และท่าทางเขานั้นคงจะหวังดีต่อหล่อนเป็นอย่างมาก และเป็นผู้ผิดที่เป็นห่วงเป็นใย ต่ออาการบาดเจ็บของหล่อนด้วยเหตุนี้ มณีรัชดาจึงยอมพยักหน้า “ก็ได้ค่ะ” ดังนั้นจึงเปิดประตูให้หล่อนก้าวเข้าไปนั่งพอถึงคลินิกเจ้าของร้านก็รีบเปิดประตูออกมา พร้อมด้วยลูกน้องและผู้ช่วยอีกสองคน ถามไถ่อาการจากนั้นพามณีรัชดานั่งรถเข็น กระทั่งให้หล่อนนอนบนเตียงในห้องฉุกเฉิน เพื่อเอกซเรย์ดูอวัยวะภายในที่สำคัญชิ้นกระดูกแขนและขาว่าตรงไหนมีร้าวหรือหัก จะได้ทำการรักษาต่อ และในครึ่งชั่วโมงต่อมา จึงได้รับคำตอบจากนายแพทย์เจ้าของคลินิกเอ่ย ”หมอได้เอกซเรย์ดูทุกจุดในร่างกายแล้วนะครับ ปรากฏว่าไม่มีอาการที่น่าเป็นห่วง คนไข้สามารถกลับบ้านได้ ไม่มีส่วนไหนที่บอกว่ากระดูกร้าวหรือหักอวัยวะทุกส่วนยังอยู่ครบดีครับ ไม่เป็นอันตราย ถือว่าคุณโชคดี” ซึ่งนายแพทย์หันมาเอ่ยกับหล่อน
“รวมเบ็ดเสร็จแล้วก็หกพันกว่าบาทครับ” “ก็ดีแล้ว ถือเสียว่าฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน” “แล้วผมก็ให้นามบัตรเขาไปแล้วครับ เผื่อมีอะไรเกิดขึ้นอีก ก็ให้ติดต่อมา” “ต๊าย แกนี่ จ่ายแล้วก็ถือว่าจบ ยังอยากจะเสียเงินซ้ำซาก เอานามบัตรไปให้เขา” คุณปานนิตย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุอย่างไม่พอใจ “แกถือว่าตัวเองเป็นพ่อพระหรือยังไงรังสินัย ถึงได้เที่ยวทำตัวเองเป็นมูลนิธิสังคมสงเคราะห์ ” คุณปานนิตย์อดไม่ได้ที่ลูกชายนั้นหวังดีเกินเหตุ “แต่ผมเป็นคนขับรถเฉี่ยวเขานี่ครับ ผมต้องรับผิดชอบเต็มที่” “ย่ะ พ่อพระพ่อสุภาพบุรุษ เชิญแกคิดอย่างนั้นเถอะย่ะ”คุณปานนิตย์ค้อนสีหน้าปะหลับปะเหลือกใส่ลูกชายที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านอย่างน่าหมั่นไส้ หล่อนประสบพบเหตุอะไรที่เพิ่งเกิดขึ้นหนอ และมณีรัชดาก็จับคลำที่ข้อเท้าของหล่อน เห็นว่ามีอาการบวมช้ำเล็กน้อย หลังจากที่นวดด้วยยาคลายกล้ามเนื้อที่นายแพทย์ให้มา อาการของหล่อนก็พอทุเลาขึ้น นึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มที่มีน้ำใจที่ไม่ทอดทิ้งทิ้งขว้างไร้การรับผิดชอบเหมือนรายกรณีอื่นๆ ที่ส่วนมากชนแล้วหนีทุกราย ปัดความรับผิดชอบ
ถ้าหากไม่เป็นความจริง มณีรัชดาก็มีสิทธิ์ค้านและโต้เถียงรวมทั้งบอกความจริงได้ เพราะมณีรัชดาบอกกับตัวเองไว้ว่า หล่อนไม่เป็นคนที่โกหกแก่ตัวเอง และความจริงหล่อนก็ไม่คิดจะโกหกด้วยเพราะมณีรัชดาไม่มีอุปนิสัยเช่นนี้ พอเข้าใจแล้ว ปันณชาจึงเอ่ย “อ๋อ เด็กใหม่ของพี่เองจ้ะ หนูกิ๊กขอโทษนะจ้ะ แกยังไม่คล่องสักเท่าไหร่” ปันณชาตอบแก้ตัวแทนพนักงานคนใหม่ของหล่อนมากกว่า เพราะหล่อนก็เข้าใจพื้นอารมณ์ของดาราสาวผู้นี้ดี หล่อนอารมณ์เสียง่ายและเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร วีนเหวี่ยงเก่ง เพราะถือว่าหล่อนเป็นดาราที่มีชื่อเสียงปันณชาไม่อยากจะเข้าไปยุ่งนัก และไม่อยากให้พนักงานคนใหม่ของหล่อนเข้าไปยุ่งด้วย แม้ปันณชาจะเอ่ยคำนี้ ก็ไม่ทำให้กาญจนรัตน์นั้นรู้สึกดีขึ้นมาหรอก หญิงสาวนิ่วหน้าด้วยอารมณ์โกรธอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ เหตุที่หล่อนขุ่นเคืองเป็นเพราะเด็กสาวที่หน้าตาหมดจดคนนี้ไงบอกแล้วไง ว่าถ้าได้รับการขัดสีฉวีวรรณเข้าหน่อย หญิงสาวผู้นี้จะโดดเด่นทีเดียว กาญจนรัตน์จึงมองด้วยสายตาที่ไม่ชื่นชอบและกดเอาไว้ หันมามองจ้องหญิงสาวพนักงานคนใหม่ ด้วยแววตาที่ไม่ได้เป็น
“เอ้อ รู้สึกว่าคุณณี เอ้อ จะลืมอะไรไปสักอย่างหรือเปล่าครับ” เสียงหยอดกลับมาพร้อมชั่งใจและประเมินดูท่าทีของหล่อน คิดแน่ใจด้วยว่าหล่อนกำลังจะลืมแน่ ไม่ลืมหรือแกล้งลืมล่ะ แต่วันนี้ก็ยอมรับว่า มณีรัชดาทำงานหนักและเหนื่อยแต่ก็สนุก จนหล่อนแทบจะลืมเรื่องอื่นทิ้งไปเลย“ณีลืมอะไรหรือคะ คุณวิภัส” ทวนถามกลับให้แน่ใจ พร้อมกับขมวดคิ้ว “ไหนลองคิดดูอีกทีสิครับ ว่า เอ้อ เมื่อวานนี้ คุณให้สัญญากับผมว่าอย่างไร” มณีรัชดาเพิ่งถึงบางอ้อ เมื่อทวนคำแล้วจริงสินะ หลุดปากออกไป ขอโทษเขาที่เผลอลืมไปหน่อย “ตายจริง อุ้ย ขอโทษค่ะ ณีก็เกือบลืมไปจริงๆ ตายแล้วด้วยขอบคุณนะคะที่คุณวิภัสมาเตือนความทรงจำ พอเลิกงานแล้ว ดิฉันจะรีบไป” มณีรัชดาละล่ำละลักบอก เมื่อนึกได้ “ดีมากครับขอให้มาเร็วๆหน่อยนะครับ เพราะผมเองก็กำลังเดินทางมาแล้ว” “ตายจริงคุณวิภัส ดิฉันยังไม่ได้เลิกงานเลย” หล่อนบอกสารภาพถึงความจริงว่ายังไม่เลิกงาน ชายหนุ่มจึงบอก “งั้นเอาอย่างนี้ ผมจะไปรับคุณที่บริษัทได้ไหม ห้ามว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะครับ นี่คุณก็ต้องคิดว่าที่เป็
ที่หล่อนไม่รู้สึกชอบใจสักนิด ถ้าใครยัดเยียดคำพูดที่ไม่ดีใส่หูหล่อน พลอยทำให้เจ้าของร้านนึกกระหยิ่มยิ้มขำอยู่ในใจ ในความเด็ดเดี่ยวของหญิงสาวร่างบางระหงที่ดูสวยคนนี้อย่างอึ้งและแกมทึ่งที่หล่อนช่างหาทางออกได้ดี แบบไม่กลัวใคร และปัณนชาได้มองเห็นความชาญฉลาด และเป็นตัวเองอยู่ลึกๆของพนักงานสาวคนใหม่คนนี้ ร่างสูงเพรียวของวิภัสมาถึงเขาก็รีบเข้าไปทักคุณปัณนชาแล้วเอ่ยขอตัวกับหล่อน พร้อมผายมือเปิดประตูให้มณีรัชดาขึ้นไปนั่งหล่อนจำเป็นต้องทำตามเขา เพราะนึกหวั่นกับสายตาหลายคู่ที่มองจ้องมายังภาพนี้ มณีรัชดาไม่อยากให้ใครมองจ้องหล่อนด้วยสายตาที่น่าเกลียด วิภัสออกรถทันทีหญิงสาวชำเลืองมองดูเขาแวบหนึ่ง ใบหน้าของเขาดูเหมือนจะซ่อนความนิ่งและดูขรึมแย้มยิ้มออกมาเพียงน้อย เขาคิดอะไรของเขากัน มณีรัชดาอยากจะคิดตามเหมือนกันแววตาที่ดูแปลกและรู้สึกอ่านยากเพราะเขาเงียบ หากแต่ใบหน้าที่คมคายดูหล่อเหลาและเกลี้ยงเกลา ก็ไม่ผิดหรอกที่เธอชม แต่บางครั้งบางคราวแววตานั้นก็กระด้างขึ้นมา ชวนตกใจ หล่อนไม่คาดคิดสักนิด ว่าเขาเป็นอะไรของเขา แต่ก็ไม่พยายามจะคิดให้หนักหัว
“ก็ดีค่ะ”เขาหยิบแผ่นซีดีมาเปิดเพลงที่ค่อนข้างไปในทางโรแมนติกจังหวะแผ่วพลิ้วไพเราะด้วยเนื้อหาของเพลงสากล ซึ่งหล่อนก็ชอบฟัง right here waiting กับ sorry seem to be the hardes wold เพลงเก๋ากึ๊กแต่คงความโรแมนติกด้านภาษาและอรรถรสของริชาร์ดมาร์ค กับเอลตันจอห์น ถึงเสียทีนั่งรถจนเมื่อย ก็จบเพลงพอดี หลังจากที่มือของเขาเอื้อมปิดอีกครั้ง และมณีรัชดานึกถึงความโรแมนติกที่บังเกิดขึ้น และในหัวใจของหล่อนก็โรแมนติกจริงๆเช่นกันตามบทเพลงที่ฟังและเคลิบเคลิ้มอ่อนไหว กระทั่งได้ฟังจนจบ กระทั่งเผลอร้องคลอฮัมไปตามเสียงเพลงเช่นเดียวกับเขา มีความรู้สึกว่า เขานั้นชอบสิ่งเดียวกับหล่อนเลยล่ะ จากนั้นเมื่อก้าวเข้าไปในร้านมณีรัชดาทรุดนั่งลงพร้อมกับเขา ก่อนที่จะสั่งอาหารสังเกตดูเหมือนว่า เขาจะคุ้นและเคยชินเป็นอย่างมาก คงมาบ่อยครั้ง ดูจากพนักงานเสิร์ฟที่ห้อมล้อมเรียกเขาอย่างสนิทสนมแต่สำหรับมณีรัชดา การมาที่นี่คือครั้งแรกของหล่อน หากว่าวิภัสไม่ทวงบุญคุณต่อหล่อน และจ้างให้มณีรัชดาก็ไม่มาด้วยหรอก นี่หล่อนก็ยังนึกถึงเขา เป็นคนแปลกหน้าดั่งเดิม เป็นเพราะหล่อนนั้นยินยอมรับ
เพราะเขาต้องการให้หล่อนตกหลุมพรางเหลี่ยมเล่ห์ที่เขาพยายามแสดงออกมาให้แนบเนียนที่สุด แต่สิ่งที่บอกเขาในยามนี้ มณีรัชดานั้นไม่ใช่คนโง่สักนิด และคงจะยากที่หล่อนจะทิ้งปล่อยวางหรือยอมไว้ใจใครง่ายดังนั้นเขาจึงควรจะเริ่มต้นสานความสัมพันธ์ตรงนี้ก่อน ก็เพื่อที่หล่อนจะได้ไว้วางใจเขาไง และไม่ตะขิดตะขวงใจเขา หรือเหมือนว่าหล่อนมากับเขาแบบความรู้สึกที่ฝืนใจไปหน่อย ครั้นเมื่ออาหารมาถึงแล้ว ฝ่ายจอมภูหรือวิภัสเขาจึงพยายามเอาใจใส่หล่อน ด้วยการตักอาหารใส่จานให้แบบเทกแคร์ หากมณีรัชดาก็รู้สึกแปลกใจ เพราะไม่เคยมีใครนั้นมาเอาอกเอาใจกับหล่อนถึงขนาดนี้เลยจึงรู้สึกเขิน แม้แต่ภูวพลก็ไม่ถึงขนาดนี้ แต่ชายหนุ่มคนนี้นั้นดูเหมือนเขามีความกล้าอย่างทีเดียว และเขาตักต้มยำที่มีเนื้อกุ้งล้วนส่งให้หล่อน และต่อมาก็ตักปูอบวุ้นเส้นพร้อมแกะเนื้อปูให้หล่อนทาน จนมณีรัชดารู้สึกอึ้ง ไม่เคยมีผู้ชายคนไหน ทำให้หล่อนถึงขนาดนี้ทำให้หล่อนรู้สึกหวั่นไหวข้างในเหมือนกันเพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาเท่านั้น พร้อมด้วยกันนั้น เขาถือวิสาสะคุยด้วยและสรรหาเรื่องมาคุยเรื่อยเปื่อยที่คิดว่าตรงใจของหล่อนมากที่สุด