อีกครั้งที่ภูวพลดีใจอย่างมาก ที่เมื่อรับโทร.จากมณีรัชดานั้น แต่หล่อนกลับมาบอกเขาว่า ได้งานทำแล้ว ซึ่งเขาแปลกใจ แม้เขาจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่หล่อนไม่ได้เลือกงานในบริษัทของญาติที่เขาคุยตกลงไว้อย่างดิบดี โธ่ บทจะได้ก็ได้เสียปุบปับอย่างนี้ ไม่คาดฝัน “พลอุตส่าห์ไปร้องขอกับคุณลุงนะครับ ให้ท่านช่วยกั๊กไว้ให้ตำแหน่งนึง ก็พอดีมันว่างไง.. นี่ถ้าณีไม่ตัดสินใจเลือก คงแย่ล่ะ เพราะตำแหน่งนี้ต้องมีคนอื่นรับเอาไป” หากแต่มณีรัชดาก็ตอบเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ค่ะ ก็ปล่อยให้เขารับคนอื่นไปสิจ้ะ พล เพราะณีเพิ่งได้งานกะทันหัน และอังคารนี้จะต้องไปทำแล้วล่ะ” ภูวพลถอนใจ แม้จะรู้สึกน้อยใจแกมผิดหวัง แต่ก็ดีใจกับหล่อนเพราะท่าทางน้ำเสียงของมณีรัชดานั้นตื่นเต้นอย่างดีใจ หล่อนคงชื่นชอบกับงานนี้มาก “ว่าแต่งานเกี่ยวกับอะไรหรือณี เห็นท่าทางตื่นเต้นเหลือเกิน” “ค่ะ งานเกี่ยวกับกองถ่ายจ้ะพล เป็นงานที่ณีรู้สึกตื่นเต้น ที่จะได้เห็นคลุกคลีกับพวกดาราละครทีวี” มณีรัชดาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงและดูแจ่มใส ความจริงงานเกี่ยวกับเบื้องหลังที่ใกล้ชิดกับ
“ใช่ครับ ก็ผมรู้ว่ามีเงินเก็บ เป็นเงินก้อน แต่ว่าผมต้องการจะใช้นี่” เพราะว่าเขาดื้อรั้นที่จะเถียงและเอาให้ได้ดั่งใจ เลยทำให้นางภวานันท์ถอนใจ อ่อนอกอ่อนใจยิ่ง เรื่องนี้ถ้าจะเป็นเรื่องหนักเสียแล้วสำหรับนางนี่เกิดอะไรขึ้นกับลูกชาย นางจึงเอ่ยเสียงแข็งอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้นะ และแม่จะไม่อนุญาตให้แกไปเบิกเงินสดออกมามากมายขนาดนั้นหรอก เพื่อทำอะไรตามใจแก” และในเวลานั้น สีหน้าของเขาผิดหวังอย่างมาก ด้วยแววตาที่สลด พร้อมกับคำตีโพยตีพายพร่ำออกมาด้วยสีหน้าที่เศร้า “ฮึ อะไรก็ไม่ได้ๆ สำหรับผมทุกทีเลย แต่ทีกะพี่ใหญ่ โน่น ทำไมครับ แม่ถึงคิดประเคนให้มันทั้งหมดเลย อยากได้อะไร ก็ไม่เคยขัดห้ามสักเลยนิด” และเขาทำท่าเหมือนจะร้องไห้มีน้ำตาคลอออกมา “ทีพี่ใหญ่อะไรๆก็ประเคนให้หมด..แล้วผมล่ะผมไม่ใช่ลูกหรือยังไง ผมก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน อยากทำอะไรเพื่อตัวเอง ที่มันเป็นอิสระ เพื่อที่ทุกคนจะได้มองเห็นว่า ผมโตพอแล้วที่จะเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่อย่างที่ทุกคนมองเห็นผมเป็นแค่เด็กอนุบาล” เขาเผลอเกรี้ยวกราดเอากับคุณภวานันท์ที่นางกำลังตกใจใหญ่พร้อมกับสีหน้าตึง
หล่อนตอบ และอีกอย่างไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเขาที่โทร.มาถาม “ที่ผมโทร.มาหาคุณ ก็เพราะความคิดถึงนั่นละครับ”เขาบอกกับพอดีกับที่หล่อนกำลังดึงปลั๊กไฟจากเต้าเสียบออก แต่ก็ต้องอึ้งเพราะคำของเขา คิดถึง คิดถึงหล่อนพูดหวานอีกแล้ว ก็น่าจะรู้ว่าเขาพูดจาเกี้ยวจีบหล่อนแบบนี้ หล่อนจึงเงียบไป “คุณณีได้ยินมั๊ยครับ” มณีรัชดาเลยต้องตอบ “ค่ะยังได้ยินอยู่ แล้วคุณวิภัสมีอะไรจะโทร.มาหานอกจากความคิดถึงนี้มั๊ย” เสียงของมณีรัชดาตอบออกมาเหมือนไม่พอใจ ทำให้เขาบดกรามเข้าหากัน ที่หล่อนเป็นฝ่ายรวนเขา แต่ยังหนีบความสุภาพเอาไว้กับตัว “แต่ถ้าผมมีอะไรอยากจะบอกคุณ นอกจากความคิดถึงละครับ” แววตาของจอมภูหรือวิภัสยิ้มกริ่มเมื่อท้าทาย “คืออะไรล่ะคะ” หล่อนตอบกลับมา “คือเย็นนี้ผมอยากจะนัดคุณณีไปทานข้าวด้วยกันนะครับ” “ดิฉันต้องขอปฏิเสธไว้ก่อนค่ะ” หล่อนสวนตอบทันทีทำเขาอึ้ง ผู้หญิงคนนี้เล่นตัวนัก ฉลาด ท่าจะพิษสงเยอะ มาแผนสูง แบบนี้ต้องการจับน้องชายของเขาให้อยู่หมัดแน่นายพลอ่อนยังกะอะไรดี คงตามไม่ทัน จากนั้นเขาเปลี่ยนแผนแกล้งตัดพ้อหล่อน “โธ่
นั่นเป็นเพราะหญิงสาวมัวแต่กังวลเครียดในเรื่องหางาน และตระเวนไปในที่ต่างๆ แต่พอรู้สึกว่าได้งานทำแล้ว นั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้น และอยากจะไปไหนมาไหนก็อิสระ จากนั้นมณีรัชดาก็หอบหิ้วเอาข้าวของจำเป็น และพวกขันน้ำกับที่วางสบู่ผ้าขนหนูผืนเล็กกับวุ้นในลูกมะพร้าว เพราะนึกอยากทาน ตั้งใจจะซื้อไปแช่ไว้ในตู้เย็นขณะที่น้าสาวแวะเข้าร้านชำด้านหน้า เพื่อซื้อถ่านทำขนมสักสองสามถุง เพราะว่าไหนๆเดินผ่านแวะร้านพอดีก็หิ้วกลับเสียเลย ถึงยังไงก็ต้องแวะผ่านมาอยู่ดี หญิงสาวยืนอยู่ริมฟุตบาธ เนื่องจากร้านส้มตำตั้งอยู่บริเวณริมถนน ร้านอาหารรถเข็นอีกสามสี่ร้านจอดเรียงรายเป็นแถว แบ่งทางเดินให้เพียงเล็กน้อยเนื่องจากเป็นช่วงเย็นและผู้คนก็ขวักไขว่รวมทั้งเป็นเวลาเดินทางกลับบ้านของหนุ่มสาวพนักงานและออฟฟิศ ส่วนการจราจรก็คล่องตัวบางช่วง และบางช่วงก็ติดขัด ที่แล่นปรู๊ดปร๊าดได้ตลอดก็คือรถมอเตอร์ไซค์ เสร็จแล้ว หล่อนต้องยืนรอคิวสามคิว จนกระทั่งเสร็จสรรพ ระหว่างที่รอไม่ได้รู้สึกท้อบ่นใดๆ เพราะเดินเที่ยวตลาดนัดจนอิ่มนึกอยากจะทานส้มตำ เอากลับไปบ้านเผื่อให้มารดาด้วย หล่อนจึงต้องสั่งสองครก ทั้งส้มตำไทยกับตำปูปลาร้า
“เอางี้ดีกว่าครับ นี่เป็นนามบัตรของผม และบริษัท ถ้าเกิดว่าคุณมีแผลอักเสบหรือต้องการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลโทร.มาตามเบอร์นี้นะครับ” “ตกลง นี่คุณจะไม่เข้าไปตรวจดูอาการที่คลินิกใช่ไหม คือผมอยากจะให้แน่ใจนะครับ” และท่าทางเขานั้นคงจะหวังดีต่อหล่อนเป็นอย่างมาก และเป็นผู้ผิดที่เป็นห่วงเป็นใย ต่ออาการบาดเจ็บของหล่อนด้วยเหตุนี้ มณีรัชดาจึงยอมพยักหน้า “ก็ได้ค่ะ” ดังนั้นจึงเปิดประตูให้หล่อนก้าวเข้าไปนั่งพอถึงคลินิกเจ้าของร้านก็รีบเปิดประตูออกมา พร้อมด้วยลูกน้องและผู้ช่วยอีกสองคน ถามไถ่อาการจากนั้นพามณีรัชดานั่งรถเข็น กระทั่งให้หล่อนนอนบนเตียงในห้องฉุกเฉิน เพื่อเอกซเรย์ดูอวัยวะภายในที่สำคัญชิ้นกระดูกแขนและขาว่าตรงไหนมีร้าวหรือหัก จะได้ทำการรักษาต่อ และในครึ่งชั่วโมงต่อมา จึงได้รับคำตอบจากนายแพทย์เจ้าของคลินิกเอ่ย ”หมอได้เอกซเรย์ดูทุกจุดในร่างกายแล้วนะครับ ปรากฏว่าไม่มีอาการที่น่าเป็นห่วง คนไข้สามารถกลับบ้านได้ ไม่มีส่วนไหนที่บอกว่ากระดูกร้าวหรือหักอวัยวะทุกส่วนยังอยู่ครบดีครับ ไม่เป็นอันตราย ถือว่าคุณโชคดี” ซึ่งนายแพทย์หันมาเอ่ยกับหล่อน
“รวมเบ็ดเสร็จแล้วก็หกพันกว่าบาทครับ” “ก็ดีแล้ว ถือเสียว่าฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน” “แล้วผมก็ให้นามบัตรเขาไปแล้วครับ เผื่อมีอะไรเกิดขึ้นอีก ก็ให้ติดต่อมา” “ต๊าย แกนี่ จ่ายแล้วก็ถือว่าจบ ยังอยากจะเสียเงินซ้ำซาก เอานามบัตรไปให้เขา” คุณปานนิตย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุอย่างไม่พอใจ “แกถือว่าตัวเองเป็นพ่อพระหรือยังไงรังสินัย ถึงได้เที่ยวทำตัวเองเป็นมูลนิธิสังคมสงเคราะห์ ” คุณปานนิตย์อดไม่ได้ที่ลูกชายนั้นหวังดีเกินเหตุ “แต่ผมเป็นคนขับรถเฉี่ยวเขานี่ครับ ผมต้องรับผิดชอบเต็มที่” “ย่ะ พ่อพระพ่อสุภาพบุรุษ เชิญแกคิดอย่างนั้นเถอะย่ะ”คุณปานนิตย์ค้อนสีหน้าปะหลับปะเหลือกใส่ลูกชายที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านอย่างน่าหมั่นไส้ หล่อนประสบพบเหตุอะไรที่เพิ่งเกิดขึ้นหนอ และมณีรัชดาก็จับคลำที่ข้อเท้าของหล่อน เห็นว่ามีอาการบวมช้ำเล็กน้อย หลังจากที่นวดด้วยยาคลายกล้ามเนื้อที่นายแพทย์ให้มา อาการของหล่อนก็พอทุเลาขึ้น นึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มที่มีน้ำใจที่ไม่ทอดทิ้งทิ้งขว้างไร้การรับผิดชอบเหมือนรายกรณีอื่นๆ ที่ส่วนมากชนแล้วหนีทุกราย ปัดความรับผิดชอบ
ถ้าหากไม่เป็นความจริง มณีรัชดาก็มีสิทธิ์ค้านและโต้เถียงรวมทั้งบอกความจริงได้ เพราะมณีรัชดาบอกกับตัวเองไว้ว่า หล่อนไม่เป็นคนที่โกหกแก่ตัวเอง และความจริงหล่อนก็ไม่คิดจะโกหกด้วยเพราะมณีรัชดาไม่มีอุปนิสัยเช่นนี้ พอเข้าใจแล้ว ปันณชาจึงเอ่ย “อ๋อ เด็กใหม่ของพี่เองจ้ะ หนูกิ๊กขอโทษนะจ้ะ แกยังไม่คล่องสักเท่าไหร่” ปันณชาตอบแก้ตัวแทนพนักงานคนใหม่ของหล่อนมากกว่า เพราะหล่อนก็เข้าใจพื้นอารมณ์ของดาราสาวผู้นี้ดี หล่อนอารมณ์เสียง่ายและเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร วีนเหวี่ยงเก่ง เพราะถือว่าหล่อนเป็นดาราที่มีชื่อเสียงปันณชาไม่อยากจะเข้าไปยุ่งนัก และไม่อยากให้พนักงานคนใหม่ของหล่อนเข้าไปยุ่งด้วย แม้ปันณชาจะเอ่ยคำนี้ ก็ไม่ทำให้กาญจนรัตน์นั้นรู้สึกดีขึ้นมาหรอก หญิงสาวนิ่วหน้าด้วยอารมณ์โกรธอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ เหตุที่หล่อนขุ่นเคืองเป็นเพราะเด็กสาวที่หน้าตาหมดจดคนนี้ไงบอกแล้วไง ว่าถ้าได้รับการขัดสีฉวีวรรณเข้าหน่อย หญิงสาวผู้นี้จะโดดเด่นทีเดียว กาญจนรัตน์จึงมองด้วยสายตาที่ไม่ชื่นชอบและกดเอาไว้ หันมามองจ้องหญิงสาวพนักงานคนใหม่ ด้วยแววตาที่ไม่ได้เป็น
“เอ้อ รู้สึกว่าคุณณี เอ้อ จะลืมอะไรไปสักอย่างหรือเปล่าครับ” เสียงหยอดกลับมาพร้อมชั่งใจและประเมินดูท่าทีของหล่อน คิดแน่ใจด้วยว่าหล่อนกำลังจะลืมแน่ ไม่ลืมหรือแกล้งลืมล่ะ แต่วันนี้ก็ยอมรับว่า มณีรัชดาทำงานหนักและเหนื่อยแต่ก็สนุก จนหล่อนแทบจะลืมเรื่องอื่นทิ้งไปเลย“ณีลืมอะไรหรือคะ คุณวิภัส” ทวนถามกลับให้แน่ใจ พร้อมกับขมวดคิ้ว “ไหนลองคิดดูอีกทีสิครับ ว่า เอ้อ เมื่อวานนี้ คุณให้สัญญากับผมว่าอย่างไร” มณีรัชดาเพิ่งถึงบางอ้อ เมื่อทวนคำแล้วจริงสินะ หลุดปากออกไป ขอโทษเขาที่เผลอลืมไปหน่อย “ตายจริง อุ้ย ขอโทษค่ะ ณีก็เกือบลืมไปจริงๆ ตายแล้วด้วยขอบคุณนะคะที่คุณวิภัสมาเตือนความทรงจำ พอเลิกงานแล้ว ดิฉันจะรีบไป” มณีรัชดาละล่ำละลักบอก เมื่อนึกได้ “ดีมากครับขอให้มาเร็วๆหน่อยนะครับ เพราะผมเองก็กำลังเดินทางมาแล้ว” “ตายจริงคุณวิภัส ดิฉันยังไม่ได้เลิกงานเลย” หล่อนบอกสารภาพถึงความจริงว่ายังไม่เลิกงาน ชายหนุ่มจึงบอก “งั้นเอาอย่างนี้ ผมจะไปรับคุณที่บริษัทได้ไหม ห้ามว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะครับ นี่คุณก็ต้องคิดว่าที่เป็