“ใช่ครับ ก็ผมรู้ว่ามีเงินเก็บ เป็นเงินก้อน แต่ว่าผมต้องการจะใช้นี่” เพราะว่าเขาดื้อรั้นที่จะเถียงและเอาให้ได้ดั่งใจ เลยทำให้นางภวานันท์ถอนใจ อ่อนอกอ่อนใจยิ่ง เรื่องนี้ถ้าจะเป็นเรื่องหนักเสียแล้วสำหรับนางนี่เกิดอะไรขึ้นกับลูกชาย นางจึงเอ่ยเสียงแข็งอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้นะ และแม่จะไม่อนุญาตให้แกไปเบิกเงินสดออกมามากมายขนาดนั้นหรอก เพื่อทำอะไรตามใจแก” และในเวลานั้น สีหน้าของเขาผิดหวังอย่างมาก ด้วยแววตาที่สลด พร้อมกับคำตีโพยตีพายพร่ำออกมาด้วยสีหน้าที่เศร้า “ฮึ อะไรก็ไม่ได้ๆ สำหรับผมทุกทีเลย แต่ทีกะพี่ใหญ่ โน่น ทำไมครับ แม่ถึงคิดประเคนให้มันทั้งหมดเลย อยากได้อะไร ก็ไม่เคยขัดห้ามสักเลยนิด” และเขาทำท่าเหมือนจะร้องไห้มีน้ำตาคลอออกมา “ทีพี่ใหญ่อะไรๆก็ประเคนให้หมด..แล้วผมล่ะผมไม่ใช่ลูกหรือยังไง ผมก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน อยากทำอะไรเพื่อตัวเอง ที่มันเป็นอิสระ เพื่อที่ทุกคนจะได้มองเห็นว่า ผมโตพอแล้วที่จะเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่อย่างที่ทุกคนมองเห็นผมเป็นแค่เด็กอนุบาล” เขาเผลอเกรี้ยวกราดเอากับคุณภวานันท์ที่นางกำลังตกใจใหญ่พร้อมกับสีหน้าตึง
หล่อนตอบ และอีกอย่างไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเขาที่โทร.มาถาม “ที่ผมโทร.มาหาคุณ ก็เพราะความคิดถึงนั่นละครับ”เขาบอกกับพอดีกับที่หล่อนกำลังดึงปลั๊กไฟจากเต้าเสียบออก แต่ก็ต้องอึ้งเพราะคำของเขา คิดถึง คิดถึงหล่อนพูดหวานอีกแล้ว ก็น่าจะรู้ว่าเขาพูดจาเกี้ยวจีบหล่อนแบบนี้ หล่อนจึงเงียบไป “คุณณีได้ยินมั๊ยครับ” มณีรัชดาเลยต้องตอบ “ค่ะยังได้ยินอยู่ แล้วคุณวิภัสมีอะไรจะโทร.มาหานอกจากความคิดถึงนี้มั๊ย” เสียงของมณีรัชดาตอบออกมาเหมือนไม่พอใจ ทำให้เขาบดกรามเข้าหากัน ที่หล่อนเป็นฝ่ายรวนเขา แต่ยังหนีบความสุภาพเอาไว้กับตัว “แต่ถ้าผมมีอะไรอยากจะบอกคุณ นอกจากความคิดถึงละครับ” แววตาของจอมภูหรือวิภัสยิ้มกริ่มเมื่อท้าทาย “คืออะไรล่ะคะ” หล่อนตอบกลับมา “คือเย็นนี้ผมอยากจะนัดคุณณีไปทานข้าวด้วยกันนะครับ” “ดิฉันต้องขอปฏิเสธไว้ก่อนค่ะ” หล่อนสวนตอบทันทีทำเขาอึ้ง ผู้หญิงคนนี้เล่นตัวนัก ฉลาด ท่าจะพิษสงเยอะ มาแผนสูง แบบนี้ต้องการจับน้องชายของเขาให้อยู่หมัดแน่นายพลอ่อนยังกะอะไรดี คงตามไม่ทัน จากนั้นเขาเปลี่ยนแผนแกล้งตัดพ้อหล่อน “โธ่
นั่นเป็นเพราะหญิงสาวมัวแต่กังวลเครียดในเรื่องหางาน และตระเวนไปในที่ต่างๆ แต่พอรู้สึกว่าได้งานทำแล้ว นั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้น และอยากจะไปไหนมาไหนก็อิสระ จากนั้นมณีรัชดาก็หอบหิ้วเอาข้าวของจำเป็น และพวกขันน้ำกับที่วางสบู่ผ้าขนหนูผืนเล็กกับวุ้นในลูกมะพร้าว เพราะนึกอยากทาน ตั้งใจจะซื้อไปแช่ไว้ในตู้เย็นขณะที่น้าสาวแวะเข้าร้านชำด้านหน้า เพื่อซื้อถ่านทำขนมสักสองสามถุง เพราะว่าไหนๆเดินผ่านแวะร้านพอดีก็หิ้วกลับเสียเลย ถึงยังไงก็ต้องแวะผ่านมาอยู่ดี หญิงสาวยืนอยู่ริมฟุตบาธ เนื่องจากร้านส้มตำตั้งอยู่บริเวณริมถนน ร้านอาหารรถเข็นอีกสามสี่ร้านจอดเรียงรายเป็นแถว แบ่งทางเดินให้เพียงเล็กน้อยเนื่องจากเป็นช่วงเย็นและผู้คนก็ขวักไขว่รวมทั้งเป็นเวลาเดินทางกลับบ้านของหนุ่มสาวพนักงานและออฟฟิศ ส่วนการจราจรก็คล่องตัวบางช่วง และบางช่วงก็ติดขัด ที่แล่นปรู๊ดปร๊าดได้ตลอดก็คือรถมอเตอร์ไซค์ เสร็จแล้ว หล่อนต้องยืนรอคิวสามคิว จนกระทั่งเสร็จสรรพ ระหว่างที่รอไม่ได้รู้สึกท้อบ่นใดๆ เพราะเดินเที่ยวตลาดนัดจนอิ่มนึกอยากจะทานส้มตำ เอากลับไปบ้านเผื่อให้มารดาด้วย หล่อนจึงต้องสั่งสองครก ทั้งส้มตำไทยกับตำปูปลาร้า
“เอางี้ดีกว่าครับ นี่เป็นนามบัตรของผม และบริษัท ถ้าเกิดว่าคุณมีแผลอักเสบหรือต้องการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลโทร.มาตามเบอร์นี้นะครับ” “ตกลง นี่คุณจะไม่เข้าไปตรวจดูอาการที่คลินิกใช่ไหม คือผมอยากจะให้แน่ใจนะครับ” และท่าทางเขานั้นคงจะหวังดีต่อหล่อนเป็นอย่างมาก และเป็นผู้ผิดที่เป็นห่วงเป็นใย ต่ออาการบาดเจ็บของหล่อนด้วยเหตุนี้ มณีรัชดาจึงยอมพยักหน้า “ก็ได้ค่ะ” ดังนั้นจึงเปิดประตูให้หล่อนก้าวเข้าไปนั่งพอถึงคลินิกเจ้าของร้านก็รีบเปิดประตูออกมา พร้อมด้วยลูกน้องและผู้ช่วยอีกสองคน ถามไถ่อาการจากนั้นพามณีรัชดานั่งรถเข็น กระทั่งให้หล่อนนอนบนเตียงในห้องฉุกเฉิน เพื่อเอกซเรย์ดูอวัยวะภายในที่สำคัญชิ้นกระดูกแขนและขาว่าตรงไหนมีร้าวหรือหัก จะได้ทำการรักษาต่อ และในครึ่งชั่วโมงต่อมา จึงได้รับคำตอบจากนายแพทย์เจ้าของคลินิกเอ่ย ”หมอได้เอกซเรย์ดูทุกจุดในร่างกายแล้วนะครับ ปรากฏว่าไม่มีอาการที่น่าเป็นห่วง คนไข้สามารถกลับบ้านได้ ไม่มีส่วนไหนที่บอกว่ากระดูกร้าวหรือหักอวัยวะทุกส่วนยังอยู่ครบดีครับ ไม่เป็นอันตราย ถือว่าคุณโชคดี” ซึ่งนายแพทย์หันมาเอ่ยกับหล่อน
“รวมเบ็ดเสร็จแล้วก็หกพันกว่าบาทครับ” “ก็ดีแล้ว ถือเสียว่าฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน” “แล้วผมก็ให้นามบัตรเขาไปแล้วครับ เผื่อมีอะไรเกิดขึ้นอีก ก็ให้ติดต่อมา” “ต๊าย แกนี่ จ่ายแล้วก็ถือว่าจบ ยังอยากจะเสียเงินซ้ำซาก เอานามบัตรไปให้เขา” คุณปานนิตย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุอย่างไม่พอใจ “แกถือว่าตัวเองเป็นพ่อพระหรือยังไงรังสินัย ถึงได้เที่ยวทำตัวเองเป็นมูลนิธิสังคมสงเคราะห์ ” คุณปานนิตย์อดไม่ได้ที่ลูกชายนั้นหวังดีเกินเหตุ “แต่ผมเป็นคนขับรถเฉี่ยวเขานี่ครับ ผมต้องรับผิดชอบเต็มที่” “ย่ะ พ่อพระพ่อสุภาพบุรุษ เชิญแกคิดอย่างนั้นเถอะย่ะ”คุณปานนิตย์ค้อนสีหน้าปะหลับปะเหลือกใส่ลูกชายที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านอย่างน่าหมั่นไส้ หล่อนประสบพบเหตุอะไรที่เพิ่งเกิดขึ้นหนอ และมณีรัชดาก็จับคลำที่ข้อเท้าของหล่อน เห็นว่ามีอาการบวมช้ำเล็กน้อย หลังจากที่นวดด้วยยาคลายกล้ามเนื้อที่นายแพทย์ให้มา อาการของหล่อนก็พอทุเลาขึ้น นึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มที่มีน้ำใจที่ไม่ทอดทิ้งทิ้งขว้างไร้การรับผิดชอบเหมือนรายกรณีอื่นๆ ที่ส่วนมากชนแล้วหนีทุกราย ปัดความรับผิดชอบ
ถ้าหากไม่เป็นความจริง มณีรัชดาก็มีสิทธิ์ค้านและโต้เถียงรวมทั้งบอกความจริงได้ เพราะมณีรัชดาบอกกับตัวเองไว้ว่า หล่อนไม่เป็นคนที่โกหกแก่ตัวเอง และความจริงหล่อนก็ไม่คิดจะโกหกด้วยเพราะมณีรัชดาไม่มีอุปนิสัยเช่นนี้ พอเข้าใจแล้ว ปันณชาจึงเอ่ย “อ๋อ เด็กใหม่ของพี่เองจ้ะ หนูกิ๊กขอโทษนะจ้ะ แกยังไม่คล่องสักเท่าไหร่” ปันณชาตอบแก้ตัวแทนพนักงานคนใหม่ของหล่อนมากกว่า เพราะหล่อนก็เข้าใจพื้นอารมณ์ของดาราสาวผู้นี้ดี หล่อนอารมณ์เสียง่ายและเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร วีนเหวี่ยงเก่ง เพราะถือว่าหล่อนเป็นดาราที่มีชื่อเสียงปันณชาไม่อยากจะเข้าไปยุ่งนัก และไม่อยากให้พนักงานคนใหม่ของหล่อนเข้าไปยุ่งด้วย แม้ปันณชาจะเอ่ยคำนี้ ก็ไม่ทำให้กาญจนรัตน์นั้นรู้สึกดีขึ้นมาหรอก หญิงสาวนิ่วหน้าด้วยอารมณ์โกรธอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ เหตุที่หล่อนขุ่นเคืองเป็นเพราะเด็กสาวที่หน้าตาหมดจดคนนี้ไงบอกแล้วไง ว่าถ้าได้รับการขัดสีฉวีวรรณเข้าหน่อย หญิงสาวผู้นี้จะโดดเด่นทีเดียว กาญจนรัตน์จึงมองด้วยสายตาที่ไม่ชื่นชอบและกดเอาไว้ หันมามองจ้องหญิงสาวพนักงานคนใหม่ ด้วยแววตาที่ไม่ได้เป็น
“เอ้อ รู้สึกว่าคุณณี เอ้อ จะลืมอะไรไปสักอย่างหรือเปล่าครับ” เสียงหยอดกลับมาพร้อมชั่งใจและประเมินดูท่าทีของหล่อน คิดแน่ใจด้วยว่าหล่อนกำลังจะลืมแน่ ไม่ลืมหรือแกล้งลืมล่ะ แต่วันนี้ก็ยอมรับว่า มณีรัชดาทำงานหนักและเหนื่อยแต่ก็สนุก จนหล่อนแทบจะลืมเรื่องอื่นทิ้งไปเลย“ณีลืมอะไรหรือคะ คุณวิภัส” ทวนถามกลับให้แน่ใจ พร้อมกับขมวดคิ้ว “ไหนลองคิดดูอีกทีสิครับ ว่า เอ้อ เมื่อวานนี้ คุณให้สัญญากับผมว่าอย่างไร” มณีรัชดาเพิ่งถึงบางอ้อ เมื่อทวนคำแล้วจริงสินะ หลุดปากออกไป ขอโทษเขาที่เผลอลืมไปหน่อย “ตายจริง อุ้ย ขอโทษค่ะ ณีก็เกือบลืมไปจริงๆ ตายแล้วด้วยขอบคุณนะคะที่คุณวิภัสมาเตือนความทรงจำ พอเลิกงานแล้ว ดิฉันจะรีบไป” มณีรัชดาละล่ำละลักบอก เมื่อนึกได้ “ดีมากครับขอให้มาเร็วๆหน่อยนะครับ เพราะผมเองก็กำลังเดินทางมาแล้ว” “ตายจริงคุณวิภัส ดิฉันยังไม่ได้เลิกงานเลย” หล่อนบอกสารภาพถึงความจริงว่ายังไม่เลิกงาน ชายหนุ่มจึงบอก “งั้นเอาอย่างนี้ ผมจะไปรับคุณที่บริษัทได้ไหม ห้ามว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะครับ นี่คุณก็ต้องคิดว่าที่เป็
ที่หล่อนไม่รู้สึกชอบใจสักนิด ถ้าใครยัดเยียดคำพูดที่ไม่ดีใส่หูหล่อน พลอยทำให้เจ้าของร้านนึกกระหยิ่มยิ้มขำอยู่ในใจ ในความเด็ดเดี่ยวของหญิงสาวร่างบางระหงที่ดูสวยคนนี้อย่างอึ้งและแกมทึ่งที่หล่อนช่างหาทางออกได้ดี แบบไม่กลัวใคร และปัณนชาได้มองเห็นความชาญฉลาด และเป็นตัวเองอยู่ลึกๆของพนักงานสาวคนใหม่คนนี้ ร่างสูงเพรียวของวิภัสมาถึงเขาก็รีบเข้าไปทักคุณปัณนชาแล้วเอ่ยขอตัวกับหล่อน พร้อมผายมือเปิดประตูให้มณีรัชดาขึ้นไปนั่งหล่อนจำเป็นต้องทำตามเขา เพราะนึกหวั่นกับสายตาหลายคู่ที่มองจ้องมายังภาพนี้ มณีรัชดาไม่อยากให้ใครมองจ้องหล่อนด้วยสายตาที่น่าเกลียด วิภัสออกรถทันทีหญิงสาวชำเลืองมองดูเขาแวบหนึ่ง ใบหน้าของเขาดูเหมือนจะซ่อนความนิ่งและดูขรึมแย้มยิ้มออกมาเพียงน้อย เขาคิดอะไรของเขากัน มณีรัชดาอยากจะคิดตามเหมือนกันแววตาที่ดูแปลกและรู้สึกอ่านยากเพราะเขาเงียบ หากแต่ใบหน้าที่คมคายดูหล่อเหลาและเกลี้ยงเกลา ก็ไม่ผิดหรอกที่เธอชม แต่บางครั้งบางคราวแววตานั้นก็กระด้างขึ้นมา ชวนตกใจ หล่อนไม่คาดคิดสักนิด ว่าเขาเป็นอะไรของเขา แต่ก็ไม่พยายามจะคิดให้หนักหัว
เขาประคองมณีรัชดาเป็นความผูกพันลึกซึ้งยามอยู่ห่างไกลบ้าน มณีรัชดาคิดถึงพ่อแม่คิดถึงกรุงเทพ แต่แน่นอนละภาวะของหล่อนคือคนมีครรภ์อดฟุ้งซ่านไม่ได้และจอมภูพยายามทำดีกับหล่อนสารพัดทุกอย่าง ที่เขาแสนจะเอาใจ จนมณีรัชดายากที่จะปฏิเสธได้ หล่อนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หากจอมภูถึงกับเสียสละทุกอย่าง บางทีทิฐิมันเหมือนกับน้ำกรดราดรดดวงใจตัวเองเหมือนกัน หล่อนครุ่นคิด แต่ถึงกระนั้น หล่อนก็ควรที่จะให้บทเรียนอันแสนจะเจ็บปวดให้เขาด้วยเหมือนกันจนกระทั่งมณีรัชดาคลอดบุตรที่โรงพยาบาลเป็นลูกสาวในอีกสามวันต่อมา ประเทศที่หล่อนอาศัยอยู่ณบัดนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว หนาวเหน็บจัดพร้อมด้วยหิมะโปรยปราย จอมภูพยายามใช้การกระทำของเขามากกว่าคำพูด ให้มันราดรดในดวงใจของหล่อนถึงความซื่อสัตย์และภักดีตลอดกาล เพื่อทดแทนสิ่งที่ผิดพลาด ณเสี้ยวหนึ่งของหัวใจหล่อนรับทราบแล้วว่า เขาเป็นคนที่ดีมากพอ แต่ในด้านเลวร้ายนั่นล่ะ ซาตานดีๆนี่เอง หล่อนจะไม่พยายามคิดในเมื่อความดีของเขาก็ราดรดลงไปในหัวใจของหล่อน ให้ความอบอุ่นดูแลลูกสาว ในฐานะของพ่อเกินที่มณีรัชดาจะท้วงหรือปราม เขาทำไปด้วยความสุจริตใจหล่อนรับรู้ตลอดเวลาที่มีเข
จนกระทั่งมณีรัชดาคลอดบุตรที่โรงพยาบาลเป็นลูกสาวในอีกสามวันต่อมา ประเทศที่หล่อนอาศัยอยู่ณบัดนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว หนาวเหน็บจัดพร้อมด้วยหิมะโปรยปราย จอมภูพยายามใช้การกระทำของเขามากกว่าคำพูด ให้มันราดรดในดวงใจของหล่อนถึงความซื่อสัตย์และภักดีตลอดกาล เพื่อทดแทนสิ่งที่ผิดพลาด ณเสี้ยวหนึ่งของหัวใจหล่อนรับทราบแล้วว่า เขาเป็นคนที่ดีมากพอ แต่ในด้านเลวร้ายนั่นล่ะ ซาตานดีๆนี่เอง หล่อนจะไม่พยายามคิด เมื่อเขาชี้แจงว่า “ผมมาจากเมืองไทยที่อยู่ทราบจากคุณรังสินัย” เมื่อเอ่ยอ้างถึงหลานชายของหล่อน ทำให้คุณนันทนิจรับทราบ “ผมมีปัญหาบางอย่างที่ต้องปรับใจกับณี” เขาเอ่ย ทำให้คุณนันทนิจเข้าใจทันที “มณีรัชดา” หล่อนอุทาน “ใช่ครับ ผมเป็นสามี เธอหนีจากผมมา” “หนีหรือคะ” “ผมขออนุญาตได้ไหม”เขาเอ่ยหลังจากที่ชี้แจง ไม่มีการบอกกล่าวมาล่วงหน้าเพื่อตรวจดูความผิดพลาด คุณนันทนิจขอตัวโทร.ทางไกลไปเมืองไทยเพื่อถามหลานชาย ได้รับคำตอบแบบเดียวกันคือ ยืนยันถึงความเป็นสามีของลูกจ้างสาว “ดิฉันไม่ทราบหรอกนะคะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลานชายต้องการพึ่งพา ให้พา
“เขาให้แม่มาไกล่เกลี่ยหรือไงคะ”มณีรัชดาเอ่ยโดยไม่ยอมเอ่ยชื่อเขา นางรัชนีถอนใจ กับลูกสาวที่เริ่มจะทิฐิขึ้นมา“นี่แม่นะนี่แม่ของแก จะดีจะชั่วยังไงก็ยอมรับว่าแกเป็นลูก” มณีรัชดากำลังทำใจอย่างหนัก การที่มารดามาที่นี่เหมือนท่านบุกเข้ามาหาหล่อนที่คอนโดไม่เคยมีใครทราบมาก่อน และเขาคนเดียวเท่านั้นที่พามา มันเป็นเรื่อง ที่ตัดสินใจลำบากทั้งเรื่องส่วนตัวเหตุผลอีกทั้งความรัก รวมทั้งความเจ็บแค้นที่ผสมผสานกันและความผิดของเขาเกิดขึ้นมานาน และสะสมสั่งเอาไว้พอกพูนจนมันเต็มไปด้วยอัตราของความแค้นที่เหมือนไฟเผาผลาญจู่ๆหล่อน จะมาอภัยให้เขาง่ายๆในสิ่งที่เขาทำกับหล่อนอย่างเจ็บปวด “แม่ไปถามผู้ชายคนที่เขาบอกที่อยู่ของหนูสิคะว่าเขาทำอะไรลงไปบ้าง” มณีรัชดากลับตอบไปอย่างนั้นทำให้รัชนีเงียบ และเริ่มเข้าใจถึงสภาพจิตใจของบุตรสาว “ถึงอย่างไรแม่ก็ไม่อยากให้แก หนีแม่ไปอีก อย่าไปเลยนะลูก เมืองนงเมืองนอก แม่ห่วง ไปดูหมอเขาทักไว้ว่า ลูกไม่ควรเดินทางออกไปต่างประเทศ อย่าขึ้นเครื่องบิน” มณีรัชดาตกใจอย่างมากที่สุดกับคำกล่าวของมารดาไม่เคยทราบด้วยว่า ท่านจะเอาดวงของหล่อนไปให้ห
ความจริงที่ว่าคือเขารักมณีรัชดาอย่างมาก ต้องการครองคู่ อยู่กับหล่อนตลอดไปในเส้นทางอนาคต ทำให้จอมภูต้องยิ้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของมารดาคลายลงจากคำพูดที่น้องชายเอ่ยออกมาพร้อมแฟนสาวช่วยสนับสนุนในรักครั้งนี้ของเขา อีกทั้งช่วยแก้ต่าง ให้กับมณีรัชดา ภรรยาของเขาให้พ้นผิดด้วย เพราะภรรยาของเขานั้น หล่อนไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนกำลังกล่าวหาสักนิด หล่อนสะอาดและบริสุทธิ์เสมอ อย่างที่เขาเองก็นึกไม่ถึงเช่นกัน ในอดีตเขาเคยร่ำร้อง ที่จะเดียดฉันท์ โกรธอาฆาตแค้นหล่อนที่กลายเป็นนางแม่มดเจ้าเสน่ห์เพื่อหลอกล่อให้น้องชายของเขามาตกหลุมรักเพราะหวังในความสุขสบาย เพราะภูวพลมีฐานะร่ำรวยเป็นทายาท ของนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย นี่คือความโง่เขลาอย่างมากที่สุดที่เขาได้ทำมา จนจอมภูอยากเขกหัวของตัวเอง ย้อนหลังกลับไปสองร้อยกว่าครั้งถึงจะสาสม กับความผิด และความโง่ของเขาด้วยซ้ำ เวลาเนิ่นนานที่เขามีอคติต่อหล่อน กลายเป็นคนที่โง่บรมโง่ เหลือเกิน ยอมรับว่าเขาหูตามืดมัวเพราะรักและห่วงน้องชาย คนเดียวที่กลัวจะตกเป็นเหยื่อและเป็นคำสั่งของมารดา ที่ท่านต้องการจะกีดกันทั้
“ทำไม?ผมถามคุณไม่ตอบล่ะว่าไปอยู่ที่ไหนและผมไม่ยอมให้คุณไปอยู่ที่ไหนอีกแล้วนะต้องอยู่กับผมตลอดไปจะต้องช่วยเลี้ยงลูกของเรา ให้เจริญเติบโตเป็นคนดี” “ฉันไปพักอยู่กับเพื่อนรุ่นที่ ที่เขาใจดีมากค่ะ เขาเป็นพี่ชายที่ฉันเคารพรักและมีบุญคุณเสมอมา” “แล้วเขาเป็นใครล่ะ” “เขาชื่อ คุณรังสินัยค่ะ” “คราวหลัง ถ้าผมได้เจอเขาแล้วนั้นผมจะขอบคุณเขาอย่างมากที่ช่วยดูแล เมียผมกับลูกผมให้ปลอดภัย” คราวนี้มณีรัชดาหันมามองเขาสายตาของหล่อนเงยขึ้น “คุณไม่ตะขิดตะขวงหรือยังไงคะที่ฉันไปอยู่อย่างนั้น” “คงไม่หรอก ผมรู้ว่า ผมนั้นทำผิดอะไร” จอมภูตอบเสียงนุ่มอย่างรู้ดีว่า เขาทำผิดอะไร “แล้ว ขอให้ผมได้ไถ่โทษความผิดครั้งนี้ด้วยการขอคุณแต่งงานได้ไหม ผมจะไม่รีรอเลยนะณีและต้องการให้เรื่องนี้เร็วที่สุด” มณีรัชดาถึงกับอึ้งที่เขาพูดเช่นนี้ยิ้มอย่างอายและเขิน “เอ้อ ค่ะ” “ผมดีใจที่คุณเข้าใจผมและเข้าใจความรู้สึกของเรา คงไม่โกรธใช่ไหม กับเรื่องที่ผ่านมา เอ้อที่ผมล่วงเกินคุณ ใครล่ะจะอดใจได้ ก็คุณสวยขนาดนั้น” จอมภูกระซิบพร่ำที่ริมกกหูของ
จอมภูจึงขับรถมุ่งตรงไปที่บ้านเช่าของเธอที่เคยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับบิดามารดา และเขาเคยมาแล้วหนหนึ่งแต่ว่าไม่พบกับมณีรัชดาซึ่งบิดาและมารดาของเธอก็ไม่สามารถให้คำตอบเขาได้เช่นกัน เขามั่นใจว่ามณีรัชดาต้องอยู่ เพราะว่าเขารู้สึกไม่สบายใจเลยที่ทำแบบนี้กับหล่อน แม้แต่คาดคิดก็ตามและมณีรัชดาก็เช่นกัน เขาคิดว่าหล่อนคงจะเป็นเหมือนเขา ที่เป็นอย่างนี้เพราะเขาแน่ใจอย่างนั้นว่าเขารักหล่อนมาก มันไม่ใช่เรื่องที่หลอกลวง หรืออยากจะแก้แค้นหล่อน ความรักที่บริสุทธิ์นั้น ยากที่จะบอกได้ ซึ่งขับรถมุ่งตรงมาที่บางแค ก็ด้วยความหวัง ขณะเดียวกันนั้นมณีรัชดาลงจากรถแท็กซี่แล้วเดินเข้าไปในบ้าน ทำให้นางรัชนีกับนายมิ่งผู้เป็นบิดาต่างมองด้วยความตกใจและดีใจเช่นกันเมื่อได้มองเห็นชัดเจนว่า ลูกสาวตั้งท้อง จึงเป็นคำตอบที่ทราบดีว่าที่ลูกสาวหายไปจากบ้านเป็นเพราะสาเหตุนี้ นางรัชนีปรามผู้เป็นสามีและทั้งคู่ปรึกษากันว่าจะไม่ซักถามมณีรัชดาที่เพิ่งมาถึง เพราะกลัวว่าลูกสาวจะเตลิดไปไกลอีกนางรัชนีกับไพจิตรจึงพยายามพูดดีๆ “กลับมาแล้วเหรอเข้าไปพักผ่อนข้างในก่อนเถอะลูก มีอ
และมณีรัชดาพยายามเอ่ยกับเขาอย่างมีสติมากที่สุด และไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรของเขา ถึงได้เอาชีวิตของเขามาเสี่ยงกับหล่อน“ณี คิดว่าไม่เหมาะสม” “ไม่เหมาะสมยังไงครับ”เขาหันหน้าไปทางมณีรัชดา และหล่อนพยายามหาคำตอบให้เขา “เอ้อ คิดว่า มันเป็นไปไม่ได้ แล้วคุณก็มีพระคุณมากล้นอย่างนั้น ณี ย่อมทำไม่ได้อย่างแน่นอน” เสียงของหล่อนเข้มชัดเจน และเป้าหมายเป็นอย่างนั้นทำให้รังสินัยยิ้มออกมา “ผมเพียงแค่ลองใจคุณณีเล่นเท่านั้น แต่ไม่ทำจริงหรอกครับ เพราะรู้คำตอบดีแล้ว” ที่เขาเอ่ยทำให้หล่อนต้องตกใจ “คุณนัยลองใจณีดูหรือคะ” “ก็ใช่นะสิครับ อยากรู้ความจริง” “ความจริงเรื่องอะไรคะ” “ก็ที่คุณณีไม่ยอมบอกผมจริงๆว่าใครกันแน่ ที่เป็นพ่อของเด็กในท้องของคุณ ไม่ต้องกลัวว่าผมจะจับเขามาซ้อมหรอกครับ” ทำให้มณีรัชดาไม่ขำด้วยแต่หล่อนทำสีหน้าบึ้ง และตึงใส่เขา “คุณนัย นี่อย่าทำเล่นอย่างนี้สิคะ” “ถ้าไม่ให้ผมทำเล่น ผมทำจริงก็ได้ อ้าวคุณก็ยอมยกหน้าที่ให้ผม เป็นพ่อของลูกในท้องคุณหรือเปล่า?” เมื่อเขาถามคำนี้อีกครั้งด้วยสีหน้าที่
เมื่อปัณนชาเอ่ยเสริมและพูดแบบนี้ ทำให้มณีรัชดานิ่ง และหล่อนเริ่มสูดลมหายใจเข้าปอด “สิ่งที่พี่ปัณได้ยินหรือได้ฟังจากเขามันอาจจะเป็นแค่เรื่องจอมปลอม หรือการแสดงละครเล่นเท่านั้นแหละค่ะ”สิ่งที่มณีรัชดาเอ่ย ทำให้ปัณนชาแปลกใจเหมือนกัน เพราะเธอก็เก็บความสงสัยนี้เอาไว้นานเช่นเดียวกับเพื่อนน้องชายจอมภูที่รู้สึกแปลกใจกับการวุ่นวายเที่ยวตามหาตัวมณีรัชดา ยิ่งมณีรัชดาพูดเช่นนี้ด้วย เหมือนกับห่างเหินและปนด้วยความชิงชังลึกๆหรือว่าทั้งคู่มีอะไรที่ผิดข้องหมองใจกัน และบาดหมางหัวใจกันอย่างรุนแรง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่จ้ะ ณีสามารถบอกกับพี่ได้หรือเปล่า” เมื่อปัณนชาถามด้วยความห่วงใยอย่างนี้ทำให้ มณีรัชดาเงียบแต่หล่อนพยายามตัดบท “เอ้อ ขอบคุณพี่ปัณ มากนะคะ ที่สนใจเป็นห่วงทุกข์สุขของณีเหลือเกินและตลอดมาด้วย” “ก็พี่เป็นห่วงณีและคิดกับณีเหมือนน้องสาวคนหนึ่งไงจ้ะ” “ขอบคุณนะคะพี่ปัณ ณีจะจดจำคำนี้และไม่ลืมเลือนเลย” มณีรัชดาตอบและรีบตัดบท เพราะกลัวจะแสดงความอ่อนแอมา รังสินัยแวะมาที่คอนโดของหล่อน หลังจากที่เขานึกเป็นห่วงหล่อนในอาการที่ไม่สบาย มณีรัชดาจึง
“งั้นเราต้องแวะเข้าไปที่บริษัทคุณปันที่คุณว่า จะได้สอบถามข่าวของคุณณีปัญหาอยู่ที่ว่าเราไม่ทราบเลยค่ะว่าคุณณี อยู่ที่ไหนกันแน่” ภูวพลถอนใจออกมาและเห็นด้วย “นั่นน่ะสิครับ” และนารถน้ำค้างนึกขึ้นมาได้ “แล้วบ้านคุณณี ล่ะคะ คุณพอจะรู้ไหมว่า อยู่แถวไหน”เมื่อแฟนสาวเอ่ยเช่นนี้ ทำให้ภูวพลขมวดคิ้ว “เคยได้ยินณี พูดเหมือนกันว่าอยู่แถวบางแค นานแล้วแต่ผมไม่รู้ว่าอยู่ซอยไหน แต่คนที่รู้ผมคิดว่าเป็นพี่ชายของผมเราต้องไปถามพี่ใหญ่ดู” “งั้นเราจะต้องไปถามพี่ชายของคุณสิคะเรื่องนี้จะปล่อยช้าไม่ได้”นารถน้ำค้างพูดด้วยความรู้สึกที่เธอเป็นห่วงหญิงสาวที่รู้จักมาไม่นานเช่นกัน เมื่อรู้ว่าเธอเป็นคนดี และไม่มีอะไรเกี่ยวพันกับชายหนุ่มที่เธอรัก รวมทั้งภูวพลก็กล้าที่จะบอกความจริงแล้วว่า เขารักแต่เธอเพียงคนเดียว เช้าต่อมามณีรัชดาตัดสินใจโทร.เข้าไปหาเจ้าของบริษัทอีกครั้งและฝ่ายปัณนชาก็ดีใจมาก เพราะไม่ได้ทราบข่าวคราวของมณีรัชดาจึงอยากรู้ “พี่ปัณคะ” “เอ้อ ณีเอง พี่ดีใจเหลือเกินที่ณี โทร.มารู้ไหม ทุกคนตามหาตัวณีกันใหญ่”เมื่อปัณนชาเอ่ยคำนี้ ทำให้หล่อนนิ่งเงี