เขาคิดว่าตัวเองแน่ แต่กลับเอาชนะ 'เธอ' ไม่ได้สักครั้ง [โปรดXอัสมา]
View More“ไปทำอีท่าไหนถึงได้ไปนอนเล่นข้างทางแบบนั้นล่ะ สนุกไหม” เสียงคนมาใหม่ทำให้เธอละสายตาจากคู่สนทนาแล้วหันไปมอง เป็นเขานั่นเอง แต่ถึงจะไม่ชอบเธอขนาดไหน การเห็นเธอเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ก็น่าจะเห็นใจกันบ้างไม่ใช่หรือ เขามันคนไม่มีหัวใจ เท่าที่เคยสัมผัสมาก็พอจะรู้อยู่บ้าง เธอไม่ได้คาดหวัง แต่การที่เขาปากร้ายเกินไปอัสมาก็ไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน “เธอโดนทำร้ายน่ะครับ” อรัณย์เอ่ยบอกแก่เจ้านาย “มีคนถีบรถเธอจนล้มแล้วก็หนีไป” ปราชญาธิปแค่นหัวเราะ “โดนถีบ ไปสร้างศัตรูที่ไหนมาล่ะ” อัสมาไม่ตอบคำถาม เธอแค่มองเข้าไปในดวงตาของคนร้ายกาจที่มีหน้ามาหัวเราะให้กับเรื่องร้ายๆ ของคนอื่น ก่อนจะรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว “เรื่องของหนูมันตลกมากเลยเหรอคะ” รถกู้ภัยมาถึงพอดี เธอจึงได้รับการช่วยเหลือ และได้รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เจ็บขาจนแทบขยับไม่ได้ นั่นก็เพราะมีเศษแก้วชิ้นใหญ่แทงไปที่ส้นเท้าและเสียบคาไว้อย่างนั้น เลือดไหลไม่หยุดแต่เธอเจ็บจนชาเลยไม่รู้ว่ามีแผลใหญ่ขนาดนี้ ทางทีมอาสาจึงรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำตัวส่งโรงพยาบาล “คุณคะ หนูฝากจัดการเรื่องทางนี้หน่อยนะคะ” ก่อนจะถูกเข็นขึ้นรถก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยกับชายคนหนึ่งซึ่งดูจ
ในเช้าวันนั้นเธอก็หัวหมุนไปกับธุระทั้งเรื่องที่โรงพยาบาลและโรงพัก กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็บ่ายแก่ๆ ซึ่งนั่นทำให้อัสมารู้สึกเกรงใจชิตวรเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรีบไปรีบกลับ แต่เอาเข้าจริงมันเร่งไม่ได้เลย และเรื่องราวก็ซับซ้อนจนน่าปวดหัว ทั้งๆ ที่แจ้งความไปแล้วแต่ไม่รู้เลยว่าจะมีความคืบหน้าหรือเอาผิดใครได้บ้าง เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังคงเป็นคนมีเงินและมีอิทธิพล เธอมันแค่คนตัวเล็กๆ ในสังคม พูดอะไรไปก็ไม่มีใครได้ยินเสียง “ขอบคุณมากนะคะพี่ศิลป์ที่ช่วยดูแลแม่หนู หนูคิดว่าจะได้กลับมาไวกว่านี้ ขอโทษนะคะ อันนี้หนูแวะซื้อมาฝากค่ะ เผื่อพี่ยังไม่ได้กินอะไร” ว่าพร้อมกับยื่นกล่องข้าวให้ ชายหนุ่มยื่นมือมารับอย่างไม่อิดออด รอยยิ้มอันอบอุ่นของอีกฝ่ายปรากฏบนใบหน้า “ยังไม่ได้กินอะไรจริงๆ นั่นแหละ ไม่หิวเท่าไร แต่ได้กินก็ดี เราล่ะ กินอะไรมายัง” อัสมาส่ายหน้า เธอกินอะไรไม่ลง วันทั้งวันได้ดื่มแต่น้ำเปล่า “ไปกินด้วยกัน กล่องนี้แหละ เราเหลือตัวนิดเดียวแล้วนะ รู้ตัวบ้างหรือเปล่า” “พอรู้ค่ะ แต่พี่กินเถอะ” “พี่พูดในฐานะคนที่ให้ความช่วยเหลือเรา จะไม่ตอบแทนพี่เหรอ” เมื่อโดนมัดมือชกอัสมา
“ไอ้ดินมันไปไหน มาเปิดร้านทิ้งไว้ให้โจรเข้ามาขโมยของหรือไงวะ” แม้เขาจะหันไปพูดกับชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหลัง แต่เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายจงใจพูดจากระทบกระทั่ง โดยเฉพาะคำว่า ‘โจร’ “ขอโทษนะคะ หนูไม่ใช่โจรค่ะ แค่เห็นว่าทางร้านรับสมัครพนักงานเลยเข้ามา” “ฉันว่าเธอเป็นโจรเหรอ” เขาเลิกคิ้วถามทำเอาคนตัวเล็กไปไม่ถูก “ฉันแค่ตำหนิลูกน้อง จะรีบร้อนตัวไปทำไม” อัสมาได้แต่บ่นอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดอะไรออกไปสักคำ แม้แต่จะขออนุญาตออกจากร้านปากเธอยังไม่ยอมขยับ รู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางจนน่าโมโห ความจริงแล้วไม่น่าคิดว่าจะทำงานที่นี่เลย เท่าที่ทำอยู่ก็มากพอสมควรแล้ว จึงรวบรวมความกล้าเงยหน้าไปมองคนมาใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะพ่วงตำแหน่งเจ้าของร้าน ก่อนจะค้อมหัวให้เล็กน้อยแล้วพยายามทำตัวลีบเพื่อเดินออกไปด้านนอก “เดี๋ยว” เสียงทุ้มเอ่ยขัดการก้าวเดิน เธอจึงหันไปมองอย่างตั้งคำถาม “จะสมัครงาน?” “ค่ะ” ตอบไปด้วยความปากไว ร่างบางสลัดทุกเรื่องที่ผ่านมาทิ้งไปแล้วระบายยิ้มให้คนตรงหน้า “หนูทำได้ทุกอย่างค่ะ แต่ถนัดที่สุดคือร้องเพลง” “แล้วร้านนั้น” คำถามที่อีกฝ่ายยิงเข้ามาจังๆ ทำให้คนตัวเล็กนิ่งไปพักหนึ่ง เขาจำเธอได้อย่างนั้
บทเพลงได้พบเธอที่เพิ่งจบไปเมื่อสักครู่ถือเป็นเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ อัสมาเก็บไมโครโฟนไว้ที่เดิมแล้วก้าวเดินลงจากเวที วันนี้ได้เงินจากการร้องเพลงทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อย ผนวกกับที่ไปทำงานที่โรงแรมก็เกือบสองพัน เธอระบายยิ้มให้กับตัวเองที่อย่างน้อยก็ได้ค่าจ้างที่คุ้มค่าเหนื่อย ก่อนที่มือกีตาร์อย่างภวิศจะเดินมาขนาบข้าง มือข้างหนึ่งถือวิสาสะพาดมาที่บ่าอย่างสนิทสนม “ไง แต่งหน้าซะสวยเลยวันนี้” สำหรับคนในวงดนตรีที่ร้านแห่งนี้ อัสมานับถือทุกคนเป็นพี่ และดูเหมือนว่าพี่ๆ ทุกคนก็มองเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง การกระทำของภวิศจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เธอหันไปยิ้มน้อยๆ ให้คนข้างกาย “ก็บอกแล้วว่าไปทำงานที่โรงแรมมา ไปหน้าสดๆ พี่แยมกินหัวตาย” “อย่าโหมงานหนักมาก รู้ไหม พักผ่อนบ้าง ถ้ามีปัญหาอะไรจะหยิบยืมพี่หรืออีกสองคนก็ใช่ว่าจะหวงกับเราสักหน่อย” “อือ มีอะไรก็บอกพี่ได้ ช่วยได้จะช่วย” ชิตวรที่เดินตามหลังมาพูดขึ้นบ้าง เจ้าตัวเป็นมือเบสประจำวง อายุเท่าภวิศคือยี่สิบแปด ต่างจากอัคภัทรที่เป็นพี่สุดเพราะอายุแตะเลขสามมาหมาดๆ ได้ฟังเช่นนั้นหญิงสาวคนเดียวของวงก็ได้แต่เอ่ยคำขอบคุณ ทว่าเธอไม่มีความคิดที่จะหยิบยื
ตีสี่ครึ่งเป็นเวลาตื่นของอัสมา ซึ่งเรียกได้ว่าเช้ากว่าชาวบ้านชาวช่องเขามาก เธอตื่นมาเตรียมตัวขายโจ๊กในตอนเช้า เพราะเป็นอาชีพของแม่ที่ทำมานาน แต่พอเกิดอุบัติเหตุก็ไม่สามารถทำต่อได้ เธอเห็นว่าสามารถทำในช่วงเช้าได้และพอจะมีกำไรจึงตัดสินใจสานต่อโดยมีป้าติ๋มเป็นคนช่วยเตรียมของ เงินเดือนของการดูแลแม่นั้นหล่อนเรียกเพียงหนึ่งหมื่นห้า สำหรับคนแถวนี้นับว่ามากแล้ว อีกสามพันคือเงินเดือนส่วนที่ช่วยจัดการเรื่องโจ๊กเพราะเธอไม่มีเวลาทำเอง เธอได้เปรียบที่บ้านอยู่ใกล้โรงเรียน จึงขายได้พอคุ้มเหนื่อย โดยเฉพาะวันจันทร์ถึงวันศุกร์จะขายดีเป็นพิเศษ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ถือว่าเงียบเหงา แต่โจ๊กเป็นของที่ขายดีในช่วงเช้า พอผ่านไปก็ขายไม่ค่อยได้ แต่ก่อนเธอเคยทดลองเปิดร้านทั้งวันเพราะคิดว่าจะยึดเป็นหลักในการหาเงิน แต่มันไม่เข้าท่าเท่าที่ควร จึงขายถึงแค่ช่วงเช้าถึงสายๆ พอปิดร้านเรียบร้อยในช่วงสิบโมงก็ลาแม่กับป้าติ๋มก่อนจะออกไปทำงานที่ร้านอาหาร อัสมาเป็นหนึ่งในคนที่ไม่งอมืองอเท้าแต่กลับสู้ชีวิตทุกอย่าง เรื่องนี้ใครๆ ต่างก็รับรู้ แต่ใช่ว่าเจ้าตัวอยากสู้ ความจริงแล้วเธอเหนื่อยสายตัวแทบขาดในทุกๆ วัน ร้องไห้ทีนึกว่าน
ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำมาในยามค่ำคืน มีใครบางคนยืนทอดสายตามองหยดน้ำด้วยความเจ็บปวด ฝนมาพร้อมกับความทรงจำอันเลวร้ายที่ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจลบมันออกจากจิตใจได้ ทว่ามีแต่ยิ่งตอกย้ำให้นึกถึงเรื่องราวที่ยากจะลืมเลือน แต่รวดร้าวที่จะจดจำ หญิงสาวหันหลังกลับเนื่องด้วยไม่มีความกล้าพอที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าห่าฝนไปได้ หล่อนกลัวเหลือเกินว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ภายในร้านอาหารที่บัดนี้มีเพียงเพื่อนพนักงานด้วยกันคอยเก็บร้านตามหน้าที่เท่านั้น ตนเป็นเพียงพนักงานเสิร์ฟอาหาร เมื่อร้านปิดจึงไม่มีหน้าที่อื่นที่ต้องทำอีก และเหนือสิ่งอื่นใดเธอเองก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานๆ หากเวลาเลิกงานมาถึง เพราะต้องไปทำงานอีกที่หนึ่ง ซึ่งตอนนี้การไปที่นั่นก็ติดอุปสรรคคือฝน เวลาเดินหน้าไปเรื่อยๆ จวนจะถึงเวลาที่ควรออกไปจากที่แห่งนี้ได้แล้ว แต่ฝนไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกเลย ซ้ำยังโหมกระหน่ำมากกว่าเมื่อครู่ เป็นเหตุให้เจ้าตัวเริ่มกังวลว่าอาจจะเข้างานสาย เท่าที่อีกฝ่ายยอมให้เธอได้ทำงานก็ถือว่าเมตตามากแล้ว จึงไม่อยากทำให้ใครต้องเดือดร้อน แต่เธอก็เอาชนะการฝ่าฝนไม่ได้ เพียงแค่คิด มือไม้ก็ส
ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำมาในยามค่ำคืน มีใครบางคนยืนทอดสายตามองหยดน้ำด้วยความเจ็บปวด ฝนมาพร้อมกับความทรงจำอันเลวร้ายที่ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจลบมันออกจากจิตใจได้ ทว่ามีแต่ยิ่งตอกย้ำให้นึกถึงเรื่องราวที่ยากจะลืมเลือน แต่รวดร้าวที่จะจดจำ หญิงสาวหันหลังกลับเนื่องด้วยไม่มีความกล้าพอที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าห่าฝนไปได้ หล่อนกลัวเหลือเกินว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ภายในร้านอาหารที่บัดนี้มีเพียงเพื่อนพนักงานด้วยกันคอยเก็บร้านตามหน้าที่เท่านั้น ตนเป็นเพียงพนักงานเสิร์ฟอาหาร เมื่อร้านปิดจึงไม่มีหน้าที่อื่นที่ต้องทำอีก และเหนือสิ่งอื่นใดเธอเองก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานๆ หากเวลาเลิกงานมาถึง เพราะต้องไปทำงานอีกที่หนึ่ง ซึ่งตอนนี้การไปที่นั่นก็ติดอุปสรรคคือฝน เวลาเดินหน้าไปเรื่อยๆ จวนจะถึงเวลาที่ควรออกไปจากที่แห่งนี้ได้แล้ว แต่ฝนไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกเลย ซ้ำยังโหมกระหน่ำมากกว่าเมื่อครู่ เป็นเหตุให้เจ้าตัวเริ่มกังวลว่าอาจจะเข้างานสาย เท่าที่อีกฝ่ายยอมให้เธอได้ทำงานก็ถือว่าเมตตามากแล้ว จึงไม่อยากทำให้ใครต้องเดือดร้อน แต่เธอก็เอาชนะการฝ่าฝนไม่ได้ เพียงแค่คิด มือไม้ก็ส...
Comments