Share

2

last update Last Updated: 2024-12-22 00:38:49

 ตีสี่ครึ่งเป็นเวลาตื่นของอัสมา ซึ่งเรียกได้ว่าเช้ากว่าชาวบ้านชาวช่องเขามาก เธอตื่นมาเตรียมตัวขายโจ๊กในตอนเช้า เพราะเป็นอาชีพของแม่ที่ทำมานาน แต่พอเกิดอุบัติเหตุก็ไม่สามารถทำต่อได้ เธอเห็นว่าสามารถทำในช่วงเช้าได้และพอจะมีกำไรจึงตัดสินใจสานต่อโดยมีป้าติ๋มเป็นคนช่วยเตรียมของ เงินเดือนของการดูแลแม่นั้นหล่อนเรียกเพียงหนึ่งหมื่นห้า สำหรับคนแถวนี้นับว่ามากแล้ว อีกสามพันคือเงินเดือนส่วนที่ช่วยจัดการเรื่องโจ๊กเพราะเธอไม่มีเวลาทำเอง

 เธอได้เปรียบที่บ้านอยู่ใกล้โรงเรียน จึงขายได้พอคุ้มเหนื่อย โดยเฉพาะวันจันทร์ถึงวันศุกร์จะขายดีเป็นพิเศษ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ถือว่าเงียบเหงา แต่โจ๊กเป็นของที่ขายดีในช่วงเช้า พอผ่านไปก็ขายไม่ค่อยได้ แต่ก่อนเธอเคยทดลองเปิดร้านทั้งวันเพราะคิดว่าจะยึดเป็นหลักในการหาเงิน แต่มันไม่เข้าท่าเท่าที่ควร จึงขายถึงแค่ช่วงเช้าถึงสายๆ พอปิดร้านเรียบร้อยในช่วงสิบโมงก็ลาแม่กับป้าติ๋มก่อนจะออกไปทำงานที่ร้านอาหาร

 อัสมาเป็นหนึ่งในคนที่ไม่งอมืองอเท้าแต่กลับสู้ชีวิตทุกอย่าง เรื่องนี้ใครๆ ต่างก็รับรู้ แต่ใช่ว่าเจ้าตัวอยากสู้ ความจริงแล้วเธอเหนื่อยสายตัวแทบขาดในทุกๆ วัน ร้องไห้ทีนึกว่าน้ำตาจะออกมาเป็นสายเลือด แต่ในเมื่อมันไม่ตายก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป ทั้งแม่และน้องยังหวังพึ่งเธอ

 ครั้งหนึ่งอัสมาเคยถามสุวพิชชาว่ามีงานอะไรให้ทำอีกไหม แต่ก็โดนบ่นมายกใหญ่ ‘จะทำงานอะไรนักหนา ก็รู้หรอกว่าต้องใช้เงินเยอะ แต่ทุกวันนี้ก็ทำงานจนจะไม่ได้นอนอยู่แล้ว หรือจะนอนทำงานด้วยเลยล่ะ หาเสี่ยรวยๆ เลี้ยงสักคนสิ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้ แล้วนอนทำงานเอา ได้เงินเยอะกว่ามาทำงานงกๆ อย่างทุกวันนี้อีก’ นึกถึงคำพูดของเพื่อนแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ ไม่ใช่เพราะไม่เห็นด้วย เธอก็อยากรวยทางลัดเหมือนกัน แต่เสี่ยคนไหนจะถูกใจเธอกันล่ะ ไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ

 เสี่ยที่จริงใจน่ะ มีอยู่ไหม แสดงตัวหน่อย

 “ได้นอนกี่ชั่วโมงล่ะแม่คนขยัน” สุวพิชชาเอ่ยขึ้นทันทีที่อัสมาจอดรถ เจ้าตัวเองก็เพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่ ทั้งสองจึงเดินเข้าไปในร้านพร้อมกันโดยระหว่างนั้นก็พูดคุยกันไปตามเรื่อง “แกน่ะอย่าโหมงานให้มันมากนะ กลัวจะล้มป่วยไปอีกคน”

 “ไม่โหมได้ไง ไฟจี้ตูดขนาดนั้น หายใจเข้ายังไม่ทันหายใจออกเลย หมดเดือนหนึ่งละ” พูดจบก็หัวเราะราวเป็นเรื่องตลก เธอแค่พยายามรับมือกับความเครียดก็เท่านั้น ถ้าไม่หัวเราะเลยอัสมาคงได้ทำหน้าตึงทั้งวัน

 “แล้วของเดือนนี้ขาดเหลือตรงไหนเปล่า”

 “คิดว่าไม่หรอก ก็ได้ปริ่มน้ำตลอดเหมือนทุกเดือนนั่นแหละ แต่แค่พอจ่ายก็พอแล้ว เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”

 คนฟังพยักหน้ารับ “ว่าแต่วีคนี้แกยังไม่ได้หยุดใช่ไหม”

 “ยังเลย ที่จริงจะหยุดเมื่อวานซืนแต่พี่นุ้ยเขาขอแลก ก็เลยได้หยุดพรุ่งนี้”

 “รอหยุดวันอาทิตย์ได้ไหม” คนฟังมีสีหน้าฉงน “วันอาทิตย์มันมีงานเลี้ยงที่โรงแรม ที่เดิมที่เราเคยไปครั้งที่แล้วนั่นแหละ พี่แยมเขาก็ให้มาถามว่าสะดวกมาช่วยงานไหม ยังไงก็ได้ตั้งหกร้อย เราอะตอบตกลงไปแล้วเพราะวีคนี้ยังไม่ได้หยุดเหมือนกัน เลยจะหยุดวันนั้น”

 “กี่โมงถึงกี่โมง เหมือนเดิมไหม” เมื่อเพื่อนพยักหน้าเธอก็เริ่มคิดทุกอย่างในหัว ไปเตรียมตัวตั้งแต่สี่โมง งานเลิกสี่ทุ่ม แต่เธออยู่ได้แค่สองทุ่มเท่านั้นเพราะสองทุ่มครึ่งต้องไปร้องเพลง “พี่แยมยอมให้กลับตอนสองทุ่มเหมือนเดิมไหมล่ะ”

 “ก็ยอม เขาถึงให้มาถามไง แต่ค่าจ้างก็ได้ไม่เต็มเหมือนเดิม คอนเฟิร์มไหมล่ะเราจะได้บอกเขาเลย”

 ขึ้นชื่อว่างานอัสมาไม่เคยเกี่ยงอยู่แล้ว

 จนกระทั่งวันอาทิตย์มาถึง วันนี้เธอทำโจ๊กน้อยกว่าวันทำการเพราะมีลูกค้าไม่มากนัก จึงปิดร้านได้ไว และหลังจากนั้นก็ไม่มีธุระต้องไปที่ไหน เพียงแต่อัสมาก็ไม่เฉียดคำว่าว่างอยู่ดี ทุกๆ วันหยุดหนึ่งวันต่อสัปดาห์ของตนก็จะทำแซนด์วิชส่งตามร้านค้าละแวกใกล้เคียง ก็พอจะเป็นรายได้เสริมได้บ้าง สะสมจากตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยก็กลายเป็นเงินก้อนที่พอสำหรับรายจ่ายที่จำเป็น

 หลังจากโทร. ไปรับออเดอร์จากร้านค้าเจ้าประจำเสร็จเรียบร้อยก็ใช้เวลาที่ได้หยุดอยู่บ้านในการทำแซนด์วิช พอทำเสร็จก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งทุกร้าน ก่อนจะกลับมาซักผ้าและเก็บกวาดบ้าน ซึ่งอย่างหลังปกติป้าติ๋มก็จะช่วยทำอยู่ทุกวัน

 “หนูอัส”

 “คะ” ในตอนที่เธอทำความสะอาดในครัวอยู่ป้าติ๋มก็เดินเข้ามาหา พอเห็นท่าทีของอีกฝ่ายนั้นก็เดาไม่ยาก เธอจึงระบายยิ้มน้อยๆ “เบิกก่อนเท่าไรดีคะป้า”

 คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะแต่ถูกเด็กรุ่นลูกอ่านออกก็ยิ้มแหย “เมื่อวันที่สิบป้าเบิกไปสองพัน เหลือหมื่นหกนะ วันนี้ป้าจะขอเบิกสักสี่พันจะได้ไหม จะส่งให้ลูกสักหน่อย แต่ถ้าไม่ได้วันนี้เป็นพรุ่งนี้ก็ได้ พอดีเจ้าอัยย์มันจะจ่ายค่าหอน่ะ”

 “ได้ค่ะ ว่าแต่น้องอัยย์มีค่าขนมใช้อยู่ใช่ไหมคะ ถ้าไม่หนูให้หกพันเลยก็ได้ค่ะ จะได้เหลือหนึ่งหมื่น” คนรักลูกอย่างป้าติ๋มรีบพยักหน้าเห็นด้วย ด้านอัสมาเองก็เอ็นดูลูกสาวป้าติ๋มเหมือนน้องคนหนึ่ง ด้วยเป็นรุ่นน้องสองแฝดแค่หนึ่งปี แถมยังเป็นเด็กหอเหมือนน้องสาวเธอ เธอจึงเข้าใจดีว่าการไปอยู่ไกลบ้านนั้นโดดเดี่ยวเพียงใด โดยเฉพาะช่วงที่ไม่ค่อยมีเงิน “ป้าจะเอาเงินสดหรือให้หนูโอนไปให้น้องเลย”

 “หนูโอนไปได้เลย ป้าไม่เก่งเรื่องแบบนี้หรอก”

 หลังจากโอนเงินจำนวนหกพันบาทให้เด็กสาวแล้วเธอก็ส่งโทรศัพท์ให้เจ้าของเงินดูสลิปการโอนเงิน ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำเพื่อที่จะได้ออกไปทำงานในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า

 อัสมาแต่งหน้าแต่งตัวนานกว่าปกติเพราะพี่แยมกำชับมาว่าในงานมีแต่คนใหญ่คนโต ทุกอย่างต้องดูดีเพื่อให้คนเหล่านั้นพึงพอใจ ค่าเครื่องสำอาง ชุด รองเท้า มันเกินค่าแรงสี่ร้อยที่เธอจะได้รับด้วยซ้ำ แต่อัสมามันคนหน้าเงิน เห็นเงินแล้วอะไรก็ยอม เพราะฉะนั้นต่อให้ได้แค่สามร้อยก็จะไม่ปล่อยให้หลุดมือ

 เนื่องด้วยมีงานที่ต้องไปทำต่อ เธอจึงเตรียมเสื้อผ้าไปเปลี่ยนด้วยและคงต้องทำเวลาพอสมควร เพราะระยะทางจากโรงแรมไปร้านเหล้านั้นก็ไม่ใช่ใกล้ๆ เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินไปกอดแม่ที่นอนอยู่เพื่อขอกำลังใจ ก่อนจะออกไปทำงานอย่างไม่รอช้าโดยใช้งานยานพาหนะคู่ใจที่เป็นของตกทอดมาจากแม่ ครั้นจะให้ซื้อใหม่ตอนนี้ก็เกรงว่าภาระจะทับจนตาย เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เหมือนจะฆ่ากันให้ตายอยู่รอมร่อ

 ก่อนที่พ่อและแม่จะประสบอุบัติเหตุเธอเป็นเพียงพนักงานออฟฟิศธรรมดา ไม่มีความรู้เรื่องการทำโจ๊ก แซนด์วิช ไม่เคยร้องเพลงเพื่อหาเงิน ไม่เคยทำงานบริการ และมีอีกหลายอย่างที่เธอไม่เคยทำมาก่อน แต่เมื่อถูกบีบให้ต้องทำ ก็พยายามหัด ล้มลุกคลุกคลานจนเริ่มเป็นงานและสามารถหาเลี้ยงคนในครอบครัวได้ กลายมาเป็นเสาหลักที่ต้องแบกน้องและแม่

 ไหนยังความรับผิดชอบที่ไม่อาจหลบหนีได้ แต่น้องสาวฝาแฝดก็ไม่ได้โยนภาระมาให้เธอทั้งหมด คนหนึ่งถนัดเรื่องภาษาก็รับงานแปลเอกสาร รายได้ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ พอเป็นค่าหอพักได้ อีกคนถนัดงานศิลป์ ก็รับวาดรูปอะไรไปเรื่อยไปเปื่อย รายได้พอเอามาเป็นค่ากิน ถึงกระนั้นมันก็ไม่พอ แต่ก็ช่วยพี่สาวอย่างเธอได้มาก ส่วนไหนขาดเธอก็ส่งให้ เรื่องค่าเทอมก็รับผิดชอบไม่ให้กระทบกับน้องๆ แค่เห็นทั้งคู่ช่วยกันแบ่งเบาภาระเธอก็ทั้งรู้สึกดีและรู้สึกผิด เพราะไม่อยากให้น้องต้องมาเหนื่อย แต่ ณ เวลานี้พี่สาวเองก็สู้ได้เท่านี้ มากกว่านี้ก็เกินกำลังที่ตนมีแล้ว

 เมื่อมาถึงที่หมายก็เห็นสุวพิชชามาถึงก่อนแล้ว เจ้าตัวยังไม่เข้าไปในสถานที่จัดงานเพราะรอที่จะเข้าพร้อมอัสมา ด้านคนมาใหม่รีบถอดหมวกกันน็อกแล้วสับเท้าเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่รอช้า ทั้งสองทักทายกันตามประสาก่อนจะพากันเข้าไปด้านใน เข้าไปถึงก็เจอกับญานิษาที่ง่วนอยู่กับงานตรงหน้า

 สุวพิชชาเดินไปหยุดอยู่ใกล้ๆ สาวรุ่นพี่ก่อนจะยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะพี่แยม”

 คนถูกทักหันมาส่งยิ้มให้คนทั้งสองอย่างเป็นมิตร “มากันแล้วเหรอ เอาของไปเก็บข้างหลังแล้วมาช่วยพี่จัดของตรงนี้หน่อย แล้วอัสนี่เลิกก่อนเวลาเหมือนเดิมใช่ไหม” หญิงสาวพยักหน้ารับ รู้สึกเกรงใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายอุตส่าห์หยิบยื่นงานมาให้แต่เธอไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่เลยสักครั้ง เพราะถึงทำตรงนี้จนครบเวลาก็ได้เงินไม่เท่ากับการไปร้องเพลง แต่เพราะการทำงานช่วงวันหยุดเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องคว้าไว้ ระหว่างอยู่เฉยๆ กับมาทำงานแลกเงินสามสี่ร้อย เธอเลือกอย่างหลังอยู่แล้ว “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ พี่ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย รู้อยู่หรอกว่าเรางานรัดตัว”

 อัสมาแค่ยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนที่ทั้งสองจะพากันไปด้านหลังเพื่อเก็บของของพนักงาน ระหว่างทางสุวพิชชาก็หันมาทางเพื่อนสาวแล้วพูดอย่างออกรส “จำชีปรางค์ได้ไหม คนที่เปิดร้านเสริมสวยอยู่แถวๆ ตลาด” อัสมาทำทีเป็นนึก ความเป็นจริงแล้วเธอไม่สามารถใช้คำว่า จำได้ หรือ จำไม่ได้ เพราะไม่เคยรู้จักมาก่อน ด้านคนถามเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนก็รู้ได้ทันทีว่าคงจะนึกไม่ออก หล่อนจึงขยายความ “คนที่สวยๆ ผัวเก่าเขาก็เจ้าของร้านโทรศัพท์ที่วันนั้นเราแวะไปซื้อซิม จำได้ยัง”

 เธอพยักหน้ารับเพราะจำได้ว่าเมื่อเดือนที่แล้วเข้าร้านโทรศัพท์ไปเป็นเพื่อนสุวพิชชาอยู่หนหนึ่ง “แล้วเขาทำไม”

 “ก็ชีปรางค์แกเลิกกับผัวแล้วมีผัวใหม่ เนี่ย ผัวชีก็น่าจะมางานนี้” ด้านอัสมาแค่พยักหน้ารับ ใครจะมาใครจะไปก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเสียหน่อย รู้แค่ว่าเป็นงานเลี้ยงของผู้ว่าราชการจังหวัดก็เท่านั้น รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นั่นไม่คิดจะสนใจ เธอก็แค่มาทำงาน เสร็จแล้วก็ไปทำงานต่อ จากนั้นค่อยกลับไปนอน แล้วตื่นมาทำงานอีกครั้ง

 ทำงาน ทำงาน ทำงาน ทำจนจะตายอยู่แล้ว

 “อยากมีวาสนาได้ผัวรวยๆ กับคนอื่นเขาบ้าง อย่างชีปรางค์ก็เป็นคุณนายไปแล้ว ผัวเป็นปลัดเชียวนะ แกไม่สนเหรอ”

 คนถูกถามแค่มองแล้วส่ายหน้า “ผัวคนอื่นคือของร้อน ไม่เสี่ยง”

 หลังเก็บของเสร็จก็สืบเท้าเดินเข้าไปในงานเพื่อทำตามหน้าที่ของตน “จะบ้าหรือไง ไม่ได้แนะนำให้ไปเป็นเมียน้อยผัวยายนั่นสักหน่อย คงได้โดนตบกลางตลาดแน่ๆ แต่หมายถึงว่าไม่สนจะไปเป็นคุณนายกับเขาบ้างเหรอ ถ้าเกิดมีเสี่ยรวยๆ คนไหนเขาสนใจแก แกก็ต้องรีบคว้าเอาไว้นะ จะได้ไม่ต้องทำงานหลังขดหลังแข็งอย่างทุกวันนี้”

 อัสมาพยักหน้ารับเพื่อตัดบท ใช่ว่าเธอไม่อยากรวย ใช่ว่าอยากเหนื่อยอย่างทุกวันนี้ แต่คนแบบเธอใครจะมาสนใจกัน ก่อนจะหันไปสนใจงานตรงหน้าแทน ทั้งจัดของ ทั้งยกเก้าอี้ และทำทุกอย่างที่ถูกสั่ง ชีวิตเธอมันก็ได้เท่านี้ เป็นลูกจ้างเพื่อเงินไม่กี่ร้อย อาจจะขื่นขมอยู่บ้างแต่ไม่อาจยอมแพ้ได้ ภาระบนบ่าร้องเรียกชื่อเธออยู่ทุกวัน

 ผู้คนมากหน้าหลายตาเริ่มทยอยเข้ามาภายในงาน แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่อัสมารู้คือคนพวกนี้เป็นคนมีฐานะ แค่เพียงเห็นการแต่งตัวก็สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นคนรวย ซึ่งเป็นคนที่อยู่คนละชั้นกับเธอ

 อัสมาทำหน้าที่ของตัวเองคือพนักเสิร์ฟ ขาเสลาก้าวไปเรื่อยๆ พร้อมถาดเครื่องดื่มในมือ เมื่อมีเสียงเรียกจึงหยุดลงก่อนจะหันหน้ากลับไปมองพร้อมรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า ตามที่ได้ฝึกฝนมาอย่างดี แม้จะไม่ค่อยรู้จักมักจี่ผู้ร่วมงานเพราะเป็นคนต่างชั้น ทว่าหนึ่งในผู้ร่วมโต๊ะนี้เธอกลับคุ้นหน้าเป็นอย่างดี แม้จะคุ้นผ่านหน้าจอทีวีก็ตาม

 ส.ส. ธนบดี ข้างกันนั้นคงเป็นภรรยาของเขา ส่วนคนที่เอ่ยเรียกเธอคือผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในชุดคลุมท้อง อาจจะเพราะใบหน้าที่อ่อนเยาว์ขัดกับขนาดของท้อง พนักงานเสิร์ฟชั่วคราวของโรงแรมจึงเผลอมองชายข้างกายของอีกฝ่าย แต่เพราะมีถึงสองคนจึงไม่รู้ว่าคนไหนคือสามีของเจ้าหล่อน

 ใครหนอช่างมีเมียเด็ก

 “มีน้ำอัดลมไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยถาม อัสมาจึงยิ้มรับพร้อมตอบคำถาม จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปเพื่อจัดเตรียมของที่แขกต้องการ หลังได้น้ำอัดลมมาแล้วก็เดินกลับไปเพื่อเสิร์ฟ ว่าที่คุณแม่เอ่ยคำขอบคุณด้วยรอยยิ้มจนคนมองเผลอยิ้มตาม เป็นยิ้มที่มาจากใจ ใช่หน้าที่

 ทว่ารอยยิ้มนั้นก็เจื่อนลงไปในทันทีเมื่อมีเสียงดุๆ ดังขึ้น

 “กินแต่ของไม่มีประโยชน์” ที่มาของเสียงคือผู้ชายที่นั่งด้านซ้ายมือของว่าที่คุณแม่ ทั้งๆ ที่เธอไม่ผิดแต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกโดนดุไปด้วยก็ไม่ทราบ ได้ยินเสียงเจ้าหล่อนเถียงกลับไปแต่เธอไม่ได้อยู่ฟังเนื่องจากจะเป็นการเสียมารยาท เท่าที่แอบดูแหวนที่มือของแขกก็ถือว่าเสียมารยาทมากพอแล้ว

 ผู้ชายคนนั้นไม่ได้สวมแหวน ต่างกับว่าที่คุณแม่และผู้ชายที่นั่งอยู่ขวามือ และตัวเขาเองก็นั่งอยู่ข้างกันกับส.ส. ธนบดี ไม่ได้มีหญิงงามนั่งข้างๆ อีกฝั่ง เรื่องฐานะไม่ต้องเสียเวลาเดา และเรื่องคนข้างกายก็คงไม่ต่างกัน

 อัสมารีบสั่นศีรษะเพื่อสลัดความคิดบ้าๆ ที่จู่โจมตนเองทิ้งอย่างไม่ไยดี เป็นเพราะสุวพิชชาคนเดียวที่ล้างสมองเธอ แม้จะทำทีเป็นต่อต้าน แต่ใครบ้างไม่อยากรวย เพียงแต่วิธีของเพื่อนนั้นมันยากเกินกว่าจะเป็นจริงได้ แค่เห็นคนบนโต๊ะนั้นแล้วหันกลับมาดูตัวเอง ยูนิฟอร์มของทางโรงแรม รองเท้าคัทชูหลักร้อย นาฬิกาเรือนละหนึ่งร้อยกว่าบาทที่ซื้อมาจากอินเทอร์เน็ต สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำเธอได้เป็นอย่างดีว่าตัวเองเป็นใคร

 สิ่งที่พอจะทำได้คือตั้งใจทำงานเท่านั้น และเมื่อถึงเวลาเลิกงานอัสมาก็ได้รับเงินค่าจ้างเป็นธนบัตรสีแดงสี่ใบ ก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ ก่อนที่เธอจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำแล้วเดินออกไปที่ลานจอดรถเพื่อไปยังร้านเหล้า ระหว่างทางไปยังที่จอดรถของพนักงานจำเป็นจะต้องผ่านเขตสูบบุหรี่ที่มีแสงไฟให้ความสว่างไม่มากนัก เธอพอจะเห็นว่ามีใครบางคนยืนอัดควันเข้าปอดอยู่ตรงนั้น ก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างไม่นึกสนใจ แต่ยิ่งใกล้ก็ยิ่งชัดเจน

 ผู้ชายคนนั้นนั่นเอง!

 สองสายตาสบประสานกันโดยบังเอิญ หญิงสาวเป็นฝ่ายละไปก่อนและเดินตรงไปด้านหน้าเนื่องด้วยอีกไม่นานก็จวนจะถึงเวลาเริ่มงานของตนเองแล้ว แต่เดินพ้นมาได้ไม่ถึงห้าก้าว เท้าก็หยุดลง หากเธอเดินผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ชีวิตของเธอก็คงจะวนลูปเช่นนี้ไปตลอด หากแต่ลองทำอะไรสักอย่างมันอาจเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาลก็เป็นได้ อย่างไรก็ต้องเสี่ยง เพราะคนอย่างเธอไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว

 ร่างบางหมุนตัวกลับไปทางที่เพิ่งเดินผ่านมา สองขาก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มที่เพิ่งทิ้งก้นบุหรี่ลงถัง วินาทีที่ตาคมตวัดมองมาราวกับร่างทั้งร่างถูกแช่แข็ง ความกล้าและหน้าด้านที่พกมาเมื่อสักครู่หายวับไปกับตา อยากหันหลังแล้ววิ่งหนีไปให้ไกล แต่อีกใจก็ยังอยากลองเสี่ยงดูเสียก่อน

 ถ้าได้ก็ไปกับเขา ไม่ได้ก็ไปทำงานต่อ

 ชีวิตมีทางเลือกเสมอ

 “คุณคะ” คนตรงหน้าเพียงเลิกคิ้วขึ้นสูงเท่านั้น “คุณแต่งงานหรือยังคะ”

 คิ้วที่ถูกเลิกเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนเป็นขมวดมุ่น ใบหน้าเจือความไม่เข้าใจอยู่สามส่วน อีกส่วนดูเหมือนจะเป็นความไม่พอใจ “ทำไม” เสียงทุ้มที่เปล่งคำถามออกมาไม่ต่างจากครั้งแรกที่ได้ฟัง มันดุจนความกล้าของเธอกระเจิงหนีไปคนละทิศละทาง

 อัสมาทำใจดีสู้เสือแล้วส่งยิ้มที่คิดว่ามีเสน่ห์มากที่สุด ก่อนจะโพล่งความต้องการออกไปอย่างไม่มีอ้อมค้อม “หนูอยากเป็นเด็กของคุณค่ะ”

✿✿✿✿✿✿✿

Related chapters

  • เธอ...ที่ไม่โปรดปราน   3

    บทเพลงได้พบเธอที่เพิ่งจบไปเมื่อสักครู่ถือเป็นเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ อัสมาเก็บไมโครโฟนไว้ที่เดิมแล้วก้าวเดินลงจากเวที วันนี้ได้เงินจากการร้องเพลงทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อย ผนวกกับที่ไปทำงานที่โรงแรมก็เกือบสองพัน เธอระบายยิ้มให้กับตัวเองที่อย่างน้อยก็ได้ค่าจ้างที่คุ้มค่าเหนื่อย ก่อนที่มือกีตาร์อย่างภวิศจะเดินมาขนาบข้าง มือข้างหนึ่งถือวิสาสะพาดมาที่บ่าอย่างสนิทสนม “ไง แต่งหน้าซะสวยเลยวันนี้” สำหรับคนในวงดนตรีที่ร้านแห่งนี้ อัสมานับถือทุกคนเป็นพี่ และดูเหมือนว่าพี่ๆ ทุกคนก็มองเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง การกระทำของภวิศจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เธอหันไปยิ้มน้อยๆ ให้คนข้างกาย “ก็บอกแล้วว่าไปทำงานที่โรงแรมมา ไปหน้าสดๆ พี่แยมกินหัวตาย” “อย่าโหมงานหนักมาก รู้ไหม พักผ่อนบ้าง ถ้ามีปัญหาอะไรจะหยิบยืมพี่หรืออีกสองคนก็ใช่ว่าจะหวงกับเราสักหน่อย” “อือ มีอะไรก็บอกพี่ได้ ช่วยได้จะช่วย” ชิตวรที่เดินตามหลังมาพูดขึ้นบ้าง เจ้าตัวเป็นมือเบสประจำวง อายุเท่าภวิศคือยี่สิบแปด ต่างจากอัคภัทรที่เป็นพี่สุดเพราะอายุแตะเลขสามมาหมาดๆ ได้ฟังเช่นนั้นหญิงสาวคนเดียวของวงก็ได้แต่เอ่ยคำขอบคุณ ทว่าเธอไม่มีความคิดที่จะหยิบยื

    Last Updated : 2024-12-22
  • เธอ...ที่ไม่โปรดปราน   4

    “ไอ้ดินมันไปไหน มาเปิดร้านทิ้งไว้ให้โจรเข้ามาขโมยของหรือไงวะ” แม้เขาจะหันไปพูดกับชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหลัง แต่เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายจงใจพูดจากระทบกระทั่ง โดยเฉพาะคำว่า ‘โจร’ “ขอโทษนะคะ หนูไม่ใช่โจรค่ะ แค่เห็นว่าทางร้านรับสมัครพนักงานเลยเข้ามา” “ฉันว่าเธอเป็นโจรเหรอ” เขาเลิกคิ้วถามทำเอาคนตัวเล็กไปไม่ถูก “ฉันแค่ตำหนิลูกน้อง จะรีบร้อนตัวไปทำไม” อัสมาได้แต่บ่นอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดอะไรออกไปสักคำ แม้แต่จะขออนุญาตออกจากร้านปากเธอยังไม่ยอมขยับ รู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางจนน่าโมโห ความจริงแล้วไม่น่าคิดว่าจะทำงานที่นี่เลย เท่าที่ทำอยู่ก็มากพอสมควรแล้ว จึงรวบรวมความกล้าเงยหน้าไปมองคนมาใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะพ่วงตำแหน่งเจ้าของร้าน ก่อนจะค้อมหัวให้เล็กน้อยแล้วพยายามทำตัวลีบเพื่อเดินออกไปด้านนอก “เดี๋ยว” เสียงทุ้มเอ่ยขัดการก้าวเดิน เธอจึงหันไปมองอย่างตั้งคำถาม “จะสมัครงาน?” “ค่ะ” ตอบไปด้วยความปากไว ร่างบางสลัดทุกเรื่องที่ผ่านมาทิ้งไปแล้วระบายยิ้มให้คนตรงหน้า “หนูทำได้ทุกอย่างค่ะ แต่ถนัดที่สุดคือร้องเพลง” “แล้วร้านนั้น” คำถามที่อีกฝ่ายยิงเข้ามาจังๆ ทำให้คนตัวเล็กนิ่งไปพักหนึ่ง เขาจำเธอได้อย่างนั้

    Last Updated : 2024-12-22
  • เธอ...ที่ไม่โปรดปราน   5

    ในเช้าวันนั้นเธอก็หัวหมุนไปกับธุระทั้งเรื่องที่โรงพยาบาลและโรงพัก กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็บ่ายแก่ๆ ซึ่งนั่นทำให้อัสมารู้สึกเกรงใจชิตวรเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรีบไปรีบกลับ แต่เอาเข้าจริงมันเร่งไม่ได้เลย และเรื่องราวก็ซับซ้อนจนน่าปวดหัว ทั้งๆ ที่แจ้งความไปแล้วแต่ไม่รู้เลยว่าจะมีความคืบหน้าหรือเอาผิดใครได้บ้าง เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังคงเป็นคนมีเงินและมีอิทธิพล เธอมันแค่คนตัวเล็กๆ ในสังคม พูดอะไรไปก็ไม่มีใครได้ยินเสียง “ขอบคุณมากนะคะพี่ศิลป์ที่ช่วยดูแลแม่หนู หนูคิดว่าจะได้กลับมาไวกว่านี้ ขอโทษนะคะ อันนี้หนูแวะซื้อมาฝากค่ะ เผื่อพี่ยังไม่ได้กินอะไร” ว่าพร้อมกับยื่นกล่องข้าวให้ ชายหนุ่มยื่นมือมารับอย่างไม่อิดออด รอยยิ้มอันอบอุ่นของอีกฝ่ายปรากฏบนใบหน้า “ยังไม่ได้กินอะไรจริงๆ นั่นแหละ ไม่หิวเท่าไร แต่ได้กินก็ดี เราล่ะ กินอะไรมายัง” อัสมาส่ายหน้า เธอกินอะไรไม่ลง วันทั้งวันได้ดื่มแต่น้ำเปล่า “ไปกินด้วยกัน กล่องนี้แหละ เราเหลือตัวนิดเดียวแล้วนะ รู้ตัวบ้างหรือเปล่า” “พอรู้ค่ะ แต่พี่กินเถอะ” “พี่พูดในฐานะคนที่ให้ความช่วยเหลือเรา จะไม่ตอบแทนพี่เหรอ” เมื่อโดนมัดมือชกอัสมา

    Last Updated : 2024-12-22
  • เธอ...ที่ไม่โปรดปราน   6

    “ไปทำอีท่าไหนถึงได้ไปนอนเล่นข้างทางแบบนั้นล่ะ สนุกไหม” เสียงคนมาใหม่ทำให้เธอละสายตาจากคู่สนทนาแล้วหันไปมอง เป็นเขานั่นเอง แต่ถึงจะไม่ชอบเธอขนาดไหน การเห็นเธอเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ก็น่าจะเห็นใจกันบ้างไม่ใช่หรือ เขามันคนไม่มีหัวใจ เท่าที่เคยสัมผัสมาก็พอจะรู้อยู่บ้าง เธอไม่ได้คาดหวัง แต่การที่เขาปากร้ายเกินไปอัสมาก็ไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน “เธอโดนทำร้ายน่ะครับ” อรัณย์เอ่ยบอกแก่เจ้านาย “มีคนถีบรถเธอจนล้มแล้วก็หนีไป” ปราชญาธิปแค่นหัวเราะ “โดนถีบ ไปสร้างศัตรูที่ไหนมาล่ะ” อัสมาไม่ตอบคำถาม เธอแค่มองเข้าไปในดวงตาของคนร้ายกาจที่มีหน้ามาหัวเราะให้กับเรื่องร้ายๆ ของคนอื่น ก่อนจะรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว “เรื่องของหนูมันตลกมากเลยเหรอคะ” รถกู้ภัยมาถึงพอดี เธอจึงได้รับการช่วยเหลือ และได้รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เจ็บขาจนแทบขยับไม่ได้ นั่นก็เพราะมีเศษแก้วชิ้นใหญ่แทงไปที่ส้นเท้าและเสียบคาไว้อย่างนั้น เลือดไหลไม่หยุดแต่เธอเจ็บจนชาเลยไม่รู้ว่ามีแผลใหญ่ขนาดนี้ ทางทีมอาสาจึงรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำตัวส่งโรงพยาบาล “คุณคะ หนูฝากจัดการเรื่องทางนี้หน่อยนะคะ” ก่อนจะถูกเข็นขึ้นรถก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยกับชายคนหนึ่งซึ่งดูจ

    Last Updated : 2024-12-22
  • เธอ...ที่ไม่โปรดปราน   1

    ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำมาในยามค่ำคืน มีใครบางคนยืนทอดสายตามองหยดน้ำด้วยความเจ็บปวด ฝนมาพร้อมกับความทรงจำอันเลวร้ายที่ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจลบมันออกจากจิตใจได้ ทว่ามีแต่ยิ่งตอกย้ำให้นึกถึงเรื่องราวที่ยากจะลืมเลือน แต่รวดร้าวที่จะจดจำ หญิงสาวหันหลังกลับเนื่องด้วยไม่มีความกล้าพอที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าห่าฝนไปได้ หล่อนกลัวเหลือเกินว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ภายในร้านอาหารที่บัดนี้มีเพียงเพื่อนพนักงานด้วยกันคอยเก็บร้านตามหน้าที่เท่านั้น ตนเป็นเพียงพนักงานเสิร์ฟอาหาร เมื่อร้านปิดจึงไม่มีหน้าที่อื่นที่ต้องทำอีก และเหนือสิ่งอื่นใดเธอเองก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานๆ หากเวลาเลิกงานมาถึง เพราะต้องไปทำงานอีกที่หนึ่ง ซึ่งตอนนี้การไปที่นั่นก็ติดอุปสรรคคือฝน เวลาเดินหน้าไปเรื่อยๆ จวนจะถึงเวลาที่ควรออกไปจากที่แห่งนี้ได้แล้ว แต่ฝนไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกเลย ซ้ำยังโหมกระหน่ำมากกว่าเมื่อครู่ เป็นเหตุให้เจ้าตัวเริ่มกังวลว่าอาจจะเข้างานสาย เท่าที่อีกฝ่ายยอมให้เธอได้ทำงานก็ถือว่าเมตตามากแล้ว จึงไม่อยากทำให้ใครต้องเดือดร้อน แต่เธอก็เอาชนะการฝ่าฝนไม่ได้ เพียงแค่คิด มือไม้ก็ส

    Last Updated : 2024-12-22

Latest chapter

  • เธอ...ที่ไม่โปรดปราน   6

    “ไปทำอีท่าไหนถึงได้ไปนอนเล่นข้างทางแบบนั้นล่ะ สนุกไหม” เสียงคนมาใหม่ทำให้เธอละสายตาจากคู่สนทนาแล้วหันไปมอง เป็นเขานั่นเอง แต่ถึงจะไม่ชอบเธอขนาดไหน การเห็นเธอเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ก็น่าจะเห็นใจกันบ้างไม่ใช่หรือ เขามันคนไม่มีหัวใจ เท่าที่เคยสัมผัสมาก็พอจะรู้อยู่บ้าง เธอไม่ได้คาดหวัง แต่การที่เขาปากร้ายเกินไปอัสมาก็ไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน “เธอโดนทำร้ายน่ะครับ” อรัณย์เอ่ยบอกแก่เจ้านาย “มีคนถีบรถเธอจนล้มแล้วก็หนีไป” ปราชญาธิปแค่นหัวเราะ “โดนถีบ ไปสร้างศัตรูที่ไหนมาล่ะ” อัสมาไม่ตอบคำถาม เธอแค่มองเข้าไปในดวงตาของคนร้ายกาจที่มีหน้ามาหัวเราะให้กับเรื่องร้ายๆ ของคนอื่น ก่อนจะรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว “เรื่องของหนูมันตลกมากเลยเหรอคะ” รถกู้ภัยมาถึงพอดี เธอจึงได้รับการช่วยเหลือ และได้รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เจ็บขาจนแทบขยับไม่ได้ นั่นก็เพราะมีเศษแก้วชิ้นใหญ่แทงไปที่ส้นเท้าและเสียบคาไว้อย่างนั้น เลือดไหลไม่หยุดแต่เธอเจ็บจนชาเลยไม่รู้ว่ามีแผลใหญ่ขนาดนี้ ทางทีมอาสาจึงรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำตัวส่งโรงพยาบาล “คุณคะ หนูฝากจัดการเรื่องทางนี้หน่อยนะคะ” ก่อนจะถูกเข็นขึ้นรถก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยกับชายคนหนึ่งซึ่งดูจ

  • เธอ...ที่ไม่โปรดปราน   5

    ในเช้าวันนั้นเธอก็หัวหมุนไปกับธุระทั้งเรื่องที่โรงพยาบาลและโรงพัก กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็บ่ายแก่ๆ ซึ่งนั่นทำให้อัสมารู้สึกเกรงใจชิตวรเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรีบไปรีบกลับ แต่เอาเข้าจริงมันเร่งไม่ได้เลย และเรื่องราวก็ซับซ้อนจนน่าปวดหัว ทั้งๆ ที่แจ้งความไปแล้วแต่ไม่รู้เลยว่าจะมีความคืบหน้าหรือเอาผิดใครได้บ้าง เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังคงเป็นคนมีเงินและมีอิทธิพล เธอมันแค่คนตัวเล็กๆ ในสังคม พูดอะไรไปก็ไม่มีใครได้ยินเสียง “ขอบคุณมากนะคะพี่ศิลป์ที่ช่วยดูแลแม่หนู หนูคิดว่าจะได้กลับมาไวกว่านี้ ขอโทษนะคะ อันนี้หนูแวะซื้อมาฝากค่ะ เผื่อพี่ยังไม่ได้กินอะไร” ว่าพร้อมกับยื่นกล่องข้าวให้ ชายหนุ่มยื่นมือมารับอย่างไม่อิดออด รอยยิ้มอันอบอุ่นของอีกฝ่ายปรากฏบนใบหน้า “ยังไม่ได้กินอะไรจริงๆ นั่นแหละ ไม่หิวเท่าไร แต่ได้กินก็ดี เราล่ะ กินอะไรมายัง” อัสมาส่ายหน้า เธอกินอะไรไม่ลง วันทั้งวันได้ดื่มแต่น้ำเปล่า “ไปกินด้วยกัน กล่องนี้แหละ เราเหลือตัวนิดเดียวแล้วนะ รู้ตัวบ้างหรือเปล่า” “พอรู้ค่ะ แต่พี่กินเถอะ” “พี่พูดในฐานะคนที่ให้ความช่วยเหลือเรา จะไม่ตอบแทนพี่เหรอ” เมื่อโดนมัดมือชกอัสมา

  • เธอ...ที่ไม่โปรดปราน   4

    “ไอ้ดินมันไปไหน มาเปิดร้านทิ้งไว้ให้โจรเข้ามาขโมยของหรือไงวะ” แม้เขาจะหันไปพูดกับชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหลัง แต่เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายจงใจพูดจากระทบกระทั่ง โดยเฉพาะคำว่า ‘โจร’ “ขอโทษนะคะ หนูไม่ใช่โจรค่ะ แค่เห็นว่าทางร้านรับสมัครพนักงานเลยเข้ามา” “ฉันว่าเธอเป็นโจรเหรอ” เขาเลิกคิ้วถามทำเอาคนตัวเล็กไปไม่ถูก “ฉันแค่ตำหนิลูกน้อง จะรีบร้อนตัวไปทำไม” อัสมาได้แต่บ่นอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดอะไรออกไปสักคำ แม้แต่จะขออนุญาตออกจากร้านปากเธอยังไม่ยอมขยับ รู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางจนน่าโมโห ความจริงแล้วไม่น่าคิดว่าจะทำงานที่นี่เลย เท่าที่ทำอยู่ก็มากพอสมควรแล้ว จึงรวบรวมความกล้าเงยหน้าไปมองคนมาใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะพ่วงตำแหน่งเจ้าของร้าน ก่อนจะค้อมหัวให้เล็กน้อยแล้วพยายามทำตัวลีบเพื่อเดินออกไปด้านนอก “เดี๋ยว” เสียงทุ้มเอ่ยขัดการก้าวเดิน เธอจึงหันไปมองอย่างตั้งคำถาม “จะสมัครงาน?” “ค่ะ” ตอบไปด้วยความปากไว ร่างบางสลัดทุกเรื่องที่ผ่านมาทิ้งไปแล้วระบายยิ้มให้คนตรงหน้า “หนูทำได้ทุกอย่างค่ะ แต่ถนัดที่สุดคือร้องเพลง” “แล้วร้านนั้น” คำถามที่อีกฝ่ายยิงเข้ามาจังๆ ทำให้คนตัวเล็กนิ่งไปพักหนึ่ง เขาจำเธอได้อย่างนั้

  • เธอ...ที่ไม่โปรดปราน   3

    บทเพลงได้พบเธอที่เพิ่งจบไปเมื่อสักครู่ถือเป็นเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ อัสมาเก็บไมโครโฟนไว้ที่เดิมแล้วก้าวเดินลงจากเวที วันนี้ได้เงินจากการร้องเพลงทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อย ผนวกกับที่ไปทำงานที่โรงแรมก็เกือบสองพัน เธอระบายยิ้มให้กับตัวเองที่อย่างน้อยก็ได้ค่าจ้างที่คุ้มค่าเหนื่อย ก่อนที่มือกีตาร์อย่างภวิศจะเดินมาขนาบข้าง มือข้างหนึ่งถือวิสาสะพาดมาที่บ่าอย่างสนิทสนม “ไง แต่งหน้าซะสวยเลยวันนี้” สำหรับคนในวงดนตรีที่ร้านแห่งนี้ อัสมานับถือทุกคนเป็นพี่ และดูเหมือนว่าพี่ๆ ทุกคนก็มองเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง การกระทำของภวิศจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เธอหันไปยิ้มน้อยๆ ให้คนข้างกาย “ก็บอกแล้วว่าไปทำงานที่โรงแรมมา ไปหน้าสดๆ พี่แยมกินหัวตาย” “อย่าโหมงานหนักมาก รู้ไหม พักผ่อนบ้าง ถ้ามีปัญหาอะไรจะหยิบยืมพี่หรืออีกสองคนก็ใช่ว่าจะหวงกับเราสักหน่อย” “อือ มีอะไรก็บอกพี่ได้ ช่วยได้จะช่วย” ชิตวรที่เดินตามหลังมาพูดขึ้นบ้าง เจ้าตัวเป็นมือเบสประจำวง อายุเท่าภวิศคือยี่สิบแปด ต่างจากอัคภัทรที่เป็นพี่สุดเพราะอายุแตะเลขสามมาหมาดๆ ได้ฟังเช่นนั้นหญิงสาวคนเดียวของวงก็ได้แต่เอ่ยคำขอบคุณ ทว่าเธอไม่มีความคิดที่จะหยิบยื

  • เธอ...ที่ไม่โปรดปราน   2

    ตีสี่ครึ่งเป็นเวลาตื่นของอัสมา ซึ่งเรียกได้ว่าเช้ากว่าชาวบ้านชาวช่องเขามาก เธอตื่นมาเตรียมตัวขายโจ๊กในตอนเช้า เพราะเป็นอาชีพของแม่ที่ทำมานาน แต่พอเกิดอุบัติเหตุก็ไม่สามารถทำต่อได้ เธอเห็นว่าสามารถทำในช่วงเช้าได้และพอจะมีกำไรจึงตัดสินใจสานต่อโดยมีป้าติ๋มเป็นคนช่วยเตรียมของ เงินเดือนของการดูแลแม่นั้นหล่อนเรียกเพียงหนึ่งหมื่นห้า สำหรับคนแถวนี้นับว่ามากแล้ว อีกสามพันคือเงินเดือนส่วนที่ช่วยจัดการเรื่องโจ๊กเพราะเธอไม่มีเวลาทำเอง เธอได้เปรียบที่บ้านอยู่ใกล้โรงเรียน จึงขายได้พอคุ้มเหนื่อย โดยเฉพาะวันจันทร์ถึงวันศุกร์จะขายดีเป็นพิเศษ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ถือว่าเงียบเหงา แต่โจ๊กเป็นของที่ขายดีในช่วงเช้า พอผ่านไปก็ขายไม่ค่อยได้ แต่ก่อนเธอเคยทดลองเปิดร้านทั้งวันเพราะคิดว่าจะยึดเป็นหลักในการหาเงิน แต่มันไม่เข้าท่าเท่าที่ควร จึงขายถึงแค่ช่วงเช้าถึงสายๆ พอปิดร้านเรียบร้อยในช่วงสิบโมงก็ลาแม่กับป้าติ๋มก่อนจะออกไปทำงานที่ร้านอาหาร อัสมาเป็นหนึ่งในคนที่ไม่งอมืองอเท้าแต่กลับสู้ชีวิตทุกอย่าง เรื่องนี้ใครๆ ต่างก็รับรู้ แต่ใช่ว่าเจ้าตัวอยากสู้ ความจริงแล้วเธอเหนื่อยสายตัวแทบขาดในทุกๆ วัน ร้องไห้ทีนึกว่าน

  • เธอ...ที่ไม่โปรดปราน   1

    ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำมาในยามค่ำคืน มีใครบางคนยืนทอดสายตามองหยดน้ำด้วยความเจ็บปวด ฝนมาพร้อมกับความทรงจำอันเลวร้ายที่ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจลบมันออกจากจิตใจได้ ทว่ามีแต่ยิ่งตอกย้ำให้นึกถึงเรื่องราวที่ยากจะลืมเลือน แต่รวดร้าวที่จะจดจำ หญิงสาวหันหลังกลับเนื่องด้วยไม่มีความกล้าพอที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าห่าฝนไปได้ หล่อนกลัวเหลือเกินว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ภายในร้านอาหารที่บัดนี้มีเพียงเพื่อนพนักงานด้วยกันคอยเก็บร้านตามหน้าที่เท่านั้น ตนเป็นเพียงพนักงานเสิร์ฟอาหาร เมื่อร้านปิดจึงไม่มีหน้าที่อื่นที่ต้องทำอีก และเหนือสิ่งอื่นใดเธอเองก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานๆ หากเวลาเลิกงานมาถึง เพราะต้องไปทำงานอีกที่หนึ่ง ซึ่งตอนนี้การไปที่นั่นก็ติดอุปสรรคคือฝน เวลาเดินหน้าไปเรื่อยๆ จวนจะถึงเวลาที่ควรออกไปจากที่แห่งนี้ได้แล้ว แต่ฝนไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกเลย ซ้ำยังโหมกระหน่ำมากกว่าเมื่อครู่ เป็นเหตุให้เจ้าตัวเริ่มกังวลว่าอาจจะเข้างานสาย เท่าที่อีกฝ่ายยอมให้เธอได้ทำงานก็ถือว่าเมตตามากแล้ว จึงไม่อยากทำให้ใครต้องเดือดร้อน แต่เธอก็เอาชนะการฝ่าฝนไม่ได้ เพียงแค่คิด มือไม้ก็ส

DMCA.com Protection Status