บทเพลงได้พบเธอที่เพิ่งจบไปเมื่อสักครู่ถือเป็นเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ อัสมาเก็บไมโครโฟนไว้ที่เดิมแล้วก้าวเดินลงจากเวที วันนี้ได้เงินจากการร้องเพลงทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อย ผนวกกับที่ไปทำงานที่โรงแรมก็เกือบสองพัน เธอระบายยิ้มให้กับตัวเองที่อย่างน้อยก็ได้ค่าจ้างที่คุ้มค่าเหนื่อย ก่อนที่มือกีตาร์อย่างภวิศจะเดินมาขนาบข้าง มือข้างหนึ่งถือวิสาสะพาดมาที่บ่าอย่างสนิทสนม
“ไง แต่งหน้าซะสวยเลยวันนี้”
สำหรับคนในวงดนตรีที่ร้านแห่งนี้ อัสมานับถือทุกคนเป็นพี่ และดูเหมือนว่าพี่ๆ ทุกคนก็มองเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง การกระทำของภวิศจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร
เธอหันไปยิ้มน้อยๆ ให้คนข้างกาย “ก็บอกแล้วว่าไปทำงานที่โรงแรมมา ไปหน้าสดๆ พี่แยมกินหัวตาย”
“อย่าโหมงานหนักมาก รู้ไหม พักผ่อนบ้าง ถ้ามีปัญหาอะไรจะหยิบยืมพี่หรืออีกสองคนก็ใช่ว่าจะหวงกับเราสักหน่อย”
“อือ มีอะไรก็บอกพี่ได้ ช่วยได้จะช่วย” ชิตวรที่เดินตามหลังมาพูดขึ้นบ้าง เจ้าตัวเป็นมือเบสประจำวง อายุเท่าภวิศคือยี่สิบแปด ต่างจากอัคภัทรที่เป็นพี่สุดเพราะอายุแตะเลขสามมาหมาดๆ
ได้ฟังเช่นนั้นหญิงสาวคนเดียวของวงก็ได้แต่เอ่ยคำขอบคุณ ทว่าเธอไม่มีความคิดที่จะหยิบยืมเงินของใครสักคน เพราะยิ่งสนิทกันก็ยิ่งต้องเกรงใจ คนเราจะคบหากันได้นานก็ต่อเมื่อไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง คนเหล่านี้เป็นเพียงเพื่อนร่วมงานเท่านั้น จะขอความช่วยเหลือก็ดูจะเกินไปหน่อย ขนาดญาติๆ ของเธอยังไม่เคยหยิบยื่นสิ่งเหล่านั้นให้
ใช่ว่าไม่เคยขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เพียงแต่ขอไปแล้วไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใครเลยต่างหาก
คนที่ไม่ช่วยก็ไม่ผิด เธอเข้าใจดี แต่หากเอ่ยปากออกไปแล้วและไม่มีใครช่วย จะยิ่งทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิม เพราะเช่นนั้นแล้วต่อให้ลำบากอย่างไรก็จะพยายามยืนด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้ แม้จะเหนื่อยสายตัวแทบขาดก็ไม่รู้สึกสมเพชตัวเองที่แบกหน้าไปหาคนอื่น อย่างเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาที่กล้ายื่นข้อเสนอบ้าๆ ให้คนไม่รู้จัก และเธอไม่ได้สวยขนาดนั้น มีหรือที่อีกฝ่ายจะยอมรับ
‘เด็กของฉัน... เธอฝันอยู่เหรอ’
พูดเพียงเท่านั้นก็ก้าวเท้าเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ อัสมาตัวชาดิก เธอรู้อยู่แล้วว่าต้องถูกปฏิเสธ แต่ก็ยังอยากลองเสี่ยง เดิมพันกับชีวิตของตัวเองที่อาจจะเปลี่ยนไปตลอดกาลหรือกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆ จนกว่าจะหมดลมหายใจ และผลของมันก็คืออย่างหลัง
ทั้งๆ ที่เตรียมใจไว้แล้วแต่ลึกๆ ก็ยังแอบหวังว่าอีกฝ่ายจะเมตตาและเลี้ยงดูเธอให้ไม่ต้องลำบากอย่างทุกวันนี้ เขาคงจะรวยพอสมควร เศษเงินของเขาก็พอให้เธอได้ตั้งตัว และเธอไม่ได้คิดจะเป็นผู้รับฝ่ายเดียว เธอเองก็มีผลประโยชน์จะให้เขาเช่นกัน แต่พอไม่เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ก็อดจะรู้สึกเสียใจและเสียหน้าไม่ได้ ทว่าก็ยังดีที่เลือกถามคนคนนี้ออกไป เพราะชีวิตประจำวันต่อจากนี้คงไม่มีโอกาสได้พบเจอกันอีก ไม่เช่นนั้นเธอคงอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
ถ้าไม่ใช่เพราะสุวพิชชามาเป่าหูเธอคงไม่คิดเรื่องแบบนี้เพราะเจียมตัวอยู่ตลอด ต่อไปเธอคงต้องยึดมั่นกับความขยันของตนเองเท่านั้น ไม่หาทางลัดอีกแล้ว
ทันทีที่กลับมาถึงบ้านก็เห็นว่าทั้งแม่และป้าติ๋มหลับไปแล้ว หญิงสาวเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ มารดาแล้วก้มลงเพื่อหอมแก้มอีกฝ่ายอย่างแสดงความรัก ต่อให้ต้องเหนื่อยกว่านี้อีกสักร้อยเท่าพันเท่าเธอก็จะยอมรับมัน เพื่อชีวิตที่ดีกว่านี้ของครอบครัวที่ยังเหลืออยู่และเพื่อชดใช้ความผิดให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
อัสมาอาบน้ำและเข้านอนไปพร้อมกับภาพในจินตนาการซึ่งใบหน้าของผู้ชายคนนั้นกลับเป็นสิ่งที่ฉายชัดราวกับว่าเจ้าตัวมาอยู่ตรงหน้า
“คุณอย่ามาเข้าฝันหนูเลย แค่นี้ก็อายมากแล้ว”
อัสมาได้รู้ซึ้งถึง ‘ของแรง’ ที่เธอเผลอไปเล่นด้วยแล้ว เพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยคของเขา น้ำเสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยความดุดัน แววตาคมกริบ ทุกอย่างที่รวมเป็นเขาบอกกับเธอแล้วว่าอย่าลองดี เมื่อคืนเธอเก็บเอามาฝันเป็นเรื่องเป็นราว และสำหรับสาวเจ้ามันไม่ใช่ฝันดี ผู้ชายคนนั้นคือบุคคลต้องห้าม เขาทำให้เธอกลัวยันในความฝัน
เช้านี้อัสมาก็เริ่มต้นด้วยการขายโจ๊กที่หน้าบ้าน หลังจากเก็บของเป็นที่เรียบร้อยก็ไปที่ร้านอาหาร ชีวิตประจำวันของเธอดำเนินไปเรื่อยๆ ค่อนข้างจำเจ แต่หลังจากเมื่อคืนก็รู้แล้วว่าความจำเจก็มีข้อดี ไม่จำเป็นต้องพยายามเปลี่ยนแปลงอะไร เป็นเช่นนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว
เพียงแค่ก้าวเท้าเข้ามาในร้านก็พบกับต้นตอที่มีส่วนในการทำให้เกิด ‘เรื่องนั้น’ สุวพิชชาเดินตรงมาหาก่อนจะระบายยิ้มให้อย่างมีเลศนัย “เป็นไง เจอเสี่ยที่ถูกใจไหม”
คนถูกถามพยายามตีสีหน้าให้เรียบสนิทราวกับว่าไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เธอไม่ได้บากหน้าไปหาผู้ชายแล้วบอกว่าอยากเป็นเด็กของเขา และไม่ได้โดนผู้ชายปฏิเสธจนหน้าหงาย “ก็ไม่ไง ไม่ได้คิดเรื่องนั้นอยู่แล้ว แค่ไปทำงาน”
“จริงอะ” พูดจบก็โบกไม้โบกมืออย่างไม่ยี่หระ “เออๆ ไปทำงานเถอะ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร วันพระไม่ได้มีหนเดียว เดี๋ยววันไหนมีงานอีกเราค่อยไปกันใหม่ มันต้องมีสักคนที่เราไปเข้าตาเขาบ้างแหละ”
วันพระไม่ได้มีหนเดียวก็จริง แต่ความมั่นใจมีใช้แค่หนเดียว และเธอคงไม่กล้าทำแบบนั้นอีกแล้ว
จากวันนั้นก็ผ่านมาเกือบสองสัปดาห์เห็นจะได้ ชีวิตประจำวันของอัสมายังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พอตกกลางคืนก็เดินทางจากร้านอาหารมาที่ร้านเหล้าเพื่อที่จะร้องเพลง ทักทายพี่ๆ ในวงอย่างสนิทสนมก่อนจะวอร์มเสียงเพราะยังมีเวลาอยู่อีกหลายนาที
“เคียงกันเราร้องแค่พาร์ทของกัน นภัทรนะ ข้ามพาร์ทแรปไป” นักร้องพยักหน้ารับให้กับคำพูดของมือกีตาร์ ก่อนจะเริ่มร้องให้ตัวเองฟัง
เพียงแค่ท่อนแรกก็ทำเอาลมหายใจของนักร้องสะดุดไปชั่วครู่ เพราะใบหน้าของใครบางคนที่คิดว่าลืมไปแล้วดันผุดขึ้นเสียได้ แต่นับว่าดีมากเหลือเกินที่ช่วงที่ผ่านมาไม่ได้เจอกันอีกเลย เขาเองก็ไม่รู้จักชื่อของเธอ เธอเองก็ไม่รู้จักชื่อของเขา ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ไม่แน่ว่าหากเจอกันอีกครั้งชายหนุ่มอาจจะจำเธอไม่ได้แล้ว เพราะตรงนั้นก็ไม่ได้สว่างมากนัก และระยะเวลาที่คุยกันก็แสนสั้น
อันที่จริงเขาอาจจะจำเธอไม่ได้เป็นเรื่องที่คิดถูก แต่กับเธอเองคงลืมไม่ลง
เมื่อถึงเวลาขึ้นแสดงคนทั้งสี่ก็เดินไปยังบนเวทีที่สูงกว่าพื้นไม่มากนัก อัสมานั่งลงประจำที่ ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม สายตาถูกใช้มองไปยังลูกค้าแทบทุกโต๊ะที่อยู่ภายในร้าน พูดคุยทักทายอย่างเป็นกันเอง มีหลายคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี บ้างก็เป็นขาประจำที่ชอบมาฟังเธอร้องเพลง เธออาจจะเป็นเพียงนักร้องบ้านๆ เสียงไม่ได้เพราะระดับนักร้องมืออาชีพ ทว่าก็มีแฟนคลับกับเขาบ้าง ไม่มากมาย แค่พอให้เป็นกำลังใจ
หญิงสาวทักทายไปตามเรื่องตามราวก่อนสายตาจะสบเข้ากับใครคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่ร้านไม่ได้สว่างมากนักแต่เธอกลับจำเขาได้ในทันที ร่างทั้งร่างชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะพยายามเรียกสติตัวเองให้กลับมาแล้วเริ่มร้องเพลงเมื่อนักดนตรีให้สัญญาณ หวังว่าจะมีแค่เธอที่จำเขาได้ ส่วนเขานั้นอย่าได้จดจำคนน่าอายเช่นเธอเลย
สุดขอบฟ้าหรือใต้ธารา
หมื่นภูผาร้อยพันดารา
ดับลงมืดมนเพียงใดเราสองต้องมาเจอกัน…
เสียงใสกังวานเปล่งออกมาจากริมฝีปากบาง เพียงแค่นั้นก็สามารถสะกดคนฟังได้อยู่หมัด แม้เจ้าตัวจะถ่อมตนอยู่เสมอ ทว่าผู้คนที่ได้ฟังเสียงของอัสมารู้ดีว่าเสียงนี้มีเสน่ห์มากเพียงใด เพลงเพราะๆ เคล้าแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนา บรรยากาศที่น่าซึมซับนี้ดึงดูดผู้คนให้แวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย แม้แต่เขาคนนั้น
ปราชญาธิปได้รับการเชิญชวนมาจากสิปปกรให้มาดื่มด้วยกัน เนื่องจากเขาปักหลักอยู่ที่นครนายกเพื่อดูแลวรัสยาที่เพิ่งคลอดลูกท้องที่สองแต่เป็นคนที่สามได้ไม่กี่วัน สิปปกรและลลิตนารีจึงได้ทีมารับขวัญหลานและด้านชายหนุ่มก็ได้มาดื่มกันในที่แห่งนี้โดยมีเจ้าถิ่นอย่างธนบดีมาด้วย อันที่จริงที่เลือกร้านนี้ก็เพราะคำแนะนำจากปากท่านส.ส. ว่าบรรยากาศดี เมื่อได้มาจริงเขาก็คิดว่ามันดีอย่างที่เพื่อนว่า เครื่องดื่ม อาหาร ล้วนถูกปากเขาทั้งหมด จะติดก็ตรงนักร้องที่แม้ว่าเสียงจะไพเราะแต่เขาไม่รู้สึกถูกชะตาด้วยเลยสักนิด
เป็นคนแบบไหนกัน มาขอเป็นเด็กคนอื่น เขาดูเหมือนพวกชอบเลี้ยงสาวๆ ไว้หรืออย่างไร
รัก ไม่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ
รัก เชื่อมใจไว้ด้วยกัน
มีเพียงแต่ใจที่รู้ ใครคือผู้อยู่ในฝัน เธอคือคนนั้นที่ฉันรอ…
สายตาทั้งสองบังเอิญได้สบประสานกันเข้าอย่างไม่ตั้งใจ เขาไม่ได้หลบสายตาของเธอ เธอเองก็เช่นกัน ริมฝีปากก็ขยับเพื่อส่งเสียงอันไพเราะต่อจนกระทั่งเพลงที่สองได้จบลงไป อัสมาถึงได้ละสายตาจากใครคนนั้นแล้วส่งยิ้มให้กับลูกค้าภายในร้านเธอไม่ได้ตั้งใจจะมองเขา เพียงแต่เขาดันสามารถดึงดูดสายตาของเธอได้อยู่หมัด ไม่ใช่เพราะฐานะของเขาอย่างเดียวที่ดึงดูดเธอ ในงานมีคนรวยเป็นสิบเป็นร้อย แล้วเหตุใดถึงต้องเป็นเขา เพราะเธอถูกใจเขานั่นเอง การได้มาเจอกันในครั้งนี้แม้ไม่ได้คาดหวังอะไรแต่การได้มองใบหน้าที่ตราตรึงในใจก็นับว่าคุ้มค่า
ได้แต่หวังว่าเธอจะจำได้ฝ่ายเดียว...
ในจังหวะนั้นเองที่มีลูกค้าท่านหนึ่งซึ่งเป็นขาประจำเดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ พร้อมยื่นกระดาษให้หนึ่งแผ่น ด้านในระบุชื่อเพลงไว้ เป็นอันรู้กันว่าขอให้ร้องเพลงที่ตนต้องการ อัสมาส่งกระดาษแผ่นนั้นให้นักดนตรีด้านหลัง เมื่อได้รับการยืนยันว่าจะเล่นเธอถึงสามารถร้องได้ เพราะไม่ใช่ทุกเพลงที่นักดนตรีเล่นได้ เช่นเดียวกับเธอที่ไม่อาจร้องได้ทุกบทเพลง บางเพลงที่เกินความสามารถหรือไม่เคยฝึกซ้อมมาก่อนก็อาจจะต้องปฏิเสธ ทว่าที่ผ่านๆ มาก็พยายามร้องให้ได้ทุกเพลง
บทเพลงที่ถูกขอมานั้นคือ ใครคิดถึง เบิร์ด ธงไชย แน่นอนว่าเธอย่อมร้องได้
เมื่อถึงเวลาเลิกงานในช่วงสี่ทุ่มครึ่ง ขาดเกินไม่มากนัก อัสมาลาพี่ๆ ในวงก่อนจะเตรียมตัวกลับบ้าน แต่ระหว่างทางก็แวะร้านสะดวกซื้อเพื่อโอนเงินเข้าบัญชีด้วยสะดวกกว่าการใช้เงินสด เพราะเธอต้องทำธุรกรรมการเงินมากมายผ่านช่องทางนี้ ทั้งโอนเงินให้น้องสาว คู่กรณี จ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ หลังเสร็จธุระแล้วจึงตรงกลับบ้านอย่างไม่รอช้า
รุ่งเช้ามาหญิงสาววัยยี่สิบหกก็ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อมาเตรียมตัวขายโจ๊ก แม้จะรู้สึกปวดหัวอยู่หน่อยๆ แต่ก็ทานยาพาราเรียบร้อยแล้ว คนอย่างเธอจะให้สละเวลาหาเงินหาทองไปหาหมอด้วยอาการเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ก็ไม่สามารถทำได้ลง ปกติเธอก็ไม่ชอบโรงพยาบาลอยู่แล้ว แค่ที่ต้องพาแม่ไปทุกๆ เดือนก็กินพลังไปมากโข ยิ่งในช่วงที่งานรัดตัวมีหรือจะทิ้งลง ทุกนาทีมีค่า ค่าน้ำค่าไฟค่าเทอมน้องๆ และอีกมากมายนับไม่ถ้วน
“เหมือนเดิมครับ” เสียงลูกค้าคนใหม่เรียกให้เจ้าของร้านเงยหน้าไปมอง ความจริงแค่เสียงเธอก็จำได้แล้วว่าเป็นใคร เพราะตั้งแต่รับช่วงต่อจากแม่ที่ป่วย คุณครูหนุ่มคนนี้ก็กลายมาเป็นลูกค้าประจำที่เจอหน้าค่าตาแทบทุกวัน และเมนูที่ทานก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย โจ๊กหมูใส่ไข่ไม่ใส่ขิง ทุกวันนี้แค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าต้องทำอะไรให้ แม่ค้าสาวจึงระบายยิ้มแล้วหันไปง่วนอยู่กับการทำให้ลูกค้าคนก่อนหน้า “อัสดูซูบๆ ไปนะ”
คนโดนทักยิ้มแหยๆ เรื่องนี้เธอพอจะรู้ตัวเองดี ปกติไม่ใช่คนมีเนื้ออะไรมากมาย ยิ่งช่วงนี้ยิ่งสาหัส เธอไม่ค่อยกล้าชั่งน้ำหนักด้วยซ้ำแต่ก็ทานอะไรไม่ค่อยลง อาจจะเครียดลงกระเพาะหรืออย่างไรก็ไม่อาจรู้ รู้แค่ไม่ค่อยหิว หรือถึงหิวก็ทานไม่ลง ผนวกกับอีกสองวันเป็นวันที่ป้าติ๋มขอเบิกเงินเดือนที่เหลืออีกหนึ่งหมื่นก่อนครบกำหนด ปกติอีกฝ่ายจะรอช่วงสิ้นเดือนเสมอ แต่ช่วงนี้วุ่นๆ กับลูกสาวที่เพิ่งเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เป็นปีแรก ซึ่งเธอเข้าใจดีเพราะปีที่แล้วก็เพิ่งส่งน้องสาวเข้าเรียนปีหนึ่ง ดีที่พอขึ้นปีสองเด็กแฝดต่างก็ช่วยกันทำมาหากินแบ่งเบาภาระ ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องอุทิศเวลานอนไปหางานทำเพิ่ม
อัสมาไม่คิดจะก้าวก่ายว่าอีกฝ่ายจะรีบใช้เงินด้วยเหตุใด ในเมื่อทุกคนมีภาระที่ต้องแบกต่างกันไป การที่ป้าติ๋มมาขอเบิกก่อนก็แปลว่ามีเรื่องจำเป็น เธอซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างก็มีหน้าที่หาเงินมาจ่ายเท่านั้น
ถ้วยโจ๊กหมูใส่ไข่ไม่ใส่ขิงถูกวางลงตรงหน้าครูหนุ่มอย่างนิธิศ ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตร “ใกล้จะมีกีฬาสีแล้วเหรอคะครูก่อ เห็นเด็กๆ คุยกันแต่เรื่องนี้”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “ครับ เดือนหน้าแล้ว ถ้าอัสว่างก็มาดูเด็กๆ แข่งได้นะ”
ว่ากันตามตรง พจนานุกรมของอัสมาไม่มีคำว่า ‘ว่าง’ บรรจุอยู่เลยสักหน้า แต่ก็เลือกที่จะตกปากรับคำอีกฝ่าย ถ้าว่าง ก็แปลว่าถ้าไม่ว่างก็ไม่ต้องไป เธอไม่ได้ผิดคำพูดอะไร ซึ่งนิธิศคงรู้ดีอยู่แล้วว่าคนที่เขาเอ่ยปากชวนนั้นไม่ว่างไป ใครๆ ต่างก็รู้ว่าอัสมาต้องทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต นอนยังไม่ค่อยจะได้นอน ถ้าพอจะมีเวลาสักนิดขอทุ่มเทให้การพักผ่อนจะดีกว่า เธอใช้งานร่างกายอย่างหนักโดยไม่เคยตอบแทนมันเลย อายุขัยคงจะสั้นมากแล้ว
เมื่อมาถึงวันที่นัดกับป้าติ๋ม อัสมาเตรียมเงินสดจำนวนหนึ่งหมื่นแล้วยื่นให้อีกฝ่ายหลังขายโจ๊กเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่แทนที่คนรุ่นแม่จะรับไว้ มือที่เหี่ยวย่นไปตามวัยกลับล้วงเข้าไปในกระเป๋าและส่งเงินกลับมาให้เธอแทน “หมื่นสาม” หญิงสาวยังไม่รับเงินจำนวนนั้นมา เพียงแค่เลิกคิ้วใส่เพื่อขอคำอธิบายเพิ่มเติม “รวมที่หนูอัสก็เป็นสองหมื่นสาม หนูโอนให้เจ้าอัยย์ทีได้ไหม ป้าวานหน่อยนะ”
เดิมทีอัสมาไม่อยากก้าวก่าย แต่เงินจำนวนมากขนาดนี้เธอคิดว่าตนเองควรรู้
“น้องอัยย์เอาไปทำอะไรเหรอคะ”
“ซื้ออะไรนะ ที่เด็กๆ เขามีใช้กันทุกคนน่ะ เออนึกออกแล้ว ไอแพด อัยย์มันยังไม่มีพอเห็นเพื่อนมีกันทุกคนก็เลยอยากได้ ป้าก็ไม่รู้หรอกว่ามันจำเป็นมากไหม แต่มันไม่ค่อยขออะไร มาขออันนี้ก็เลยตั้งใจว่าจะซื้อให้”
อัสมามีอยู่เครื่องหนึ่งตั้งแต่ช่วงที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯ แต่ปัจจุบันยกให้น้องสาวไปแล้ว สองคนแบ่งๆ กันใช้ ไม่ได้ซื้อใหม่ ส่วนเธอไม่มีความจำเป็นต้องใช้อีกแล้ว แค่โทรศัพท์ยังแทบไม่ได้แตะ และเธอก็เข้าใจความต้องการของเด็กๆ เป็นอย่างดีจึงไม่คิดค้านอะไร แต่ก็อดพูดไม่ได้ “จริงๆ มันมีรุ่นที่ถูกกว่านี้นะคะ หมื่นต้นๆ ก็มี แต่น้องอัยย์คงถูกใจกับรุ่นที่อยากได้ เดี๋ยวหนูออกไปโอนให้นะคะ เงินในบัญชีมีไม่พอค่ะ”
“สะดวกตอนไหนก็โอนตอนนั้นเลย งั้นเดี๋ยวป้าบอกลูกก่อนว่าวันนี้จะโอนให้”
เธอพยักหน้ารับแต่ไม่ยอมให้อีกฝ่ายจากไปง่ายๆ “หนูขอถามอะไรหน่อย ป้าเอาเงินหมื่นสามมาจากไหนคะ”
หญิงวัยกลางคนเงียบไปชั่วครู่ “ป้าเก็บๆ ไว้น่ะ”
แม้จะสงสัยแต่อัสมาก็ปล่อยผ่านไป หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงออกไปยังร้านสะดวกซื้อเพื่อโอนเงินให้กับอุสิชา ก่อนจะกลับมานั่งทำแซนด์วิชเพื่อส่งตามร้านเนื่องด้วยวันนี้เป็นวันหยุด นั่งทำได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ได้ยินเสียงรถมาจอดอยู่หน้าบ้าน มองออกไปแล้วเห็นเป็นรถยนต์สี่ประตูที่คงถูกเจ้าของโหลดจนเตี้ยกว่าปกติ แถมเสียงท่อยังกระหึ่มราวกับติดลำโพงไว้ก็ไม่ปาน เป็นรถคันที่ไม่คุ้นตาเลยสักนิด อัสมาเดินเข้าไปล้างมือก่อนจะออกไปด้านนอก ปรากฏว่ารถคันนั้นหายไปแล้ว เธอได้แต่ไหวไหล่พลางคิดว่าอาจจะแค่แวะจอดคุยโทรศัพท์หรือธุระอะไรสักอย่าง เพราะแถวนี้ก็เขตชุมชน
แซนด์วิชถูกส่งตามร้านต่างๆ จนครบ ทว่าระหว่างทางกลับบ้านดันเห็นร้าน ‘ร่ำเมรัย’ ทั้งๆ ที่ผ่านทางนี้มาไม่รู้ตั้งกี่พันครั้งแต่ไม่ยักจะเคยเห็น ที่เคยเห็นก็เหมือนจะเป็นการก่อสร้าง คงจะเป็นการสร้างร้านแห่งนี้กระมัง เปิดรับพนักงานเสียด้วย ทั้งๆ ที่เวลาพักไม่ค่อยจะเพียงพอแต่พอเห็นคำว่างาน ใจของอัสมาก็เต้นแรงอย่างฉุดไม่อยู่ แถมยังอยู่ใกล้บ้านมากกว่าร้านที่ทำอยู่ในปัจจุบันอีกต่างหาก
เงินดีหรือเปล่า เข้างานตอนไหน เลิกตอนไหน เธออยากรู้เสียจริง
และแล้วความอยากรู้อยากเห็นก็เอาชนะจนได้ คิดแค่ว่าแค่ถามดูคงไม่เสียหายอะไร หลังจากจอดมอเตอร์ไซค์ไว้หน้าร้านแล้วจึงเดินเข้าไปด้านในที่ไม่เห็นมนุษย์อยู่สักคน ข้าวของทุกอย่างใหม่เอี่ยมสมกับเป็นร้านเปิดใหม่ “ขอโทษนะคะ มีใครอยู่ไหมคะ”
รออยู่เกือบสิบนาทีก็ไม่มีใครออกมา ดูเหมือนว่าดวงเธอจะไม่สมพงษ์กับที่นี่กระมัง อัสมาจึงหันหลังเพื่อจะเดินออกไปด้านนอก ตั้งใจจะกลับบ้านไปงีบก่อนจะตื่นในช่วงเย็นเพื่อไปทำงานที่ร้านเหล้าต่อ แต่ยังไม่ได้ก้าวไปไหนเท้าก็เป็นอันชะงักงันอยู่อย่างนั้น ตัวของหญิงสาวชาวาบไปทั่วร่างเมื่อเห็นว่าคนมาใหม่คือใคร
ร่างสูงถอนหายใจออกมาอย่างนึกเอือม “ไอ้ดินมันไปไหน มาเปิดร้านทิ้งไว้ให้โจรเข้ามาขโมยของหรือไงวะ”
✿✿✿✿✿✿✿
“ไอ้ดินมันไปไหน มาเปิดร้านทิ้งไว้ให้โจรเข้ามาขโมยของหรือไงวะ” แม้เขาจะหันไปพูดกับชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหลัง แต่เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายจงใจพูดจากระทบกระทั่ง โดยเฉพาะคำว่า ‘โจร’ “ขอโทษนะคะ หนูไม่ใช่โจรค่ะ แค่เห็นว่าทางร้านรับสมัครพนักงานเลยเข้ามา” “ฉันว่าเธอเป็นโจรเหรอ” เขาเลิกคิ้วถามทำเอาคนตัวเล็กไปไม่ถูก “ฉันแค่ตำหนิลูกน้อง จะรีบร้อนตัวไปทำไม” อัสมาได้แต่บ่นอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดอะไรออกไปสักคำ แม้แต่จะขออนุญาตออกจากร้านปากเธอยังไม่ยอมขยับ รู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางจนน่าโมโห ความจริงแล้วไม่น่าคิดว่าจะทำงานที่นี่เลย เท่าที่ทำอยู่ก็มากพอสมควรแล้ว จึงรวบรวมความกล้าเงยหน้าไปมองคนมาใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะพ่วงตำแหน่งเจ้าของร้าน ก่อนจะค้อมหัวให้เล็กน้อยแล้วพยายามทำตัวลีบเพื่อเดินออกไปด้านนอก “เดี๋ยว” เสียงทุ้มเอ่ยขัดการก้าวเดิน เธอจึงหันไปมองอย่างตั้งคำถาม “จะสมัครงาน?” “ค่ะ” ตอบไปด้วยความปากไว ร่างบางสลัดทุกเรื่องที่ผ่านมาทิ้งไปแล้วระบายยิ้มให้คนตรงหน้า “หนูทำได้ทุกอย่างค่ะ แต่ถนัดที่สุดคือร้องเพลง” “แล้วร้านนั้น” คำถามที่อีกฝ่ายยิงเข้ามาจังๆ ทำให้คนตัวเล็กนิ่งไปพักหนึ่ง เขาจำเธอได้อย่างนั้
ในเช้าวันนั้นเธอก็หัวหมุนไปกับธุระทั้งเรื่องที่โรงพยาบาลและโรงพัก กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็บ่ายแก่ๆ ซึ่งนั่นทำให้อัสมารู้สึกเกรงใจชิตวรเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรีบไปรีบกลับ แต่เอาเข้าจริงมันเร่งไม่ได้เลย และเรื่องราวก็ซับซ้อนจนน่าปวดหัว ทั้งๆ ที่แจ้งความไปแล้วแต่ไม่รู้เลยว่าจะมีความคืบหน้าหรือเอาผิดใครได้บ้าง เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังคงเป็นคนมีเงินและมีอิทธิพล เธอมันแค่คนตัวเล็กๆ ในสังคม พูดอะไรไปก็ไม่มีใครได้ยินเสียง “ขอบคุณมากนะคะพี่ศิลป์ที่ช่วยดูแลแม่หนู หนูคิดว่าจะได้กลับมาไวกว่านี้ ขอโทษนะคะ อันนี้หนูแวะซื้อมาฝากค่ะ เผื่อพี่ยังไม่ได้กินอะไร” ว่าพร้อมกับยื่นกล่องข้าวให้ ชายหนุ่มยื่นมือมารับอย่างไม่อิดออด รอยยิ้มอันอบอุ่นของอีกฝ่ายปรากฏบนใบหน้า “ยังไม่ได้กินอะไรจริงๆ นั่นแหละ ไม่หิวเท่าไร แต่ได้กินก็ดี เราล่ะ กินอะไรมายัง” อัสมาส่ายหน้า เธอกินอะไรไม่ลง วันทั้งวันได้ดื่มแต่น้ำเปล่า “ไปกินด้วยกัน กล่องนี้แหละ เราเหลือตัวนิดเดียวแล้วนะ รู้ตัวบ้างหรือเปล่า” “พอรู้ค่ะ แต่พี่กินเถอะ” “พี่พูดในฐานะคนที่ให้ความช่วยเหลือเรา จะไม่ตอบแทนพี่เหรอ” เมื่อโดนมัดมือชกอัสมา
“ไปทำอีท่าไหนถึงได้ไปนอนเล่นข้างทางแบบนั้นล่ะ สนุกไหม” เสียงคนมาใหม่ทำให้เธอละสายตาจากคู่สนทนาแล้วหันไปมอง เป็นเขานั่นเอง แต่ถึงจะไม่ชอบเธอขนาดไหน การเห็นเธอเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ก็น่าจะเห็นใจกันบ้างไม่ใช่หรือ เขามันคนไม่มีหัวใจ เท่าที่เคยสัมผัสมาก็พอจะรู้อยู่บ้าง เธอไม่ได้คาดหวัง แต่การที่เขาปากร้ายเกินไปอัสมาก็ไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน “เธอโดนทำร้ายน่ะครับ” อรัณย์เอ่ยบอกแก่เจ้านาย “มีคนถีบรถเธอจนล้มแล้วก็หนีไป” ปราชญาธิปแค่นหัวเราะ “โดนถีบ ไปสร้างศัตรูที่ไหนมาล่ะ” อัสมาไม่ตอบคำถาม เธอแค่มองเข้าไปในดวงตาของคนร้ายกาจที่มีหน้ามาหัวเราะให้กับเรื่องร้ายๆ ของคนอื่น ก่อนจะรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว “เรื่องของหนูมันตลกมากเลยเหรอคะ” รถกู้ภัยมาถึงพอดี เธอจึงได้รับการช่วยเหลือ และได้รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เจ็บขาจนแทบขยับไม่ได้ นั่นก็เพราะมีเศษแก้วชิ้นใหญ่แทงไปที่ส้นเท้าและเสียบคาไว้อย่างนั้น เลือดไหลไม่หยุดแต่เธอเจ็บจนชาเลยไม่รู้ว่ามีแผลใหญ่ขนาดนี้ ทางทีมอาสาจึงรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำตัวส่งโรงพยาบาล “คุณคะ หนูฝากจัดการเรื่องทางนี้หน่อยนะคะ” ก่อนจะถูกเข็นขึ้นรถก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยกับชายคนหนึ่งซึ่งดูจ
ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำมาในยามค่ำคืน มีใครบางคนยืนทอดสายตามองหยดน้ำด้วยความเจ็บปวด ฝนมาพร้อมกับความทรงจำอันเลวร้ายที่ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจลบมันออกจากจิตใจได้ ทว่ามีแต่ยิ่งตอกย้ำให้นึกถึงเรื่องราวที่ยากจะลืมเลือน แต่รวดร้าวที่จะจดจำ หญิงสาวหันหลังกลับเนื่องด้วยไม่มีความกล้าพอที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าห่าฝนไปได้ หล่อนกลัวเหลือเกินว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ภายในร้านอาหารที่บัดนี้มีเพียงเพื่อนพนักงานด้วยกันคอยเก็บร้านตามหน้าที่เท่านั้น ตนเป็นเพียงพนักงานเสิร์ฟอาหาร เมื่อร้านปิดจึงไม่มีหน้าที่อื่นที่ต้องทำอีก และเหนือสิ่งอื่นใดเธอเองก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานๆ หากเวลาเลิกงานมาถึง เพราะต้องไปทำงานอีกที่หนึ่ง ซึ่งตอนนี้การไปที่นั่นก็ติดอุปสรรคคือฝน เวลาเดินหน้าไปเรื่อยๆ จวนจะถึงเวลาที่ควรออกไปจากที่แห่งนี้ได้แล้ว แต่ฝนไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกเลย ซ้ำยังโหมกระหน่ำมากกว่าเมื่อครู่ เป็นเหตุให้เจ้าตัวเริ่มกังวลว่าอาจจะเข้างานสาย เท่าที่อีกฝ่ายยอมให้เธอได้ทำงานก็ถือว่าเมตตามากแล้ว จึงไม่อยากทำให้ใครต้องเดือดร้อน แต่เธอก็เอาชนะการฝ่าฝนไม่ได้ เพียงแค่คิด มือไม้ก็ส
ตีสี่ครึ่งเป็นเวลาตื่นของอัสมา ซึ่งเรียกได้ว่าเช้ากว่าชาวบ้านชาวช่องเขามาก เธอตื่นมาเตรียมตัวขายโจ๊กในตอนเช้า เพราะเป็นอาชีพของแม่ที่ทำมานาน แต่พอเกิดอุบัติเหตุก็ไม่สามารถทำต่อได้ เธอเห็นว่าสามารถทำในช่วงเช้าได้และพอจะมีกำไรจึงตัดสินใจสานต่อโดยมีป้าติ๋มเป็นคนช่วยเตรียมของ เงินเดือนของการดูแลแม่นั้นหล่อนเรียกเพียงหนึ่งหมื่นห้า สำหรับคนแถวนี้นับว่ามากแล้ว อีกสามพันคือเงินเดือนส่วนที่ช่วยจัดการเรื่องโจ๊กเพราะเธอไม่มีเวลาทำเอง เธอได้เปรียบที่บ้านอยู่ใกล้โรงเรียน จึงขายได้พอคุ้มเหนื่อย โดยเฉพาะวันจันทร์ถึงวันศุกร์จะขายดีเป็นพิเศษ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ถือว่าเงียบเหงา แต่โจ๊กเป็นของที่ขายดีในช่วงเช้า พอผ่านไปก็ขายไม่ค่อยได้ แต่ก่อนเธอเคยทดลองเปิดร้านทั้งวันเพราะคิดว่าจะยึดเป็นหลักในการหาเงิน แต่มันไม่เข้าท่าเท่าที่ควร จึงขายถึงแค่ช่วงเช้าถึงสายๆ พอปิดร้านเรียบร้อยในช่วงสิบโมงก็ลาแม่กับป้าติ๋มก่อนจะออกไปทำงานที่ร้านอาหาร อัสมาเป็นหนึ่งในคนที่ไม่งอมืองอเท้าแต่กลับสู้ชีวิตทุกอย่าง เรื่องนี้ใครๆ ต่างก็รับรู้ แต่ใช่ว่าเจ้าตัวอยากสู้ ความจริงแล้วเธอเหนื่อยสายตัวแทบขาดในทุกๆ วัน ร้องไห้ทีนึกว่าน
“ไปทำอีท่าไหนถึงได้ไปนอนเล่นข้างทางแบบนั้นล่ะ สนุกไหม” เสียงคนมาใหม่ทำให้เธอละสายตาจากคู่สนทนาแล้วหันไปมอง เป็นเขานั่นเอง แต่ถึงจะไม่ชอบเธอขนาดไหน การเห็นเธอเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ก็น่าจะเห็นใจกันบ้างไม่ใช่หรือ เขามันคนไม่มีหัวใจ เท่าที่เคยสัมผัสมาก็พอจะรู้อยู่บ้าง เธอไม่ได้คาดหวัง แต่การที่เขาปากร้ายเกินไปอัสมาก็ไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน “เธอโดนทำร้ายน่ะครับ” อรัณย์เอ่ยบอกแก่เจ้านาย “มีคนถีบรถเธอจนล้มแล้วก็หนีไป” ปราชญาธิปแค่นหัวเราะ “โดนถีบ ไปสร้างศัตรูที่ไหนมาล่ะ” อัสมาไม่ตอบคำถาม เธอแค่มองเข้าไปในดวงตาของคนร้ายกาจที่มีหน้ามาหัวเราะให้กับเรื่องร้ายๆ ของคนอื่น ก่อนจะรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว “เรื่องของหนูมันตลกมากเลยเหรอคะ” รถกู้ภัยมาถึงพอดี เธอจึงได้รับการช่วยเหลือ และได้รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เจ็บขาจนแทบขยับไม่ได้ นั่นก็เพราะมีเศษแก้วชิ้นใหญ่แทงไปที่ส้นเท้าและเสียบคาไว้อย่างนั้น เลือดไหลไม่หยุดแต่เธอเจ็บจนชาเลยไม่รู้ว่ามีแผลใหญ่ขนาดนี้ ทางทีมอาสาจึงรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำตัวส่งโรงพยาบาล “คุณคะ หนูฝากจัดการเรื่องทางนี้หน่อยนะคะ” ก่อนจะถูกเข็นขึ้นรถก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยกับชายคนหนึ่งซึ่งดูจ
ในเช้าวันนั้นเธอก็หัวหมุนไปกับธุระทั้งเรื่องที่โรงพยาบาลและโรงพัก กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็บ่ายแก่ๆ ซึ่งนั่นทำให้อัสมารู้สึกเกรงใจชิตวรเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรีบไปรีบกลับ แต่เอาเข้าจริงมันเร่งไม่ได้เลย และเรื่องราวก็ซับซ้อนจนน่าปวดหัว ทั้งๆ ที่แจ้งความไปแล้วแต่ไม่รู้เลยว่าจะมีความคืบหน้าหรือเอาผิดใครได้บ้าง เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังคงเป็นคนมีเงินและมีอิทธิพล เธอมันแค่คนตัวเล็กๆ ในสังคม พูดอะไรไปก็ไม่มีใครได้ยินเสียง “ขอบคุณมากนะคะพี่ศิลป์ที่ช่วยดูแลแม่หนู หนูคิดว่าจะได้กลับมาไวกว่านี้ ขอโทษนะคะ อันนี้หนูแวะซื้อมาฝากค่ะ เผื่อพี่ยังไม่ได้กินอะไร” ว่าพร้อมกับยื่นกล่องข้าวให้ ชายหนุ่มยื่นมือมารับอย่างไม่อิดออด รอยยิ้มอันอบอุ่นของอีกฝ่ายปรากฏบนใบหน้า “ยังไม่ได้กินอะไรจริงๆ นั่นแหละ ไม่หิวเท่าไร แต่ได้กินก็ดี เราล่ะ กินอะไรมายัง” อัสมาส่ายหน้า เธอกินอะไรไม่ลง วันทั้งวันได้ดื่มแต่น้ำเปล่า “ไปกินด้วยกัน กล่องนี้แหละ เราเหลือตัวนิดเดียวแล้วนะ รู้ตัวบ้างหรือเปล่า” “พอรู้ค่ะ แต่พี่กินเถอะ” “พี่พูดในฐานะคนที่ให้ความช่วยเหลือเรา จะไม่ตอบแทนพี่เหรอ” เมื่อโดนมัดมือชกอัสมา
“ไอ้ดินมันไปไหน มาเปิดร้านทิ้งไว้ให้โจรเข้ามาขโมยของหรือไงวะ” แม้เขาจะหันไปพูดกับชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหลัง แต่เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายจงใจพูดจากระทบกระทั่ง โดยเฉพาะคำว่า ‘โจร’ “ขอโทษนะคะ หนูไม่ใช่โจรค่ะ แค่เห็นว่าทางร้านรับสมัครพนักงานเลยเข้ามา” “ฉันว่าเธอเป็นโจรเหรอ” เขาเลิกคิ้วถามทำเอาคนตัวเล็กไปไม่ถูก “ฉันแค่ตำหนิลูกน้อง จะรีบร้อนตัวไปทำไม” อัสมาได้แต่บ่นอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดอะไรออกไปสักคำ แม้แต่จะขออนุญาตออกจากร้านปากเธอยังไม่ยอมขยับ รู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางจนน่าโมโห ความจริงแล้วไม่น่าคิดว่าจะทำงานที่นี่เลย เท่าที่ทำอยู่ก็มากพอสมควรแล้ว จึงรวบรวมความกล้าเงยหน้าไปมองคนมาใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะพ่วงตำแหน่งเจ้าของร้าน ก่อนจะค้อมหัวให้เล็กน้อยแล้วพยายามทำตัวลีบเพื่อเดินออกไปด้านนอก “เดี๋ยว” เสียงทุ้มเอ่ยขัดการก้าวเดิน เธอจึงหันไปมองอย่างตั้งคำถาม “จะสมัครงาน?” “ค่ะ” ตอบไปด้วยความปากไว ร่างบางสลัดทุกเรื่องที่ผ่านมาทิ้งไปแล้วระบายยิ้มให้คนตรงหน้า “หนูทำได้ทุกอย่างค่ะ แต่ถนัดที่สุดคือร้องเพลง” “แล้วร้านนั้น” คำถามที่อีกฝ่ายยิงเข้ามาจังๆ ทำให้คนตัวเล็กนิ่งไปพักหนึ่ง เขาจำเธอได้อย่างนั้
บทเพลงได้พบเธอที่เพิ่งจบไปเมื่อสักครู่ถือเป็นเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ อัสมาเก็บไมโครโฟนไว้ที่เดิมแล้วก้าวเดินลงจากเวที วันนี้ได้เงินจากการร้องเพลงทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อย ผนวกกับที่ไปทำงานที่โรงแรมก็เกือบสองพัน เธอระบายยิ้มให้กับตัวเองที่อย่างน้อยก็ได้ค่าจ้างที่คุ้มค่าเหนื่อย ก่อนที่มือกีตาร์อย่างภวิศจะเดินมาขนาบข้าง มือข้างหนึ่งถือวิสาสะพาดมาที่บ่าอย่างสนิทสนม “ไง แต่งหน้าซะสวยเลยวันนี้” สำหรับคนในวงดนตรีที่ร้านแห่งนี้ อัสมานับถือทุกคนเป็นพี่ และดูเหมือนว่าพี่ๆ ทุกคนก็มองเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง การกระทำของภวิศจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เธอหันไปยิ้มน้อยๆ ให้คนข้างกาย “ก็บอกแล้วว่าไปทำงานที่โรงแรมมา ไปหน้าสดๆ พี่แยมกินหัวตาย” “อย่าโหมงานหนักมาก รู้ไหม พักผ่อนบ้าง ถ้ามีปัญหาอะไรจะหยิบยืมพี่หรืออีกสองคนก็ใช่ว่าจะหวงกับเราสักหน่อย” “อือ มีอะไรก็บอกพี่ได้ ช่วยได้จะช่วย” ชิตวรที่เดินตามหลังมาพูดขึ้นบ้าง เจ้าตัวเป็นมือเบสประจำวง อายุเท่าภวิศคือยี่สิบแปด ต่างจากอัคภัทรที่เป็นพี่สุดเพราะอายุแตะเลขสามมาหมาดๆ ได้ฟังเช่นนั้นหญิงสาวคนเดียวของวงก็ได้แต่เอ่ยคำขอบคุณ ทว่าเธอไม่มีความคิดที่จะหยิบยื
ตีสี่ครึ่งเป็นเวลาตื่นของอัสมา ซึ่งเรียกได้ว่าเช้ากว่าชาวบ้านชาวช่องเขามาก เธอตื่นมาเตรียมตัวขายโจ๊กในตอนเช้า เพราะเป็นอาชีพของแม่ที่ทำมานาน แต่พอเกิดอุบัติเหตุก็ไม่สามารถทำต่อได้ เธอเห็นว่าสามารถทำในช่วงเช้าได้และพอจะมีกำไรจึงตัดสินใจสานต่อโดยมีป้าติ๋มเป็นคนช่วยเตรียมของ เงินเดือนของการดูแลแม่นั้นหล่อนเรียกเพียงหนึ่งหมื่นห้า สำหรับคนแถวนี้นับว่ามากแล้ว อีกสามพันคือเงินเดือนส่วนที่ช่วยจัดการเรื่องโจ๊กเพราะเธอไม่มีเวลาทำเอง เธอได้เปรียบที่บ้านอยู่ใกล้โรงเรียน จึงขายได้พอคุ้มเหนื่อย โดยเฉพาะวันจันทร์ถึงวันศุกร์จะขายดีเป็นพิเศษ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ถือว่าเงียบเหงา แต่โจ๊กเป็นของที่ขายดีในช่วงเช้า พอผ่านไปก็ขายไม่ค่อยได้ แต่ก่อนเธอเคยทดลองเปิดร้านทั้งวันเพราะคิดว่าจะยึดเป็นหลักในการหาเงิน แต่มันไม่เข้าท่าเท่าที่ควร จึงขายถึงแค่ช่วงเช้าถึงสายๆ พอปิดร้านเรียบร้อยในช่วงสิบโมงก็ลาแม่กับป้าติ๋มก่อนจะออกไปทำงานที่ร้านอาหาร อัสมาเป็นหนึ่งในคนที่ไม่งอมืองอเท้าแต่กลับสู้ชีวิตทุกอย่าง เรื่องนี้ใครๆ ต่างก็รับรู้ แต่ใช่ว่าเจ้าตัวอยากสู้ ความจริงแล้วเธอเหนื่อยสายตัวแทบขาดในทุกๆ วัน ร้องไห้ทีนึกว่าน
ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำมาในยามค่ำคืน มีใครบางคนยืนทอดสายตามองหยดน้ำด้วยความเจ็บปวด ฝนมาพร้อมกับความทรงจำอันเลวร้ายที่ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจลบมันออกจากจิตใจได้ ทว่ามีแต่ยิ่งตอกย้ำให้นึกถึงเรื่องราวที่ยากจะลืมเลือน แต่รวดร้าวที่จะจดจำ หญิงสาวหันหลังกลับเนื่องด้วยไม่มีความกล้าพอที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าห่าฝนไปได้ หล่อนกลัวเหลือเกินว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ภายในร้านอาหารที่บัดนี้มีเพียงเพื่อนพนักงานด้วยกันคอยเก็บร้านตามหน้าที่เท่านั้น ตนเป็นเพียงพนักงานเสิร์ฟอาหาร เมื่อร้านปิดจึงไม่มีหน้าที่อื่นที่ต้องทำอีก และเหนือสิ่งอื่นใดเธอเองก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานๆ หากเวลาเลิกงานมาถึง เพราะต้องไปทำงานอีกที่หนึ่ง ซึ่งตอนนี้การไปที่นั่นก็ติดอุปสรรคคือฝน เวลาเดินหน้าไปเรื่อยๆ จวนจะถึงเวลาที่ควรออกไปจากที่แห่งนี้ได้แล้ว แต่ฝนไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกเลย ซ้ำยังโหมกระหน่ำมากกว่าเมื่อครู่ เป็นเหตุให้เจ้าตัวเริ่มกังวลว่าอาจจะเข้างานสาย เท่าที่อีกฝ่ายยอมให้เธอได้ทำงานก็ถือว่าเมตตามากแล้ว จึงไม่อยากทำให้ใครต้องเดือดร้อน แต่เธอก็เอาชนะการฝ่าฝนไม่ได้ เพียงแค่คิด มือไม้ก็ส