“ไปทำอีท่าไหนถึงได้ไปนอนเล่นข้างทางแบบนั้นล่ะ สนุกไหม”
เสียงคนมาใหม่ทำให้เธอละสายตาจากคู่สนทนาแล้วหันไปมอง เป็นเขานั่นเอง แต่ถึงจะไม่ชอบเธอขนาดไหน การเห็นเธอเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ก็น่าจะเห็นใจกันบ้างไม่ใช่หรือ เขามันคนไม่มีหัวใจ เท่าที่เคยสัมผัสมาก็พอจะรู้อยู่บ้าง เธอไม่ได้คาดหวัง แต่การที่เขาปากร้ายเกินไปอัสมาก็ไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน
“เธอโดนทำร้ายน่ะครับ” อรัณย์เอ่ยบอกแก่เจ้านาย “มีคนถีบรถเธอจนล้มแล้วก็หนีไป”
ปราชญาธิปแค่นหัวเราะ “โดนถีบ ไปสร้างศัตรูที่ไหนมาล่ะ”
อัสมาไม่ตอบคำถาม เธอแค่มองเข้าไปในดวงตาของคนร้ายกาจที่มีหน้ามาหัวเราะให้กับเรื่องร้ายๆ ของคนอื่น ก่อนจะรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว “เรื่องของหนูมันตลกมากเลยเหรอคะ”
รถกู้ภัยมาถึงพอดี เธอจึงได้รับการช่วยเหลือ และได้รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เจ็บขาจนแทบขยับไม่ได้ นั่นก็เพราะมีเศษแก้วชิ้นใหญ่แทงไปที่ส้นเท้าและเสียบคาไว้อย่างนั้น เลือดไหลไม่หยุดแต่เธอเจ็บจนชาเลยไม่รู้ว่ามีแผลใหญ่ขนาดนี้ ทางทีมอาสาจึงรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำตัวส่งโรงพยาบาล
“คุณคะ หนูฝากจัดการเรื่องทางนี้หน่อยนะคะ” ก่อนจะถูกเข็นขึ้นรถก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยกับชายคนหนึ่งซึ่งดูจะพูดจาดีกับเธอ ได้แต่หวังว่าเขาจะช่วยเหลือ เพราะรถคันนี้คือคันเดียวที่มี ถ้าพังไปเธอเดือดร้อนอย่างแน่นอน
อรัณย์ตรงเข้าไปที่รถมอเตอร์ไซค์ทันทีที่รถกู้ภัยขับออกไป เขาคว้ามันขึ้นมาแล้วพาไปจอดไว้ดีๆ ก่อนจะหันมาทางเจ้านาย “ให้ผมโทร. บอกที่อู่เลยไหมครับ”
“อยากทำไรก็ทำ” เขาตอบปัดๆ อย่างไม่ใส่ใจ
อรัณย์จึงกดโทร. ออกหาอู่ประจำเต็นท์รถ ด้านชยางกูรก็เปิดแฟลชเพื่อส่องหาข้าวของที่อาจจะตกหล่น เขาเห็นอรัณย์เก็บกระเป๋าแล้วส่งไปให้หญิงสาวแล้ว แต่ก็ตรวจดูอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าไม่มีของอะไรตกหล่น ก่อนที่หางตาจะหันไปเห็นอะไรสักอย่าง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่าเป็นกระเป๋าสตางค์ ชยางกูรไม่รอช้าที่จะเก็บมันขึ้นมา เมื่อเปิดดูก็เห็นว่าบัตรประชาชนเป็นรูปใบหน้าของเจ้าตัว
“นายครับ ผมจะไปส่งนายที่บ้านแล้วค่อยไปโรงพยาบาลต่อนะครับ”
“ทำไม”
“กระเป๋าของเธออยู่นี่ อีกอย่างต้องไปคุยเรื่องซ่อมรถด้วย”
ปราชญาธิปถอนหายใจทำให้ลูกน้องทั้งสองรู้ดีว่าเจ้านายคงจะรำคาญใจมากแล้ว จึงไม่อยากให้มาเกี่ยวข้องอะไรอีก ทางนี้เขาและอรัณย์จะเป็นคนจัดการเอง
“ก็ไปโรงพยาบาลแล้วจัดการให้เรียบร้อย จะวนไปวนมาทำไมให้เปลืองน้ำมันรถ มึงเป็นคนจ่ายหรือไง”
ปกติไม่ยักจะเค็ม ไม่รู้เหตุใดวันนี้เจ้านายเขาถึงกลายร่างเป็นเกลือ
ด้วยเหตุนั้นทั้งสามจึงพากันไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเพราะคิดว่าจะต้องเป็นที่นั่นอย่างแน่นอน ซึ่งพวกเขาคิดถูก ในตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นยังคงอยู่ในห้องฉุกเฉินเพื่อทำแผล ครู่ใหญ่ๆ กว่าจะมีพยาบาลเดินออกมา ชยางกูรจึงเดินไปถามถึงผู้บาดเจ็บที่เพิ่งถูกพาตัวมาเมื่อครู่ แต่ยังไม่ทันที่พยาบาลสาวจะได้ตอบอะไรเธอก็ถูกเข็นออกมาโดยที่เจ้าตัวนั่งอยู่บนวีลแชร์ เมื่อเห็นคนที่อยู่ด้านหน้า รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนดวงหน้าหวานที่แม้จะผ่านเรื่องร้ายๆ มาแต่เธอก็ยังคงยิ้มออก คนมองได้แต่นับถือใจอีกฝ่าย
“มาด้วยเหรอคะ”
เมื่อเห็นว่าคนไข้มีคนรู้จัก ทั้งพยาบาลและบุรุษพยาบาลก็ปล่อยเธอไว้ตรงนั้นแล้วไปทำงานของตนเองต่อ บริเวณนี้จึงเหลือกันเพียงสี่คนเท่านั้น
“ครับ ผมเจออันนี้ตกอยู่แถวนั้น ถือวิสาสะเปิดดูแล้วเห็นว่าเป็นของคุณ เลยเอามาให้ อีกอย่างก็จะตามมาคุยเรื่องรถ ไม่ต้องห่วงนะครับ ส่งซ่อมให้แล้ว” เธอรีบพนมมือไหว้ให้กับความใจดีของอีกฝ่าย “แล้วนี่กลับบ้านเลยหรือแอดมิท ที่เท้านั่นน่าจะหนักเอาเรื่องนะครับ”
“กลับบ้านเลยค่ะ”
“นอนสักคืนไหมครับ เฝ้าคุณสักคืนไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไรพวกเราขนาดนั้น” เธอส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกผมไปส่งที่บ้านก็แล้วกัน หรือว่าจะมีคนมารับครับ”
“เดี๋ยวหนูโทร. บอกเพื่อนค่ะ ว่าแต่รถหนูถูกส่งไปที่ร้านไหนเหรอคะ หนูขอเบอร์ช่างไว้หน่อยได้ไหม เดี๋ยวจะได้ไปตามเรื่องซ่อมน่ะค่ะ” อรัณย์จึงเตรียมตัวบอกเบอร์ของช่างให้กับหญิงสาว หน้าจอโทรศัพท์ที่แตกละเอียดนั่นทำให้คนมองได้แต่ถอนหายใจพลางคิดว่าคนตรงหน้าคงมีรายจ่ายอีกมากมาย แต่จนแล้วจนรอดเจ้าโทรศัพท์นั่นก็เปิดไม่ติดสักที อัสมารู้ดีว่าไม่ใช่เพราะแบตเตอรี่หมด ก่อนออกจากร้านเหล้าเธอเห็นว่ามันอยู่ที่แปดสิบเปอร์เซ็นต์ เป็นไปไม่ได้ที่จะหมด “สงสัยจะเริ่มงอแงมั้งคะ คือว่า หนูจำเบอร์เพื่อนไม่ได้ค่ะ”
ชยางกูรระบายยิ้ม “ให้พวกเราไปส่งเถอะครับ ไม่ได้รบกวนอะไรเลย ว่าแต่แน่ใจนะครับเรื่องที่จะไม่นอนโรงพยาบาลสักคืน ถ้านอนเดี๋ยวอยู่เฝ้าได้ครับ เพราะเป็นแผลที่เท้าคงจะเดินเหินลำบาก”
“สบายมากค่ะ แผลแค่นี้เอง ไกลหัวใจ”
ปราชญาธิปมองคนอวดดีแล้วก็เดินจากไปเงียบๆ ทำให้ทั้งสามต้องตามไปอย่างไม่อาจอิดออด อรัณย์เป็นฝ่ายเข็นวีลแชร์ให้เจ้าหล่อน เมื่อมาถึงรถก็จำเป็นต้องให้เธอนั่งข้างเจ้านาย โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไร ก่อนจะนำวีลแชร์ไปเก็บที่และตรงไปยังบ้านของเธอ
“เดี๋ยวผมจดเบอร์ของช่างให้นะครับ ว่าแต่คุณชื่ออะไรนะ”
“หนูชื่ออัสมาค่ะ ในนี้หนูน่าจะอายุน้อยสุด เรียกหนูว่าอัสเฉยๆ ก็ได้ค่ะ”
“เอางั้นเหรอ ผมชื่ออาร์มนะ ส่วนนี่เฮียเฉื่อย และนั่นเป็นเจ้านายของพวกเรา ชื่อคุณโปรด”
หญิงสาวหันไปมองคนข้างๆ ก่อนจะรีบเบือนหน้ากลับมาทางเดิม “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณอาร์ม คุณเฉื่อย วันนี้หนูรบกวนพวกคุณมากเลย โอกาสหน้าถ้ามีอะไรที่หนูพอจะช่วยพวกคุณได้ บอกเลยนะคะ หนูยินดีช่วยค่ะ”
ใบหน้าของเจ้าของรถขึ้นริ้วความไม่พอใจ ทั้งๆ ที่อรัณย์แนะนำตัวให้รู้จักทั้งสามคน แต่แม่คนอวดดีนี่กลับทำราวว่าเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ รถที่นั่งอยู่ก็รถเขา น้ำมันก็เขาเป็นคนเติม คนแบบนี้คบได้ที่ไหน
“แล้วทำไมถึงโดนทำร้ายได้ล่ะครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” อัสมาตอบปัดๆ ก่อนจะชวนเปลี่ยนเรื่อง “ที่ร่ำเมรัยคนเยอะไหมคะ”
ปราชญาธิปรู้ดีว่าเจ้าหล่อนไม่ได้คุยด้วยจึงเลือกที่จะเงียบ “ก็เยอะครับ” อรัณย์ตอบพลางหันมาเลิกคิ้วใส่คนถาม “ถามทำไมเหรอครับ”
“ก็ร้านที่หนูทำงานอยู่ตอนนี้แทบไม่มีคนเลยค่ะ โดนร้านคุณดูดไปหมด” รู้ว่าเธอแค่พูดรวมๆ แต่อรัณย์ก็รีบแก้ต่างว่าเป็นร้านของน้องสาวเจ้านาย คนฟังแค่พยักหน้ารับ “ที่ร้านนั่นน่ะ ทุกวันนี้หนูไม่ได้ทิปแล้ว ไม่รู้จะมีงานทำไปถึงเมื่อไร ถ้าวันไหนหนูตกงานหนูไปสมัครที่ร่ำเมรัยนะคะ”
“มีนักร้องแล้ว”
คราวนี้เป็นเสียงทุ้มของคนข้างๆ อัสมาหันไปมองแต่เพียงครู่เดียวก็หันกลับไปทางเดิม ไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับชายเจ้าของรถ เธอยังไม่ลืมที่เขาหัวเราะตอนเห็นเธอเจ็บ และเธอเองก็ไม่อยากสานสัมพันธ์อะไรกับคนคนนี้อีกแล้ว แม้เป็นเพียงช่วงสั้นๆ แต่ก็พอจะดูออกว่าเขาไม่ใช่คนที่ควรจะคบค้า
“หนูเป็นเด็กเสิร์ฟก็ได้ค่ะ หนูก็ทำงานเสิร์ฟอาหารอยู่” คนที่ผู้หญิงเขาไม่อยากคุยด้วยหันมาหรี่ตามองเพื่อค้นหาความจริง “ร้านอาหารพฤกษาที่อยู่ก่อนถึงปั๊มปตท. น่ะค่ะ ร้านนั้นแหละ อาหารอร่อย ราคาไม่แพงมาก ถ้าคุณอาร์มกับคุณเฉื่อยผ่านไปแล้วหิวแวะทานได้นะคะ หนูจะต้อนรับอย่างดีเลยค่ะ”
คนถูกเชิญรีบตกปากรับคำ ด้านส่วนเกินแค่ปรายตามองคนข้างๆ อย่างไม่ค่อยจะพอใจ เขาไม่ชอบผู้หญิงคนนี้เลยสักนิด ไม่มีมารยาท คิดถูกที่รู้สึกไม่ถูกชะตากับเธอมาตั้งแต่แรก
อัสมาเลิกชวนทั้งสองคุยแล้วหันไปสนใจอย่างอื่น ซึ่งก็ไม่พ้นเนื้อตัวของตัวเองที่เต็มไปด้วยบาดแผลหลายจุด งานนี้คงเป็นฝีมือของเจ้าหนี้ป้าติ๋มอย่างไม่ต้องคาดเดา ฝ่ายนั้นคงรู้เรื่องที่เธอไปแจ้งความแล้วมาเอาคืน เธอสัญญาว่าจะต้องลากคนเหล่านั้นเข้าคุกให้ได้ ไม่ยอมเจ็บตัวฟรีแน่ๆ เงินก็ไม่ได้เอามาใช้สักแดงเดียว หนำซ้ำยังมาโดนพังร้านจนรายได้หาย แล้วมาโดนถีบตกรถอีก ดูๆ แล้วเธอคงปล่อยไปไม่ได้จริงๆ
หญิงสาวบอกทางกลับบ้านของตนเองให้ชยางกูรได้รู้ ใช้เวลาไม่นานมากก็มาถึงที่หมาย ชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่สารถีมองไปที่ร้านโจ๊กก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “ที่บ้านเปิดเป็นร้านอะไรเหรอครับ”
อัสมาได้ทีโปรโมท “โจ๊กค่ะ หนูเป็นคนทำเอง เปิดขายทุกวันตั้งแต่หกโมงเช้าจนถึงช่วงสาย แวะมาทานได้นะคะ คอนเฟิร์มว่าอร่อยค่ะ คนแถวนี้เป็นลูกค้าประจำร้านหนูหมด แต่ช่วงนี้ปิดปรับปรุง ถ้าเปิดได้เมื่อไรอย่าลืมมาอุดหนุนหนูนะคุณเฉื่อย คุณอาร์มด้วย หนูให้ราคาพิเศษเลยค่ะ ตอบแทนที่ช่วยเหลือหนู แล้วก็ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ”
ชยางกูรตกปากรับคำทันทีเกี่ยวกับคำเชิญชวน ก่อนที่ชายหนุ่มทั้งสองจะลงไปจากรถ คนหนึ่งช่วยประคองหญิงสาว อีกคนถือกระเป๋าเข้าไปให้ ส่วนคนสุดท้ายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เขาแค่นั่งรออยู่ในรถ สมองก็ขบคิดเรื่องของคนตัวเล็กที่เพิ่งลงไปจากรถ เจอกันครั้งแรกก็ไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่โรงแรม มาเจออีกทีเป็นนักร้องที่ร้านเหล้า ไหนยังโร่มาสมัครงานที่ร้านของวรัสยาอีก และได้มารู้ว่าทำงานที่ร้านอาหาร ซ้ำยังเปิดร้านขายโจ๊กที่บ้าน หนึ่งวันของเธอมีกี่ชั่วโมงกัน
เขาจะไม่นับเรื่องที่เจ้าตัวแบกหน้ามาขอเป็นเด็กของเขาเป็นอาชีพ เพราะมันไม่ใช่อาชีพสำหรับเขา
ปราชญาธิปสะบัดหัวไล่ความคิด...ไม่เกี่ยวอะไรกับเขานี่
“ส่งแค่ตรงนี้ก็พอค่ะ เดี๋ยวหนูเข้าบ้านเอง แค่นี้ก็เกรงใจมากแล้วค่ะ”
“แน่ใจนะครับ” อัสมาตอบคำถามของชยางกูรด้วยการพยักหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม ช่างเป็นภาพที่ขัดแย้งกับสภาพร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผล ทำให้คนมองนึกนับถือหัวใจของผู้หญิงคนนี้ที่ตัวเล็กแต่ใจใหญ่ “ถ้าอย่างนั้นเข้าไปเถอะครับ ส่วนเรื่องรถไม่ต้องเป็นห่วงนะ ถ้าซ่อมเสร็จแล้วเดี๋ยวผมให้ทางอู่เอามาส่งที่บ้านก็แล้วกัน”
“ถ้าอย่างนั้นหนูขอรับน้ำใจไว้นะคะ”
คู่สนทนายิ้มรับ “แล้วระหว่างนี้จะใช้รถอะไรครับ ที่บ้านมีรถคันอื่นหรือเปล่า”
“มีคันเดียวนั่นแหละค่ะ แต่เดี๋ยวหนูให้เพื่อนมารับไปทำงานได้ ไม่มีปัญหาค่ะ”
“เจ็บแบบนี้ไม่ลางานเหรอครับ” ครั้งนี้เป็นอรัณย์ที่เอ่ยถาม
“ลาค่ะ ถึงไม่อยากลาแต่ก็ต้องลา แบบนี้คงไปทำงานไม่ได้เพราะงานเสิร์ฟมันต้องเดิน แต่คิดว่าคงไปร้องเพลงได้ค่ะ จะชวนพวกคุณไปฟังก็คงไม่ได้ งั้นรอวันที่หนูได้ไปร้องที่ร่ำเมรัยนะคะ” อัสมาพูดไปอย่างนั้น เธอรู้ดีว่าตนเองไม่ได้ไปทำงานที่นั่นอยู่แล้ว เพราะต่อให้ออกจากที่เดิมไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ร้านใหม่อย่างร่ำเมรัยก็ไม่ต้อนรับเธออยู่ดี แต่หากถามความรู้สึกของเธอจริงๆ แล้วค่อนข้างอยากไปทำงานที่นั่น เพราะดูแล้วน่าจะไปได้ดี ยิ่งเวลานี้ค่อนข้างมีแต่ปัญหาและเกรงว่าจะส่งผลต่อสภาพคล่องทางการเงิน เธอจึงอยากได้งานที่ทำเงินได้พอใช้
ลากันเสร็จสรรพชายหนุ่มทั้งสองก็ถอยร่นกลับไปขึ้นรถ อัสมายืนอยู่ที่เดิม มือข้างหนึ่งเอื้อมไปแตะผนังบ้านเพื่อเป็นที่ยึด มืออีกข้างยกขึ้นมาโบกให้รถหรูที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป
ถึงเจ้านายจะใจร้าย แต่ลูกน้องของเขาดีกับเธอมาก
ถ้าในวันนั้น เขายอมที่จะรับเลี้ยงเธอ ชีวิตจะเป็นเช่นไรก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่ในเมื่อฟ้าไม่ได้ส่งเขามาให้กับเธอ เธอก็ไม่คิดดันทุรัง เท่าที่ทำเรื่องน่าอายไปก็แย่มากพอแล้ว ใครจะคิดว่าชีวิตสาวน้อยจนๆ จะได้วนมาเจอกับหนุ่มเศรษฐีอย่างเขาบ่อยๆ กัน แถมยังเป็นเศรษฐีปากไม่ดีอีก อัสมาขอลาขาด
✿✿✿✿✿✿✿
ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำมาในยามค่ำคืน มีใครบางคนยืนทอดสายตามองหยดน้ำด้วยความเจ็บปวด ฝนมาพร้อมกับความทรงจำอันเลวร้ายที่ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจลบมันออกจากจิตใจได้ ทว่ามีแต่ยิ่งตอกย้ำให้นึกถึงเรื่องราวที่ยากจะลืมเลือน แต่รวดร้าวที่จะจดจำ หญิงสาวหันหลังกลับเนื่องด้วยไม่มีความกล้าพอที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าห่าฝนไปได้ หล่อนกลัวเหลือเกินว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ภายในร้านอาหารที่บัดนี้มีเพียงเพื่อนพนักงานด้วยกันคอยเก็บร้านตามหน้าที่เท่านั้น ตนเป็นเพียงพนักงานเสิร์ฟอาหาร เมื่อร้านปิดจึงไม่มีหน้าที่อื่นที่ต้องทำอีก และเหนือสิ่งอื่นใดเธอเองก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานๆ หากเวลาเลิกงานมาถึง เพราะต้องไปทำงานอีกที่หนึ่ง ซึ่งตอนนี้การไปที่นั่นก็ติดอุปสรรคคือฝน เวลาเดินหน้าไปเรื่อยๆ จวนจะถึงเวลาที่ควรออกไปจากที่แห่งนี้ได้แล้ว แต่ฝนไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกเลย ซ้ำยังโหมกระหน่ำมากกว่าเมื่อครู่ เป็นเหตุให้เจ้าตัวเริ่มกังวลว่าอาจจะเข้างานสาย เท่าที่อีกฝ่ายยอมให้เธอได้ทำงานก็ถือว่าเมตตามากแล้ว จึงไม่อยากทำให้ใครต้องเดือดร้อน แต่เธอก็เอาชนะการฝ่าฝนไม่ได้ เพียงแค่คิด มือไม้ก็ส
ตีสี่ครึ่งเป็นเวลาตื่นของอัสมา ซึ่งเรียกได้ว่าเช้ากว่าชาวบ้านชาวช่องเขามาก เธอตื่นมาเตรียมตัวขายโจ๊กในตอนเช้า เพราะเป็นอาชีพของแม่ที่ทำมานาน แต่พอเกิดอุบัติเหตุก็ไม่สามารถทำต่อได้ เธอเห็นว่าสามารถทำในช่วงเช้าได้และพอจะมีกำไรจึงตัดสินใจสานต่อโดยมีป้าติ๋มเป็นคนช่วยเตรียมของ เงินเดือนของการดูแลแม่นั้นหล่อนเรียกเพียงหนึ่งหมื่นห้า สำหรับคนแถวนี้นับว่ามากแล้ว อีกสามพันคือเงินเดือนส่วนที่ช่วยจัดการเรื่องโจ๊กเพราะเธอไม่มีเวลาทำเอง เธอได้เปรียบที่บ้านอยู่ใกล้โรงเรียน จึงขายได้พอคุ้มเหนื่อย โดยเฉพาะวันจันทร์ถึงวันศุกร์จะขายดีเป็นพิเศษ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ถือว่าเงียบเหงา แต่โจ๊กเป็นของที่ขายดีในช่วงเช้า พอผ่านไปก็ขายไม่ค่อยได้ แต่ก่อนเธอเคยทดลองเปิดร้านทั้งวันเพราะคิดว่าจะยึดเป็นหลักในการหาเงิน แต่มันไม่เข้าท่าเท่าที่ควร จึงขายถึงแค่ช่วงเช้าถึงสายๆ พอปิดร้านเรียบร้อยในช่วงสิบโมงก็ลาแม่กับป้าติ๋มก่อนจะออกไปทำงานที่ร้านอาหาร อัสมาเป็นหนึ่งในคนที่ไม่งอมืองอเท้าแต่กลับสู้ชีวิตทุกอย่าง เรื่องนี้ใครๆ ต่างก็รับรู้ แต่ใช่ว่าเจ้าตัวอยากสู้ ความจริงแล้วเธอเหนื่อยสายตัวแทบขาดในทุกๆ วัน ร้องไห้ทีนึกว่าน
บทเพลงได้พบเธอที่เพิ่งจบไปเมื่อสักครู่ถือเป็นเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ อัสมาเก็บไมโครโฟนไว้ที่เดิมแล้วก้าวเดินลงจากเวที วันนี้ได้เงินจากการร้องเพลงทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อย ผนวกกับที่ไปทำงานที่โรงแรมก็เกือบสองพัน เธอระบายยิ้มให้กับตัวเองที่อย่างน้อยก็ได้ค่าจ้างที่คุ้มค่าเหนื่อย ก่อนที่มือกีตาร์อย่างภวิศจะเดินมาขนาบข้าง มือข้างหนึ่งถือวิสาสะพาดมาที่บ่าอย่างสนิทสนม “ไง แต่งหน้าซะสวยเลยวันนี้” สำหรับคนในวงดนตรีที่ร้านแห่งนี้ อัสมานับถือทุกคนเป็นพี่ และดูเหมือนว่าพี่ๆ ทุกคนก็มองเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง การกระทำของภวิศจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เธอหันไปยิ้มน้อยๆ ให้คนข้างกาย “ก็บอกแล้วว่าไปทำงานที่โรงแรมมา ไปหน้าสดๆ พี่แยมกินหัวตาย” “อย่าโหมงานหนักมาก รู้ไหม พักผ่อนบ้าง ถ้ามีปัญหาอะไรจะหยิบยืมพี่หรืออีกสองคนก็ใช่ว่าจะหวงกับเราสักหน่อย” “อือ มีอะไรก็บอกพี่ได้ ช่วยได้จะช่วย” ชิตวรที่เดินตามหลังมาพูดขึ้นบ้าง เจ้าตัวเป็นมือเบสประจำวง อายุเท่าภวิศคือยี่สิบแปด ต่างจากอัคภัทรที่เป็นพี่สุดเพราะอายุแตะเลขสามมาหมาดๆ ได้ฟังเช่นนั้นหญิงสาวคนเดียวของวงก็ได้แต่เอ่ยคำขอบคุณ ทว่าเธอไม่มีความคิดที่จะหยิบยื
“ไอ้ดินมันไปไหน มาเปิดร้านทิ้งไว้ให้โจรเข้ามาขโมยของหรือไงวะ” แม้เขาจะหันไปพูดกับชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหลัง แต่เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายจงใจพูดจากระทบกระทั่ง โดยเฉพาะคำว่า ‘โจร’ “ขอโทษนะคะ หนูไม่ใช่โจรค่ะ แค่เห็นว่าทางร้านรับสมัครพนักงานเลยเข้ามา” “ฉันว่าเธอเป็นโจรเหรอ” เขาเลิกคิ้วถามทำเอาคนตัวเล็กไปไม่ถูก “ฉันแค่ตำหนิลูกน้อง จะรีบร้อนตัวไปทำไม” อัสมาได้แต่บ่นอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดอะไรออกไปสักคำ แม้แต่จะขออนุญาตออกจากร้านปากเธอยังไม่ยอมขยับ รู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางจนน่าโมโห ความจริงแล้วไม่น่าคิดว่าจะทำงานที่นี่เลย เท่าที่ทำอยู่ก็มากพอสมควรแล้ว จึงรวบรวมความกล้าเงยหน้าไปมองคนมาใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะพ่วงตำแหน่งเจ้าของร้าน ก่อนจะค้อมหัวให้เล็กน้อยแล้วพยายามทำตัวลีบเพื่อเดินออกไปด้านนอก “เดี๋ยว” เสียงทุ้มเอ่ยขัดการก้าวเดิน เธอจึงหันไปมองอย่างตั้งคำถาม “จะสมัครงาน?” “ค่ะ” ตอบไปด้วยความปากไว ร่างบางสลัดทุกเรื่องที่ผ่านมาทิ้งไปแล้วระบายยิ้มให้คนตรงหน้า “หนูทำได้ทุกอย่างค่ะ แต่ถนัดที่สุดคือร้องเพลง” “แล้วร้านนั้น” คำถามที่อีกฝ่ายยิงเข้ามาจังๆ ทำให้คนตัวเล็กนิ่งไปพักหนึ่ง เขาจำเธอได้อย่างนั้
ในเช้าวันนั้นเธอก็หัวหมุนไปกับธุระทั้งเรื่องที่โรงพยาบาลและโรงพัก กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็บ่ายแก่ๆ ซึ่งนั่นทำให้อัสมารู้สึกเกรงใจชิตวรเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรีบไปรีบกลับ แต่เอาเข้าจริงมันเร่งไม่ได้เลย และเรื่องราวก็ซับซ้อนจนน่าปวดหัว ทั้งๆ ที่แจ้งความไปแล้วแต่ไม่รู้เลยว่าจะมีความคืบหน้าหรือเอาผิดใครได้บ้าง เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังคงเป็นคนมีเงินและมีอิทธิพล เธอมันแค่คนตัวเล็กๆ ในสังคม พูดอะไรไปก็ไม่มีใครได้ยินเสียง “ขอบคุณมากนะคะพี่ศิลป์ที่ช่วยดูแลแม่หนู หนูคิดว่าจะได้กลับมาไวกว่านี้ ขอโทษนะคะ อันนี้หนูแวะซื้อมาฝากค่ะ เผื่อพี่ยังไม่ได้กินอะไร” ว่าพร้อมกับยื่นกล่องข้าวให้ ชายหนุ่มยื่นมือมารับอย่างไม่อิดออด รอยยิ้มอันอบอุ่นของอีกฝ่ายปรากฏบนใบหน้า “ยังไม่ได้กินอะไรจริงๆ นั่นแหละ ไม่หิวเท่าไร แต่ได้กินก็ดี เราล่ะ กินอะไรมายัง” อัสมาส่ายหน้า เธอกินอะไรไม่ลง วันทั้งวันได้ดื่มแต่น้ำเปล่า “ไปกินด้วยกัน กล่องนี้แหละ เราเหลือตัวนิดเดียวแล้วนะ รู้ตัวบ้างหรือเปล่า” “พอรู้ค่ะ แต่พี่กินเถอะ” “พี่พูดในฐานะคนที่ให้ความช่วยเหลือเรา จะไม่ตอบแทนพี่เหรอ” เมื่อโดนมัดมือชกอัสมา
“ไปทำอีท่าไหนถึงได้ไปนอนเล่นข้างทางแบบนั้นล่ะ สนุกไหม” เสียงคนมาใหม่ทำให้เธอละสายตาจากคู่สนทนาแล้วหันไปมอง เป็นเขานั่นเอง แต่ถึงจะไม่ชอบเธอขนาดไหน การเห็นเธอเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ก็น่าจะเห็นใจกันบ้างไม่ใช่หรือ เขามันคนไม่มีหัวใจ เท่าที่เคยสัมผัสมาก็พอจะรู้อยู่บ้าง เธอไม่ได้คาดหวัง แต่การที่เขาปากร้ายเกินไปอัสมาก็ไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน “เธอโดนทำร้ายน่ะครับ” อรัณย์เอ่ยบอกแก่เจ้านาย “มีคนถีบรถเธอจนล้มแล้วก็หนีไป” ปราชญาธิปแค่นหัวเราะ “โดนถีบ ไปสร้างศัตรูที่ไหนมาล่ะ” อัสมาไม่ตอบคำถาม เธอแค่มองเข้าไปในดวงตาของคนร้ายกาจที่มีหน้ามาหัวเราะให้กับเรื่องร้ายๆ ของคนอื่น ก่อนจะรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว “เรื่องของหนูมันตลกมากเลยเหรอคะ” รถกู้ภัยมาถึงพอดี เธอจึงได้รับการช่วยเหลือ และได้รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เจ็บขาจนแทบขยับไม่ได้ นั่นก็เพราะมีเศษแก้วชิ้นใหญ่แทงไปที่ส้นเท้าและเสียบคาไว้อย่างนั้น เลือดไหลไม่หยุดแต่เธอเจ็บจนชาเลยไม่รู้ว่ามีแผลใหญ่ขนาดนี้ ทางทีมอาสาจึงรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำตัวส่งโรงพยาบาล “คุณคะ หนูฝากจัดการเรื่องทางนี้หน่อยนะคะ” ก่อนจะถูกเข็นขึ้นรถก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยกับชายคนหนึ่งซึ่งดูจ
ในเช้าวันนั้นเธอก็หัวหมุนไปกับธุระทั้งเรื่องที่โรงพยาบาลและโรงพัก กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็บ่ายแก่ๆ ซึ่งนั่นทำให้อัสมารู้สึกเกรงใจชิตวรเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรีบไปรีบกลับ แต่เอาเข้าจริงมันเร่งไม่ได้เลย และเรื่องราวก็ซับซ้อนจนน่าปวดหัว ทั้งๆ ที่แจ้งความไปแล้วแต่ไม่รู้เลยว่าจะมีความคืบหน้าหรือเอาผิดใครได้บ้าง เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังคงเป็นคนมีเงินและมีอิทธิพล เธอมันแค่คนตัวเล็กๆ ในสังคม พูดอะไรไปก็ไม่มีใครได้ยินเสียง “ขอบคุณมากนะคะพี่ศิลป์ที่ช่วยดูแลแม่หนู หนูคิดว่าจะได้กลับมาไวกว่านี้ ขอโทษนะคะ อันนี้หนูแวะซื้อมาฝากค่ะ เผื่อพี่ยังไม่ได้กินอะไร” ว่าพร้อมกับยื่นกล่องข้าวให้ ชายหนุ่มยื่นมือมารับอย่างไม่อิดออด รอยยิ้มอันอบอุ่นของอีกฝ่ายปรากฏบนใบหน้า “ยังไม่ได้กินอะไรจริงๆ นั่นแหละ ไม่หิวเท่าไร แต่ได้กินก็ดี เราล่ะ กินอะไรมายัง” อัสมาส่ายหน้า เธอกินอะไรไม่ลง วันทั้งวันได้ดื่มแต่น้ำเปล่า “ไปกินด้วยกัน กล่องนี้แหละ เราเหลือตัวนิดเดียวแล้วนะ รู้ตัวบ้างหรือเปล่า” “พอรู้ค่ะ แต่พี่กินเถอะ” “พี่พูดในฐานะคนที่ให้ความช่วยเหลือเรา จะไม่ตอบแทนพี่เหรอ” เมื่อโดนมัดมือชกอัสมา
“ไอ้ดินมันไปไหน มาเปิดร้านทิ้งไว้ให้โจรเข้ามาขโมยของหรือไงวะ” แม้เขาจะหันไปพูดกับชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหลัง แต่เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายจงใจพูดจากระทบกระทั่ง โดยเฉพาะคำว่า ‘โจร’ “ขอโทษนะคะ หนูไม่ใช่โจรค่ะ แค่เห็นว่าทางร้านรับสมัครพนักงานเลยเข้ามา” “ฉันว่าเธอเป็นโจรเหรอ” เขาเลิกคิ้วถามทำเอาคนตัวเล็กไปไม่ถูก “ฉันแค่ตำหนิลูกน้อง จะรีบร้อนตัวไปทำไม” อัสมาได้แต่บ่นอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดอะไรออกไปสักคำ แม้แต่จะขออนุญาตออกจากร้านปากเธอยังไม่ยอมขยับ รู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางจนน่าโมโห ความจริงแล้วไม่น่าคิดว่าจะทำงานที่นี่เลย เท่าที่ทำอยู่ก็มากพอสมควรแล้ว จึงรวบรวมความกล้าเงยหน้าไปมองคนมาใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะพ่วงตำแหน่งเจ้าของร้าน ก่อนจะค้อมหัวให้เล็กน้อยแล้วพยายามทำตัวลีบเพื่อเดินออกไปด้านนอก “เดี๋ยว” เสียงทุ้มเอ่ยขัดการก้าวเดิน เธอจึงหันไปมองอย่างตั้งคำถาม “จะสมัครงาน?” “ค่ะ” ตอบไปด้วยความปากไว ร่างบางสลัดทุกเรื่องที่ผ่านมาทิ้งไปแล้วระบายยิ้มให้คนตรงหน้า “หนูทำได้ทุกอย่างค่ะ แต่ถนัดที่สุดคือร้องเพลง” “แล้วร้านนั้น” คำถามที่อีกฝ่ายยิงเข้ามาจังๆ ทำให้คนตัวเล็กนิ่งไปพักหนึ่ง เขาจำเธอได้อย่างนั้
บทเพลงได้พบเธอที่เพิ่งจบไปเมื่อสักครู่ถือเป็นเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ อัสมาเก็บไมโครโฟนไว้ที่เดิมแล้วก้าวเดินลงจากเวที วันนี้ได้เงินจากการร้องเพลงทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อย ผนวกกับที่ไปทำงานที่โรงแรมก็เกือบสองพัน เธอระบายยิ้มให้กับตัวเองที่อย่างน้อยก็ได้ค่าจ้างที่คุ้มค่าเหนื่อย ก่อนที่มือกีตาร์อย่างภวิศจะเดินมาขนาบข้าง มือข้างหนึ่งถือวิสาสะพาดมาที่บ่าอย่างสนิทสนม “ไง แต่งหน้าซะสวยเลยวันนี้” สำหรับคนในวงดนตรีที่ร้านแห่งนี้ อัสมานับถือทุกคนเป็นพี่ และดูเหมือนว่าพี่ๆ ทุกคนก็มองเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง การกระทำของภวิศจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เธอหันไปยิ้มน้อยๆ ให้คนข้างกาย “ก็บอกแล้วว่าไปทำงานที่โรงแรมมา ไปหน้าสดๆ พี่แยมกินหัวตาย” “อย่าโหมงานหนักมาก รู้ไหม พักผ่อนบ้าง ถ้ามีปัญหาอะไรจะหยิบยืมพี่หรืออีกสองคนก็ใช่ว่าจะหวงกับเราสักหน่อย” “อือ มีอะไรก็บอกพี่ได้ ช่วยได้จะช่วย” ชิตวรที่เดินตามหลังมาพูดขึ้นบ้าง เจ้าตัวเป็นมือเบสประจำวง อายุเท่าภวิศคือยี่สิบแปด ต่างจากอัคภัทรที่เป็นพี่สุดเพราะอายุแตะเลขสามมาหมาดๆ ได้ฟังเช่นนั้นหญิงสาวคนเดียวของวงก็ได้แต่เอ่ยคำขอบคุณ ทว่าเธอไม่มีความคิดที่จะหยิบยื
ตีสี่ครึ่งเป็นเวลาตื่นของอัสมา ซึ่งเรียกได้ว่าเช้ากว่าชาวบ้านชาวช่องเขามาก เธอตื่นมาเตรียมตัวขายโจ๊กในตอนเช้า เพราะเป็นอาชีพของแม่ที่ทำมานาน แต่พอเกิดอุบัติเหตุก็ไม่สามารถทำต่อได้ เธอเห็นว่าสามารถทำในช่วงเช้าได้และพอจะมีกำไรจึงตัดสินใจสานต่อโดยมีป้าติ๋มเป็นคนช่วยเตรียมของ เงินเดือนของการดูแลแม่นั้นหล่อนเรียกเพียงหนึ่งหมื่นห้า สำหรับคนแถวนี้นับว่ามากแล้ว อีกสามพันคือเงินเดือนส่วนที่ช่วยจัดการเรื่องโจ๊กเพราะเธอไม่มีเวลาทำเอง เธอได้เปรียบที่บ้านอยู่ใกล้โรงเรียน จึงขายได้พอคุ้มเหนื่อย โดยเฉพาะวันจันทร์ถึงวันศุกร์จะขายดีเป็นพิเศษ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ถือว่าเงียบเหงา แต่โจ๊กเป็นของที่ขายดีในช่วงเช้า พอผ่านไปก็ขายไม่ค่อยได้ แต่ก่อนเธอเคยทดลองเปิดร้านทั้งวันเพราะคิดว่าจะยึดเป็นหลักในการหาเงิน แต่มันไม่เข้าท่าเท่าที่ควร จึงขายถึงแค่ช่วงเช้าถึงสายๆ พอปิดร้านเรียบร้อยในช่วงสิบโมงก็ลาแม่กับป้าติ๋มก่อนจะออกไปทำงานที่ร้านอาหาร อัสมาเป็นหนึ่งในคนที่ไม่งอมืองอเท้าแต่กลับสู้ชีวิตทุกอย่าง เรื่องนี้ใครๆ ต่างก็รับรู้ แต่ใช่ว่าเจ้าตัวอยากสู้ ความจริงแล้วเธอเหนื่อยสายตัวแทบขาดในทุกๆ วัน ร้องไห้ทีนึกว่าน
ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำมาในยามค่ำคืน มีใครบางคนยืนทอดสายตามองหยดน้ำด้วยความเจ็บปวด ฝนมาพร้อมกับความทรงจำอันเลวร้ายที่ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจลบมันออกจากจิตใจได้ ทว่ามีแต่ยิ่งตอกย้ำให้นึกถึงเรื่องราวที่ยากจะลืมเลือน แต่รวดร้าวที่จะจดจำ หญิงสาวหันหลังกลับเนื่องด้วยไม่มีความกล้าพอที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าห่าฝนไปได้ หล่อนกลัวเหลือเกินว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ภายในร้านอาหารที่บัดนี้มีเพียงเพื่อนพนักงานด้วยกันคอยเก็บร้านตามหน้าที่เท่านั้น ตนเป็นเพียงพนักงานเสิร์ฟอาหาร เมื่อร้านปิดจึงไม่มีหน้าที่อื่นที่ต้องทำอีก และเหนือสิ่งอื่นใดเธอเองก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานๆ หากเวลาเลิกงานมาถึง เพราะต้องไปทำงานอีกที่หนึ่ง ซึ่งตอนนี้การไปที่นั่นก็ติดอุปสรรคคือฝน เวลาเดินหน้าไปเรื่อยๆ จวนจะถึงเวลาที่ควรออกไปจากที่แห่งนี้ได้แล้ว แต่ฝนไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกเลย ซ้ำยังโหมกระหน่ำมากกว่าเมื่อครู่ เป็นเหตุให้เจ้าตัวเริ่มกังวลว่าอาจจะเข้างานสาย เท่าที่อีกฝ่ายยอมให้เธอได้ทำงานก็ถือว่าเมตตามากแล้ว จึงไม่อยากทำให้ใครต้องเดือดร้อน แต่เธอก็เอาชนะการฝ่าฝนไม่ได้ เพียงแค่คิด มือไม้ก็ส