ณารากุมบาดแผลฉกรรจ์กลางหน้าอกทะลุแผ่นหลัง ดวงตาพร่าพรายแลเห็นโลหิตแดงฉาดฉาน ปลายจมูกสัมผัสกลิ่นคาวที่กำลังพาเธอก้าวล่วงเข้าสู่ความตาย รู้ดีว่าตนเองคงไม่รอดแน่แล้ว
ดีเหมือนกัน... เธอจะได้ตามไปเจอน้าอี้ฟาน เจอพ่อแม่ในโลกหลังความตายสักที
พร้อมกับความคิดนั้น ร่างเพรียวระหงก็ล้มฟาดลงกับพื้น พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายปลิดปลิวไปราวใบไม้ถูกสายลมแรงปลิดจากขั้ว ร่วงผลอยลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง ก่อนจะถูกสายน้ำพัดพาไปอย่างไร้จุดหมาย
อีกห้วงเวลาหนึ่ง...
ณ. เรือนเหมยฮวา ภายในบริเวณตำหนักท่านอ๋อง 9 เฉินลู่ซี พร้อมด้วยขบวนหาบของขวัญพระราชทานจากฮ่องเต้ไท่จือ เพิ่งจะเดินทางมาถึง และถูกเชิญเข้ามาในห้องรับรองอันโอ่โถง
“เฉินลู่ซี คำนับท่านอ๋อง 9 ขอจงเจริญ”
“อ้อ ใต้ท้าวเฉิน เชิญนั่ง ไม่ต้องเกรงใจ ท่านเดินทางมาไกล ยังต้องนำของพระราชทานจากฮ้องเต้มาให้ข้าอีก คงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เชิญใต้ท้าวเฉินไปพักผ่อนที่ศาลาริมน้ำดีกว่านะ จะได้เล่นหมากรุกกันสักกระดานสองกระดาน”
“ครับท่านอ๋อง เชิญๆ” ว่าแล้วเฉินลู่ซีก็เดินตามเจ้าบ้านมายังศาลาหลังคาทรงเก๋งจีนริมลำธาร ไม่ไกลจากตำหนักใหญ่ โดยมีเจียงจื่อหยา จี้หมิน และเจิ้นหยางสองมือปราบเดินตามมาด้วย
“อ้อ ข้าลืมถามไป องครักษ์เจิ้งไม่ได้มาด้วยเรอะ”
ท่านอ๋อง ข้าได้ให้องครักษ์เจิ้งไปสืบคดีในเมืองฉางโจวน่ะครับ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องทราบเรื่องการหายตัวไปของหญิงตั้งครรภ์รึเปล่า”
“อึม วันๆ ข้าเอาแต่สวดมนต์อยู่ในห้องพระ ไม่ทราบเรื่องราวความเป็นไปภายนอกตำหนักหรอก ถ้าเป็นท่านแม่ทัพหลี่ ก็น่าจะทราบอยู่”
“ท่านอ๋องหมายถึง ท่านแม่ทัพหลี่เหวินเฉา แม่ทัพกองเรือเดินสมุทรน่ะเหรอครับ เท่าที่ข้าทราบ ท่านแม่ทัพคนนี้ เป็นคนหูตากว้างไกลทีเดียว”
“ถูกต้องแล้วล่ะ หลี่จิ้ง ลูกชายคนเดียวของท่านแม่ทัพเองก็เป็นนายกองเรือ เจริญรอยตามบิดา น่าชื่นชมนัก รูปก็งาม เก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ ใต้ท้าวเฉิน ในฐานะที่ข้านับเป็นเพื่อนสนิทกับท่าน ท่านคิดเห็นอย่างไร หากว่าข้าจะให้เจี้ยนฟาง ลูกสาวของข้า ได้ออกเรือนกับหลี่จิ้ง”
“ท่านอ๋อง ในความเห็นของข้า ก็อยากให้ท่านเปิดโอกาสให้ท่านหญิงน้อยได้ร่วมตัดสินใจด้วยนะ เพราะเรื่องออกเรือน เป็นเรื่องสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตลูกผู้หญิงคนหนึ่ง ดั่งภาษิตว่า ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน”
“อึม ใต้ท้าวเฉินพูดก็มีเหตุผล” ท่านอ๋อง 9 ยกมือขึ้นลูบเครายาวเบาๆ วางม้าในมือลงกับกระดาน สีหน้าครุ่นค
หากจ้าวเจี้ยนฟางได้เป็นภรรยาของหลี่จิ้ง เป็นลูกสะใภ้ของหลี่เหวินเฉาละก็ เขาก็จะกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในเมืองฉางโจว รวมถึงเกาะทางใต้ด้วยเช่นกัน
ท่านอ๋องรู้ดีว่า ความสุขของลูกสาวนั้นสำคัญก็จริง แต่ก็ไม่อยากผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับหลี่เหวินเฉา
แม้จะเห็นด้วยกับคำพูดของขุนนางคนสนิทอย่างเฉินลู่ซี แต่ก็ไม่อาจตัดสินใจได้เด็ดขาด
“ได้ยินว่า ท่านแม่ทัพหลี่เป็นผู้ทรงอิทธิพลในแถบนี้ รวมทั้งเกาะทางทะเลใต้ด้วย”
“ใช่ ที่จริง ข้าไม่ได้เกรงกลัวอิทธิพลของแม่ทัพหลี่หรอก แต่ข้าเคยไปสัญญากับแม่ทัพลี่ไว้น่ะสิว่า หากลูกข้าเป็นหญิง จะให้แต่งงานกับหลี่จิ้ง แล้วคนที่ข้าเห็นว่าเหมาะสมที่สุด ก็มีเพียงเจี้ยนฟางเท่านั้น”
“อ้อ เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง หากท่านอ๋องลำบากใจ เกรงจะผิดใจกับท่านแม่ทัพละก็ ก็ควรให้เวลาบุตรีของท่านกับบุตรชายของท่านแม่ทัพหลี่ได้ศึกษาดูใจซึ่งกันและกันไปก่อน หากทั้งสองไม่ได้รู้สึกอย่างไรต่อกัน ไม่สามารถแต่งงานกันได้ ถึงตอนนั้น ท่านก็จะไม่ต้องกลัวว่าจะต้องบาดหมางกับท่านแม่ทัพหลี่อีกแล้วล่ะ ส่วนเรื่องอิทธิพลของท่านแม่ทัพหลี่นั้น ท่านอย่าวิตกไปเลยนะ เพราะถึงอย่างไร ท่านอ๋องก็เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นพระญาติสนิทของฝ่าบาท ใครเลยจะกล้าริดรอนอำนาจของท่านอ๋องได้”
ฟังคำพูดของเฉินลู่ซีแล้ว ท่านอ๋อง 9 ก็ตัดสินใจได้ในทันทีว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไป
ภายในห้องพักส่วนตัวของฮุ่ยเหนียง ตำหนักของท่านอ๋อง 9 ฮุ่ยเหนียงก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด แววตาของนางเต็มไปด้วยความชิงชังที่มีต่อลูกเลี้ยงอย่างจ้าวเจี้ยนฟาง
แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ที่ลูกเลี้ยงคนนี้ไม่เคยยอมก้มหัวให้ ไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา ถือว่าตนเองเป็นท่านหญิง เป็นบุตรีคนโปรดของท่านอ๋อง 9 แล้วจะทำอย่างไรกับนางก็ได้อย่างนั้นหรือ
ในเมื่อจ้าวเจี้ยนฟางก้าวออกมาจากวังหลวง กลับมารนหาที่ตายถึงที่นี่ ฮุ่ยเหนียงคนนี้แหละจะช่วยให้นางสมหวังเอง
งานเลี้ยงวันเกิดของท่านอ๋อง 9 ในค่ำคืนนี้จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย มีเพียงเฉินลู่ซี แม่ทัพหลี่เหวินเฉาพร้อมลูกชายเท่านั้น ที่ได้รับเทียบเชิญให้มาเป็นแขกในงาน
ขณะที่ทุกคนนั่งรับประทานอาหารอยู่ในงานนั่นเอง เจิ้งหมิง ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างปลอมตัวสืบคดีการหายตัวไปของหญิงตั้งครรภ์ในเมืองฉางโจว จึงติดตามเฉินลู่ซีมาเงียบๆ ไม่ได้แสดงตัว
เขานั่งอยู่บนหลังคาตำหนักใหญ่ มองใต้ท้าวเฉินสนทนากับแม่ทัพหลี่เหวินเฉา ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ บริเวณ
จะว่าไปตำหนักของท่านอ๋อง 9 ก็ใหญ่โตกว้างขวางใช่เล่น ทหาร คนรับใช้ก็มากมาย หากท่านก็เลือกที่จะใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่สร้างอิทธิพลเช่นแม่ทัพหลี่เหวินเฉา เท่าที่ทราบจากใต้ท้าวเฉินกับท่านเลขาเจียง นอกจากท่านอ๋องจะอยู่แต่ในห้องพระ ห้องหนังสือ ชมสวนแล้ว ก็ไม่ได้ทำอะไรอื่น เรื่องการเมือง เรื่องจะข้องเกี่ยวกับผู้คนภายนอกตำหนักนั้นไม่มีเลย นับว่าท่านมีความสุขกับชีวิต เป็นท่านอ๋องสุขสันต์โดยแท้จริง
เจิ้งหมิงจ่อมจมอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าสตรีนางหนึ่งก้าวเรื่อยๆ มาจากเรือนเหมยฮวา มุ่งหน้าสู่ตำหนักใหญ่
แสงจากโคมแขวนเป็นแนวตามทางเดิน เผยให้เห็นดวงหน้างามชวนหลงไหล
องครักษ์หนุ่มพินิจมองดวงหน้างามอยู่เป็นครู่ พลันดวงหน้าของณารา หญิงสาวในความทรงจำก็แทรกเข้ามาทาบทับดวงหน้าของสตรีงาม แม้ว่าเขาจะยกมือขึ้นขยี้ตาหลายครั้ง ก็ไม่อาจลบภาพดวงหน้านั้นได้เลย
อะไรกัน! แม่นางผู้กล้าหาญตายไปแล้วนี่นะ เหตุใดภาพของนางจึงตราตรึงอยู่ในห้วงคำนึงของเขาเช่นนี้
จ้าวเจี้ยนฟางเดินเข้ามาในงานเลี้ยมวันเกิดของบิดา คารวะใต้ท้าวเฉินด้วยความเต็มใจ แต่เมื่อเลื่อนสายตามาหยุดอยู่ตรงหน้าแม่ทัพหลี่เหวินเฉา และหลี่จิ้ง นางกลับคารวะไปตามมารยาทเท่านั้น “นี่เจี้ยนฟาง ลูกสาวคนเล็กของข้าที่เพิ่งกลับมาจากวังหลวง ต่อไปเจี้ยนฟางจะกลับมาอยู่ที่นี่แล้วล่ะนะ” “ดีๆ นั่งก่อนสิหลานเจี้ยนฟาง” หลี่เหวินเฉาผายมือไปยังเก้าอี้ข้างตัวบุตรชาย“มานั่งด้วยกันเถิดน้องหญิง” หลี่จิ้งเชื้อเชิกุลีกุจอตักอาหารให้อย่างรู้หน้าที่จ้าวเจี้ยนฟางจึงต้องเดินมานั่งลงข้างๆ เขาอย่างเสียมิได้“ท่านหญิงน้อยก็กลับมาแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันดี ข้าว่าเรามาคุยเรื่องงานมงคลระหว่างลูกจิ้งกับท่านหญิงดีกว่านะครับท่านอ๋อง” หลี่เหวินเฉาเอ่ยกลั้วหัวเราะขณะที่ท่านหญิงน้อยหน้าตึงขึ้นมาในทันที แม้จะถูกอบรมให้ซ่อนสีหน้า สงบปากสงบคำยามอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ แต่กับเรื่องที่เพิ่งได้ยินแบบไม่เคยรู้ล่วงหน้าเช่นนี้ เธอคงไม่อาจทำได้“หมายความว่ายังไงคะท่านพ่อ”“เอ่อ… เรื่องนั้นเอาไว้คุยกันวันหลังเถิดนะแม่ทัพหลี่”“ไม่ได้หรอก วันนี้แหละ เหมาะสมที่สุดแล้ว” หลี่เหวินเฉาเร่ง ขัดใจนิดๆ ที่เอาเข้าจ
ในโลกแห่งความตายที่บัดนี้มิได้มีเส้นแบ่งแห่งการเวลากางกั้นนั้น ณาราลืมตาขึ้น พบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคยสถานที่ที่เธอยืนอยู่เป็นป่าเขาสลัวรางท่ามกลางแสงจันทร์ แลเห็นทิวไม้ตะคุ่มดำ และตรงหน้าของเธอคือ หญิงสาวนางหนึ่งกำลังเดินใกล้เข้ามา “คุณเป็นใคร” “ข้าชื่อจ้าวเจี้ยนฟาง” นางตอบช้าๆ น้ำเสียงกังวานดุจระฆังแก้ว ณาราจ้องดวงหน้างดงามนั้น นิ่งทบทวนเหตุการณ์ครู่หนึ่ง จริงสินะ… เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เธอเข้าแย่งปืนกับคนร้าย เพื่อรักษาชีวิตของธีรเทพเอาไว้นี่นา แล้วปืนก็ลั่น จริงสินะ...เสียงปืนดังจนแก้วหูลั่นเปรี๊ยะนั่นคงจะทำให้เธอตายไปแล้ว ที่นี่คงเป็นโลกแห่งความตายละกระมัง แล้วผู้หญิงคนที่ยืนอยุ่ตรงหน้าเธอเองก็คงตายแล้วเหมือนกัน “ฉันตายแล้ว แล้วคุณเองก็ตายแล้วเหมือนกันใช่มั้ย” หญิงสาวผู้นั้นนิ่งไป คล้ายกำลังทบทวนเหตุการณ์อยู่เช่นกัน “ข้าเองก็คงตายไปแล้วเหมือนกัน” “ถ้างั้น อีกไม่นาน ยมทูตก็จะมารับเราสองคนไปนรก ใช่มั้ยคุณ” ณาราเอ่ยเรื่อยๆ ไม่อนาทรร้อนใจ
“ข้าฝากด้วยนะครับท่านเจียง” “ให้ข้าดูอาการก่อนเถิด” เลขาเจียงจับชีพจรครู่หนึ่ง ก่อนนิ่วหน้า “ชีพจรสับสน ลมปรานติดขัด คงบาดเจ็บภายในไม่น้อย ท่านออกไปก่อนเถอะ ข้าจะรักษาคนเจ็บเอง”เลขาเจียงเอ่ยหนักแน่น รอกระทั่งองครักษ์หนุ่มออกไปแล้ว จึงเริ่มการรักษา ครั้นเมื่อเลิกเสื้อตัวนอกออก ก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นว่า หนุ่มน้อยคนที่เจิ้งหมิงพามาด้วย เป็นสตรี ยิ่งเมื่อถอดหมวกที่นางสวมอยู่ออก ก็จำได้ในทันทีว่า สตรีผู้นี้เป็นใคร จากที่ตั้งใจจะรักษานางเพียงลำพัง จึงต้องให้มือปราบจี้หมินตามสาวใช้มาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง และอยู่ร่วมการรักษาพยาบาลด้วย สองชั่วยามของการรักษาพยาบาล เจียงจี่หยาก็ก้าวออกมาจากห้องพักผู้ป่วยชั่วคราว ด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “ท่านเจียง คนเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง” “ใต้ท้าว ข้าได้รักษาบาดแผลให้แล้ว และเอ่อ” “มีอะไรเรอะ” “เรียนใต้ท้าว ที่จริงแล้ว คนเจ็บไม่ใช่หนุ่มน้อย แต่เป็นสตรีครับ และนางก็คือ ท่านหญิงจ้าวเจี้ยนฟางครับ” สิ่งที่ได้ยินพาให้ทั้งใต้ท้าวเฉิน องครักษ์เจิ้งหมิง มือปราบจี้หม
“คุณเป็นใคร” น่าแปลกที่สมองสั่งการให้เธอพูดภาษาจีนกลางออกไปโดยอัตโนมัติ แทนที่จะเป็นภาษาไทย “ข้าน้อยเจียงจื่อหยา เลขาใต้เท้าเฉินอย่างไรเล่าครับท่านหญิงน้อย”ท่านหญิงน้อยเรอะ ทำไมคนอื่นนอกจากเจิ้งหมิงถึงเรียกเธอว่าท่านหญิงน้อยด้วยล่ะ แต่ก็ช่างเถอะ เออออไปก่อนก็แล้วกันนะ อย่างน้อยก็จนกว่าเจิ้งหมิงจะกลับมา“อ๋อ เออ ใช่ๆ ฉันจะต้องป่วยจนเลอะเลือนไปแล้วแน่ๆ โอ๊ย ปวดหัวจัง” ณาราแกล้งยกมือทั้งสองขึ้นกุมขมับ แล้วล้มตัวลงนอน“ถ้าอย่างนั้น ท่านหญิงพักผ่อนก่อนเถิด ข้าน้อยขอตัวก่อน” พูดจบ เจียงจื่อหยาก็เดินออกจากห้องไป โดยมีณาราแอบมองตามไปจนลับตา“ท่านว่าอะไรนะ ท่านหญิงน้อยฟื้นขึ้นมาก็จำท่านไม่ได้ มิหนำซ้ำยังพูดจาแปลกเปลี่ยนไปอย่างนั้นเรอะ” เฉินลู่ซีเอ่ยขึ้น หลังจากเลขาคนสนิทเข้ามารายงานอาการของจ้าวเจิ้นฟางให้ทราบ ขณะนั่งตรวจเอกสารอยู่ภายในห้องรับรอง“ครับ ใต้ท้าว”“เมื่อคืนองครักษ์เจิ้งก็เข้าไปเยี่ยมท่านหญิงน้อยไม่ใช่เรอะ แล้วองครักษ์เจิ้งว่าอย่างไรบ้างล่ะ”“องครักษ์เจิ้งไม่ได้ว่าอะไรนะครับใต้ท้าว พอออกมาจากห้องพักของท่านหญิงแล้วก็รีบร้อนออกไป ตอนที่องครักษ์เจิ้งเข้าไป ท่านหญิงน่าจะยั
ขณะเดียวกัน เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังมานั้น พาให้ณาราผุดลุกจากเตียง ความหวาดหวั่นฉายชัดในดวงตา เมื่อเห็นว่า เลขาเจียงกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมกับชายวัยกลางคนอีกคนหน้าตาเขาดูดุดัน จริงจัง บุคลิกงามสง่า มองปราดเดียวก็พอจะเดาได้ว่า เขาจะต้องเป็นใต้ท้าวเฉินลู่ซี คนที่เจิ้งหมิงพูดถึงอย่างแน่นอน“ฟื้นแล้วเรอะท่านหญิงน้อย”“ค่ะ” ณาราตอบอ้อมแอ้ม หากเป็นคนอื่นคงไม่กล้าสบตาชายผู้นี้แล้ว“ข้าทราบจากองครักษ์เจิ้งว่า ท่านหญิงถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ไม่ทราบว่าท่านเห็นหน้าคนร้ายหรือไม่”“ไม่ค่ะ” ณาราส่ายหน้าน้อยๆ เธอจะเห็นหน้าคนร้ายได้อย่างไร ในเมื่อคนถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตคือจ้าวเจี้ยนฟางต่างหาก ส่วนเธอน่ะหรือ รู้อยู่แล้วล่ะว่า ตนเองถูกคนในขบวนการค้ายาเคข้ามชาติฆ่าตาย“อึม แล้วก่อนที่ท่านหญิงจะถูกทำร้ายนั้นน่ะ เหตุการณ์เป็นมาอย่างไรล่ะ ทำไมท่านหญิงถึงออกมาข้างนอกเพียงลำพังได้”ณารานิ่งนึกอยู่ครู่ พลันภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับจ้าวเจี้ยนฟางก็ผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของเธอ เสมือนได้ไปประสบเหตุการณ์ด้วยตนเอง“คือ หลังจากทะเลาะกับท่านพ่อเรื่องแต่งงานแล้ว ฉัน เอ่อ ข้า...ก็กลับมาที่เรือนเหมยฮวา ฮุ่ยเหนียงตา
ภายในห้องพัก ณารากำลังยืดเส้นยืดสาย หลังจากนอนแบบอยู่บนเตียงมาหลายชั่วโมง แม้จะเจ็บแผลจากคมกระบี่อยู่บ้าง แต่ก็ยังพอทนไหว ขณะกำลังวาดแข้งสลับซ้ายขวา เตะอากาศอยู่นั่นเอง ก็ได้ยินเสียงเคาะเบาๆ หญิงสาวไม่รอช้า รีบกระโดดขึ้นเตียง นอนห่มผ้าหลับตานิ่งตามเดิม จึงไม่เห็นว่า เจิ้งหมิงได้ถือวิสาสะเดินเข้ามา“ข้าเอง แม่นางณารา”เสียงทุ้มห้าวดังอยู่ใกล้ๆ พาให้คนแกล้งหลับรีบลืมตา ผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว “คุณ ตอนคุณไม่อยู่ ใต้ท้าวเฉินกับเลขาเจียงมาที่นี่ เค้าสองคนมองฉันแปลกๆ เค้าสงสัยแล้วใช่มั้ยว่า ฉันไม่ใช่ท่านหญิงน่ะ” เจิ้งหมิงพยักหน้ารับ “อึม ใช่ แล้วข้าก็บอกใต้ท้าวกับเลขาเจียงไปแล้วด้วยว่า เจ้าเป็นใคร” “คุณทำแบบนี้ได้ไง ฉันก็ซวยน่ะสิ” ณารามองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ “แค่การพูดจาของเจ้า ก็ไม่เหมือนท่านหญิงแล้วล่ะ ใต้ท้าวเฉินกับเลขาเจียงสืบคดีมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ อย่างไรเสีย ท่านทั้งสองก็ต้องสงสัยอยู่แล้วล่ะ” “แล้วยังไง” “เลขาเจียงให้ข้าบอกรูปพรรณสันฐานของเจ้าให้ฟัง แล้วท่านก็วาดภาพออกมา แต่เจ้าไม่ต้องกลัวหรอกนะ ใต้ท้
บรรยากาศยามพลบค่ำ หนาวเย็นลงกว่าเมื่อกลางวันมาก แลเห็นละอองหิมะโปรยลงมาจากผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มเบื้องบน ขณะที่ณาราเดินตามเจิ้งหมิงออกมาทางด้านหลังจวนรับรอง ซึ่งมีรถม้าที่เจิ้นหยางดัดแปลงเองกับมือมาจอดรเอยู่แล้วเห็นม้าสีขาวเทียมรถทำจากเหล็กและไม้ หน้าต่างประตูคลุมด้วยผ้าสีเทาหม่น ดูเรียบๆ ตรงหน้าแล้ว ณาราก็อดนึกถึงตอนที่เธอเคยรับบทเป็นองค์หญิงกุ้ยเฟยนั่งอยู่ในรถม้าขึ้นมาไม่ได้แต่ที่ต่างไปก็คือ ในยามนี้สารถีไม่ใช่นักแสดงตัวประกอบ แต่เป็นถึงองครักษ์ขั้น 4 แห่งศาลซีเหอ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเถียนทีเดียวณาราประคองท้องปลอมที่ทำให้ดูอุ้ยอ้าย เคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว พาตัวเองขึ้นมานั่งบนรถม้า ใจเต้นโครมครามอย่างไรชอบกล เพียงแค่เจิ้งหมิงเข้ามาประคอง เสมือนว่าเธอเป็นภรรยาสาวของเขาจริงๆ“คุณ ไม่ต้องประคองฉันก็ได้ ฉันไม่ได้ท้องจริงๆ ซะหน่อย” ณาราเสมองไปทางตัวรถม้า รู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวเหมือนกำลังจะเป็นไข้แบบไม่เคยเป็นม่ก่อน“ไม่ได้หรอก เจ้ายังบาดเจ็บอยู่นะ”น้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง เจือด้วยความห่วงใยนั้น ทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธความปรารถนาดีของเขา เมื่อเข้ามายังตัวรถ จึงเห็นว่าที่นั่งด้านใน ปูด้วยผ้า
“อันที่จริง ข้าพบใต้ท้าวเฉินกับเสี่ยวเถาโดยบังเอิญตั้งแต่กลางป่าแล้ว ไม่นึกเลยว่า จะถูกหลวงจีนชั่วล่อลวงไปที่นั่นได้ จากนั้นข้ากับใต้ท้าวก็ต่างแยกย้ายกัน ได้พบใต้ท้าวอีกครั้ง ท่านก็มารับตำแหน่งเป็นนายอำเภอซานชิงแล้ว”“แล้วคุณมาทำงานกับใต้ท้าวเฉินที่ศาลซื่อเหอได้ยังไงคะ” แม้จะเริ่มง่วงจากการเดินทาง แต่ณาราก็ยังอยากรู้เรื่องของเขาต่อ“ข้าแอบติดตามช่วยเหลือใต้ท้าวสืบคดี คุ้มกันใต้ท้าวจากผู้ที่เสียผลประโยชน์จากการทำคดีของใต้ท้าวอยู่หลายปี กระทั่งครั้งหนึ่ง ข้ายื่นมือเข้าไปช่วยใต้ท้าวปิดคดีเสนาบดีเกากดขี่ข่มเหงราษฎรได้สำเร็จ ฮ่องเต้จึงทรงแต่งตั้งให้ข้าเป็นองครักษ์ขั้น 4 สังกัดศาลซื่อเหอ ทำงานรับใช้ใต้ท้าวเฉินเรื่อยมา”“คุณก็เลยเลิกเป็นจอมยุทธ มารับราชการแทน อย่างนั้นเหรอคะ”เจิ้งหมิงพยักหน้ารับ “แต่ข้าก็ยังคงถือว่าตนเองเป็นทั้งชาวยุทธ ทั้งข้าราชสำนัก แล้วเจ้าล่ะ ในโลกของเจ้า เจ้าเป็นมือปราบไม่ใช่หรือ”“ค่ะ ฉันเป็นมือปราบ ที่เรียกว่า ตำรวจลับ หรือเรียกว่าสายลับก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันเป็นตำรวจ เพราะเบื้องหน้านั้น ฉันเป็นดารา เอ่อ ฉันหมายถึงนักแสดงละครน่ะ”“เจ้าช่างเก่งกล้านัก”“ไม่เลยค่ะ
เสียงกระแอมดังมาจากทางด้านหลัง พาให้ณาราผละห่างจากอ้อมกอดของเจิ้งหมิงอย่างรวดเร็ว หันไปมองตามต้นเสียงก็เห็นว่า ไห่ถวนยืนมองมายิ้มๆ“ข้าแค่จะมาตามพี่สองคนไปกินข้าว ไม่ได้มาขัดจังหวะนะ”“เหรอ” ณาราลากเสียงพยายามเข้าใจ หากไม่เพราะต้องทำตัวเป็นจ้าวเจี้ยนฟางละก็ คงไล่เตะก้นคนสอดรู้สอดเห็น แถมยังช่างแซวไปแล้ว กว่าเจิ้งหมิงจะพาณารามาส่งที่บ้านพัก ก็เกือบเย็นแล้ว เมื่อมาถึงก็เห็นว่ามีอาหารและถ้วยยาวางอยู่ และดูเหมือนว่าองครักษ์หนุ่มจะสนใจยาในถ้วยเป็นพิเศษ “ยาอะไรนะ มันจะเกี่ยวกับสิ่งที่หญิงตั้งครรภ์นางอื่นๆ บอกเจ้ารึเปล่าว่า พวกนางยินยอมจะอยู่ที่นี่โดยไม่คิดหนี” “นั่นสิคะ พวกนางทำราวกับว่า ไม่เคยมีสามี ไม่เคยมีครอบครัวอย่างนั้นแหละ” ณาราครุ่นคิด อยากรู้นักว่าเสี่ยวหงกับปิงปิง เพื่อนที่มาพร้อมกับเธอได้ดื่มยาจากถ้วยแล้วหรือยัง แล้วพวกนางอยากจะกลับไปหาครอบครัวหรือไม่ คิดดังนั้นแล้ว ณาราก็ออกจากห้องมาเคาะประตูเรียกเสี่ยวหงกับปิงปิง ซึ่งพักอยู่ในห้องถัดจากห้องพักของเธอ แล้วสิงที่เห็นก็ทำให้ณาราประหลาดใจยิ่งนัก เมื่อพบว่า หญิงตั้งครรภ์ทั้ง
แม่ผู้ไม่มีวรยุทธ หรือจะต่อกรกับคมกระบี่ได้ เพียงคมกระบี่กรีดลึกเข้าร่าง แม่ก็ล้มฟาดลงกับพื้น โลหิตแดงฉาดฉานพุ่งจากปากและจมูก พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายปลิดปลิวไป“ท่านแม่ ท่านแม่” ร่างนั้นกระสับกระส่าย ก่อนผุดลุกจากเตียง หายใจหอบแรง ดวงตาคมกล้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากภาพอดีตตามหลอกหลอนชั่วอัดใจต่อจากนั้น ประตูห้องก็เปิดผางออก ก่อนที่หนุ่มน้อยคนหนึ่งจะก้าวเข้ามา“พี่ชาย ข้ากลับมาแล้ว” หนุ่มน้อยหน้าทะเล้นส่งยิ้มกว้างมาให้ ก่อนหุบยิ้มฉับ เมื่อเห็นว่าคนเจ็บไม่ยิ้มด้วย มิหนำซ้ำยังมองมาด้วยแววตาหวาดระแวงอีกต่างหาก“พี่ชาย ข้าเป็นคนช่วยชีวิตท่านเอาไว้นะ เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้นล่ะ”คำถามของหนุ่มน้อย เรียกสติเจิ้งหมิงให้กลับมาเป็นปกติ แววตาหวาดระแวงนั้นจึงค่อยๆ อ่อนแสงลง “ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย เมื่อครู่ข้าฝันร้าย หวังว่าน้องชายคงไม่ถือสา” “ข้าไม่ถือสาหรอก ข้าก็แค่ตกใจนิดหน่อย ข้าไห่ถวน ท่านล่ะ” “ข้าเจิ้งหมิง ขอบคุณน้องชายมากที่ช่วยข้าไว้” “ท่านไม่ต้องเกรงใจหรอก ใครเห็นคนเจ็บอยู่กลางทะเลแบบนั้น ก็ต้องช่วยเหลือเป็นธรรมดา ท่านรู้หรือไม่ว่าตนเองถูกพิษร
ดูจากจำนวนคนที่มาจับจายใช้สอยกับร้านรวงแล้ว ณาราก็พอจะประเมินได้ว่า หมู่บ้านแห่งนี่คงใหญ่โตพอดู และชาวบ้านเอง ก็พอมีเงินทองจับจ่ายคล่องมือเช่นกันเดินจนทั่วตลาดแล้ว แต่ก็ยังไม่พบวี่แววของเจิ้งหมิงเลยหากเขาตามเธอลงเรือมาจริง ก็น่าจะต้องมาตามหาเธอที่นี่นี่นาหรือข้อสันนิษฐษนของเธอจะเป็นความจริงเสียแล้ว บอกตนเองแล้ว ณาราก็ใจไม่ดีเอาซะเลย นึกไม่ออกเลยว่าจะเริ่มตามหาเจิ้งหมิงได้อย่างไรณาราเดินเรื่อยๆ ผ่านตลาดมายังท่าเรือ แต่แล้วก็ต้องรีบหลบไปในหมู่ชาวบ้านแทบไม่ทัน เมื่อเห็นเรือลำหนึ่งแล่นมาจอดเทียบท่า ทิ้งสมอ ไกลออกไปมีเรือสำเภาลำใหญ่จอดอยู่ ก่อนที่คนกลุ่มหนึ่งจะก้าวลงจากเรือมาทีละคนคนเดินนำนั้นช่างคุ้นตานัก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ทว่านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เขาเป็นชายวัยกลางคนสวมมงกุฎทำจากดอกไม้ แต่งกายรู่มร่ามเหมือนชนเผ่าโบราณที่เธอเคยเห็นในภาพยนตร์ หน้าตา บุคลิกภายนอกของเขารึก็ดูองอาจอย่างทหาร ส่วนผู้ที่ก้าวตามหลังมานั้น หน้าตาละม้ายคล้ายกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าถอดพิมพ์ออกมาจากผู้เดินนำไปก่อน น่าแปลกนักที่ผู้เดินตามมาอีกเป็นขบวนนั้น ล้วนแต่เป็นทหารทั้งสิ้นเหตุใดทหารมากมายจึงมาที
เจิ้งหมิงกำลังลอบลงจากเรือสำเภา แต่กลุ่มชายชุดดำบนเรือกลับรู้ตัวว่ามีคนแฝงตัวมากับพรรคพวกของเขา จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้นต่างฝ่ายต่างต่อสู้กันด้วยกระบี่ เจิ้งหมิงสังหารชายชุดดำล้มตายไปหลายคน ด้วยเพลงกระบี่อันเยี่ยมยุทธ ก่อนกระโดดลงทะเลหลบหนี ไม่นึกเลยว่า กลับถูกอาวุธลับซัดเข้าที่กลางหลังพิษของมันร้ายกาจนัก เพียงครู่เดียวก็ซึมเข้ากระแสเลือด ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง จนไม่อาจขยับเขยื่อนร่างกายได้ สติสัมปชัญญะที่มีพร่าเลือนลงทุกทีแม้กระนั้นห้วงคำนึงของเขาก็ยังนึกถึงแต่ณารา นางผู้มาจากต่างกาลเวลา ไม่รู้ว่าป่านนี้นางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรขณะร่างของเจิ้งหมิงดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลนั่นเอง โลมาตัวหนึ่งก็พุ่งเข้ามา ใช้ครีบของมันช้อนร่างของเขาเอาไว้ แล้วพาไปยังเรือประมง ลำที่มันคุ้นเคยขณะนั้น “ไห่ถวน” ชาวประมงหนุ่มน้อย รูปร่างเก้งก้าง ผิวกร้านแดด เรือนผมยาวเกล้าเอาไว้ลวกๆ ดูยุ่งเหยิง ดวงตาเล็กหยี ภายใต้คิ้วหนานั้น เต็มไปด้วยประกายแห่งความสุขกำลังเก็บปลาจากอวนใส่ท้องเรือแต่แล้วหางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นโลมาตัวนั้นว่ายมาทางเขา โดยที่ครีบของมันกำลังประคองร่างของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งมาด้วย“ถิง
เสียงครวญแห่งความสุขสม ยิ่งปลุกเร้าเพลิงปรารถนาให้ลุกโชน แผดเผาสองกาย จนหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกันในนาทีนั้นเอง ทั้งสองไม่รู้เลยว่า เสี่ยวชุ่ย สาวใช้ต้นห้องของฮุ่ยเหนียงเดินผ่านมา เสียงครวญสอดประสานลอดผ่านห้องพักของฮูหยินรองแห่งจวนอ๋อง พาให้สองเท้าหยุดชะงัก เพียงแนบหูกับประตูก็รู้ว่า มีใครคนหนึ่งอยู่ภายในห้องนั้นแรกทีเดียวนางเข้าใจว่าเป็นท่านอ๋อง 9 แต่เมื่อเดินมายังห้องหนังสือ และพบว่า ไฟในห้องยังคงเปิดอยู่จึงแน่ใจว่า ผู้ชายที่อยู่ในห้องของฮุ่ยเหนียงจะต้องไม่ใช่ท่านอ๋องอย่างแน่นอนนางเป็นสาวใช้ในตำหนักอ๋องมาตั้งแต่เล็ก รู้เรื่องราวของที่นี่มิใช่น้อย ทำไมจะไม่รู้เล่าว่า ตั้แต่ฮูหยินลี่เจินสิ้นใจ แม้ท่านอ๋องจะให้ฮุ่ยเหนียงขึ้นมาเป็นฮูหยินรอง แต่ก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์เกินเลยไปกว่าพี่เขยกับน้องภรรยาท่านยังคงวางตนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยประพฤตินอกใจอดีตภรรยาเลยสักครั้ง ไม่อย่างนั้นคงจะมีบุตรธิดาเพิ่มแล้วแล้วคนที่อยู่ในห้องของฮุหยินรองเป็นใครกันนะ หากนางล่วงรู้ความจริงหลังประตูบานนั้น จะยังคงมีชีวิตอยู่ต่ออีกหรือไม่หนอหากยังคงปิดหูปิดตา ไม่ยอมสืบหาความจริง ก็เท่ากับผิดต่อสกุลจ้าว ผิดต่อฮ
ภายในห้องหนังสือ ท่านอ๋อง 9 นั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะเขียนหนังสือ ในมือถือตำราของฉินเอี้ยน ยอดกวีชื่อดังสมัยราชวงศ์ก่อน ทว่าใจกลับไม่ได้ดื่มด่ำกับตัวอักษรตรงหน้าเลยแม้แต่น้อยแม้จะกลับจากพบเฉินลู่ซีมาตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ แล้ว แต่ก็อดเป็นห่วงธิดาคนเล็กไม่ได้เลย ขณะเดียวกันก็อดสงสัยในคำพูดของฮุ่ยเหนียงขึ้นมาไม่ได้เช่นกันทำไมเขาจะไม่รู้ไม่เห็นเล่าว่า ระหว่างจ้าวเจี้ยนฟางกับฮุ่ยเหนียงนั้น มีแต่ความบาดหมางเมื่อครั้งจ้าวเจี้ยนฟางยังเล็กนั้น แม้จะไม่เคยเห็นกับตา แต่ก็รู้มาตลอดว่า ธิดาคนเล็กถูกแม่เลี้ยงรังแก จากคำพูดของคนรับใช้แต่เพราะต้องทำตามคำสั่งเสียของภรรยา ให้ดูแลฮุ่ยเหนียงน้องสาวของนางให้ดี จึงต้องหลีกเลี่ยงด้วยการส่งจ้าวเจี้ยนฟางเข้าไปอยู่ในวังส่วนเรื่องการแต่งงานระหว่างจ้าวเจี้ยนฟางกับหลี่จิ้งนั้น หากนางไม่ยินยอม เขาก็คงไม่ขัดอะไร แต่ทำไมฮุ่ยเหนียงจึงต้องให้ร้ายจ้าวเจี้ยนฟางว่า นางไม่พอใจจนหนีออกจากตำหนักตั้งแต่คืนที่มีงานเลี้ยงด้วยเล่าตอนแรก ท่านอ๋อง9 ก็เกือบจะเชื่อคำพูดของฮุ่ยเหนียงไปแล้ว หากไม่เพราะการไปพบเฉินลู่ซี จนรู้ว่าธิดาคนเล็กถูกทำร้าย ตอนนี้อยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว และอยู่ใ
ณารามองหน้าต่างกระท่อมเปิดแง้มเอาไว้ ได้แต่หวังว่าเจิ้งหมิงจะพบปิ่นปักผมของเธอ และติดตามมาทันก่อนที่เธอจะถูกพาไปยังเกาะจวินจวู ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้คนร้ายจับได้ว่า ไม่ได้ตั้งครรภ์จริงๆ อยู่นั่นเอง หน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ก็ถูกเปิดออกสายลมหอบเอากลิ่นความเค็มของน้ำทะเลเข้ามานั้น ไม่ได้ทำให้เธอตื่นเต้นดัใจท่ากับ องครักษ์หนุ่มผู้มากับสายลมนั้นเลย“คุณ คุณจริงๆ ด้วย” หญิงสาวเผลออุทานเป็นภาษาไทยคนที่เพิ่งเข้ามาจึงได้แต่ทำหน้างง“อ๋อ ขอโทษค่ะ ฉันลืมตัวไปหน่อย คุณมาได้ยังไงคะ” ณารารีบเปลี่ยนภาษาอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามพอให้ได้ยินกันเพียงสองคน“ข้าสะกดรอยตามรถม้ามา บังเอิญพบคนรู้จัก จึงยืมม้าตามมาทัน”“คุณจะทำยังไงต่อคะ” ณารายังไม่คลายสงสัยอยู่นั่นเอง“ข้าจะหาทางตามเจ้าไปให้ได้ ว่าแต่เจ้ารู้รึเปล่าว่า พวกมันจะพาเจ้าไปไหน”“เกาะจวิน…” ยังไม่ทันที่ณาราจะเอ่ยจบประโยค เสียงไขกุญแจก็ดังมาจากหน้าประตู เจิ้งหมิงจึงต้องรีบหลบออกไปทางหน้าต่าง“โธ่เอ๊ย ยังไม่ทันจะพูดจบเลย” ณาราพึมพำ ขณะที่ประตูบานนั้นเปิดผางออก ก่อนที่ชายร่างกำยำ คนเดียวกับที่นั่งเฝ้าเธอบนรถม้าจะก้าวเข้ามาในยามนี้เขาอาจะไม่ไ
ครู่ต่อมา รถม้าก็หยุดลง ก่อนที่ชายชุดดำผู้นั้นจะคุมตัวณาราเข้ามายังพุ่มไม้ข้างทาง“พี่ชาย ท่านไปห่างๆ ได้มั้ย”“ได้ แต่อย่าคิดหนีนะ” ชายชุดดำผู้นั้นย้ำเสียงกระด้าง เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป ปล่อยให้เชลยของเขาได้ทำธุระส่วนตัวณารามองซ้ายมองขวา เดินลึกเข้าไปอีกนิด ก่อนนั่งลงทำธุระส่วนตัวของตนเอง พลางคิดว่าจะถ่วงเวลาให้เจิ้งหมิงตามมาทันได้อย่างไรขณะเดียวกัน เจิ้งหมิงเดินทางด้วยวิชาตัวเบามาตามรอยรถม้า ป่านนี้คนร้ายคงพาณาราล่วงหน้าไปไกลนับร้อยลี้แล้ว ไม่แน่ใจเอาซะเลยว่า จะติดตามเธอไปทันได้อย่างไร ขณะกำลังหนักใจอยู่นั่นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามาองครักษ์หนุ่มรีบหลบหลังต้นไม้ใหญ่ ครู่ต่อมาก็เห็นว่า คนที่ควบม้ามานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น “หานอวี้” จอมยุทธผู้ได้สมญานามว่า “กระบี่ไร้เลือด” นั่นเององครักษ์หนุ่มไม่รอช้า รีบเข้าไปดักหน้าทันที“คารวะพี่หาน”“เอ้า ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็น้องเจิ้งนี่เอง” จอมยุทธวัยย่างสี่สิบ ดวงหน้าเข้มหล่อเหลา ไว้หนวด รูปร่างกำยำ แต่งกายรัดกุมหัวเราะอย่างยินดี ไม่นึกเลยว่า กลางป่าเขาเช่นนี้จะได้พบกับจอมยุทธผู้มีพระคุณกับเขาได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ขณะที
“อันที่จริง ข้าพบใต้ท้าวเฉินกับเสี่ยวเถาโดยบังเอิญตั้งแต่กลางป่าแล้ว ไม่นึกเลยว่า จะถูกหลวงจีนชั่วล่อลวงไปที่นั่นได้ จากนั้นข้ากับใต้ท้าวก็ต่างแยกย้ายกัน ได้พบใต้ท้าวอีกครั้ง ท่านก็มารับตำแหน่งเป็นนายอำเภอซานชิงแล้ว”“แล้วคุณมาทำงานกับใต้ท้าวเฉินที่ศาลซื่อเหอได้ยังไงคะ” แม้จะเริ่มง่วงจากการเดินทาง แต่ณาราก็ยังอยากรู้เรื่องของเขาต่อ“ข้าแอบติดตามช่วยเหลือใต้ท้าวสืบคดี คุ้มกันใต้ท้าวจากผู้ที่เสียผลประโยชน์จากการทำคดีของใต้ท้าวอยู่หลายปี กระทั่งครั้งหนึ่ง ข้ายื่นมือเข้าไปช่วยใต้ท้าวปิดคดีเสนาบดีเกากดขี่ข่มเหงราษฎรได้สำเร็จ ฮ่องเต้จึงทรงแต่งตั้งให้ข้าเป็นองครักษ์ขั้น 4 สังกัดศาลซื่อเหอ ทำงานรับใช้ใต้ท้าวเฉินเรื่อยมา”“คุณก็เลยเลิกเป็นจอมยุทธ มารับราชการแทน อย่างนั้นเหรอคะ”เจิ้งหมิงพยักหน้ารับ “แต่ข้าก็ยังคงถือว่าตนเองเป็นทั้งชาวยุทธ ทั้งข้าราชสำนัก แล้วเจ้าล่ะ ในโลกของเจ้า เจ้าเป็นมือปราบไม่ใช่หรือ”“ค่ะ ฉันเป็นมือปราบ ที่เรียกว่า ตำรวจลับ หรือเรียกว่าสายลับก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันเป็นตำรวจ เพราะเบื้องหน้านั้น ฉันเป็นดารา เอ่อ ฉันหมายถึงนักแสดงละครน่ะ”“เจ้าช่างเก่งกล้านัก”“ไม่เลยค่ะ