“คุณเป็นใคร” น่าแปลกที่สมองสั่งการให้เธอพูดภาษาจีนกลางออกไปโดยอัตโนมัติ แทนที่จะเป็นภาษาไทย
“ข้าน้อยเจียงจื่อหยา เลขาใต้เท้าเฉินอย่างไรเล่าครับท่านหญิงน้อย”
ท่านหญิงน้อยเรอะ ทำไมคนอื่นนอกจากเจิ้งหมิงถึงเรียกเธอว่าท่านหญิงน้อยด้วยล่ะ แต่ก็ช่างเถอะ เออออไปก่อนก็แล้วกันนะ อย่างน้อยก็จนกว่าเจิ้งหมิงจะกลับมา
“อ๋อ เออ ใช่ๆ ฉันจะต้องป่วยจนเลอะเลือนไปแล้วแน่ๆ โอ๊ย ปวดหัวจัง” ณาราแกล้งยกมือทั้งสองขึ้นกุมขมับ แล้วล้มตัวลงนอน
“ถ้าอย่างนั้น ท่านหญิงพักผ่อนก่อนเถิด ข้าน้อยขอตัวก่อน” พูดจบ เจียงจื่อหยาก็เดินออกจากห้องไป โดยมีณาราแอบมองตามไปจนลับตา
“ท่านว่าอะไรนะ ท่านหญิงน้อยฟื้นขึ้นมาก็จำท่านไม่ได้ มิหนำซ้ำยังพูดจาแปลกเปลี่ยนไปอย่างนั้นเรอะ” เฉินลู่ซีเอ่ยขึ้น หลังจากเลขาคนสนิทเข้ามารายงานอาการของจ้าวเจิ้นฟางให้ทราบ ขณะนั่งตรวจเอกสารอยู่ภายในห้องรับรอง
“ครับ ใต้ท้าว”
“เมื่อคืนองครักษ์เจิ้งก็เข้าไปเยี่ยมท่านหญิงน้อยไม่ใช่เรอะ แล้วองครักษ์เจิ้งว่าอย่างไรบ้างล่ะ”
“องครักษ์เจิ้งไม่ได้ว่าอะไรนะครับใต้ท้าว พอออกมาจากห้องพักของท่านหญิงแล้วก็รีบร้อนออกไป ตอนที่องครักษ์เจิ้งเข้าไป ท่านหญิงน่าจะยังไม่ฟื้นนะครับใต้ท้าว แต่จะว่าไปก็น่าแปลก ทำไมการพูดจาของท่านหญิงถึงได้แปลกเปลี่ยนไป โดยเฉพาะภาษาที่ใช้และสำเนียงการพูด”
“มันจะเป็นไปได้ยังไง รอให้อาการท่านหญิงทุเลาลงก่อนเถิด แล้วข้าจะเข้าไปสอบถามด้วยตัวเอง” เฉินลู่ซีทอดสายตาไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยวี่แววของการครุ่นคิด หนักใจทั้งเรื่องคดี และเรื่องของจ้าวเจิ้นฟาง
ขณะเดียวกัน เจิ้งหมิงกลับมาที่ร้านน้ำชา ใกล้กับศาลเจ้าแม่กวนอิมอีกครั้ง ทันทีที่เห็นเขา เด็กหนุ่มคนเมื่อวานก็ปรี่เข้ามาทักทาย
“วันนี้มาแต่เช้าเลยนะครับคุณชาย”
“อึม ขอน้ำชาที่หนึ่งนะน้องชาย”
“ครับๆ คุณชาย” เด็กหนุ่มรับคำ กลับเข้าไปหลังร้านครู่หนึ่ง ก็กลับออกมาพร้อมกับกาน้ำชาและจอกเล็กๆ
“คุณชายครับ ได้ข่าวว่า มีผู้หญิงท้องในเมืองฉางโจว หายตัวไปอีกแล้วล่ะครับ” เด็กหนุ่มเล่าอย่างต้องการชวนคุย โดยไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เขาเอ่ยออกมานั้น พาให้เจิ้งหมิงชะงักไปครู่ทีเดียว ดวงตาคู่คมแสดงความใคร่รู้อย่างไม่ปิดบัง
“อย่างนั้นเรอะ”
“ครับ เค้าว่ากันว่า ทหารยามที่ออกเดินตอนกลางคืนเห็นเต็มสองลูกกะตาเลยครับว่า เค้าว่าตอนเค้าเดินเคาะบอกให้คนในเมืองระวังฟืนไฟอยู่นั่นน่ะ เห็นคนชุดดำกำลังอุ้มผู้หญิงท้องออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง พอรุ่งเช้า คนบ้านนั้นก็ไปแจ้งกับนายอำเภอว่าเมียเค้าหายตัวไป ส่วนยามก็กลับไปเล่าให้เมีย เป็นแม่ค้าขายผักอยู่ที่ตลาดฟัง นางก็เลยเอามาเล่าต่อ เรื่องนี้เลยเป็นที่โจษจันกันทั่วเลยล่ะครับคุณชาย”
“แล้วยามคนนั้นเห็นหน้าคนร้ายมั้ย”
“ไม่เห็นหรอกครับ ไม่แน่นา ถ้ามีใครออกจากบ้านมาตอนกลางคืนอาจจะเจ๊อะกับคนพวกนั้นกำลังลักพาตัวคนท้องไป อย่างที่ทหารยามคนนั้นเห็นก็ได้”
“งั้นเรอะ” องครักษ์หนุ่มยกจอกน้ำชาขึ้นจิบ ปล่อยให้น้ำชาร้อนผ่านลงคอไปอย่างช้ๆ แม้ท่าทีภายนอกจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทว่ากลับจากร้านน้ำชาแห่งนั้นแล้ว เขากลับออกเดินเรื่อยๆ เข้าไปทำทีไต่ถามพ่อค้าแม่ขายในตลาด กระทั่งได้พบกับนางเยี่ยนชุน แม่ค้าขายผัก ภรรยาของทหารยามผู้นั้น
“สามีข้าเห็นกับตาเลยนะคะคุณชายว่า มีคนลักพาตัวคนท้องไปจริงๆ ทางครอบครัวของคนท้องก็ไปแจ้งกับนายอำเภอแล้ว แต่ทางการก็ยังไม่รู้เบาะแสอยู่ดีว่า คนพวกนั้นพานางไปที่ไหน”
“เหรอครับ ขอบคุณมากนะครับท่านป้า” องครักษ์หนุ่มค้อมศีรษะให้นางเยี่ยนชุน
“ว่าแต่ทำไมคุณชายถึงสนใจเรื่องนี้นักล่ะ” นางถามอย่างอดสงสัยไม่ได้
“อ้อ คือ ภรรยาของข้าน่ะกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ อยู่ น่ะครับ ก็เลยกลัวว่า จะถูกจับตัวไปอีกคน” เจิ้งหมิงแสร้งเป็นกังวล ทั้งที่ความจริงแล้ว เขายังไม่เคยมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวนางใดในแผ่นดินด้วยซ้ำ
“ถ้าอย่างนั้น คุณชายต้องยิ่งระวังตัวให้มาก ดูแลภรรยาให้ดี อย่าให้ใครรู้เด็ดขาดว่า นางกำลัง…” นางเยี่ยนชุนลดเสียงให้เบาลงจนเกือบเป็นกระซิบ
“ครับ ถ้าอย่างนั้น ข้าขอตัวก่อนนะครับ จะรีบกลับไปหาภรรยา” เจิ้งหมิงกล่าวลา ก่อนไปไม่ลืมที่จะซื้อหัวไชเท้ากับมะเขือเทศติดไม้ติดมือกลับมายังจวนรับรองด้วย แม้จะมีเรื่องคดีที่ต้องเร่งรายงานให้ใต้ท้าวเฉินทราบ แต่ใจก็ยังอดห่วงณาราไม่ได้
ขณะเดียวกัน เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังมานั้น พาให้ณาราผุดลุกจากเตียง ความหวาดหวั่นฉายชัดในดวงตา เมื่อเห็นว่า เลขาเจียงกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมกับชายวัยกลางคนอีกคนหน้าตาเขาดูดุดัน จริงจัง บุคลิกงามสง่า มองปราดเดียวก็พอจะเดาได้ว่า เขาจะต้องเป็นใต้ท้าวเฉินลู่ซี คนที่เจิ้งหมิงพูดถึงอย่างแน่นอน“ฟื้นแล้วเรอะท่านหญิงน้อย”“ค่ะ” ณาราตอบอ้อมแอ้ม หากเป็นคนอื่นคงไม่กล้าสบตาชายผู้นี้แล้ว“ข้าทราบจากองครักษ์เจิ้งว่า ท่านหญิงถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ไม่ทราบว่าท่านเห็นหน้าคนร้ายหรือไม่”“ไม่ค่ะ” ณาราส่ายหน้าน้อยๆ เธอจะเห็นหน้าคนร้ายได้อย่างไร ในเมื่อคนถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตคือจ้าวเจี้ยนฟางต่างหาก ส่วนเธอน่ะหรือ รู้อยู่แล้วล่ะว่า ตนเองถูกคนในขบวนการค้ายาเคข้ามชาติฆ่าตาย“อึม แล้วก่อนที่ท่านหญิงจะถูกทำร้ายนั้นน่ะ เหตุการณ์เป็นมาอย่างไรล่ะ ทำไมท่านหญิงถึงออกมาข้างนอกเพียงลำพังได้”ณารานิ่งนึกอยู่ครู่ พลันภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับจ้าวเจี้ยนฟางก็ผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของเธอ เสมือนได้ไปประสบเหตุการณ์ด้วยตนเอง“คือ หลังจากทะเลาะกับท่านพ่อเรื่องแต่งงานแล้ว ฉัน เอ่อ ข้า...ก็กลับมาที่เรือนเหมยฮวา ฮุ่ยเหนียงตา
ภายในห้องพัก ณารากำลังยืดเส้นยืดสาย หลังจากนอนแบบอยู่บนเตียงมาหลายชั่วโมง แม้จะเจ็บแผลจากคมกระบี่อยู่บ้าง แต่ก็ยังพอทนไหว ขณะกำลังวาดแข้งสลับซ้ายขวา เตะอากาศอยู่นั่นเอง ก็ได้ยินเสียงเคาะเบาๆ หญิงสาวไม่รอช้า รีบกระโดดขึ้นเตียง นอนห่มผ้าหลับตานิ่งตามเดิม จึงไม่เห็นว่า เจิ้งหมิงได้ถือวิสาสะเดินเข้ามา“ข้าเอง แม่นางณารา”เสียงทุ้มห้าวดังอยู่ใกล้ๆ พาให้คนแกล้งหลับรีบลืมตา ผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว “คุณ ตอนคุณไม่อยู่ ใต้ท้าวเฉินกับเลขาเจียงมาที่นี่ เค้าสองคนมองฉันแปลกๆ เค้าสงสัยแล้วใช่มั้ยว่า ฉันไม่ใช่ท่านหญิงน่ะ” เจิ้งหมิงพยักหน้ารับ “อึม ใช่ แล้วข้าก็บอกใต้ท้าวกับเลขาเจียงไปแล้วด้วยว่า เจ้าเป็นใคร” “คุณทำแบบนี้ได้ไง ฉันก็ซวยน่ะสิ” ณารามองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ “แค่การพูดจาของเจ้า ก็ไม่เหมือนท่านหญิงแล้วล่ะ ใต้ท้าวเฉินกับเลขาเจียงสืบคดีมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ อย่างไรเสีย ท่านทั้งสองก็ต้องสงสัยอยู่แล้วล่ะ” “แล้วยังไง” “เลขาเจียงให้ข้าบอกรูปพรรณสันฐานของเจ้าให้ฟัง แล้วท่านก็วาดภาพออกมา แต่เจ้าไม่ต้องกลัวหรอกนะ ใต้ท้
บรรยากาศยามพลบค่ำ หนาวเย็นลงกว่าเมื่อกลางวันมาก แลเห็นละอองหิมะโปรยลงมาจากผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มเบื้องบน ขณะที่ณาราเดินตามเจิ้งหมิงออกมาทางด้านหลังจวนรับรอง ซึ่งมีรถม้าที่เจิ้นหยางดัดแปลงเองกับมือมาจอดรเอยู่แล้วเห็นม้าสีขาวเทียมรถทำจากเหล็กและไม้ หน้าต่างประตูคลุมด้วยผ้าสีเทาหม่น ดูเรียบๆ ตรงหน้าแล้ว ณาราก็อดนึกถึงตอนที่เธอเคยรับบทเป็นองค์หญิงกุ้ยเฟยนั่งอยู่ในรถม้าขึ้นมาไม่ได้แต่ที่ต่างไปก็คือ ในยามนี้สารถีไม่ใช่นักแสดงตัวประกอบ แต่เป็นถึงองครักษ์ขั้น 4 แห่งศาลซีเหอ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเถียนทีเดียวณาราประคองท้องปลอมที่ทำให้ดูอุ้ยอ้าย เคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว พาตัวเองขึ้นมานั่งบนรถม้า ใจเต้นโครมครามอย่างไรชอบกล เพียงแค่เจิ้งหมิงเข้ามาประคอง เสมือนว่าเธอเป็นภรรยาสาวของเขาจริงๆ“คุณ ไม่ต้องประคองฉันก็ได้ ฉันไม่ได้ท้องจริงๆ ซะหน่อย” ณาราเสมองไปทางตัวรถม้า รู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวเหมือนกำลังจะเป็นไข้แบบไม่เคยเป็นม่ก่อน“ไม่ได้หรอก เจ้ายังบาดเจ็บอยู่นะ”น้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง เจือด้วยความห่วงใยนั้น ทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธความปรารถนาดีของเขา เมื่อเข้ามายังตัวรถ จึงเห็นว่าที่นั่งด้านใน ปูด้วยผ้า
“อันที่จริง ข้าพบใต้ท้าวเฉินกับเสี่ยวเถาโดยบังเอิญตั้งแต่กลางป่าแล้ว ไม่นึกเลยว่า จะถูกหลวงจีนชั่วล่อลวงไปที่นั่นได้ จากนั้นข้ากับใต้ท้าวก็ต่างแยกย้ายกัน ได้พบใต้ท้าวอีกครั้ง ท่านก็มารับตำแหน่งเป็นนายอำเภอซานชิงแล้ว”“แล้วคุณมาทำงานกับใต้ท้าวเฉินที่ศาลซื่อเหอได้ยังไงคะ” แม้จะเริ่มง่วงจากการเดินทาง แต่ณาราก็ยังอยากรู้เรื่องของเขาต่อ“ข้าแอบติดตามช่วยเหลือใต้ท้าวสืบคดี คุ้มกันใต้ท้าวจากผู้ที่เสียผลประโยชน์จากการทำคดีของใต้ท้าวอยู่หลายปี กระทั่งครั้งหนึ่ง ข้ายื่นมือเข้าไปช่วยใต้ท้าวปิดคดีเสนาบดีเกากดขี่ข่มเหงราษฎรได้สำเร็จ ฮ่องเต้จึงทรงแต่งตั้งให้ข้าเป็นองครักษ์ขั้น 4 สังกัดศาลซื่อเหอ ทำงานรับใช้ใต้ท้าวเฉินเรื่อยมา”“คุณก็เลยเลิกเป็นจอมยุทธ มารับราชการแทน อย่างนั้นเหรอคะ”เจิ้งหมิงพยักหน้ารับ “แต่ข้าก็ยังคงถือว่าตนเองเป็นทั้งชาวยุทธ ทั้งข้าราชสำนัก แล้วเจ้าล่ะ ในโลกของเจ้า เจ้าเป็นมือปราบไม่ใช่หรือ”“ค่ะ ฉันเป็นมือปราบ ที่เรียกว่า ตำรวจลับ หรือเรียกว่าสายลับก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันเป็นตำรวจ เพราะเบื้องหน้านั้น ฉันเป็นดารา เอ่อ ฉันหมายถึงนักแสดงละครน่ะ”“เจ้าช่างเก่งกล้านัก”“ไม่เลยค่ะ
ครู่ต่อมา รถม้าก็หยุดลง ก่อนที่ชายชุดดำผู้นั้นจะคุมตัวณาราเข้ามายังพุ่มไม้ข้างทาง“พี่ชาย ท่านไปห่างๆ ได้มั้ย”“ได้ แต่อย่าคิดหนีนะ” ชายชุดดำผู้นั้นย้ำเสียงกระด้าง เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป ปล่อยให้เชลยของเขาได้ทำธุระส่วนตัวณารามองซ้ายมองขวา เดินลึกเข้าไปอีกนิด ก่อนนั่งลงทำธุระส่วนตัวของตนเอง พลางคิดว่าจะถ่วงเวลาให้เจิ้งหมิงตามมาทันได้อย่างไรขณะเดียวกัน เจิ้งหมิงเดินทางด้วยวิชาตัวเบามาตามรอยรถม้า ป่านนี้คนร้ายคงพาณาราล่วงหน้าไปไกลนับร้อยลี้แล้ว ไม่แน่ใจเอาซะเลยว่า จะติดตามเธอไปทันได้อย่างไร ขณะกำลังหนักใจอยู่นั่นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามาองครักษ์หนุ่มรีบหลบหลังต้นไม้ใหญ่ ครู่ต่อมาก็เห็นว่า คนที่ควบม้ามานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น “หานอวี้” จอมยุทธผู้ได้สมญานามว่า “กระบี่ไร้เลือด” นั่นเององครักษ์หนุ่มไม่รอช้า รีบเข้าไปดักหน้าทันที“คารวะพี่หาน”“เอ้า ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็น้องเจิ้งนี่เอง” จอมยุทธวัยย่างสี่สิบ ดวงหน้าเข้มหล่อเหลา ไว้หนวด รูปร่างกำยำ แต่งกายรัดกุมหัวเราะอย่างยินดี ไม่นึกเลยว่า กลางป่าเขาเช่นนี้จะได้พบกับจอมยุทธผู้มีพระคุณกับเขาได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ขณะที
ณารามองหน้าต่างกระท่อมเปิดแง้มเอาไว้ ได้แต่หวังว่าเจิ้งหมิงจะพบปิ่นปักผมของเธอ และติดตามมาทันก่อนที่เธอจะถูกพาไปยังเกาะจวินจวู ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้คนร้ายจับได้ว่า ไม่ได้ตั้งครรภ์จริงๆ อยู่นั่นเอง หน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ก็ถูกเปิดออกสายลมหอบเอากลิ่นความเค็มของน้ำทะเลเข้ามานั้น ไม่ได้ทำให้เธอตื่นเต้นดัใจท่ากับ องครักษ์หนุ่มผู้มากับสายลมนั้นเลย“คุณ คุณจริงๆ ด้วย” หญิงสาวเผลออุทานเป็นภาษาไทยคนที่เพิ่งเข้ามาจึงได้แต่ทำหน้างง“อ๋อ ขอโทษค่ะ ฉันลืมตัวไปหน่อย คุณมาได้ยังไงคะ” ณารารีบเปลี่ยนภาษาอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามพอให้ได้ยินกันเพียงสองคน“ข้าสะกดรอยตามรถม้ามา บังเอิญพบคนรู้จัก จึงยืมม้าตามมาทัน”“คุณจะทำยังไงต่อคะ” ณารายังไม่คลายสงสัยอยู่นั่นเอง“ข้าจะหาทางตามเจ้าไปให้ได้ ว่าแต่เจ้ารู้รึเปล่าว่า พวกมันจะพาเจ้าไปไหน”“เกาะจวิน…” ยังไม่ทันที่ณาราจะเอ่ยจบประโยค เสียงไขกุญแจก็ดังมาจากหน้าประตู เจิ้งหมิงจึงต้องรีบหลบออกไปทางหน้าต่าง“โธ่เอ๊ย ยังไม่ทันจะพูดจบเลย” ณาราพึมพำ ขณะที่ประตูบานนั้นเปิดผางออก ก่อนที่ชายร่างกำยำ คนเดียวกับที่นั่งเฝ้าเธอบนรถม้าจะก้าวเข้ามาในยามนี้เขาอาจะไม่ไ
ภายในห้องหนังสือ ท่านอ๋อง 9 นั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะเขียนหนังสือ ในมือถือตำราของฉินเอี้ยน ยอดกวีชื่อดังสมัยราชวงศ์ก่อน ทว่าใจกลับไม่ได้ดื่มด่ำกับตัวอักษรตรงหน้าเลยแม้แต่น้อยแม้จะกลับจากพบเฉินลู่ซีมาตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ แล้ว แต่ก็อดเป็นห่วงธิดาคนเล็กไม่ได้เลย ขณะเดียวกันก็อดสงสัยในคำพูดของฮุ่ยเหนียงขึ้นมาไม่ได้เช่นกันทำไมเขาจะไม่รู้ไม่เห็นเล่าว่า ระหว่างจ้าวเจี้ยนฟางกับฮุ่ยเหนียงนั้น มีแต่ความบาดหมางเมื่อครั้งจ้าวเจี้ยนฟางยังเล็กนั้น แม้จะไม่เคยเห็นกับตา แต่ก็รู้มาตลอดว่า ธิดาคนเล็กถูกแม่เลี้ยงรังแก จากคำพูดของคนรับใช้แต่เพราะต้องทำตามคำสั่งเสียของภรรยา ให้ดูแลฮุ่ยเหนียงน้องสาวของนางให้ดี จึงต้องหลีกเลี่ยงด้วยการส่งจ้าวเจี้ยนฟางเข้าไปอยู่ในวังส่วนเรื่องการแต่งงานระหว่างจ้าวเจี้ยนฟางกับหลี่จิ้งนั้น หากนางไม่ยินยอม เขาก็คงไม่ขัดอะไร แต่ทำไมฮุ่ยเหนียงจึงต้องให้ร้ายจ้าวเจี้ยนฟางว่า นางไม่พอใจจนหนีออกจากตำหนักตั้งแต่คืนที่มีงานเลี้ยงด้วยเล่าตอนแรก ท่านอ๋อง9 ก็เกือบจะเชื่อคำพูดของฮุ่ยเหนียงไปแล้ว หากไม่เพราะการไปพบเฉินลู่ซี จนรู้ว่าธิดาคนเล็กถูกทำร้าย ตอนนี้อยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว และอยู่ใ
เสียงครวญแห่งความสุขสม ยิ่งปลุกเร้าเพลิงปรารถนาให้ลุกโชน แผดเผาสองกาย จนหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกันในนาทีนั้นเอง ทั้งสองไม่รู้เลยว่า เสี่ยวชุ่ย สาวใช้ต้นห้องของฮุ่ยเหนียงเดินผ่านมา เสียงครวญสอดประสานลอดผ่านห้องพักของฮูหยินรองแห่งจวนอ๋อง พาให้สองเท้าหยุดชะงัก เพียงแนบหูกับประตูก็รู้ว่า มีใครคนหนึ่งอยู่ภายในห้องนั้นแรกทีเดียวนางเข้าใจว่าเป็นท่านอ๋อง 9 แต่เมื่อเดินมายังห้องหนังสือ และพบว่า ไฟในห้องยังคงเปิดอยู่จึงแน่ใจว่า ผู้ชายที่อยู่ในห้องของฮุ่ยเหนียงจะต้องไม่ใช่ท่านอ๋องอย่างแน่นอนนางเป็นสาวใช้ในตำหนักอ๋องมาตั้งแต่เล็ก รู้เรื่องราวของที่นี่มิใช่น้อย ทำไมจะไม่รู้เล่าว่า ตั้แต่ฮูหยินลี่เจินสิ้นใจ แม้ท่านอ๋องจะให้ฮุ่ยเหนียงขึ้นมาเป็นฮูหยินรอง แต่ก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์เกินเลยไปกว่าพี่เขยกับน้องภรรยาท่านยังคงวางตนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยประพฤตินอกใจอดีตภรรยาเลยสักครั้ง ไม่อย่างนั้นคงจะมีบุตรธิดาเพิ่มแล้วแล้วคนที่อยู่ในห้องของฮุหยินรองเป็นใครกันนะ หากนางล่วงรู้ความจริงหลังประตูบานนั้น จะยังคงมีชีวิตอยู่ต่ออีกหรือไม่หนอหากยังคงปิดหูปิดตา ไม่ยอมสืบหาความจริง ก็เท่ากับผิดต่อสกุลจ้าว ผิดต่อฮ
เสียงกระแอมดังมาจากทางด้านหลัง พาให้ณาราผละห่างจากอ้อมกอดของเจิ้งหมิงอย่างรวดเร็ว หันไปมองตามต้นเสียงก็เห็นว่า ไห่ถวนยืนมองมายิ้มๆ“ข้าแค่จะมาตามพี่สองคนไปกินข้าว ไม่ได้มาขัดจังหวะนะ”“เหรอ” ณาราลากเสียงพยายามเข้าใจ หากไม่เพราะต้องทำตัวเป็นจ้าวเจี้ยนฟางละก็ คงไล่เตะก้นคนสอดรู้สอดเห็น แถมยังช่างแซวไปแล้ว กว่าเจิ้งหมิงจะพาณารามาส่งที่บ้านพัก ก็เกือบเย็นแล้ว เมื่อมาถึงก็เห็นว่ามีอาหารและถ้วยยาวางอยู่ และดูเหมือนว่าองครักษ์หนุ่มจะสนใจยาในถ้วยเป็นพิเศษ “ยาอะไรนะ มันจะเกี่ยวกับสิ่งที่หญิงตั้งครรภ์นางอื่นๆ บอกเจ้ารึเปล่าว่า พวกนางยินยอมจะอยู่ที่นี่โดยไม่คิดหนี” “นั่นสิคะ พวกนางทำราวกับว่า ไม่เคยมีสามี ไม่เคยมีครอบครัวอย่างนั้นแหละ” ณาราครุ่นคิด อยากรู้นักว่าเสี่ยวหงกับปิงปิง เพื่อนที่มาพร้อมกับเธอได้ดื่มยาจากถ้วยแล้วหรือยัง แล้วพวกนางอยากจะกลับไปหาครอบครัวหรือไม่ คิดดังนั้นแล้ว ณาราก็ออกจากห้องมาเคาะประตูเรียกเสี่ยวหงกับปิงปิง ซึ่งพักอยู่ในห้องถัดจากห้องพักของเธอ แล้วสิงที่เห็นก็ทำให้ณาราประหลาดใจยิ่งนัก เมื่อพบว่า หญิงตั้งครรภ์ทั้ง
แม่ผู้ไม่มีวรยุทธ หรือจะต่อกรกับคมกระบี่ได้ เพียงคมกระบี่กรีดลึกเข้าร่าง แม่ก็ล้มฟาดลงกับพื้น โลหิตแดงฉาดฉานพุ่งจากปากและจมูก พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายปลิดปลิวไป“ท่านแม่ ท่านแม่” ร่างนั้นกระสับกระส่าย ก่อนผุดลุกจากเตียง หายใจหอบแรง ดวงตาคมกล้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากภาพอดีตตามหลอกหลอนชั่วอัดใจต่อจากนั้น ประตูห้องก็เปิดผางออก ก่อนที่หนุ่มน้อยคนหนึ่งจะก้าวเข้ามา“พี่ชาย ข้ากลับมาแล้ว” หนุ่มน้อยหน้าทะเล้นส่งยิ้มกว้างมาให้ ก่อนหุบยิ้มฉับ เมื่อเห็นว่าคนเจ็บไม่ยิ้มด้วย มิหนำซ้ำยังมองมาด้วยแววตาหวาดระแวงอีกต่างหาก“พี่ชาย ข้าเป็นคนช่วยชีวิตท่านเอาไว้นะ เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้นล่ะ”คำถามของหนุ่มน้อย เรียกสติเจิ้งหมิงให้กลับมาเป็นปกติ แววตาหวาดระแวงนั้นจึงค่อยๆ อ่อนแสงลง “ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย เมื่อครู่ข้าฝันร้าย หวังว่าน้องชายคงไม่ถือสา” “ข้าไม่ถือสาหรอก ข้าก็แค่ตกใจนิดหน่อย ข้าไห่ถวน ท่านล่ะ” “ข้าเจิ้งหมิง ขอบคุณน้องชายมากที่ช่วยข้าไว้” “ท่านไม่ต้องเกรงใจหรอก ใครเห็นคนเจ็บอยู่กลางทะเลแบบนั้น ก็ต้องช่วยเหลือเป็นธรรมดา ท่านรู้หรือไม่ว่าตนเองถูกพิษร
ดูจากจำนวนคนที่มาจับจายใช้สอยกับร้านรวงแล้ว ณาราก็พอจะประเมินได้ว่า หมู่บ้านแห่งนี่คงใหญ่โตพอดู และชาวบ้านเอง ก็พอมีเงินทองจับจ่ายคล่องมือเช่นกันเดินจนทั่วตลาดแล้ว แต่ก็ยังไม่พบวี่แววของเจิ้งหมิงเลยหากเขาตามเธอลงเรือมาจริง ก็น่าจะต้องมาตามหาเธอที่นี่นี่นาหรือข้อสันนิษฐษนของเธอจะเป็นความจริงเสียแล้ว บอกตนเองแล้ว ณาราก็ใจไม่ดีเอาซะเลย นึกไม่ออกเลยว่าจะเริ่มตามหาเจิ้งหมิงได้อย่างไรณาราเดินเรื่อยๆ ผ่านตลาดมายังท่าเรือ แต่แล้วก็ต้องรีบหลบไปในหมู่ชาวบ้านแทบไม่ทัน เมื่อเห็นเรือลำหนึ่งแล่นมาจอดเทียบท่า ทิ้งสมอ ไกลออกไปมีเรือสำเภาลำใหญ่จอดอยู่ ก่อนที่คนกลุ่มหนึ่งจะก้าวลงจากเรือมาทีละคนคนเดินนำนั้นช่างคุ้นตานัก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ทว่านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เขาเป็นชายวัยกลางคนสวมมงกุฎทำจากดอกไม้ แต่งกายรู่มร่ามเหมือนชนเผ่าโบราณที่เธอเคยเห็นในภาพยนตร์ หน้าตา บุคลิกภายนอกของเขารึก็ดูองอาจอย่างทหาร ส่วนผู้ที่ก้าวตามหลังมานั้น หน้าตาละม้ายคล้ายกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าถอดพิมพ์ออกมาจากผู้เดินนำไปก่อน น่าแปลกนักที่ผู้เดินตามมาอีกเป็นขบวนนั้น ล้วนแต่เป็นทหารทั้งสิ้นเหตุใดทหารมากมายจึงมาที
เจิ้งหมิงกำลังลอบลงจากเรือสำเภา แต่กลุ่มชายชุดดำบนเรือกลับรู้ตัวว่ามีคนแฝงตัวมากับพรรคพวกของเขา จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้นต่างฝ่ายต่างต่อสู้กันด้วยกระบี่ เจิ้งหมิงสังหารชายชุดดำล้มตายไปหลายคน ด้วยเพลงกระบี่อันเยี่ยมยุทธ ก่อนกระโดดลงทะเลหลบหนี ไม่นึกเลยว่า กลับถูกอาวุธลับซัดเข้าที่กลางหลังพิษของมันร้ายกาจนัก เพียงครู่เดียวก็ซึมเข้ากระแสเลือด ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง จนไม่อาจขยับเขยื่อนร่างกายได้ สติสัมปชัญญะที่มีพร่าเลือนลงทุกทีแม้กระนั้นห้วงคำนึงของเขาก็ยังนึกถึงแต่ณารา นางผู้มาจากต่างกาลเวลา ไม่รู้ว่าป่านนี้นางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรขณะร่างของเจิ้งหมิงดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลนั่นเอง โลมาตัวหนึ่งก็พุ่งเข้ามา ใช้ครีบของมันช้อนร่างของเขาเอาไว้ แล้วพาไปยังเรือประมง ลำที่มันคุ้นเคยขณะนั้น “ไห่ถวน” ชาวประมงหนุ่มน้อย รูปร่างเก้งก้าง ผิวกร้านแดด เรือนผมยาวเกล้าเอาไว้ลวกๆ ดูยุ่งเหยิง ดวงตาเล็กหยี ภายใต้คิ้วหนานั้น เต็มไปด้วยประกายแห่งความสุขกำลังเก็บปลาจากอวนใส่ท้องเรือแต่แล้วหางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นโลมาตัวนั้นว่ายมาทางเขา โดยที่ครีบของมันกำลังประคองร่างของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งมาด้วย“ถิง
เสียงครวญแห่งความสุขสม ยิ่งปลุกเร้าเพลิงปรารถนาให้ลุกโชน แผดเผาสองกาย จนหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกันในนาทีนั้นเอง ทั้งสองไม่รู้เลยว่า เสี่ยวชุ่ย สาวใช้ต้นห้องของฮุ่ยเหนียงเดินผ่านมา เสียงครวญสอดประสานลอดผ่านห้องพักของฮูหยินรองแห่งจวนอ๋อง พาให้สองเท้าหยุดชะงัก เพียงแนบหูกับประตูก็รู้ว่า มีใครคนหนึ่งอยู่ภายในห้องนั้นแรกทีเดียวนางเข้าใจว่าเป็นท่านอ๋อง 9 แต่เมื่อเดินมายังห้องหนังสือ และพบว่า ไฟในห้องยังคงเปิดอยู่จึงแน่ใจว่า ผู้ชายที่อยู่ในห้องของฮุ่ยเหนียงจะต้องไม่ใช่ท่านอ๋องอย่างแน่นอนนางเป็นสาวใช้ในตำหนักอ๋องมาตั้งแต่เล็ก รู้เรื่องราวของที่นี่มิใช่น้อย ทำไมจะไม่รู้เล่าว่า ตั้แต่ฮูหยินลี่เจินสิ้นใจ แม้ท่านอ๋องจะให้ฮุ่ยเหนียงขึ้นมาเป็นฮูหยินรอง แต่ก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์เกินเลยไปกว่าพี่เขยกับน้องภรรยาท่านยังคงวางตนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยประพฤตินอกใจอดีตภรรยาเลยสักครั้ง ไม่อย่างนั้นคงจะมีบุตรธิดาเพิ่มแล้วแล้วคนที่อยู่ในห้องของฮุหยินรองเป็นใครกันนะ หากนางล่วงรู้ความจริงหลังประตูบานนั้น จะยังคงมีชีวิตอยู่ต่ออีกหรือไม่หนอหากยังคงปิดหูปิดตา ไม่ยอมสืบหาความจริง ก็เท่ากับผิดต่อสกุลจ้าว ผิดต่อฮ
ภายในห้องหนังสือ ท่านอ๋อง 9 นั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะเขียนหนังสือ ในมือถือตำราของฉินเอี้ยน ยอดกวีชื่อดังสมัยราชวงศ์ก่อน ทว่าใจกลับไม่ได้ดื่มด่ำกับตัวอักษรตรงหน้าเลยแม้แต่น้อยแม้จะกลับจากพบเฉินลู่ซีมาตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ แล้ว แต่ก็อดเป็นห่วงธิดาคนเล็กไม่ได้เลย ขณะเดียวกันก็อดสงสัยในคำพูดของฮุ่ยเหนียงขึ้นมาไม่ได้เช่นกันทำไมเขาจะไม่รู้ไม่เห็นเล่าว่า ระหว่างจ้าวเจี้ยนฟางกับฮุ่ยเหนียงนั้น มีแต่ความบาดหมางเมื่อครั้งจ้าวเจี้ยนฟางยังเล็กนั้น แม้จะไม่เคยเห็นกับตา แต่ก็รู้มาตลอดว่า ธิดาคนเล็กถูกแม่เลี้ยงรังแก จากคำพูดของคนรับใช้แต่เพราะต้องทำตามคำสั่งเสียของภรรยา ให้ดูแลฮุ่ยเหนียงน้องสาวของนางให้ดี จึงต้องหลีกเลี่ยงด้วยการส่งจ้าวเจี้ยนฟางเข้าไปอยู่ในวังส่วนเรื่องการแต่งงานระหว่างจ้าวเจี้ยนฟางกับหลี่จิ้งนั้น หากนางไม่ยินยอม เขาก็คงไม่ขัดอะไร แต่ทำไมฮุ่ยเหนียงจึงต้องให้ร้ายจ้าวเจี้ยนฟางว่า นางไม่พอใจจนหนีออกจากตำหนักตั้งแต่คืนที่มีงานเลี้ยงด้วยเล่าตอนแรก ท่านอ๋อง9 ก็เกือบจะเชื่อคำพูดของฮุ่ยเหนียงไปแล้ว หากไม่เพราะการไปพบเฉินลู่ซี จนรู้ว่าธิดาคนเล็กถูกทำร้าย ตอนนี้อยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว และอยู่ใ
ณารามองหน้าต่างกระท่อมเปิดแง้มเอาไว้ ได้แต่หวังว่าเจิ้งหมิงจะพบปิ่นปักผมของเธอ และติดตามมาทันก่อนที่เธอจะถูกพาไปยังเกาะจวินจวู ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้คนร้ายจับได้ว่า ไม่ได้ตั้งครรภ์จริงๆ อยู่นั่นเอง หน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ก็ถูกเปิดออกสายลมหอบเอากลิ่นความเค็มของน้ำทะเลเข้ามานั้น ไม่ได้ทำให้เธอตื่นเต้นดัใจท่ากับ องครักษ์หนุ่มผู้มากับสายลมนั้นเลย“คุณ คุณจริงๆ ด้วย” หญิงสาวเผลออุทานเป็นภาษาไทยคนที่เพิ่งเข้ามาจึงได้แต่ทำหน้างง“อ๋อ ขอโทษค่ะ ฉันลืมตัวไปหน่อย คุณมาได้ยังไงคะ” ณารารีบเปลี่ยนภาษาอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามพอให้ได้ยินกันเพียงสองคน“ข้าสะกดรอยตามรถม้ามา บังเอิญพบคนรู้จัก จึงยืมม้าตามมาทัน”“คุณจะทำยังไงต่อคะ” ณารายังไม่คลายสงสัยอยู่นั่นเอง“ข้าจะหาทางตามเจ้าไปให้ได้ ว่าแต่เจ้ารู้รึเปล่าว่า พวกมันจะพาเจ้าไปไหน”“เกาะจวิน…” ยังไม่ทันที่ณาราจะเอ่ยจบประโยค เสียงไขกุญแจก็ดังมาจากหน้าประตู เจิ้งหมิงจึงต้องรีบหลบออกไปทางหน้าต่าง“โธ่เอ๊ย ยังไม่ทันจะพูดจบเลย” ณาราพึมพำ ขณะที่ประตูบานนั้นเปิดผางออก ก่อนที่ชายร่างกำยำ คนเดียวกับที่นั่งเฝ้าเธอบนรถม้าจะก้าวเข้ามาในยามนี้เขาอาจะไม่ไ
ครู่ต่อมา รถม้าก็หยุดลง ก่อนที่ชายชุดดำผู้นั้นจะคุมตัวณาราเข้ามายังพุ่มไม้ข้างทาง“พี่ชาย ท่านไปห่างๆ ได้มั้ย”“ได้ แต่อย่าคิดหนีนะ” ชายชุดดำผู้นั้นย้ำเสียงกระด้าง เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป ปล่อยให้เชลยของเขาได้ทำธุระส่วนตัวณารามองซ้ายมองขวา เดินลึกเข้าไปอีกนิด ก่อนนั่งลงทำธุระส่วนตัวของตนเอง พลางคิดว่าจะถ่วงเวลาให้เจิ้งหมิงตามมาทันได้อย่างไรขณะเดียวกัน เจิ้งหมิงเดินทางด้วยวิชาตัวเบามาตามรอยรถม้า ป่านนี้คนร้ายคงพาณาราล่วงหน้าไปไกลนับร้อยลี้แล้ว ไม่แน่ใจเอาซะเลยว่า จะติดตามเธอไปทันได้อย่างไร ขณะกำลังหนักใจอยู่นั่นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามาองครักษ์หนุ่มรีบหลบหลังต้นไม้ใหญ่ ครู่ต่อมาก็เห็นว่า คนที่ควบม้ามานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น “หานอวี้” จอมยุทธผู้ได้สมญานามว่า “กระบี่ไร้เลือด” นั่นเององครักษ์หนุ่มไม่รอช้า รีบเข้าไปดักหน้าทันที“คารวะพี่หาน”“เอ้า ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็น้องเจิ้งนี่เอง” จอมยุทธวัยย่างสี่สิบ ดวงหน้าเข้มหล่อเหลา ไว้หนวด รูปร่างกำยำ แต่งกายรัดกุมหัวเราะอย่างยินดี ไม่นึกเลยว่า กลางป่าเขาเช่นนี้จะได้พบกับจอมยุทธผู้มีพระคุณกับเขาได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ขณะที
“อันที่จริง ข้าพบใต้ท้าวเฉินกับเสี่ยวเถาโดยบังเอิญตั้งแต่กลางป่าแล้ว ไม่นึกเลยว่า จะถูกหลวงจีนชั่วล่อลวงไปที่นั่นได้ จากนั้นข้ากับใต้ท้าวก็ต่างแยกย้ายกัน ได้พบใต้ท้าวอีกครั้ง ท่านก็มารับตำแหน่งเป็นนายอำเภอซานชิงแล้ว”“แล้วคุณมาทำงานกับใต้ท้าวเฉินที่ศาลซื่อเหอได้ยังไงคะ” แม้จะเริ่มง่วงจากการเดินทาง แต่ณาราก็ยังอยากรู้เรื่องของเขาต่อ“ข้าแอบติดตามช่วยเหลือใต้ท้าวสืบคดี คุ้มกันใต้ท้าวจากผู้ที่เสียผลประโยชน์จากการทำคดีของใต้ท้าวอยู่หลายปี กระทั่งครั้งหนึ่ง ข้ายื่นมือเข้าไปช่วยใต้ท้าวปิดคดีเสนาบดีเกากดขี่ข่มเหงราษฎรได้สำเร็จ ฮ่องเต้จึงทรงแต่งตั้งให้ข้าเป็นองครักษ์ขั้น 4 สังกัดศาลซื่อเหอ ทำงานรับใช้ใต้ท้าวเฉินเรื่อยมา”“คุณก็เลยเลิกเป็นจอมยุทธ มารับราชการแทน อย่างนั้นเหรอคะ”เจิ้งหมิงพยักหน้ารับ “แต่ข้าก็ยังคงถือว่าตนเองเป็นทั้งชาวยุทธ ทั้งข้าราชสำนัก แล้วเจ้าล่ะ ในโลกของเจ้า เจ้าเป็นมือปราบไม่ใช่หรือ”“ค่ะ ฉันเป็นมือปราบ ที่เรียกว่า ตำรวจลับ หรือเรียกว่าสายลับก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันเป็นตำรวจ เพราะเบื้องหน้านั้น ฉันเป็นดารา เอ่อ ฉันหมายถึงนักแสดงละครน่ะ”“เจ้าช่างเก่งกล้านัก”“ไม่เลยค่ะ