จ้าวเจี้ยนฟางเดินเข้ามาในงานเลี้ยมวันเกิดของบิดา คารวะใต้ท้าวเฉินด้วยความเต็มใจ แต่เมื่อเลื่อนสายตามาหยุดอยู่ตรงหน้าแม่ทัพหลี่เหวินเฉา และหลี่จิ้ง นางกลับคารวะไปตามมารยาทเท่านั้น
“นี่เจี้ยนฟาง ลูกสาวคนเล็กของข้าที่เพิ่งกลับมาจากวังหลวง ต่อไปเจี้ยนฟางจะกลับมาอยู่ที่นี่แล้วล่ะนะ”
“ดีๆ นั่งก่อนสิหลานเจี้ยนฟาง” หลี่เหวินเฉาผายมือไปยังเก้าอี้ข้างตัวบุตรชาย
“มานั่งด้วยกันเถิดน้องหญิง” หลี่จิ้งเชื้อเชิกุลีกุจอตักอาหารให้อย่างรู้หน้าที่
จ้าวเจี้ยนฟางจึงต้องเดินมานั่งลงข้างๆ เขาอย่างเสียมิได้
“ท่านหญิงน้อยก็กลับมาแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันดี ข้าว่าเรามาคุยเรื่องงานมงคลระหว่างลูกจิ้งกับท่านหญิงดีกว่านะครับท่านอ๋อง” หลี่เหวินเฉาเอ่ยกลั้วหัวเราะ
ขณะที่ท่านหญิงน้อยหน้าตึงขึ้นมาในทันที แม้จะถูกอบรมให้ซ่อนสีหน้า สงบปากสงบคำยามอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ แต่กับเรื่องที่เพิ่งได้ยินแบบไม่เคยรู้ล่วงหน้าเช่นนี้ เธอคงไม่อาจทำได้
“หมายความว่ายังไงคะท่านพ่อ”
“เอ่อ… เรื่องนั้นเอาไว้คุยกันวันหลังเถิดนะแม่ทัพหลี่”
“ไม่ได้หรอก วันนี้แหละ เหมาะสมที่สุดแล้ว” หลี่เหวินเฉาเร่ง ขัดใจนิดๆ ที่เอาเข้าจริงท่านอ๋อง 9 ก็กลับหวงลูกสาวจนออกนอกหน้า
“ท่านพ่อ อย่าเพิ่งเร่งรัดท่านอ๋องเลย ดูซี่ น้องหญิงหน้าแดงไปหมดแล้ว” หลี่จิ้งกระเซ้า ทั้งที่เห็นอยู่แล้วว่า ท่านหญิงน้อยไม่พอใจ
ขณะที่ท่านหญิงน้อยเอ่ยแทรกขึ้นว่า
“ท่านพ่อจะให้ข้าแต่งงานกับคุณชายผู้นี้เหรอคะ”
“เอ่อ…” เห็นดวงหน้าแดงก่ำของบุตรีแล้ว ท่านอ๋อง9 ก็พูดไม่ออก
“ท่านพ่ออยากให้ใครแต่งก็แต่งไป แต่ไม่ใช่ข้า ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวก่อนนะคะ” ว่าแล้วท่านหญิงน้อยก็ลุกขึ้นยืน ก้าวเร็วๆ ออกจากห้องอาหารมา โดยไม่สนใจเสียงเรียกของท่านอ๋องเลยแม้แต่น้อย
“ลูกข้าเสียมารยาท ต้องขออภัยด้วยนะ” ท่านอ๋องเอ่ยกับทั้งหลี่เหวินเฉาและเฉินลู่ซี
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าเข้าใจ เมื่อรู้ว่าตนเองกำลังจะได้เป็นเจ้าสาว ท่านหญิงน้อยคงจะตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก เชิญรับประทานอาหารต่อเถิดท่าน” แม้จะขัดใจในความทะนงตนของท่านหญิงน้อยผู้นี้ แต่ก็ไม่อยากใส่ใจอะไรให้มากความ สู้มีความสุขกับอาหารอร่อยตรงหน้าจะดีกว่า
จ้าวเจี้ยนฟางเร่งฝีเท้าพาตนเองออกจากห้องอาหารมา ความเจ็บปวดใจที่ถูกบิดาผลักไสให้แต่งงานออกเรือนไปกับชายที่ไมได้รัก พาให้ก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกตันลำคอ สายน้ำตาเอ่อรินอาบสองแก้มอย่างสุดจะกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป
“จะรีบไปไหนล่ะท่านหญิงน้อย หยุดคุยกันก่อนซี่” ฮุ่ยเหนียงก้าวเร็วๆ ตามมาร้องเรียก
“ไม่ต้องมายุ่งกับข้า จะไปไหนก็ไป” จ้าวเจี้ยนฟางตวาดไล่ โดยไม่ยอมหันไปมองหน้าอีกฝ่าย
ไม่มีทางหรอกที่นางจะยอมให้ฮุ่ยเหนียง คนที่นางเกลียดชังเห็นน้ำตา
“ท่านหญิงน้อย ถึงข้าจะไม่ใช่แม่แท้ๆ ของท่าน ถึงท่านจะเกลียดชังข้าสักปานใด แต่ข้าก็หวังดีกับท่านมากที่สุดนะ ฮึ เพราะอย่างน้อย ข้าก็ไม่ได้ต้องการให้ท่านแต่งงานกับคุณชายหลี่”
“งั้นเรอะ” จ้าวเจี้ยนฟางยกแขนเสื้อขึ้นปาดน้ำตาทิ้งไป ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับแม่เลี้ยงเต็มตา
“ท่านหญิงน้อยอยู่ในวังหลวงมาตลอด คงไม่รู้หรอกว่า คุณชายหลี่เป็นคนเช่นไร ชาวเมืองฉางโจวใครๆ ก็ต่างรู้ทั้งนั้นล่ะว่า คุณชายหลี่เป็นพวกมักมาก เห็นผู้หญิงเป็นเพียงผักปลาเท่านั้น ถึงท่านจะแต่งงานเป็นฮูหยินของคุณชายได้ ก็คงมีฐานะไม่ต่างจากอนุหรอก ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ คงไม่อยากใช้สามีร่วมกับผู้หญิงคนอื่นหรอกจริงมั้ย ข้า หาทางออกให้ท่านได้นะ”
“ทางออกอะไร” ท่านหญิงน้อยขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจเลยว่า อีกฝ่ายจะมาไม้ไหน
“ท่านก็แค่กลับเข้าหวังไปซะ เพียงเท่านี้ ท่านก็ไม่ต้องแต่งงานแล้ว”
จริงสินะ...หากกลับเข้าวังไปได้ นางอาจไม่ต้องแต่งงานอย่างที่ฮุ่ยเหนียงว่าก็เป็นได้
“คืนนี้ ท่านอ๋องคงมัวแต่สนทนากับแขกของท่าน ข้าว่าท่านหญิงน้อยรีบไปเก็บสัมภาระ แล้วรีบกลับเมืองหลวงไปจะดีกว่า”
เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่จ้าวเจี้ยนฟางคล้อยตามคำพูดของฮุ่ยเหนียง ยิ่งนางให้สาวใช้มาช่วยเก็บสัมภาระ เตรียมแผนการหนีออกจากตำหนักอย่างปัจจุบันทันด่วน ท่านหญิงน้อยก็ยิ่งมองเห็นเส้นทางแห่งอิสรภาพรออยู่ตรงหน้าแล้ว
จ้าวเจี้ยนฟางปลอมตัวเป็นชาย แบกสัมภาระเท่าที่จำเป็นขึ้นบ่า ก้าวลงจากเรือนเหมยฮวา เมื่อต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนเข้าจริงๆ ก็อดใจหายไม่ได้
“ข้าอกตัญญูนัก ไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณท่านพ่อ ขอท่านพ่อรักษาตัวด้วยนะคะ” ท่านหญิงน้อยพร่ำรำพัน สองเท้าก้าวเร็วๆ สู่ประตูด้านหลังตำหนักท่านอ๋อง 9
แสงจันทร์ในคืนเพ็ญส่องฉาย แลเห็นหมู่ไม้สองข้างทางตะคุ้มดำ
สายลมยามดึกพัดหมู่ไม้ตะคุ่มดำนั้นเอนไหว บางคราก็ดูคล้ายมือของปีศาจกวักเพรียกหานาง ชวนให้อกสั่นขวัญหาย
หากท่านหญิงน้อยก็ถอยหลังไม่ได้อีกแล้ว นางจำใจต้องสลัดความหวาดกลัวในใจออกไป กลั้นใจก้าวเดินไปข้างหน้า
แต่แล้ว นางก็ต้องชะงัก เมื่อรู้สึกว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งจ้องมองมาจากทางด้านหลัง แต่เมื่อหันไปมอง กลับไม่พบใคร
หนึ่งชั่วยามของการเดินทางไกลยาวนานนักในความคิดนาง สองขาก้าวเดินผ่านเนินเตี้ยๆ เริ่มอ่อนล้าโรยแรง
นางเดินมาไกลขนาดนี้คงไม่มีใครตามมาแล้วละ ท่านหญิงน้อยบอกตนเอง วางสัมภาระลงกับพื้น นั่งพักตรงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
แต่แล้ว เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อจู่ๆ ก็มีชายชุดดำสองคน เคลื่อนกายด้วยวิชาตัวเบา ตะกายอากาศมุ่งมาทางนาง พอได้ระยะก็ชักกระบี่ออกมา
คมกระบี่ต้องแสงจันทร์วับวามพาให้นางตกใจจนแทบสิ้นสติ
“พวกเจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรจากข้า”
“ชีวิต…” หนึ่งในชายชุดดำตอบเสียงเหี้ยม
“พวกเจ้า เอ่อ พวกท่านอย่าทำอะไรข้าเลย พวกท่านอยากได้อะไร ข้าจะหามาให้ทุกอย่าง ขอเพียงพวกท่านปล่อยข้าไป”
“ข้าเองก็อยากทำอย่างนั้นอยู่หรอก หากข้าปลอ่ยเจ้าไป ชีวิตข้าสองคนก็คงหาไม่เช่นกัน อภัยให้ข้าเถิดนะ” ว่าแล้ว ชายชุดดำผู้น้นก็ตวัดปลายกระบี่เข้าจ้วงแทงร่างของนาง
คมกระบี่ผ่านเสื้อผ้า ผิวเนื้อนางอย่างไร้ความปราณี
ในวินาทีที่วิญญาณของจ้าวเจี้ยนฟางหลุดจากร่างนั่นเอง เป็นเวลาเดียวกับที่ดาวดวงหนึ่งพุ่งจากโค้งฟ้าอีกด้านหนึ่ง สู่พื้นดิน
แม้จะเป็นเหตุการณ์ธแสนธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป แต่ในค่ำคืนนี้กลับแตกต่งไปจากทุกค่ำคืนที่ผ่านมา
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือ… กงล้อแห่งโชคชะตากำลังพาวิญญาณดวงหนึ่ง ข้ามกาลเวลามายังแผ่นดินต้าเถียน
ในโลกแห่งความตายที่บัดนี้มิได้มีเส้นแบ่งแห่งการเวลากางกั้นนั้น ณาราลืมตาขึ้น พบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคยสถานที่ที่เธอยืนอยู่เป็นป่าเขาสลัวรางท่ามกลางแสงจันทร์ แลเห็นทิวไม้ตะคุ่มดำ และตรงหน้าของเธอคือ หญิงสาวนางหนึ่งกำลังเดินใกล้เข้ามา “คุณเป็นใคร” “ข้าชื่อจ้าวเจี้ยนฟาง” นางตอบช้าๆ น้ำเสียงกังวานดุจระฆังแก้ว ณาราจ้องดวงหน้างดงามนั้น นิ่งทบทวนเหตุการณ์ครู่หนึ่ง จริงสินะ… เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เธอเข้าแย่งปืนกับคนร้าย เพื่อรักษาชีวิตของธีรเทพเอาไว้นี่นา แล้วปืนก็ลั่น จริงสินะ...เสียงปืนดังจนแก้วหูลั่นเปรี๊ยะนั่นคงจะทำให้เธอตายไปแล้ว ที่นี่คงเป็นโลกแห่งความตายละกระมัง แล้วผู้หญิงคนที่ยืนอยุ่ตรงหน้าเธอเองก็คงตายแล้วเหมือนกัน “ฉันตายแล้ว แล้วคุณเองก็ตายแล้วเหมือนกันใช่มั้ย” หญิงสาวผู้นั้นนิ่งไป คล้ายกำลังทบทวนเหตุการณ์อยู่เช่นกัน “ข้าเองก็คงตายไปแล้วเหมือนกัน” “ถ้างั้น อีกไม่นาน ยมทูตก็จะมารับเราสองคนไปนรก ใช่มั้ยคุณ” ณาราเอ่ยเรื่อยๆ ไม่อนาทรร้อนใจ
“ข้าฝากด้วยนะครับท่านเจียง” “ให้ข้าดูอาการก่อนเถิด” เลขาเจียงจับชีพจรครู่หนึ่ง ก่อนนิ่วหน้า “ชีพจรสับสน ลมปรานติดขัด คงบาดเจ็บภายในไม่น้อย ท่านออกไปก่อนเถอะ ข้าจะรักษาคนเจ็บเอง”เลขาเจียงเอ่ยหนักแน่น รอกระทั่งองครักษ์หนุ่มออกไปแล้ว จึงเริ่มการรักษา ครั้นเมื่อเลิกเสื้อตัวนอกออก ก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นว่า หนุ่มน้อยคนที่เจิ้งหมิงพามาด้วย เป็นสตรี ยิ่งเมื่อถอดหมวกที่นางสวมอยู่ออก ก็จำได้ในทันทีว่า สตรีผู้นี้เป็นใคร จากที่ตั้งใจจะรักษานางเพียงลำพัง จึงต้องให้มือปราบจี้หมินตามสาวใช้มาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง และอยู่ร่วมการรักษาพยาบาลด้วย สองชั่วยามของการรักษาพยาบาล เจียงจี่หยาก็ก้าวออกมาจากห้องพักผู้ป่วยชั่วคราว ด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “ท่านเจียง คนเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง” “ใต้ท้าว ข้าได้รักษาบาดแผลให้แล้ว และเอ่อ” “มีอะไรเรอะ” “เรียนใต้ท้าว ที่จริงแล้ว คนเจ็บไม่ใช่หนุ่มน้อย แต่เป็นสตรีครับ และนางก็คือ ท่านหญิงจ้าวเจี้ยนฟางครับ” สิ่งที่ได้ยินพาให้ทั้งใต้ท้าวเฉิน องครักษ์เจิ้งหมิง มือปราบจี้หม
“คุณเป็นใคร” น่าแปลกที่สมองสั่งการให้เธอพูดภาษาจีนกลางออกไปโดยอัตโนมัติ แทนที่จะเป็นภาษาไทย “ข้าน้อยเจียงจื่อหยา เลขาใต้เท้าเฉินอย่างไรเล่าครับท่านหญิงน้อย”ท่านหญิงน้อยเรอะ ทำไมคนอื่นนอกจากเจิ้งหมิงถึงเรียกเธอว่าท่านหญิงน้อยด้วยล่ะ แต่ก็ช่างเถอะ เออออไปก่อนก็แล้วกันนะ อย่างน้อยก็จนกว่าเจิ้งหมิงจะกลับมา“อ๋อ เออ ใช่ๆ ฉันจะต้องป่วยจนเลอะเลือนไปแล้วแน่ๆ โอ๊ย ปวดหัวจัง” ณาราแกล้งยกมือทั้งสองขึ้นกุมขมับ แล้วล้มตัวลงนอน“ถ้าอย่างนั้น ท่านหญิงพักผ่อนก่อนเถิด ข้าน้อยขอตัวก่อน” พูดจบ เจียงจื่อหยาก็เดินออกจากห้องไป โดยมีณาราแอบมองตามไปจนลับตา“ท่านว่าอะไรนะ ท่านหญิงน้อยฟื้นขึ้นมาก็จำท่านไม่ได้ มิหนำซ้ำยังพูดจาแปลกเปลี่ยนไปอย่างนั้นเรอะ” เฉินลู่ซีเอ่ยขึ้น หลังจากเลขาคนสนิทเข้ามารายงานอาการของจ้าวเจิ้นฟางให้ทราบ ขณะนั่งตรวจเอกสารอยู่ภายในห้องรับรอง“ครับ ใต้ท้าว”“เมื่อคืนองครักษ์เจิ้งก็เข้าไปเยี่ยมท่านหญิงน้อยไม่ใช่เรอะ แล้วองครักษ์เจิ้งว่าอย่างไรบ้างล่ะ”“องครักษ์เจิ้งไม่ได้ว่าอะไรนะครับใต้ท้าว พอออกมาจากห้องพักของท่านหญิงแล้วก็รีบร้อนออกไป ตอนที่องครักษ์เจิ้งเข้าไป ท่านหญิงน่าจะยั
ขณะเดียวกัน เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังมานั้น พาให้ณาราผุดลุกจากเตียง ความหวาดหวั่นฉายชัดในดวงตา เมื่อเห็นว่า เลขาเจียงกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมกับชายวัยกลางคนอีกคนหน้าตาเขาดูดุดัน จริงจัง บุคลิกงามสง่า มองปราดเดียวก็พอจะเดาได้ว่า เขาจะต้องเป็นใต้ท้าวเฉินลู่ซี คนที่เจิ้งหมิงพูดถึงอย่างแน่นอน“ฟื้นแล้วเรอะท่านหญิงน้อย”“ค่ะ” ณาราตอบอ้อมแอ้ม หากเป็นคนอื่นคงไม่กล้าสบตาชายผู้นี้แล้ว“ข้าทราบจากองครักษ์เจิ้งว่า ท่านหญิงถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ไม่ทราบว่าท่านเห็นหน้าคนร้ายหรือไม่”“ไม่ค่ะ” ณาราส่ายหน้าน้อยๆ เธอจะเห็นหน้าคนร้ายได้อย่างไร ในเมื่อคนถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตคือจ้าวเจี้ยนฟางต่างหาก ส่วนเธอน่ะหรือ รู้อยู่แล้วล่ะว่า ตนเองถูกคนในขบวนการค้ายาเคข้ามชาติฆ่าตาย“อึม แล้วก่อนที่ท่านหญิงจะถูกทำร้ายนั้นน่ะ เหตุการณ์เป็นมาอย่างไรล่ะ ทำไมท่านหญิงถึงออกมาข้างนอกเพียงลำพังได้”ณารานิ่งนึกอยู่ครู่ พลันภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับจ้าวเจี้ยนฟางก็ผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของเธอ เสมือนได้ไปประสบเหตุการณ์ด้วยตนเอง“คือ หลังจากทะเลาะกับท่านพ่อเรื่องแต่งงานแล้ว ฉัน เอ่อ ข้า...ก็กลับมาที่เรือนเหมยฮวา ฮุ่ยเหนียงตา
ภายในห้องพัก ณารากำลังยืดเส้นยืดสาย หลังจากนอนแบบอยู่บนเตียงมาหลายชั่วโมง แม้จะเจ็บแผลจากคมกระบี่อยู่บ้าง แต่ก็ยังพอทนไหว ขณะกำลังวาดแข้งสลับซ้ายขวา เตะอากาศอยู่นั่นเอง ก็ได้ยินเสียงเคาะเบาๆ หญิงสาวไม่รอช้า รีบกระโดดขึ้นเตียง นอนห่มผ้าหลับตานิ่งตามเดิม จึงไม่เห็นว่า เจิ้งหมิงได้ถือวิสาสะเดินเข้ามา“ข้าเอง แม่นางณารา”เสียงทุ้มห้าวดังอยู่ใกล้ๆ พาให้คนแกล้งหลับรีบลืมตา ผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว “คุณ ตอนคุณไม่อยู่ ใต้ท้าวเฉินกับเลขาเจียงมาที่นี่ เค้าสองคนมองฉันแปลกๆ เค้าสงสัยแล้วใช่มั้ยว่า ฉันไม่ใช่ท่านหญิงน่ะ” เจิ้งหมิงพยักหน้ารับ “อึม ใช่ แล้วข้าก็บอกใต้ท้าวกับเลขาเจียงไปแล้วด้วยว่า เจ้าเป็นใคร” “คุณทำแบบนี้ได้ไง ฉันก็ซวยน่ะสิ” ณารามองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ “แค่การพูดจาของเจ้า ก็ไม่เหมือนท่านหญิงแล้วล่ะ ใต้ท้าวเฉินกับเลขาเจียงสืบคดีมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ อย่างไรเสีย ท่านทั้งสองก็ต้องสงสัยอยู่แล้วล่ะ” “แล้วยังไง” “เลขาเจียงให้ข้าบอกรูปพรรณสันฐานของเจ้าให้ฟัง แล้วท่านก็วาดภาพออกมา แต่เจ้าไม่ต้องกลัวหรอกนะ ใต้ท้
บรรยากาศยามพลบค่ำ หนาวเย็นลงกว่าเมื่อกลางวันมาก แลเห็นละอองหิมะโปรยลงมาจากผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มเบื้องบน ขณะที่ณาราเดินตามเจิ้งหมิงออกมาทางด้านหลังจวนรับรอง ซึ่งมีรถม้าที่เจิ้นหยางดัดแปลงเองกับมือมาจอดรเอยู่แล้วเห็นม้าสีขาวเทียมรถทำจากเหล็กและไม้ หน้าต่างประตูคลุมด้วยผ้าสีเทาหม่น ดูเรียบๆ ตรงหน้าแล้ว ณาราก็อดนึกถึงตอนที่เธอเคยรับบทเป็นองค์หญิงกุ้ยเฟยนั่งอยู่ในรถม้าขึ้นมาไม่ได้แต่ที่ต่างไปก็คือ ในยามนี้สารถีไม่ใช่นักแสดงตัวประกอบ แต่เป็นถึงองครักษ์ขั้น 4 แห่งศาลซีเหอ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเถียนทีเดียวณาราประคองท้องปลอมที่ทำให้ดูอุ้ยอ้าย เคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว พาตัวเองขึ้นมานั่งบนรถม้า ใจเต้นโครมครามอย่างไรชอบกล เพียงแค่เจิ้งหมิงเข้ามาประคอง เสมือนว่าเธอเป็นภรรยาสาวของเขาจริงๆ“คุณ ไม่ต้องประคองฉันก็ได้ ฉันไม่ได้ท้องจริงๆ ซะหน่อย” ณาราเสมองไปทางตัวรถม้า รู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวเหมือนกำลังจะเป็นไข้แบบไม่เคยเป็นม่ก่อน“ไม่ได้หรอก เจ้ายังบาดเจ็บอยู่นะ”น้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง เจือด้วยความห่วงใยนั้น ทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธความปรารถนาดีของเขา เมื่อเข้ามายังตัวรถ จึงเห็นว่าที่นั่งด้านใน ปูด้วยผ้า
“อันที่จริง ข้าพบใต้ท้าวเฉินกับเสี่ยวเถาโดยบังเอิญตั้งแต่กลางป่าแล้ว ไม่นึกเลยว่า จะถูกหลวงจีนชั่วล่อลวงไปที่นั่นได้ จากนั้นข้ากับใต้ท้าวก็ต่างแยกย้ายกัน ได้พบใต้ท้าวอีกครั้ง ท่านก็มารับตำแหน่งเป็นนายอำเภอซานชิงแล้ว”“แล้วคุณมาทำงานกับใต้ท้าวเฉินที่ศาลซื่อเหอได้ยังไงคะ” แม้จะเริ่มง่วงจากการเดินทาง แต่ณาราก็ยังอยากรู้เรื่องของเขาต่อ“ข้าแอบติดตามช่วยเหลือใต้ท้าวสืบคดี คุ้มกันใต้ท้าวจากผู้ที่เสียผลประโยชน์จากการทำคดีของใต้ท้าวอยู่หลายปี กระทั่งครั้งหนึ่ง ข้ายื่นมือเข้าไปช่วยใต้ท้าวปิดคดีเสนาบดีเกากดขี่ข่มเหงราษฎรได้สำเร็จ ฮ่องเต้จึงทรงแต่งตั้งให้ข้าเป็นองครักษ์ขั้น 4 สังกัดศาลซื่อเหอ ทำงานรับใช้ใต้ท้าวเฉินเรื่อยมา”“คุณก็เลยเลิกเป็นจอมยุทธ มารับราชการแทน อย่างนั้นเหรอคะ”เจิ้งหมิงพยักหน้ารับ “แต่ข้าก็ยังคงถือว่าตนเองเป็นทั้งชาวยุทธ ทั้งข้าราชสำนัก แล้วเจ้าล่ะ ในโลกของเจ้า เจ้าเป็นมือปราบไม่ใช่หรือ”“ค่ะ ฉันเป็นมือปราบ ที่เรียกว่า ตำรวจลับ หรือเรียกว่าสายลับก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันเป็นตำรวจ เพราะเบื้องหน้านั้น ฉันเป็นดารา เอ่อ ฉันหมายถึงนักแสดงละครน่ะ”“เจ้าช่างเก่งกล้านัก”“ไม่เลยค่ะ
ครู่ต่อมา รถม้าก็หยุดลง ก่อนที่ชายชุดดำผู้นั้นจะคุมตัวณาราเข้ามายังพุ่มไม้ข้างทาง“พี่ชาย ท่านไปห่างๆ ได้มั้ย”“ได้ แต่อย่าคิดหนีนะ” ชายชุดดำผู้นั้นย้ำเสียงกระด้าง เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป ปล่อยให้เชลยของเขาได้ทำธุระส่วนตัวณารามองซ้ายมองขวา เดินลึกเข้าไปอีกนิด ก่อนนั่งลงทำธุระส่วนตัวของตนเอง พลางคิดว่าจะถ่วงเวลาให้เจิ้งหมิงตามมาทันได้อย่างไรขณะเดียวกัน เจิ้งหมิงเดินทางด้วยวิชาตัวเบามาตามรอยรถม้า ป่านนี้คนร้ายคงพาณาราล่วงหน้าไปไกลนับร้อยลี้แล้ว ไม่แน่ใจเอาซะเลยว่า จะติดตามเธอไปทันได้อย่างไร ขณะกำลังหนักใจอยู่นั่นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามาองครักษ์หนุ่มรีบหลบหลังต้นไม้ใหญ่ ครู่ต่อมาก็เห็นว่า คนที่ควบม้ามานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น “หานอวี้” จอมยุทธผู้ได้สมญานามว่า “กระบี่ไร้เลือด” นั่นเององครักษ์หนุ่มไม่รอช้า รีบเข้าไปดักหน้าทันที“คารวะพี่หาน”“เอ้า ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็น้องเจิ้งนี่เอง” จอมยุทธวัยย่างสี่สิบ ดวงหน้าเข้มหล่อเหลา ไว้หนวด รูปร่างกำยำ แต่งกายรัดกุมหัวเราะอย่างยินดี ไม่นึกเลยว่า กลางป่าเขาเช่นนี้จะได้พบกับจอมยุทธผู้มีพระคุณกับเขาได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ขณะที
ทันทีที่กองทัพจากเมืองหลวงยกพลขึ้นบกที่เกาะจวินจวู พร้อมด้วยเจิ้งหมิง จี้หมิน และเจิ้นหยาง บรรดาหญิงตั้งครรภ์ที่ถูกจับตัวไป ก็ถูกช่วยพาขึ้นเรือกลับมายังฝั่ง เมื่อไม่ได้รับยาจากคนของเจ้าเกาะ ความทรงจำของพวกนางก็ค่อยๆ กลับคืนมา ที่ต้องลุ้นระทึกก็คือ หญิงตั้งครรภ์จำนวน 5 นาง ได้คลอดลูกบนเรือ ดีที่เจียงจื่อหยารอบคอบ ให้หมอตำแยในเมืองฉางโจวติดตามไปด้วยหลายคน จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางใช้เวลาเกือบครึ่งเดือน เฉินลู่ซีก็ส่งหญิงตั้งครรภ์กลับสู่ครอบครัวได้สำเร็จ“อวี้เอ๋อ” จางเหวินชิง กอดภรรยาไว้ในอ้อมแขนทั้งน้ำตาอาบสองแก้ม นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้พบภรรยาเสียแล้ว“ท่านพี่” นางเองก็กอดสามีเอาไว้แน่นเช่นกัน“ขอบคุณใต้ท้าว องครักษ์เจิ้ง ที่ช่วยคลี่คลายคดีความทุกข์ให้ครอบครัวข้า ขอบคุณครับ” จางเหวินชิงคารวะจากใจขณะที่เสี่ยวหง ปิงปิงและซวงเอ๋อเองก็ต่างโผเข้ากอดสามีของนาง ก่อนจะรีบผละออก เมื่อเห็นว่าณารายืนมองมายิ้มๆ“เจี้ยนฟาง” นางทั้งสามปรี่เข้ามาหาณารา ต่างกวาดสายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วมาหยุดอยู่ตรงกลางลำตัว“เอ๊ะ เจ้าไม่ได้ตั้งครรภ์นี่” ซวงเอ๋อทักขึ้นด้วยความประหลาดใจ“อึม” ณาราพยักหน้า
เจ้าเป็นถึงฮูหยินรองของตำหนักอ๋อง ใครเล่าจะข่มขู่เจ้าได้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ อย่างไรข้าก็ต้องพาตัวทั้งเจ้าและพ่อบ้านไปรับโทษอย่างแน่นอน” สิ้นคำพูดของท่านอ๋อง 9 ไห่หลานก็พาตัวจ้าวหลงซินออกมา โดยมีเฉินลู่ซี และมือปราบเจิ้นหยางเดินตามเข้ามาในห้องเช้าวันต่อมา นอกจากข่าวใหญ่ เรื่องคนของศาลซื่อเหอ นำกำลังทหารจากเมืองหลวงไปยังเกาะจวินจวูแล้ว ยังมีข่าวของฮูหยินรองแห่งตำหนักอ๋อง ปองร้ายธิดาคนเล็กของท่านอ๋อง มิหนำซ้ำยังลักลอบเป็นชู้กับพ่อบ้านจ้าวหลงซิน เป็นที่พูดถึงทั่วเมืองเมื่อเรื่องร้ายผ่านไปแล้ว ไห่ถวนก็ขอตัวตามเจิ้งหมิงกลับเกาะจวินจวู ขณะที่ณาราในร่างจ้าวเจี้ยนฟางเอง ต้องรออยู่ที่ตำหนักอ๋อง ให้เจิ้งหมิงทำธุระของเขาให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ค่อยพาผู้ใหญ่จากเมืองหลวงมาสู่ขอนางตามประเพณีแม้จะมีชีวิตสุขสบายดีแล้ว ณาราก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี ที่ไม่สามารถบอกให้ใครล่วงรู้ได้ว่า เธอไม่ใช่จ้าวเจี้ยนฟาง ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถทำให้ท่านอ๋อง 9 เสียใจเรื่องธิดาได้ จึงทำได้เพียงเก็บคำเสียค่ำคืนหนึ่ง ท่านอ๋อง 9 นอนกระสับกระส่ายอยู่บนที่นอน จิตดิ่งลึกลงสู่ห้วงนิทรารมย์ ที่มีเพียงม่านหมอกขาวจนมองไม่เ
นึกไม่ถึงว่า เสี่ยวชุ่ยจะฝ่าฝืนคำสั่ง คิดปองร้ายจ้าวเจี้ยนฟาง“ข้าผิดไปแล้ว ท่านอ๋อง เมตตาข้าด้วย”“ข้าจะให้ใต้ท้าวเฉิน เป็นคนตัดสินความเรื่องนี้เอง”ท่านอ๋อง เมตตาข้าด้วย”“เสี่ยวชุ่ย บอกข้ามาว่าใครสั่งการให้เจ้าทำร้ายท่านหญิงน้อยเช่นนี้” ฮุ่ยเหนียงปราดเข้าหาคนผิด จิกเล็บลงกับเรือนผมของนางสุดแรง จนหน้าหงาย ดวงตาจับจ้องหน้าสาวรับใช้วาวโรจน์ มิใช่เพราะต้องการให้นางสาภาพความจริง ตรงกันข้าม ฮุ่ยเหนียงต้องการให้นางปิดปากให้สนิทต่างหาก“ฮูหยินรอง ข้าข้า”“พูด” ท่านอ๋อง 9 ตวาดลั่น ดวงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ“หากเจ้าไม่บอก ข้าจะตัดลิ้นเจ้าซะ” ฮุ่ยเหนียงบอกเป็นนัยๆ ว่า หากนางเปิดปาก จะตัดลิ้นสาวรับใช้เสียให้รู้แล้วรู้รอดหากยังไม่ทันที่เสี่ยวชุ่ยจะเอ่ยอะไรออกมา ร่างนอนนิ่งอยู่บนเตียงก็กระตุกเฮือก ชักตาตั้ง กระอักเลือดสีแดงสดออกมา“ท่านอ๋อง ท่านหญิงแย่แล้วเจ้าค่ะ” ไห่หลานโวยวายพลางร้องไห้โฮๆ“เด็กๆ พานางไปขังไว้ก่อน ใต้ท้าวเฉินมาค่อยตัดสินความ”สิ้นคำสั่งเรียกคนของท่านแล้ว ท่านอ๋อง9 ก็ปราดมาที่เตียง ประคองธิดาคนเล็กเอาไว้ในอ้อมแขน“เจี้ยนฟาง เจ้าต้องไม่เป็นอะไรนะ” ท่านอ๋อง 9 รำพัน น้ำตานองหน้า
ณารายิ้มยั่วเย้า“อยากรู้ว่าเคยมั้ยล่ะคะ” ณาราสบตาคนตรงหน้าแน่วนิ่ง ก่อนจะดันร่างของคนตัวใหญ่กว่าให้เดินถอยหลังไปที่เตียง แกล้งผลักเขาลงกับที่นอน แล้วกระโดดขึ้นคร่อม ทั้งที่ในชีวิตนี้ เธอไม่เคยทำแบบนี้กับชายใดเลยแม้แต่ครั้งเดียว“เจ้าจะทำอะไร!” เจิ้งหมิงเบิกตากว้าง ตกใจกับท่าทีของเธอ ไม่นึกเลยว่า ผู้หญิงจากโลกอนาคตจะไวไฟได้เพียงนี้แต่แทนที่ณาราจะตอบคำถาม กลับก้มลงจรดริมฝีปากกับหน้าผากของเขาแล้วเลื่อนเรื่อยลงมาหยุดตรงซอกคออย่างย่ามใจเรื่องอะไรเจิ้งหมิงจะยอมให้นางทำอย่างนั้นฝ่ายเดียว พอนางเผลอ เขาก็เป็นฝ่ายพลิกกายขึ้นมาอยู่ด้านบน ทำเอาคนคิดจะแกล้งหยอกเย้าเล่นหน้าตื่น“พี่จะทำอะไร”“เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรล่ะ หึม” เจิ้งหมิงเป็นฝ่ายยิ้มยั่วเย้าบ้าง แล้วจรดริมฝีปากอุ่นจัดลงกับใบหูเล็ก ระเรื่อยลงมายังซอกคอขาวละมุน แล้ววนเรื่อยขึ้นไปยังใบหูเล็กรวดเร็ว“พี่เจิ้ง อย่า ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น ไม่ได้จริงจังสักหน่อย”“แต่เจ้าทำให้ข้าอยากจริงจังนี่นา”“ข้าบอกแล้วไงล่ะว่าแค่ล้อเล่น ข้าบอกให้ก็ได้ว่า ข้ายังไม่เคยมีความสัมพันธ์กับชายใดสักหน่อย” ณาราสารภาพอ้อมแอ้ม“ลงไปได้แล้ว เดี๋ยวไห่ถวนก็มาเห็นเข้าหรอ
ท่านอ๋อง 9 ผุดลุกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหาจนแทบจะชนกัน เมื่อจู่ๆ ธิดาคนเล็กก็พาหญิงสาวผู้หนึ่งมาแนะนำให้รู้จัก พร้อมกับหนุ่มน้อยไห่ถวน จากเกาะจวินจวู“นี่ไห่หลาน พี่สาวของไห่ถวน เพิ่งมาจากเกาะจวินจวูค่ะ” ณาราแนะนำทั้งที่แทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่“อึม แม่นางไห่หลานนี่ ดูลักษณะรูปร่างช่างดูค้นตานัก เหมือนเคยพบที่ใดมาก่อน” เฉินลู่ซีตั้งข้อสังเกต แม้เรือนร่างภายใต้เครื่องแต่งกายสตรีจะไม่ได้กำยำล่ำสันมากนัก แต่ก็ดูบึกบึนกว่าสตรีโดยทั่วไปอยู่ดีเจิ้งหมิงทำชะม้ายชายตาครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดผ้าคลุมหน้าออกดวงหน้าแตะแต้มด้วยเครื่องสำอาง แม้งดงามก็จริง แต่ทำไมเขาจะจำดวงตาคมกล้าคู่นั้นไม่ได้เล่าว่า นางเคยเป็นใครมาก่อน“นี่เจ้า เอ่อ…”“ท่านพ่อ ข้าอยากกลับบ้านแล้ว เรารีบกลับกันเถอะค่ะ” ณาราเดินมาเกาะแขนท่านอ๋อง 9 เอาไว้หลวมๆ“ท่านพ่อคะ อย่างไร ลูกขอพาคนของลูกไปด้วยนะคะ ตอนอยู่บนเกาะ ทั้งสองช่วยเหลือลูกเอาไว้มากเหลือเกิน ลูกไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณอย่างไร จึงทำได้เพียงรับรองทั้งสองเป็นอย่างดี”“ได้สิลูก เรากลับกันเถอะนะ” ท่านอ๋อง 9 ยิ้มน้อยๆ ทั้งที่ประหลาดใจเหมือนกันว่า ทำไมเจิ้งหมิงจ
ท่านอ๋อง 9 และเจิ้งหมิงยังคงนั่งเฝ้าจ้าวเจี้ยนฟางอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง นานๆ จึงจะหันมามองหน้ากันสักครั้ง กระทั่งนาทีหนึ่ง ต่างก็หันมาสนทนากัน กลายเป็นว่าต่างเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน“เจิ้งหมิง”“ท่านอ๋อง”“เจ้ามีอะไรก็ว่ามาเถิด”“ท่านอ๋องกินอะไรบ้างเถิดดนะครับ ประเดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกคน” องครักษ์หนุ่มปรายสายตาไปยังโต๊ะกลม ปูด้วยผ้าสีขาวสะอาดตากลางห้อง ซึ่งมีข้าวกับซี่โครงหมูตุ๋นกับฟักวางอยู่สองที่“เจ้าเองก็ควรจะกินอะไรบ้างนะ อย่ามัวบอกให้ข้ากินแต่ฝ่ายเดียว คนหนุ่มก็ล้มป่วยได้เช่นกัน”“ถ้าอย่างนั้น เชิญครับท่านอ๋อง” ว่าพลางเจิ้งหมิงก็เป็นฝ่ายผายมือให้ท่านอ๋องไปนั่งที่โต๊ะอาหารก่อน แล้วจึงเป็นฝ่ายตามไปนั่งบ้าง“ข้ามีบุตรธิดาหลายคนก็จริง แต่เจี้ยนฟางก็เป็นลูกที่ข้ารักและห่วงใยมากที่สุด เพราะนางเหมือนฮุหยินของข้ามาก ข้าก็เหมือนพ่อคนอื่นๆ ที่ทั้งรักทั้งหวงลูกสาว ดังแก้วตาดวงใจ ในเมื่อรู้ว่าเจี้ยนฟางกับเจ้าต่างมีใจให้กัน อีกทั้ง ข้าก็ได้เห็นกับตาแล้วว่า ตอนที่หลี่จิ้งจับเจี้ยนฟางเป็นตัวประกันนั้น เจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของนางมาก ยิ่งกว่าชีวิตของตนเองซะอีก หากเจ้าอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับลูกข้าจริง ก็
เวลาเดียวกัน หลี่จิ้งรออยู่นอกศาล เห็นความอัปยศที่เฉินลู่ซีหยิบยื่นให้บิดาดังนั้น ความอดทนก็หมดลง เขาจึงบุกเข้ามาในศาลทันที“หลักฐานเพียงเท่านี้ ท่านถึงกับกล้าถอดชุดกับหมวกประจำตำแหน่งพ่อข้าออกเลยเชียวเรอะ” หลี่จิ้งโวยวายลั่น พลางชักกระบี่คู่กายออกจากฝัก“แม่ทัพหลี่ คุณชาย พวกท่านคงไม่รู้ว่า ฮ่องเต้เองก็ทรงทราบเรื่องนี้แล้ว”“เหลวไหล ฮ่องเต้อยู่ที่เมืองหลวง จะทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร” ยิ่งเฉินลู่ซีเอ่ยถึงผู้อยู่สุขสบายในวังหลวง แม่ทัพหลี่ก็ยิ่งไม่อาจเชื่อถือคำพูดของเขาได้“ฮ่องเต้ ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล แลเห็นแผ่นดินทั่วหล้า ท่านแม่ทัพ ท่านคงไม่รู้หรอกว่า พระองค์ทรงมีหน่วยลับประจำพระองค์กระจายอยู่ทุกที่ แม้กระทั่งบนเกาะจวินจวู พระองค์ทรงทราบการกระทำของท่านจากหน่วยลับอยู่ก่อนแล้ว จึงส่งข้ามาสืบความจริงให้กระจ่าง” เฉินลู่ซีเอ่ย พร้อมกับภาพเหตุการณ์หนึ่งผ่านเข้ามาในห้วงความคิดในคืนก่อนวันที่เขาจะออกเดินทางจากเมืองซื่อเหอนั้น ขณะกำลังศึกษาแผนที่ ตลอดจนข้อมูลเกี่ยวกับเมืองฉางโจว ที่เลขาเจียงค้นคว้ามาให้นั้น จู่ๆ หน้าต่างห้องทำงานของเขาก็พลันเปิดออก สายลมยามดึกพัดเรื่อยเข้ามานั้น ไม่ได้ทำให้
แต่ดูเหมือนว่า ร่างกายของจ้าวเจี้ยนฟางนี่สิ จะไม่ค่อยเป็นใจเอาซะเลย นอกจากจะอ่อนแอ ด้วยไม่เคยผ่านการฝึกฝนทางด้านการต่อสู้ อีกประการคือ ณาราคงไม่ใช่เจ้าของร่างที่แท้จริง เมื่อประมือกับชายผู้นั้นไปสักพัก ก็เริ่มล้า แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก จู่ๆ ทุกอย่างก็ดับวูบลง พร้อมกับร่างล้มลงกับพื้น“เก่งนักเรอะ” ชายผู้นั้นคำรามในลำคอ ก่อนแบกร่างเธอขึ้นบ่า ยัดใส่กระสอบที่เตรียมมาด้วย แล้วเดินจากไปขณะเดียวกัน เจิ้งหมิงกระโดดลงจากหลังม้า มุ่งหน้าเข้าสุ่จวนตระกูลหลี่ พร้อมด้วยหมายจากศาลซื่อเหอ“คารวะท่านแม่ทัพหลี่”“องครักษ์เจิ้ง ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หลี่เหวินเฉาเอ่ยกลั้วหัวเราะ แม้ภายนอกจะดูจริงใจ เปิดเผย ทว่ากลับซุกซ่อนความประหลาดใจว่า เหตุใดคนของศาลซื่อเหอจึงมาถึงที่นี่ได้ ทั้งที่เขาก็ส่งคนไปจัดการกับนายกองฉวนแล้วนี่นะ“ใต้ท้าวให้มาเชิญท่านไปให้การที่ศาลฉางโจวหน่อยน่ะครับ มีคนฟ้องว่า ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของหญิงตั้งครรภ์ในเมืองฉางโจว”“อ้อ อย่างนั้นเรอะ ไปสิ ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่แล้ว ข้าเองก็อยากไปเห็นหน้าคนที่กล้าปรักปรำข้าอยู่เหมือนกัน”เจิ้งหมิงยิ้มน้อยๆ แอบโล่งใจที่การมาเชิญหลี่เหว
“ขอเรียนตามตรง เรื่องนั้นข้าทราบแล้วครับ”“แต่ข้าไม่ต้องการให้เจ้าแต่งงานกับเจี้ยนฟางลูกข้า วันๆ เจ้าก็เอาแต่ทำงานสืบคดี เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อีกอย่างด้วยภาระหน้าที่ของเจ้า เจ้าจะทำให้ลูกข้ามีความสุขได้อย่างไร ข้าไม่อยากให้เจี้ยนฟางต้องทุกข์ใจเพราะเจ้า”“เรื่องนั้น ข้ารู้ตนเองดีครับ” เจิ้งหมิงค้อมศีรษะรับน้อยๆ รู้ตนเองดีว่า แม้ในร่างของเจี้ยนฟาง จะเป็นแม่นางผู้กล้าของเขา แต่ถึงอย่างไร นางก็คือผู้หญิงทั่วไป ที่ต้องการความรัก ความสุขในครอบครัวหลังแต่งงาน“หน้าที่ของข้า คือรักษากฎหมาย ขจัดความอยุติธรรมในบ้านเมือง แต่ภายใต้หน้าที่ที่ข้าสมัครใจแบกมันไว้บนบ่า ข้าเชื่อว่า จะสามารถดูแลท่านหญิงน้อยให้มีความสุขได้ ขอเพียงท่านอ๋องอนุญาตให้ข้าได้คบหาดูใจกับนาง ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เท่านั้นครับ”“ข้าไม่มีทางเชื่อลมปากของเจ้าเด็ดขาด ถ้าเจ้ายังดื้อดึงอยู่เช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด ข้าลาล่ะ ไม่ต้องส่ง”ณาราแอบฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นอกห้องรับรอง รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างไรชอบกล เมื่อได้ยินท่านอ๋อง9 พูดกับเจิ้งหมิงเช่นนั้น เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่า การมีพ่อคอยรักคอยหวง ให้ความรู้สึกเช่นไร อยากจ