"เป็นบ้าหรือไง จู่ๆ ก็มาแก้ผ้าให้ผู้ชายดู!" "เอ้า! ลุงไม่ได้จับหนูมาเพราะอยากทำแบบนี้เหรอ? แก้แค้นไง ลุงบอกว่าหนูทำลุงเสียอนาคต ลุงก็ทำให้หนูเสียอนาคตด้วยสิถึงจะสาสม" "เธอมันประสาท!! ใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้!!!"
View Moreสิงหาพาคนมาใหม่เดินอ้อมไปอีกด้านของเกาะที่ไม่มีใครใช้เดินทางหรืออยู่อาศัย เขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนนี้พบเจอกับผู้คนที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้มากนัก มีเพียงไม่แค่กี่คนเท่านั้นที่สิงหาอนุญาตให้เธอได้เจอ “นายสิงห์!” เดินมาถึงด้านตะวันตกของเกาะ สิงหาก็ได้ยินเสียงเรียกที่แสดงถึงความดีใจและโล่งใจปะปนกันไป ก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฎตัวจากความมืดให้ทั้งสองคนได้เห็น “มาเสียที ป้ากังวลไปสารพัด” “กังวลทำไมป้าผ่อง ทำเหมือนว่าฉันไม่เคยข้ามฝั่งไปได้” “ก็ทะเลมันน่ากลัวนี่ เดาอารมณ์ไม่เคยได้ บางวันดีแต่บางวันก็ร้ายนายสิงห์ก็รู้” คนอายุมากกว่าส่งค้อนใส่นายสิงห์ ก่อนจะหันไปมองผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ยืนเยื้องออกไปด้วยสายตาใคร่รู้ “คนนี้หรือที่นายสิงห์บอก?” “บ้านที่ให้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” สิงหาตั้งคำถามแทนคำตอบ แต่คนที่คุ้นเคยกันมานานอย่างป้าผ่องกลับเข้าใจได้ทันที ถามมาแบบนี้ แปลว่าคนนี้นี่แหละ ผู้หญิงที่นายสิงห์ว่า “เรียบร้อยแล้วจ้ะ ให้ป้าพาคุณเขาไปเลยไหม?” “ไม่ต้องหรอก” สิงหาปฎิเสธเสียงเรียบ เขาปรายตามองคนที่ยืนปิดปากเงียบแล้วหันไปตอบป้าผ่องอีกครั้ง “เดี๋ยวฉันไปส่งเอง ป้าไปพักผ่อนเถอะ ลุงมิ่ง
สิงหาจอดรถคันเก่าแต่คุณภาพยังคับแน่นเข้าในที่ประจำ เวลาเย็นแบบนี้คนงานและชาวประมงที่ทำงานตรงนี้ทุกวันต่างแยกย้ายกันกลับบ้านหมดแล้ว และที่สิงหาเลือกมาถึงที่นี่ในตอนนี้ก็เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนอื่น คนที่นี่ไม่ใช่คนที่เกาะของเขา แม้ทุกคนจะไม่มายุ่งวุ่นวาย แต่คงไม่แคล้วได้เป็นขี้ปากอยู่ดี แปะ! “ตื่น” มือหยาบกร้านตามประสาคนทำงานแตะลงบนแขนเรียวเล็กด้วยแรงที่ไม่เบานัก สิงหาทำงานหนักมาทั้งชีวิต ไม่เคยต้องถนอมใคร เพราะฉะนั้นเขาจึงกะแรงกับผู้หญิงที่ตัวผอมจนแทบจะปลิวได้แบบนี้ไม่ถูก คนถูกตีสะดุ้งตื่นทันที สิ่งแรกที่ณัฐรินีย์เห็นคือความมืด เธอตกใจเล็กน้อย ก่อนจะระลึกได้ว่าตัวเองถูกจับตัวมาและตาก็ถูกปิดไว้ ดังนั้นเธอจึงผ่อนจังหวะหายใจให้กลับมาเป็นปกติ รวมถึงบังคับหัวใจที่เต้นแรงให้สงบลง “ตื่นแล้วก็ลง” สิงหาเดินอ้อมไปอีกฝั่ง เขาเปิดประตูรถให้คนที่ถูกปิดกั้นการมองเห็น แต่อีกฝ่ายกลับนั่งนิ่งไม่ยอมขยับจนเขาเผลอจิ๊ปาก “ทำไมไม่ลงอีก?” “ที่นี่ที่ไหน?” “ถ้าฉันบอก ฉันจะปิดตาเธอทำไม?” คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ณัฐรินีย์รู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เง่าเหลือเกิน เธอพยักหน้าเข้าใจ ก่อ
ณัฐรินีย์ถูกพาตัวมาที่รถยนต์คันหนึ่ง เพียงแค่กวาดสายตาดูคร่าวๆ ก็รู้แล้วว่ารถรุ่นเก่าตรงหน้าผ่านการใช้งานมาหนักหนาแค่ไหน และบนป้ายทะเบียนที่สีหลุดไปบางส่วนก็บอกให้เธอรู้ว่ารถคันนี้มาจากจังหวัดหนึ่งที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศ... “ขึ้นไป อย่าลีลา” อะไรเล่า! หญิงสาวโวยวายอยู่ในใจ เธอไม่ได้ลีลาเลยด้วยซ้ำ แค่แอบมองสภาพรถนิดเดียวเอง เขานั่นแหละที่ใจร้อนไปแล้วมาโทษคนอื่น อ้อ... เขาจะใจร้อนก็คงไม่แปลก ผู้ชายคนนี้ลักพาตัวคนๆ หนึ่งกลางสนามบินกลางวันแสกๆ เขาคงกลัวว่าครอบครัวของเธอจะรู้และตามมาช่วยได้ทันท่วงทีละมั้ง... แต่ดีใจด้วย เพราะครอบครัวเธอไม่ได้สนด้วยซ้ำว่าเธอมาถึงเมื่อไหร่ ไฟลท์ไหน และเดินทางอย่างไร พวกเขาสนแค่ว่าเธอจะยอมทำตามคำสั่งของพวกเขาหรือเปล่าก็เท่านั้น ลองเธอได้หายไปแบบนี้ ขี้คร้านพ่อกับแม่จะคิดแค่ว่าเธอมันดื้อรั้น ไม่ยอมกลับมาบ้านทั้งๆ ที่แม่อุตส่าห์เล่นละครตบตาว่าสุขภาพไม่ค่อยดีแบบนั้น แต่โทษเธอไม่ได้หรอกนะ เพราะถ้าพวกเขาส่งคนมารับเธอซักนิดเรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้ “ขึ้นไปสิ!” “รู้แล้วล่ะน่า!” หญิงสาวตอบเสียงห้วนเล็กน้อย ก่อนจะมุดตัวขึ้นไปนั่งบนรถแต่โดยดี เธอไม่ได้กลัวผู้ชา
สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติ เสียงพูดคุยหลากภาษาดังไปทั่วบริเวณ โดยเฉพาะบริเวณหน้าทางออกที่มีผู้คนครึ่งร้อยถือป้ายใหญ่น้อยโบกสะบัดไปมาเรียกสายตาจากใครหลายคน ณัฐรินีย์ เองก็มองไปที่ป้ายเหล่านั้น ดวงตาคู่สวยมองไล่ผ่านป้ายทุกใบไม่มีขาดตก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีป้ายที่เป็นชื่อเธอเลย... ทั้งๆ ที่รู้ว่าวันนี้เธอจะกลับมาเพราะขัดคำสั่งไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอไม่ได้กลับประเทศบ้านเกิดมาร่วมห้าปีแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะส่งคนมารับเธอ หญิงสาวยักไหล่ ชินเสียแล้วกับอะไรแบบนี้ ในเมื่อเธอเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่อง พวกเขาจะไม่สนใจเธอเลยก็ไม่คงไม่ผิด ร่างเพรียวบางเดินออกจากบริเวณนั้นไป เธอเลือกเดินไปตรงส่วนที่มีรถแท็กซี่มากมายจอดนิ่งเพื่อรอรับผู้โดยสารที่ไม่มีใครมารับเช่นเธอ ขาเรียวเกือบจะเดินเข้าไปหาแท็กซี่คันแรกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะนึกอะไรบางอย่างได้เสียก่อน เธอเกือบลืมส่งข้อความไปบอกคนที่อยู่อีกซีกโลกว่ามาถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพเสียแล้ว คิดได้ดังนั้นณัฐรินีย์ก็หยิบมือถือขึ้นมา กดเชื่อมต่อกับวายฟายของสนามบิน แต่เพราะตรงนี้สัญญาณไม่ค่อยดี เธอจึงต้องเดินกลับเข้าไปด้า
สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติ เสียงพูดคุยหลากภาษาดังไปทั่วบริเวณ โดยเฉพาะบริเวณหน้าทางออกที่มีผู้คนครึ่งร้อยถือป้ายใหญ่น้อยโบกสะบัดไปมาเรียกสายตาจากใครหลายคน ณัฐรินีย์ เองก็มองไปที่ป้ายเหล่านั้น ดวงตาคู่สวยมองไล่ผ่านป้ายทุกใบไม่มีขาดตก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีป้ายที่เป็นชื่อเธอเลย... ทั้งๆ ที่รู้ว่าวันนี้เธอจะกลับมาเพราะขัดคำสั่งไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอไม่ได้กลับประเทศบ้านเกิดมาร่วมห้าปีแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะส่งคนมารับเธอ หญิงสาวยักไหล่ ชินเสียแล้วกับอะไรแบบนี้ ในเมื่อเธอเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่อง พวกเขาจะไม่สนใจเธอเลยก็ไม่คงไม่ผิด ร่างเพรียวบางเดินออกจากบริเวณนั้นไป เธอเลือกเดินไปตรงส่วนที่มีรถแท็กซี่มากมายจอดนิ่งเพื่อรอรับผู้โดยสารที่ไม่มีใครมารับเช่นเธอ ขาเรียวเกือบจะเดินเข้าไปหาแท็กซี่คันแรกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะนึกอะไรบางอย่างได้เสียก่อน เธอเกือบลืมส่งข้อความไปบอกคนที่อยู่อีกซีกโลกว่ามาถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพเสียแล้ว คิดได้ดังนั้นณัฐรินีย์ก็หยิบมือถือขึ้นมา กดเชื่อมต่อกับวายฟายของสนามบิน แต่เพราะตรงนี้สัญญาณไม่ค่อยดี เธอจึงต้องเดินกลับเข้าไปด้า
Comments