ณัฐรินีย์ถูกพาตัวมาที่รถยนต์คันหนึ่ง เพียงแค่กวาดสายตาดูคร่าวๆ ก็รู้แล้วว่ารถรุ่นเก่าตรงหน้าผ่านการใช้งานมาหนักหนาแค่ไหน และบนป้ายทะเบียนที่สีหลุดไปบางส่วนก็บอกให้เธอรู้ว่ารถคันนี้มาจากจังหวัดหนึ่งที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศ...
“ขึ้นไป อย่าลีลา” อะไรเล่า! หญิงสาวโวยวายอยู่ในใจ เธอไม่ได้ลีลาเลยด้วยซ้ำ แค่แอบมองสภาพรถนิดเดียวเอง เขานั่นแหละที่ใจร้อนไปแล้วมาโทษคนอื่น อ้อ... เขาจะใจร้อนก็คงไม่แปลก ผู้ชายคนนี้ลักพาตัวคนๆ หนึ่งกลางสนามบินกลางวันแสกๆ เขาคงกลัวว่าครอบครัวของเธอจะรู้และตามมาช่วยได้ทันท่วงทีละมั้ง... แต่ดีใจด้วย เพราะครอบครัวเธอไม่ได้สนด้วยซ้ำว่าเธอมาถึงเมื่อไหร่ ไฟลท์ไหน และเดินทางอย่างไร พวกเขาสนแค่ว่าเธอจะยอมทำตามคำสั่งของพวกเขาหรือเปล่าก็เท่านั้น ลองเธอได้หายไปแบบนี้ ขี้คร้านพ่อกับแม่จะคิดแค่ว่าเธอมันดื้อรั้น ไม่ยอมกลับมาบ้านทั้งๆ ที่แม่อุตส่าห์เล่นละครตบตาว่าสุขภาพไม่ค่อยดีแบบนั้น แต่โทษเธอไม่ได้หรอกนะ เพราะถ้าพวกเขาส่งคนมารับเธอซักนิดเรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้ “ขึ้นไปสิ!” “รู้แล้วล่ะน่า!” หญิงสาวตอบเสียงห้วนเล็กน้อย ก่อนจะมุดตัวขึ้นไปนั่งบนรถแต่โดยดี เธอไม่ได้กลัวผู้ชายคนนี้เลยซักนิด ที่ๆ เธอจากมาเต็มไปด้วยผู้ชายตัวใหญ่ ถือมีดถือปืนเรื่องปกติ พูดจาโผงผางเสียงดังแถมยังหยาบคาย เธอชินเสียแล้ว... “คาดเข็มขัด และก็เอาผ้านี่ปิดตาไว้” เขาออกคำสั่ง มือหนายื่นผ้าสีดำสนิทมาเธอ “ปิดทำไม?” "ทำไมต้องถาม?” “เอ้า! ฉันไม่มีสิทธิ์ถามเลยหรือไง อุตส่าห์มาด้วยดีๆ นะ” “ไม่มี” “ไอ้...” ปากอิ่มสีระเรื่ออ้าพะงาบๆ เมื่ออีกฝ่ายตอบกลับได้หน้าตาเฉยแบบนั้น และแน่นอนว่าเขาไม่สนใจว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร เพราะเมื่อเห็นว่าเธอยังนั่งนิ่ง เขาก็จัดการยัดเยียดผ้าสีดำใส่มือเธอโดยไม่สนว่าเธอเต็มใจรับมันหรือเปล่า นิสัยไม่ดี! “ปิดซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะมัดเธอแล้วปิดตาให้เอง” “...” “คิดว่าฉันแค่ขู่ไม่กล้าทำจริงหรือไง?” และก่อนที่เขาจะทำตามคำขู่นั้นจริง ณัฐรินีย์ก็ยอมยกผ้าขึ้นปิดตาตัวเองอย่างไม่มีทางเลือก เธอเกลียดการถูกบังคับ เกลียดการถูกยัดให้อยู่แต่ในกรอบ และแน่นอนว่าเธอเกลียดการถูกมัดจนไม่มีอิสระเป็นที่สุด! ยอมปิดตาดีกว่า ถ้าจะต้องถูกมัดแบบนั้น หนุ่มหนวดยาวขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ ปากอิ่มมันวาวเพราะลิปมันลอยอยู่ตรงหน้า แต่เขาไม่ได้สนใจสิ่งยั่วยวนนั้น เมื่อมั่นใจแล้วว่าเธอไม่เห็นอะไรอีกจึงปิดประตูลง ปัง! และโยนกระเป๋าใบเดียวที่ณัฐรินีย์หอบหิ้วมาจากอเมริกาไปที่เบาะหลังอย่างแรง คนที่ตกอยู่ในความมืดสะดุ้งเฮือก แอบด่าผู้ชายคนนั้นอยู่ในใจว่าไร้มารยาท รู้ว่าเธอมองไม่เห็นยังมาทำเสียงดังใส่อีก มาจากบ้านป่าเมืองเถื่อนหรือยังไง ไร้อารยธรรมสิ้นดี! เป็นเวลาเกือบสี่ชั่วโมงที่ณัฐรินีย์ต้องนั่งอยู่ในความมืด ที่จริงแล้วจะเรียกแบบนั้นก็คงไม่ถูก เพราะมีแค่เธอคนเดียวที่รู้สึกว่ารอบข้างช่างมืดมน แน่ล่ะ เธอถูกปิดตาอยู่นี่ ร่างบางขยับไปมา เธอนั่งจนเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมด ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้จะพาเธอไปที่ไหน แต่ต้องนั่งรถนานขนาดนี้คงไกลจากกรุงเทพฯ มากน่าดู ถ้าให้เดาเขาคงพาเธอไปจังหวัดที่อยู่บนป้ายทะเบียนรถคันนี้ เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ที่มีทะเลและภูเขาที่สวยงามราวกับภาพวาด ณัฐรินีย์ไม่เคยเที่ยวทะเลภาคใต้ของประเทศบ้านเกิดมาก่อน โชคดีที่มีโอกาสได้ไปก่อนตายซักครั้ง ถึงจะไม่มั่นใจว่าจะได้เห็นทะเลก่อนหมดลมหายใจจริงๆ ก็ตาม “เป็นอะไร?” คนที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับเอ่ยถาม เขารำคาญที่ผู้หญิงคนนี้ยุกยิกไปมาไม่หยุด มันรบกวนสมาธิเขาให้หันไปมองจนกลัวว่ารถจะชนเข้ากับเสาไฟฟ้าก่อนไปถึงที่หมาย “ปวดเยี่ยวหรือไง?” “อี๋! น่าเกลียด เรียกปวดฉี่ก็พอไหม?” “จะปวดฉี่ปวดเยี่ยวมันก็ปวดเหมือนกัน เรียกคำไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ” หญิงสาวไม่ได้ตอบโต้กลับ ถ้าให้พูดตรงๆ เธอเถียงไม่ออก สิ่งที่ผู้ชายคนนี้พูดมันเป็นเรื่องจริง แต่ก็นั่นแหละ... มันกระดากนี่ถ้าต้องพูดแบบนั้น ณัฐรินีย์เลือกปิดปากเงียบ เธอตั้งใจจะนอนพักสายตาซักหน่อย บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งไกล นอนบนเครื่องบินก็ไม่เต็มอิ่ม ก่อนหน้าที่จะบินมาก็แทบไม่ได้นอน อย่างน้อยก่อนตายเธอก็ควรได้หลับบ้าง “สรุปปวดเยี่ยวหรือเปล่า ปวดจะได้แวะปั๊มให้ แต่ห้ามเยี่ยวใส่รถฉันเชียว” “ไอ้บ้า!” คำพูดของผู้ชายแปลกหน้าเธอหลับไม่ลง ผู้ชายคนนี้กล้าดียังไงมากล่าวหาว่าเธอจะฉี่ใส่รถเขา เธอไม่ใช่หมานะ! “แปลว่าไม่ได้ปวด?” “ไม่ได้ปวด!” “ตามใจ เพราะหลังจากนี้คงไม่เจอปั๊มอีกนาน ถ้าปวดขึ้นมากลางทางคงต้องเยี่ยวใส่พงหญ้าข้างถนนเอา” น่าเกลียด! หญิงสาวไม่สนใจคำพูดห่ามๆ ของผู้ชายคนนั้นอีก เธอยกแขนขึ้นกอดอก นั่งหน้าตึงทั้งๆ ที่มองไม่เห็นอะไร เพราะเขาคนเดียว ทำให้เธอหลับไม่ลงแบบนี้ ภายในรถคันเก่าเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดคุยของคนสองคนอีก และดูเหมือนว่าเจ้าของรถจะไม่ได้มีอารมณ์สุนทรีพอถึงไม่ยอมเปิดวิทยุฟังข่าวหรือฟังเพลงบ้างเลย หรือถ้าคิดในอีกแง่... รถคันนี้คงเก่าจนวิทยุพังไปหมดแล้ว ณัฐรินีย์นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถต่ออีกเกือบสองชั่วโมง แอร์เย็นๆ ก็ทำให้เธอรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาจนได้ แย่แล้ว เธอไม่อยากหันไปอ้อนวอนผู้ชายคนนั้น แต่เธอก็ไม่อยากกลั้นของเสียไว้แบบนี้ หญิงสาวสองจิตสองใจ ขยับตัวไปมาจนรบกวนสมาธิคนขับอีกครั้ง “นั่งนิ่งๆ ได้ไหม?” ไม่ได้ เธออยากเข้าห้องน้ำจะให้นั่งนิ่งได้ยังไง ณัฐรินีย์อยากตอบแบบนั้น แต่ปากก็หนักเกินกว่าจะยอมสารภาพออกไป “อีกไกลไหมกว่าจะถึง” “ไกล” “แค่ไหน?” “ขับรถอีกสองชั่วโมง” “สองชั่วโมง!?” หญิงสาวหวีดร้องเสียงดัง อีกตั้งสองชั่วโมง! ถ้าต้องรอนานขนาดนั้นเธอต้องตายก่อนแน่ๆ “ทำไม?” “...เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” สุดท้ายศักดิ์ศรีมากมายก็ทำให้ณัฐรินีย์ตัดสินใจปิดปากเงียบ เธอทำได้แค่ขยับไปมาบนเบาะแข็งๆ เพื่อบรรเทาอาการหน่วงที่ท้องเท่านั้น “นี่ นายชื่ออะไร?” เธอชวนเขาคุย เพราะคิดว่ามันอาจจะช่วยให้ลืมความรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำไปได้บ้าง... ก็เธอไม่เหลือทางเลือกแล้วนี่ “ถามทำไม?” “ฉันแค่อยากรู้ชื่อคนที่จะฆ่าฉันก่อนตาย บอกไม่ได้หรือไง? ถ้าบอกไม่ได้ก็-” “ชื่อสิงห์” ชายหนุ่มหนวดยาวตัดรำคาญ ยอมบอกชื่อกับอีกฝ่ายไปด้วยน้ำเสียงที่ห้วนแสนห้วน เพราะคิดว่าเสียงน่าหนวกหูนั่นจะเงียบลงบ้างถ้าได้คำตอบ แต่เขาก็คิดผิด “สิงอะไร สิงโตเหรอ? ก็เหมาะนะ เพราะหนวดและผมนายตอนนี้เหมือนแผงคอของสิงโตเลยอะ” “สิงหา ไม่ใช่สิงโต” สิงหาไม่สามารถทนฟังผู้หญิงคนนี้เดาไปเรื่อยได้อีกแล้ว เขารีบเอ่ยแก้ความเข้าใจผิดให้เธอทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ แต่สิงหารำคาญ เสียงใสๆ ของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาหงุดหงิด ขนาดถูกจับมาแบบนี้ยังไม่มีความสำนึก หน้าด้านหน้าทนอะไรขนาดนี้ “แปลว่าเกิดเดือนสิงหาเหรอ?” ได้คุยกับนายสิงหาหนวดยาวคนนี้แล้วณัฐรินีย์เหมือนจะลืมความอยากเข้าห้องน้ำไปได้บ้าง เสียงเจือยแจ้วเลยเอาแต่ถามไม่หยุด ไม่ได้รับรู้เลยว่าคนถูกถามแสดงสีหน้าออกมาว่ารำคาญแค่ไหน “อื้ม!” สิงหาตอบ แอบกระแทกเสียงเล็กน้อยให้เธอรู้ว่าเขารำคาญเต็มทนแล้ว แน่นอนว่าคนที่เจือยแจ้วรับรู้ถึงความหงุดหงิดนั้น แต่เธอก็ทำเป็นไม่ได้ยินไป อยากจับเธอมาก็ต้องทนให้ได้สิ “งั้นเรียกว่านายสิงห์ได้ไหม? หรือต้องเรียกยังไง พี่สิงห์? ลุงสิงห์?” “เรียกอะไรก็ตามใจเธอเถอะ” “โอเค งั้นนายก็เรียกฉันว่าหนูนิดแล้วกันนะ ชื่อเล่นฉันเอง” “ฉันไม่ได้อยากรู้” “อ่า... นั่นสินะ เดี๋ยวนายก็ฆ่าฉันแล้วนี่นา...” เสียงใสเจื่อนลงเล็กน้อย มันเล็กน้อยจริงๆ แต่สิงหาก็ยังจับความเล็กน้อยนั่นได้ เขาแปลกใจตั้งแต่แรกแล้วที่เธอยอมมากับเขาอย่างง่ายดาย อันที่จริงในสถานการณ์นั้นเธอจะหันไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น หรือจะกรีดร้องดังๆ ก็ทำได้ แต่เธอกลับไม่ทำ ทั้งยังยอมเดินตามหลังเขาต้อยๆ ไม่แสดงพิรุธอะไรออกมาให้คนอื่นสงสัยเลย จนกระทั่งตอนนี้เขาพาลงมาถึงตอนใต้ของประเทศแล้วเธอก็ยังไม่ถามซักคำว่าจะพาเธอไปไหน ดูเผินๆ เหมือนไม่ได้ห่วงชีวิตตัวเองว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง แต่พอรู้ว่าจะต้องตายจริงๆ ปลายเสียงใสๆ นั้นก็แฝงไปด้วยความกังวลที่เธอพยายามปิดบังเอาไว้ สิงหารู้ในทันทีว่าที่จริงแล้วเธอยังรักตัวกลัวตายอยู่ แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้ยอมมากับเขาแต่โดยดีแบบนี้... ทว่ามันก็ไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่ต้องหาคำตอบ ภายในรถกลับไปเงียบกริบอีกครั้ง หนูนิดคนนั้นเลิกขยับยุกยิกไปมาอีก ซึ่งนั่นเป็นข้อดี เพราะสิงหาจะได้มีสมาธิขับรถมากขึ้น รถยนต์คันเก่าแล่นเข้าสู่จังหวัดที่เป็นจุดหมายปลายทาง อีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะถึงที่หมายแล้ว ถึงเวลาที่ผู้หญิงคนนี้และครอบครัวจะต้องชดใช้สิ่งที่ทำไว้กับเขาเมื่อห้าปีก่อนเสียที ริมฝีปากที่ถูกหนวดยาวๆ ปิดบังไว้ยกยิ้มขึ้น เขารอเวลานี้มานานเหลือเกิน กว่าสามปีที่เขาต้องใช้ชีวิตไม่ต่างอะไรจากคนพิการ และอีกเกือบสองปีที่เขาอดทนรอให้เธอกลับมา... กลับมาเพื่อสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป โดยที่สิงหาไม่รู้เลยว่าการกระทำในครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาล....สิงหาจอดรถคันเก่าแต่คุณภาพยังคับแน่นเข้าในที่ประจำ เวลาเย็นแบบนี้คนงานและชาวประมงที่ทำงานตรงนี้ทุกวันต่างแยกย้ายกันกลับบ้านหมดแล้ว และที่สิงหาเลือกมาถึงที่นี่ในตอนนี้ก็เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนอื่น คนที่นี่ไม่ใช่คนที่เกาะของเขา แม้ทุกคนจะไม่มายุ่งวุ่นวาย แต่คงไม่แคล้วได้เป็นขี้ปากอยู่ดี แปะ! “ตื่น” มือหยาบกร้านตามประสาคนทำงานแตะลงบนแขนเรียวเล็กด้วยแรงที่ไม่เบานัก สิงหาทำงานหนักมาทั้งชีวิต ไม่เคยต้องถนอมใคร เพราะฉะนั้นเขาจึงกะแรงกับผู้หญิงที่ตัวผอมจนแทบจะปลิวได้แบบนี้ไม่ถูก คนถูกตีสะดุ้งตื่นทันที สิ่งแรกที่ณัฐรินีย์เห็นคือความมืด เธอตกใจเล็กน้อย ก่อนจะระลึกได้ว่าตัวเองถูกจับตัวมาและตาก็ถูกปิดไว้ ดังนั้นเธอจึงผ่อนจังหวะหายใจให้กลับมาเป็นปกติ รวมถึงบังคับหัวใจที่เต้นแรงให้สงบลง “ตื่นแล้วก็ลง” สิงหาเดินอ้อมไปอีกฝั่ง เขาเปิดประตูรถให้คนที่ถูกปิดกั้นการมองเห็น แต่อีกฝ่ายกลับนั่งนิ่งไม่ยอมขยับจนเขาเผลอจิ๊ปาก “ทำไมไม่ลงอีก?” “ที่นี่ที่ไหน?” “ถ้าฉันบอก ฉันจะปิดตาเธอทำไม?” คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ณัฐรินีย์รู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เง่าเหลือเกิน เธอพยักหน้าเข้าใจ ก่อ
สิงหาพาคนมาใหม่เดินอ้อมไปอีกด้านของเกาะที่ไม่มีใครใช้เดินทางหรืออยู่อาศัย เขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนนี้พบเจอกับผู้คนที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้มากนัก มีเพียงไม่แค่กี่คนเท่านั้นที่สิงหาอนุญาตให้เธอได้เจอ “นายสิงห์!” เดินมาถึงด้านตะวันตกของเกาะ สิงหาก็ได้ยินเสียงเรียกที่แสดงถึงความดีใจและโล่งใจปะปนกันไป ก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฎตัวจากความมืดให้ทั้งสองคนได้เห็น “มาเสียที ป้ากังวลไปสารพัด” “กังวลทำไมป้าผ่อง ทำเหมือนว่าฉันไม่เคยข้ามฝั่งไปได้” “ก็ทะเลมันน่ากลัวนี่ เดาอารมณ์ไม่เคยได้ บางวันดีแต่บางวันก็ร้ายนายสิงห์ก็รู้” คนอายุมากกว่าส่งค้อนใส่นายสิงห์ ก่อนจะหันไปมองผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ยืนเยื้องออกไปด้วยสายตาใคร่รู้ “คนนี้หรือที่นายสิงห์บอก?” “บ้านที่ให้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” สิงหาตั้งคำถามแทนคำตอบ แต่คนที่คุ้นเคยกันมานานอย่างป้าผ่องกลับเข้าใจได้ทันที ถามมาแบบนี้ แปลว่าคนนี้นี่แหละ ผู้หญิงที่นายสิงห์ว่า “เรียบร้อยแล้วจ้ะ ให้ป้าพาคุณเขาไปเลยไหม?” “ไม่ต้องหรอก” สิงหาปฎิเสธเสียงเรียบ เขาปรายตามองคนที่ยืนปิดปากเงียบแล้วหันไปตอบป้าผ่องอีกครั้ง “เดี๋ยวฉันไปส่งเอง ป้าไปพักผ่อนเถอะ ลุงมิ่ง
สิงหากลับมาที่บ้านริมหาดอีกครั้งในตอนสาย เขาอาบน้ำแต่งตัวใหม่ แต่หนวดเครายังคงยาวรกรุงรังเหมือนเดิม เส้นผมระต้นคอถูกจับมัดลวกๆ อย่างไม่ใส่ใจ เขากลับไปตั้งหลักมาเรียบร้อยแล้ว เมื่อเช้าสิงหาตื่นตระหนกไปหน่อยเพราะไม่คิดว่าผู้หญิงอย่างณัฐรินีย์จะต่อกรยากอะไร แต่ครั้งนี้เขารู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ใม่ใช่ผู้หญิงนิ่มๆ เรียบร้อยเหมือนลูกคุณหนูทั่วไป เพราะฉะนั้นวิธีที่เขาคิดไว้คงไม่สะดุ้งสะเทือนผิวกายขาวๆ นั่นเท่าไหร่ ปัง! ปัง! กำปั้นใหญ่ทุบลงบนประตูไม้ไผ่จนสั่นสะเทือน เขามั่นใจว่าส่งเสียงดังไปมากพอสมควร แต่รออยู่เกือบนาทีทุกอย่างก็ยังคงนิ่งเงียบ ประตูตรงหน้าไม่ได้ถูกเปิดออก เสียงภายในก็เงียบกริบ สวนทางกับบานประตูและหน้าต่างที่ถูกปิดล็อกไว้อย่างแน่นหนาบ่งบอกว่าต้องมีคนอยู่ภายในอย่างแน่นอน ผู้หญิงคนนี้ ไม่ทันไรก็ทำให้เขาปวดหัวตุ๊บๆ อีกแล้ว “ตื่น!!!” แกร๊กๆๆๆๆ สิงหาจับประตูแล้วออกแรงเขย่าอย่างแรง บ้านหลังนี้เขาเป็นคนสร้างเองกับมือ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่านอกจากพื้นแล้วตัวกำแพงมันไม่ได้แข็งแรงมากขนาดนั้น แค่ออกแรงเขย่ามันก็สั่นคล้ายแผ่นดินไหวขนาดย่อมๆ แล้ว และในที่สุดแรงที่สิงหาออกไปก็ได้ผล ชายหนุ
สิงหาออกคำสั่งให้นักโทษสาวเอาเสื้อผ้าที่เปียกชื้นไปตากไม่ใกล้ไม่ไกลจากน้ำตกเท่าไหร่ เพราะที่นี่เป็นทางผ่านที่เธอต้องใช้เดินกลับบ้านหลังจากทำงานที่เขามอบหมายให้เสร็จ จึงไม่ต้องเดินลงไปตากผ้าที่บ้านและเสียเวลาเดินกลับขึ้นมาใหม่ ไว้เก็บไปทีเดียวตอนกลับบ้านจะสะดวกและเสียเวลาน้อยกว่า “เสร็จหรือยัง?” หนุ่มหนวดยาวยืนกอดอกหันไปทางอื่น เขาตั้งใจไม่มองไปที่เสื้อผ้าของเธอ ผู้หญิงอะไร กล้าตากชุดชั้นในประเจิดประเจ้อไม่กลัวใครมาเห็นเข้าแบบนี้ หน้าไม่อาย... จริงๆ แล้วตรงนี้ไม่มีทางที่ใครจะมาเห็นได้นอกจากเขา ซวยจริงๆ แบบนี้กลับบ้านไปเขาต้องล้างตาด้วยน้ำเกลือหรือเปล่า? “เสร็จแล้วจ้า” คนที่สดชื่นเพราะเพิ่งอาบน้ำมาตอบเสียงหวานจ๋อย และหลังจากนั้นสิงหาก็สะดุ้งโหยง เพราะจู่ๆ แขนก็ถูกจับหมับเข้าเต็มๆ มือ “ขี้ตกใจจัง” สิงหากระแอมไอ เขาเสมองไปทางอื่น ไม่สนใจรอยยิ้มแปลกๆ ของเธอ “มัวแต่เล่น ทำงานเสร็จช้าก็ไม่ได้กินข้าวหรอกนะ” เสียงทุ้มดุปนขู่ คนขี้เล่นหน้าจ๋อยสนิท พอพูดถึงข้าว เธอก็หิวข้าวขึ้นมาจนท้องร้องโครกคราก เรียกรอยยิ้มเล็กๆ จากคนหนวดยาว ก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างรวดเร็วโดยที่ณัฐรินีย์ไม่มีโอกาสได้เห
หลังจากกินข้าวมื้อกลางวันที่ล่วงเลยมาจนถึงบ่ายสองเสร็จ สิงหาก็เดินนำหน้านักโทษสาวที่อิ้มแปล้พุงกางไปอีกทางหนึ่ง เป็นคนละทางกับคอกหมูที่ณัฐรินีย์ทำงานเพื่อแลกข้าวก่อนหน้านี้ เธอจำได้ขึ้นใจ “พี่สิงห์จ๋า!” ยังไม่ทันได้เห็นว่าถูกพามาที่ไหน เสียงแหลมๆ ที่หวานหยดย้อยก็ดังขึ้นเสียก่อน และหลังจากนั้นร่างสูงใหญ่ที่เดินนำหน้าก็เซแถ่ดๆ มาชนเข้ากับเธอ โชคดีที่ณัฐรินีย์ตั้งตัวทัน ไม่อย่างนั้นคงได้ลงไปกองที่พื้นพร้อมกับมีร่างใหญ่โตเหมือนหมีควายทับให้ได้จุกเล่น “กระแต!” เสียงทุ้มดูดุ แต่น้อยกว่าตอนที่ใช้พูดกับนักโทษอย่างณัฐรินีย์หลายเท่า “อย่าทำแบบนี้ ล้มไปจะเจ็บตัว” “จ้ะ กระแตขอโทษน้าพี่สิงห์ กระแตแค่ดีใจที่ได้เจอพี่สิงห์ ไม่ได้เจอตั้งวันกว่าคิดถึ๊งคิดถึง” “เยอะ!” ณัฐรินีย์แอบมองข้ามไหล่หนา เธอเห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นหญิงวัยประมาณไม่เกินสี่สิบห้าปี ท่าทางแข็งแรงและหน้าตาสะสวยพอตัว “มานี่เดี๋ยวนี้นะกระแต เป็นสาวเป็นนางไปลามปามนายสิงห์เขาแบบนั้นได้อย่างไร?” “แม่อะ! พี่สิงห์ยังไม่ว่ากระแตซักคำเลย ใช่ไหมจ๊ะ?” “หึ” สิงหาเพียงแค่หัวเราะแผ่วๆ เขาไม่ได้ตอบสาวเจ้า แต่หันไปสนใจแม่ของเธอแทน “น้าพิมท
หญิงสาวที่มีสถานะเป็นนักโทษยอมถูกลากไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนออกมา เธอเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างที่ชื้นเหงื่อขึ้นทีละน้อย จนในที่สุดมันเปียกโชก แต่ถึงอย่างนั้นสิงหาก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด “เดี๋ยวสิ...” หญิงสาวขัดขืนเป็นครั้งแรก เธอยื้อตัวเองไว้ไม่ยอมเดินตามจนสายตาคมๆ ตวัดกลับมามองอย่างไม่พอใจ “ให้ฉันเก็บเสื้อผ้าก่อน” เธอชี้ไปที่เสื้อผ้าที่ยังคงตากอยู่ที่เดิม สิงหาลากเธอจนมาถึงน้ำตกแสนสวยนี่แล้ว ที่จริงเธออยากขออาบน้ำอีกซักครั้ง แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายอารมณ์เสียแบบนี้ก็ได้แต่ปลอบตัวเองในใจว่าช่วงเย็นๆ ค่อยมาอาบก็ได้ “ฉันบอกเธอว่าอะไร?” “ค่อยคุยกันได้ไหม ขอเก็บเสื้อผ้าก่อน โอ้ย!” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่น นายสิงห์คนนี้กระชากแขนเธอจนเจ็บไปหมดแล้ว รับรองได้ว่าคืนนี้เธอคงร้าวระบมไปทั้งแขนแน่นอน “เธอมันดีแต่ยั่วโมโหฉัน คิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรหรือไง!?” “ฉันไปทำอะไรให้เล่า! นายก็บอกมาสิ ไม่ใช่มาลากๆๆๆ แล้วก็ใส่อารมณ์แบบนี้!” ณัฐรินีย์เริ่มเสียงดังบ้าง เธอพยายามอดทนแล้วนะ แต่นายสิงห์คนนี้ทำให้ความอดทนของเธอขาดกระจุย เอะอะก็เสียงดัง เอะอะก็ขู่ อยากทำอะไรก็ทำ อยากฆ่าก็ฆ่ากันเลยสิ นี่มันถิ่นเ
“ขึ้นมาที่นี่ทำไม?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางหันกลับมามองผู้บุกรุกในยามวิกาล แววตาของสิงหาไม่ได้ฉายแววดุดัน แต่ก็ไม่ได้อ่อนโยนเท่าไหร่ “หิว” “ที่นี่ไม่ใช่โรงครัว” "รู้แล้ว แต่หลง...” “ถึงไม่หลงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรกินหรอก ครัวปิดแล้ว คนอื่นๆ เขาเข้านอนกันหมด ไม่มีใครหิวตอนนี้” “ห๊า!” ณัฐรินีย์ตาโต เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินผิดหรือสิงหาตั้งใจโกหกเพราะอยากกลั่นแกล้งกันแน่ ถึงตอนนี้เธอจะไม่มีนาฬิกา แต่ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งลาลับขอบฟ้าไปได้ไม่นาน รวมกับระยะเวลาที่เธอเดินหลงอยู่ในป่านี้ เธอมั่นใจว่านี่ยังไม่ถึงสองทุ่มแน่ๆ แต่คนที่นี่เข้านอนกันหมดแล้ว? นี่มันน่าเหลือเชื่อมาก ตอนที่เธออยู่นิวยอร์กเธอไม่เคยนอนต่ำกว่าเที่ยงคืน ไม่นั่งวาดรูปก็รอรับสายจากนิคกี้ เพราะรายนั้นกว่าจะกลับอพาร์ทเม้นท์ได้ก็เข้าวันใหม่ทุกที ทั้งๆ ที่ต้องตื่นมาทำงานแต่เช้าแท้ๆ แต่ก็ยังทำงานจนถึงดึกดื่นทุกวัน เธอเลยยื่นคำขาดว่าถ้ายังไม่ได้เห็นเขาอาบน้ำเตรียมนอน เธอก็จะไม่นอนเหมือนกัน นิคกี้เลยยอมทำตามเพราะไม่อยากได้ยินเธอบ่นเหมือนแม่คนที่สอง ยิ่งช่วงนี้เธอยิ่งมั่นใจว่านิคกี้คงทำงานไม่หลับไม่นอนแน่ๆ เขาต้องเคลียร์งานให้เรียบร้
ตอนนี้เป็นเวลาตีสี่ครึ่ง เป็นปกติที่สิงหาจะตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นทุกวัน ต่อให้ช่วงกลางคืนเข้านอนดึกแค่ไหน ร่างกายมันก็ตื่นขึ้นมาในเวลาเดิมเหมือนถูกตั้งค่าไว้ คงจะเป็นความเคยชินไปแล้ว เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้ร่างกายอ่อนแอเกินไป สิงหาจึงเข้านอนไม่ดึกมากนัก อย่างน้อยก็ต้องนอนให้ครบเจ็ดถึงแปดชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ เขาไม่อยากเจ็บป่วยอะไรอีกแล้ว เพราะรู้ดีว่าตอนที่ร่างกายอ่อนแอควบคุมไม่ได้มันทรมานมากแค่ไหน ร่างกายเปลือยเปล่าลุกขึ้นจากเตียงที่ไม่นุ่มและแข็งจนเกินไป สิงหาตวัดผ้าห่มที่ปิดเพียงท่อนล่างออก ก่อนบิดกล้ามเนื้อเล็กน้อยจนกระดูกส่งเสียงดังกร๊อบ เพียงเท่านี้ชายหนุ่มก็รู้สึกตื่นเต็มตา ไม่ใช่แค่สิงหาเท่านั้นที่ตื่น อวัยวะบางอย่างที่อยู่กลางลำตัวก็ตื่นขึ้นมาจนตั้งตรงเช่นกัน เป็นเรื่องปกติ สิงหาอายุเพียงยี่สิบเก้าปี อยู่ในวัยที่กำลังเจริญพันธุ์เต็มที่ เพราะฉะนั้นเรื่องความต้องการในยามเช้าไม่ใช่อะไรที่น่าตกใจ สิงหาไม่มีเมีย และไม่คิดซื้อผู้หญิงกิน เพราะฉะนั้นทุกเช้าเขาจะพึ่งนิ้วมือทั้งห้าของตัวเอง เขาไม่ได้ติดเซ็กส์ แค่ปลดปล่อยให้ร่างกายโล่งขึ้นบ้างก็เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ทำทุกวันเพราะบางครั้ง
กลับมาที่เกาะได้ไม่ถึงเดือน สองสามีภรรยาก็ต้องขึ้นฝั่งอีกครั้ง ทั้งคู่บินตรงไปกรุงเทพฯ และเดินทางต่อไปที่โรงพยาบาลโดยไม่หยุดพัก เมื่อเช้าสิงหาได้รับสายจากนิโคลัส แต่นิโคลัสไม่ได้เป็นคนคุย เขายื่นโทรศัพท์ให้คุณหญิงสุดา เธอรับไว้แล้วบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ลูกสาวและลูกเขยรู้ “พ่อเขาหมดสติ หัวใจหยุดเต้น ดีที่ยังอยู่ที่โรงพยาบาลเลยกู้ชีพกลับมาได้ แต่หมอบอกว่าพ่อเขาต้องทำบายพาสหัวใจ เพราะตรวจเจอเส้นเลือดตีบสามเส้น” ณัฐรินีย์ใจหายวาบ เร่งเร้าให้สิงหาหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด ก่อนจะพากันกระหืดกระหอบมาถึงโรงพยาบาลช่วงบ่ายแก่ เปิดประตูห้องพิเศษเข้าไปก็เจอกับคุณหญิงสุดาที่นั่งอยู่ข้างเตียง ถัดไปเป็นนิโคลัส และใกล้กันกับนิโคลัสคือณัฐริกา “พี่นิ่ม” “หนูนิด” สองพี่น้องโผเข้ากอดกันด้วยความคิดถึง ณัฐริการ้องไห้ออกมาเพราะไม่ได้เจอหน้าน้องสาวมาหลายปี เธอคิดถึงหนูนิด แต่ยิ่งคิดถึงเธอก็ยิ่งละอายใจ เพราะถ้าหนูนิดไม่ช่วยเธอไว้วันนั้น น้องสาวเธอคงไม่ถูกส่งไปไกลจากบ้านแบบนี้ “คิดถึง” “นิดก็คิดถึงพี่นิ่ม” แฝดน้องผละออก มองสำรวจพี่สาวที่ดูมีน้ำมีนวลขึ้นด้วยสายตารักใคร่ “ดูผุดผ่องขึ้นนะคะ ไปทำอะไรมา”
“พี่สิงห์” ร่างบอบบางถลาเข้าหาอ้อมกอดของสามี พออ้อมแขนอบอุ่นโอบรัด น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลลงมาเป็นทาง ณัฐรินีย์ไม่ใช่คนเข้มแข็ง เธอเป็นเพียงคนๆ หนึ่งที่มีความรู้สึกเปราะบางเหมือนมนุษย์ทั่วไป เธอร้องไห้หลายครั้งแต่ไม่มีใครเห็น เธอเจ็บปวดเป็นพันครั้งแต่ไม่มีใครมาสนใจ ความเจ็บปวดซ้ำๆ ทำให้เธอต้องสร้างกำแพงขึ้นมา ทำเหมือนว่าตัวเองคือคนที่มีจิตใจแข็งแกร่งกว่าใคร เจ็บแค่ไหน เสียใจแค่ไหนก็ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น แต่วันนี้เธอรู้แล้วว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งเสมอไป ถ้ามีอ้อมกอดที่พร้อมกอดก็อย่าลังเลที่จะรับมัน ถ้ามีอกกว้างให้ซับน้ำตาก็อย่าลังเลที่จะร้องไห้ออกมา บางทีการร้องไห้อาจจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในใจได้บ้าง... ไม่มากก็น้อย “ไม่เป็นไรนะ” คำพูดสั้นๆ พร้อมกับมือที่ลูบเส้นผมเบาๆ ทำให้ณัฐรินีย์ปล่อยโฮ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอร้องไห้ขนาดนี้ ร้องเหมือนว่าโลกใบนี้กำลังจะแตกสลาย ร้องเหมือนว่าจะไม่มีพรุ่งนี้ให้ร้องอีก เธอร้องจนปวดหัว ร้องจนหูอื้อ ร้องจนเสื้อที่สิงหาใส่เปียกชื้น แต่ถึงอย่างนั้นอ้อมแขนแกร่งก็ไม่ปล่อยให้เธอห่างกาย คุณหญิงสุดามองภาพนั้นทั้งน้ำตา นานแค่ไหนแล้
เพี๊ยะ!! ใบหน้างดงามหันตามแรงฟาดของฝ่ามือ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตัวแข็งค้าง สิงหาตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพความรุนแรงแบบนี้ ส่วนคนเป็นแม่ก็ไม่คิดว่าลูกจะถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายร่างกายอีกครั้ง “ลูกไม่รักดี!!!” “คุณคะ!” “เลี้ยงเสียข้าวสุก! แกมันไม่รักดี ไม่เคยทำให้ฉันกับแม่แกภูมิใจเลย! ต้องให้ฉันตบตีแกอีกกี่ครั้งแกถึงจะคิดได้ห้ะ!” สิงหากำมือแน่น เขาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเอง ต้องมาเห็นเมียถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายแบบนี้เขารับไม่ได้จริงๆ ยิ่งรู้ว่าไม่ใช่ครั้งแรกแบบนี้... ถึงเขาจะเลวแต่เขาไม่เคยคิดลงมือทำร้ายผู้หญิงเลยซักครั้ง แม้แต่ณัฐรินีย์เองเขาก็ไม่เคยตบตี ต่อให้ตอนที่ยังไม่ได้รักเขาก็ไม่คิดจะทำ แล้วทำไมพ่อแท้ๆ ถึงทำกับลูกได้ขนาดนี้ “คุณพ่อครับ” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น สิงหาหันกลับไปมอง ดวงตาเขาแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นใคร “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” “ให้พ่อใจเย็นได้ยังไงนิค ลูกนิ่มก็หายตัวไป ส่วนคนที่อยู่ก็ไม่มีประโยชน์” ท้ายประโยคคุณหมอกระแทกกระทั้นใส่ลูกสาวที่ตนเองเพิ่งลงมือทำร้ายร่างกายไป ณัฐรินีย์ไม่ต่างจากถูกทำร้ายร่างกายและเหยียบย่ำความรู้สึกซ้ำๆ เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นที่ต้องการ
“นิโคลัสมันแต่งงานกับพี่สาวฝาแฝดของเมียแก” “พี่สาวฝาแฝด!?” สิงหาตกใจจนคำพูดของเพื่อนเกือบไม่เข้าหู พี่สาวฝาแฝด เขาเพิ่งรู้ว่าเมียตัวเองมีพี่สาวฝาแฝด “อืม หน้าเหมือนกันอย่างกับคนเดียวกัน ฉันเกือบสับสนไปแล้ว” “ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ตอนที่สิงหาสืบข้อมูลของณัฐรินีย์เพื่อแก้แค้นเขาไม่ได้สนใจครอบครัวของเธอเลย เขาสนแค่ถ้าจับเธอมาได้ครอบครัวเธอจะต้องเสียใจจนกระอักเลือดเพราะยังไงณัฐรินีย์ก็คือลูก และเพราะความไม่รอบคอบของเขานี่เอง เขาถึงไม่เคยรู้เลยว่าการจับตัวณัฐรินีย์มามันทำอะไรครอบครัวนั้นไม่ได้เลย และที่สำคัญ...หนูนิดของเขามีพี่สาวฝาแฝด บางอย่างที่ยังค้างคาอยู่ในใจเหมือนถูกปลดล็อก สิงหาถึงบางอ้อทันทีเมื่อรู้ว่าณัฐรินีย์มีพี่สาวฝาแฝด ถ้าหากคืนนั้นเธอไม่ได้ขับรถชนเขา คนที่ชนก็น่าจะเป็นพี่สาวเธอ เพราะวันนั้นเขาเห็นหน้าคนขับ และเขาจำได้ว่าใบหน้านั้นเหมือนกับณัฐรินีย์ราวกับแกะ “แล้วยังไงต่อ” “เมียแกกลับไปอยู่บ้าน ฉันไม่รู้มากกว่านี้ แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ” ราฟาเอลสะอึกเมื่อเห็นแววตาวาววับของเพื่อนสนิท เขากระแอมไอ รีบแก้คำพูดก่อนจะโดนดีดออกจากห้องโทษฐานบอกว่าเมียของมันไม่สำคัญ “ที่จริงแล้วเรื่อ
สิงหาฝัน... เขาฝันว่าตัวเองทะเลาะกับณัฐรินีย์ด้วยเรื่องที่เธอโกหกเขา เธอไม่ได้เป็นคนขับรถชนเขาเพราะเธอขับรถไม่เป็น แม้แต่พวงมาลัยเธอยังไม่เคยจับมันมาก่อน ลึกๆ แล้วสิงหาดีใจที่รู้แบบนั้น แต่เขาก็เสียใจอยู่ดีที่เธอเลือกที่จะปกปิดและโกหกมาตลอด เพราะถ้าหาก... ถ้าหากว่าเขาเลวกว่านี้อีกซักนิด แล้วเผลอทำอะไรรุนแรงกับคนบริสุทธิ์ลงไป เขาคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นในความฝันก็ยังมีเรื่องราวดีๆ ซ่อนอยู่ เขาได้ยินคำบอกรักจากเธอเป็นครั้งแรก ที่จริงจะเรียกว่าครั้งแรกก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะเขาเคยได้ยินคำนั้นในวันแต่งงานของเรา เพียงแต่เขาไม่กล้าเข้าข้างตัวเองว่าเธอพูดมันจากความรู้สึกจริงๆ บรรยากาศในวันนั้นมันเป็นใจเกินไป ณัฐรินีย์อาจจะพูดเพียงเพราะสถานการณ์พาไป ทว่าครั้งนี้สิงหาเชื่อสนิทใจ แม้จะเป็นแค่เพียงคำพูดในความฝัน แต่สิงหากลับรู้สึกยินดีเหลือเกินที่ได้ยินมัน และมันก็ทำให้หัวใจที่ปิดตายมานานสั่นคลอน ความรู้สึกภายในมันร่ำร้องบอกออกมาว่าตัวเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขารักหนูนิด น่าเสียดายที่ในฝันนั้นสิงหาไม่ได้บอกกลับไป เขาได้แต่เตือนตัวเองซ้ำๆ ว่าถ้าตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่จ
บรรยากาศภายในรถเงียบงันเมื่อสิงหาไม่ได้พูดอะไร เขาไม่แม้แต่จะเปิดเพลงคลอเหมือนขามาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มใช้มือเพียงข้างเดียวบังคับพวงมาลัย ไม่ถึงสองนาทีรถราคาไม่แพงนักก็เลี้ยวเข้าโรงแรมระดับสามดาวที่ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ “ที่จริงเราน่าจะพักที่โรงพยาบาล” ณัฐรินีย์ออกความเห็น แต่ก็เข้าใจว่าสิงหาไม่ได้เจ็บป่วยหนักอะไร ถ้าต้องพักที่โรงพยาบาลมันก็เหมือนกระต่ายตื่นตูมไปหน่อย สิงหาไม่ได้ตอบอะไร เขาลงจากรถ หยิบของจากเบาะหลัง ก่อนจะส่งกุญแจให้พนักงานรักษาความปลอดภัยพร้อมกับทิปจำนวนหนึ่ง ณัฐรินีย์ก้าวลงจากรถอย่างงุนงง เธอเดินตามหลังสิงหาเข้าไปในโรงแรมก็พบว่าเขาเช็กอินเรียบร้อยแล้ว “ห้องอยู่ชั้นสาม ห้อง 303 นะคะ ออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวขวาได้เลยค่ะ” สิงหารับคีย์การ์ดมาถือไว้ เขาไม่ได้ตอบอะไร เมื่อได้ของที่ต้องการก็เดินจ้ำอ้าวไม่แม้แต่รอเมียที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังมา “พี่สิงห์!” ณัฐรินีย์หอบแฮ่ก “ปวดแขนมากเหรอถึงได้รีบเดินขนาดนี้” “...” “พี่สิงห์ ทำไมไม่พูดกับนิด” “...” “พี่สิ-“ ติ๊ง “ไว้ไปคุยกันในห้อง” ณัฐรินีย์ชาไปทั้งตัวเมื่อน้ำเสียงของสิงหาไม่ได้อบอุ่นเหมือนเคย หรือถ้าพูดให้ถูกคือน้ำเสียงข
หลังจากเคี่ยวกรำเมียมาเป็นอาทิตย์สิงหาก็เกือบน้ำตาตกใน เมื่อวันหนึ่งณัฐรินีย์เดินเข้ามาบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ ว่า “พี่สิงห์ คืนนี้ห้ามกวนนิดนะ พอดีว่าน้องแดงเดือดมา” สิงหาเข่าอ่อน เขาเคยคิดว่าตัวเองน้ำยาดีพอ แต่นี่เขาไม่ได้ป้องกันมาเกือบเดือนแล้ว ทว่าก็ยังไม่มีทีท่าว่าเมียเขาจะตั้งท้องเสียที ยืนยันได้จากน้องแดงเดือดที่มาตรงเวลาจนน่าโมโห บางทีเขาก็ไม่เข้าใจ กับครอบครัวที่พร้อมมากๆ ทั้งอายุและการเงินอย่างเขาและณัฐรินีย์กลับยากที่จะมีลูก แต่กับเด็กๆ ที่พลาดจนตั้งท้องเป็นว่าเล่นกลับมีอย่างง่ายดาย และสุดท้ายเด็กทารกที่ไม่รู้อะไรก็มักจะถูกทอดทิ้งเสมอ เหมือนกับเขาที่ถูกทิ้งไว้หน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่แบเบาะ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่เป็นใคร พ่อเป็นใคร รู้แค่ตัวเองเป็นลูกครึ่ง แต่ครึ่งอะไรสิงหาไม่เคยคิดอยากจะหาคำตอบ ตอนเด็กๆ เขาถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อว่าแม่เขาเป็นผู้หญิงขายบริการ มีลูกกับแขกแล้วเลี้ยงไม่ไหวเลยเอาเขามาทิ้งเป็นภาระให้กับคนอื่น แต่พอเขาเอาเรื่องไปเล่าให้แม่ครูฟังแม่ครูก็ทำเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วบอกว่าซักวันแม่จะกลับมารับเขาไปอยู่ด้วย นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่สิงหารู้จักคำว่า
“อื้อ”เจ้าสาวคนสวยครางในลำคอเบาๆ เมื่อแผ่นหลังสัมผัสเข้ากับฟูกนุ่มที่โรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดงสด สิงหาค่อยๆ ปลดแขนเรียวที่เกี่ยวรั้งต้นคอตนเองออก ก่อนจะขยับออกห่างจากเจ้าสาวที่นอนทอดกายมองมาไม่วางตาดวงตาสุกสกาวมองตามสามีตามประเพณีที่ขยับออกห่างด้วยหัวใจที่เรียบสนิท ทั้งๆ ที่เหมือนกำลังจะถูกทอดทิ้งแต่ณัฐรินีย์กลับไม่รู้สึกเสียใจ เพราะเธอมั่นใจว่าเขาจะกลับมาและสิงหาก็กลับมาจริงๆ“หนูนิด” สิงหาเรียกเจ้าสาว ก่อนจะช่วยพยุงให้ร่างบอบบางลุกขึ้นนั่งดีๆ “พี่ให้”“มันคือ?”“แหวนวงแรกที่พี่เก็บเงินซื้อได้” สิงหาหมุนแหวนราคาไม่กี่หมื่นให้ณัฐรินีย์ดู เพชรเม็ดเล็กๆ ที่ฝังอยู่ในเนื้อแหวนส่องประกายล้อแสงไฟจากตะเกียงจนวาววับ “ตอนเรียนจบ พี่นึกอยากมีเครื่องประดับก็เลยเอาเงินเก็บที่ทำงานช่วงเรียนมาซื้อ ตั้งใจว่าจะเก็บมันไว้ต่อให้อดอยากแค่ไหน เพราะมันคือสมบัติชิ้นแรกที่พี่มี”“แล้วทำไมถึงให้นิด ของสำคัญแบบนี้พี่สิงห์ควรเก็บไว้ที่ตัวเอง”สิงหาเงยหน้าจากแหวนขึ้นมองใบหน้าของเจ้าสาว มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงนุ่มทุ้มว่า “ของสำคัญ ก็ต้องอยู่กับคนสำคัญ”“พี่สิงห์ นิดไม่ชิน” ณัฐรินีย์ก้มหน้าหลบ
พิธีการแต่งงานของเกาะตะวันฉายไม่ได้อิงกับศาสนาหรือพิธีของประเทศไหนเป็นหลัก เพราะที่นี่เป็นเกาะ เปรียบเสมือนแผ่นดินเล็กๆ ที่แยกตัวออกมาจากแผ่นดินหลัก ทำให้วิถีการใช้ชีวิตหรือความเชื่อของคนบนเกาะต่างจากคนทั่วไป อย่างเช่นผู้คนที่นี่ไม่นับถือศาสนา ไม่ได้เชื่อคำสอนของใคร พวกเขาแค่เชื่อในตัวเอง และมีที่พึ่งทางใจเป็นพ่อปู่ที่ไม่มีตัวตนเท่านั้น ณัฐรินีย์ถูกสิงหาจับจูงไปตรงส่วนทำพิธี ที่ตรงนั้นถูกจัดให้อยู่ในทะเลที่สูงระดับครึ่งหน้าแข้ง มีซุ้มดอกไม้สีขาวตั้งเด่น ไม่มีบาทหลวง ไม่มีคนทำพิธี เพราะสิงหาเคยบอกว่าการแต่งงานมันคือเรื่องราวของคนสองคน ไม่จำเป็นต้องมีใครมากำกับ มีเพียงแค่น้ำทะเลที่เหมือนเหมือนชีวิตและจิตวิญญาณโอบล้อมไว้ก็เพียงพอแล้ว บ่าวสาวหยุดลงเมื่อลุยน้ำไปจนถึงหน้าซุ้มดอกไม้ ทั้งคู่หันกลับไปมองบนฝั่ง ชาวบ้านนับร้อยยืนมองคู่แต่งงานอยู่บนนั้น ไม่มีใครเข้ามาใกล้ และจะไม่มีใครได้ยินว่าทั้งสองคนพูดคุย หรือให้คำสัญญาอะไรต่อกัน สมกับที่สิงหาบอก การแต่งงานบนเกาะตะวันฉายคือเรื่องของคนแค่สองคนเท่านั้น สิงหาเลิกสนใจผู้มาร่วมงาน เขาหันกลับมามองเจ้าสาวของตนเอง ทั้งคู่ยืนหันหน้าเข้าหากัน มือบา