ณัฐรินีย์ถูกพาตัวมาที่รถยนต์คันหนึ่ง เพียงแค่กวาดสายตาดูคร่าวๆ ก็รู้แล้วว่ารถรุ่นเก่าตรงหน้าผ่านการใช้งานมาหนักหนาแค่ไหน และบนป้ายทะเบียนที่สีหลุดไปบางส่วนก็บอกให้เธอรู้ว่ารถคันนี้มาจากจังหวัดหนึ่งที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศ...
“ขึ้นไป อย่าลีลา” อะไรเล่า! หญิงสาวโวยวายอยู่ในใจ เธอไม่ได้ลีลาเลยด้วยซ้ำ แค่แอบมองสภาพรถนิดเดียวเอง เขานั่นแหละที่ใจร้อนไปแล้วมาโทษคนอื่น อ้อ... เขาจะใจร้อนก็คงไม่แปลก ผู้ชายคนนี้ลักพาตัวคนๆ หนึ่งกลางสนามบินกลางวันแสกๆ เขาคงกลัวว่าครอบครัวของเธอจะรู้และตามมาช่วยได้ทันท่วงทีละมั้ง... แต่ดีใจด้วย เพราะครอบครัวเธอไม่ได้สนด้วยซ้ำว่าเธอมาถึงเมื่อไหร่ ไฟลท์ไหน และเดินทางอย่างไร พวกเขาสนแค่ว่าเธอจะยอมทำตามคำสั่งของพวกเขาหรือเปล่าก็เท่านั้น ลองเธอได้หายไปแบบนี้ ขี้คร้านพ่อกับแม่จะคิดแค่ว่าเธอมันดื้อรั้น ไม่ยอมกลับมาบ้านทั้งๆ ที่แม่อุตส่าห์เล่นละครตบตาว่าสุขภาพไม่ค่อยดีแบบนั้น แต่โทษเธอไม่ได้หรอกนะ เพราะถ้าพวกเขาส่งคนมารับเธอซักนิดเรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้ “ขึ้นไปสิ!” “รู้แล้วล่ะน่า!” หญิงสาวตอบเสียงห้วนเล็กน้อย ก่อนจะมุดตัวขึ้นไปนั่งบนรถแต่โดยดี เธอไม่ได้กลัวผู้ชายคนนี้เลยซักนิด ที่ๆ เธอจากมาเต็มไปด้วยผู้ชายตัวใหญ่ ถือมีดถือปืนเรื่องปกติ พูดจาโผงผางเสียงดังแถมยังหยาบคาย เธอชินเสียแล้ว... “คาดเข็มขัด และก็เอาผ้านี่ปิดตาไว้” เขาออกคำสั่ง มือหนายื่นผ้าสีดำสนิทมาเธอ “ปิดทำไม?” "ทำไมต้องถาม?” “เอ้า! ฉันไม่มีสิทธิ์ถามเลยหรือไง อุตส่าห์มาด้วยดีๆ นะ” “ไม่มี” “ไอ้...” ปากอิ่มสีระเรื่ออ้าพะงาบๆ เมื่ออีกฝ่ายตอบกลับได้หน้าตาเฉยแบบนั้น และแน่นอนว่าเขาไม่สนใจว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร เพราะเมื่อเห็นว่าเธอยังนั่งนิ่ง เขาก็จัดการยัดเยียดผ้าสีดำใส่มือเธอโดยไม่สนว่าเธอเต็มใจรับมันหรือเปล่า นิสัยไม่ดี! “ปิดซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะมัดเธอแล้วปิดตาให้เอง” “...” “คิดว่าฉันแค่ขู่ไม่กล้าทำจริงหรือไง?” และก่อนที่เขาจะทำตามคำขู่นั้นจริง ณัฐรินีย์ก็ยอมยกผ้าขึ้นปิดตาตัวเองอย่างไม่มีทางเลือก เธอเกลียดการถูกบังคับ เกลียดการถูกยัดให้อยู่แต่ในกรอบ และแน่นอนว่าเธอเกลียดการถูกมัดจนไม่มีอิสระเป็นที่สุด! ยอมปิดตาดีกว่า ถ้าจะต้องถูกมัดแบบนั้น หนุ่มหนวดยาวขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ ปากอิ่มมันวาวเพราะลิปมันลอยอยู่ตรงหน้า แต่เขาไม่ได้สนใจสิ่งยั่วยวนนั้น เมื่อมั่นใจแล้วว่าเธอไม่เห็นอะไรอีกจึงปิดประตูลง ปัง! และโยนกระเป๋าใบเดียวที่ณัฐรินีย์หอบหิ้วมาจากอเมริกาไปที่เบาะหลังอย่างแรง คนที่ตกอยู่ในความมืดสะดุ้งเฮือก แอบด่าผู้ชายคนนั้นอยู่ในใจว่าไร้มารยาท รู้ว่าเธอมองไม่เห็นยังมาทำเสียงดังใส่อีก มาจากบ้านป่าเมืองเถื่อนหรือยังไง ไร้อารยธรรมสิ้นดี! เป็นเวลาเกือบสี่ชั่วโมงที่ณัฐรินีย์ต้องนั่งอยู่ในความมืด ที่จริงแล้วจะเรียกแบบนั้นก็คงไม่ถูก เพราะมีแค่เธอคนเดียวที่รู้สึกว่ารอบข้างช่างมืดมน แน่ล่ะ เธอถูกปิดตาอยู่นี่ ร่างบางขยับไปมา เธอนั่งจนเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมด ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้จะพาเธอไปที่ไหน แต่ต้องนั่งรถนานขนาดนี้คงไกลจากกรุงเทพฯ มากน่าดู ถ้าให้เดาเขาคงพาเธอไปจังหวัดที่อยู่บนป้ายทะเบียนรถคันนี้ เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ที่มีทะเลและภูเขาที่สวยงามราวกับภาพวาด ณัฐรินีย์ไม่เคยเที่ยวทะเลภาคใต้ของประเทศบ้านเกิดมาก่อน โชคดีที่มีโอกาสได้ไปก่อนตายซักครั้ง ถึงจะไม่มั่นใจว่าจะได้เห็นทะเลก่อนหมดลมหายใจจริงๆ ก็ตาม “เป็นอะไร?” คนที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับเอ่ยถาม เขารำคาญที่ผู้หญิงคนนี้ยุกยิกไปมาไม่หยุด มันรบกวนสมาธิเขาให้หันไปมองจนกลัวว่ารถจะชนเข้ากับเสาไฟฟ้าก่อนไปถึงที่หมาย “ปวดเยี่ยวหรือไง?” “อี๋! น่าเกลียด เรียกปวดฉี่ก็พอไหม?” “จะปวดฉี่ปวดเยี่ยวมันก็ปวดเหมือนกัน เรียกคำไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ” หญิงสาวไม่ได้ตอบโต้กลับ ถ้าให้พูดตรงๆ เธอเถียงไม่ออก สิ่งที่ผู้ชายคนนี้พูดมันเป็นเรื่องจริง แต่ก็นั่นแหละ... มันกระดากนี่ถ้าต้องพูดแบบนั้น ณัฐรินีย์เลือกปิดปากเงียบ เธอตั้งใจจะนอนพักสายตาซักหน่อย บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งไกล นอนบนเครื่องบินก็ไม่เต็มอิ่ม ก่อนหน้าที่จะบินมาก็แทบไม่ได้นอน อย่างน้อยก่อนตายเธอก็ควรได้หลับบ้าง “สรุปปวดเยี่ยวหรือเปล่า ปวดจะได้แวะปั๊มให้ แต่ห้ามเยี่ยวใส่รถฉันเชียว” “ไอ้บ้า!” คำพูดของผู้ชายแปลกหน้าเธอหลับไม่ลง ผู้ชายคนนี้กล้าดียังไงมากล่าวหาว่าเธอจะฉี่ใส่รถเขา เธอไม่ใช่หมานะ! “แปลว่าไม่ได้ปวด?” “ไม่ได้ปวด!” “ตามใจ เพราะหลังจากนี้คงไม่เจอปั๊มอีกนาน ถ้าปวดขึ้นมากลางทางคงต้องเยี่ยวใส่พงหญ้าข้างถนนเอา” น่าเกลียด! หญิงสาวไม่สนใจคำพูดห่ามๆ ของผู้ชายคนนั้นอีก เธอยกแขนขึ้นกอดอก นั่งหน้าตึงทั้งๆ ที่มองไม่เห็นอะไร เพราะเขาคนเดียว ทำให้เธอหลับไม่ลงแบบนี้ ภายในรถคันเก่าเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดคุยของคนสองคนอีก และดูเหมือนว่าเจ้าของรถจะไม่ได้มีอารมณ์สุนทรีพอถึงไม่ยอมเปิดวิทยุฟังข่าวหรือฟังเพลงบ้างเลย หรือถ้าคิดในอีกแง่... รถคันนี้คงเก่าจนวิทยุพังไปหมดแล้ว ณัฐรินีย์นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถต่ออีกเกือบสองชั่วโมง แอร์เย็นๆ ก็ทำให้เธอรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาจนได้ แย่แล้ว เธอไม่อยากหันไปอ้อนวอนผู้ชายคนนั้น แต่เธอก็ไม่อยากกลั้นของเสียไว้แบบนี้ หญิงสาวสองจิตสองใจ ขยับตัวไปมาจนรบกวนสมาธิคนขับอีกครั้ง “นั่งนิ่งๆ ได้ไหม?” ไม่ได้ เธออยากเข้าห้องน้ำจะให้นั่งนิ่งได้ยังไง ณัฐรินีย์อยากตอบแบบนั้น แต่ปากก็หนักเกินกว่าจะยอมสารภาพออกไป “อีกไกลไหมกว่าจะถึง” “ไกล” “แค่ไหน?” “ขับรถอีกสองชั่วโมง” “สองชั่วโมง!?” หญิงสาวหวีดร้องเสียงดัง อีกตั้งสองชั่วโมง! ถ้าต้องรอนานขนาดนั้นเธอต้องตายก่อนแน่ๆ “ทำไม?” “...เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” สุดท้ายศักดิ์ศรีมากมายก็ทำให้ณัฐรินีย์ตัดสินใจปิดปากเงียบ เธอทำได้แค่ขยับไปมาบนเบาะแข็งๆ เพื่อบรรเทาอาการหน่วงที่ท้องเท่านั้น “นี่ นายชื่ออะไร?” เธอชวนเขาคุย เพราะคิดว่ามันอาจจะช่วยให้ลืมความรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำไปได้บ้าง... ก็เธอไม่เหลือทางเลือกแล้วนี่ “ถามทำไม?” “ฉันแค่อยากรู้ชื่อคนที่จะฆ่าฉันก่อนตาย บอกไม่ได้หรือไง? ถ้าบอกไม่ได้ก็-” “ชื่อสิงห์” ชายหนุ่มหนวดยาวตัดรำคาญ ยอมบอกชื่อกับอีกฝ่ายไปด้วยน้ำเสียงที่ห้วนแสนห้วน เพราะคิดว่าเสียงน่าหนวกหูนั่นจะเงียบลงบ้างถ้าได้คำตอบ แต่เขาก็คิดผิด “สิงอะไร สิงโตเหรอ? ก็เหมาะนะ เพราะหนวดและผมนายตอนนี้เหมือนแผงคอของสิงโตเลยอะ” “สิงหา ไม่ใช่สิงโต” สิงหาไม่สามารถทนฟังผู้หญิงคนนี้เดาไปเรื่อยได้อีกแล้ว เขารีบเอ่ยแก้ความเข้าใจผิดให้เธอทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ แต่สิงหารำคาญ เสียงใสๆ ของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาหงุดหงิด ขนาดถูกจับมาแบบนี้ยังไม่มีความสำนึก หน้าด้านหน้าทนอะไรขนาดนี้ “แปลว่าเกิดเดือนสิงหาเหรอ?” ได้คุยกับนายสิงหาหนวดยาวคนนี้แล้วณัฐรินีย์เหมือนจะลืมความอยากเข้าห้องน้ำไปได้บ้าง เสียงเจือยแจ้วเลยเอาแต่ถามไม่หยุด ไม่ได้รับรู้เลยว่าคนถูกถามแสดงสีหน้าออกมาว่ารำคาญแค่ไหน “อื้ม!” สิงหาตอบ แอบกระแทกเสียงเล็กน้อยให้เธอรู้ว่าเขารำคาญเต็มทนแล้ว แน่นอนว่าคนที่เจือยแจ้วรับรู้ถึงความหงุดหงิดนั้น แต่เธอก็ทำเป็นไม่ได้ยินไป อยากจับเธอมาก็ต้องทนให้ได้สิ “งั้นเรียกว่านายสิงห์ได้ไหม? หรือต้องเรียกยังไง พี่สิงห์? ลุงสิงห์?” “เรียกอะไรก็ตามใจเธอเถอะ” “โอเค งั้นนายก็เรียกฉันว่าหนูนิดแล้วกันนะ ชื่อเล่นฉันเอง” “ฉันไม่ได้อยากรู้” “อ่า... นั่นสินะ เดี๋ยวนายก็ฆ่าฉันแล้วนี่นา...” เสียงใสเจื่อนลงเล็กน้อย มันเล็กน้อยจริงๆ แต่สิงหาก็ยังจับความเล็กน้อยนั่นได้ เขาแปลกใจตั้งแต่แรกแล้วที่เธอยอมมากับเขาอย่างง่ายดาย อันที่จริงในสถานการณ์นั้นเธอจะหันไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น หรือจะกรีดร้องดังๆ ก็ทำได้ แต่เธอกลับไม่ทำ ทั้งยังยอมเดินตามหลังเขาต้อยๆ ไม่แสดงพิรุธอะไรออกมาให้คนอื่นสงสัยเลย จนกระทั่งตอนนี้เขาพาลงมาถึงตอนใต้ของประเทศแล้วเธอก็ยังไม่ถามซักคำว่าจะพาเธอไปไหน ดูเผินๆ เหมือนไม่ได้ห่วงชีวิตตัวเองว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง แต่พอรู้ว่าจะต้องตายจริงๆ ปลายเสียงใสๆ นั้นก็แฝงไปด้วยความกังวลที่เธอพยายามปิดบังเอาไว้ สิงหารู้ในทันทีว่าที่จริงแล้วเธอยังรักตัวกลัวตายอยู่ แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้ยอมมากับเขาแต่โดยดีแบบนี้... ทว่ามันก็ไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่ต้องหาคำตอบ ภายในรถกลับไปเงียบกริบอีกครั้ง หนูนิดคนนั้นเลิกขยับยุกยิกไปมาอีก ซึ่งนั่นเป็นข้อดี เพราะสิงหาจะได้มีสมาธิขับรถมากขึ้น รถยนต์คันเก่าแล่นเข้าสู่จังหวัดที่เป็นจุดหมายปลายทาง อีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะถึงที่หมายแล้ว ถึงเวลาที่ผู้หญิงคนนี้และครอบครัวจะต้องชดใช้สิ่งที่ทำไว้กับเขาเมื่อห้าปีก่อนเสียที ริมฝีปากที่ถูกหนวดยาวๆ ปิดบังไว้ยกยิ้มขึ้น เขารอเวลานี้มานานเหลือเกิน กว่าสามปีที่เขาต้องใช้ชีวิตไม่ต่างอะไรจากคนพิการ และอีกเกือบสองปีที่เขาอดทนรอให้เธอกลับมา... กลับมาเพื่อสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป โดยที่สิงหาไม่รู้เลยว่าการกระทำในครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาล....สิงหาจอดรถคันเก่าแต่คุณภาพยังคับแน่นเข้าในที่ประจำ เวลาเย็นแบบนี้คนงานและชาวประมงที่ทำงานตรงนี้ทุกวันต่างแยกย้ายกันกลับบ้านหมดแล้ว และที่สิงหาเลือกมาถึงที่นี่ในตอนนี้ก็เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนอื่น คนที่นี่ไม่ใช่คนที่เกาะของเขา แม้ทุกคนจะไม่มายุ่งวุ่นวาย แต่คงไม่แคล้วได้เป็นขี้ปากอยู่ดี แปะ! “ตื่น” มือหยาบกร้านตามประสาคนทำงานแตะลงบนแขนเรียวเล็กด้วยแรงที่ไม่เบานัก สิงหาทำงานหนักมาทั้งชีวิต ไม่เคยต้องถนอมใคร เพราะฉะนั้นเขาจึงกะแรงกับผู้หญิงที่ตัวผอมจนแทบจะปลิวได้แบบนี้ไม่ถูก คนถูกตีสะดุ้งตื่นทันที สิ่งแรกที่ณัฐรินีย์เห็นคือความมืด เธอตกใจเล็กน้อย ก่อนจะระลึกได้ว่าตัวเองถูกจับตัวมาและตาก็ถูกปิดไว้ ดังนั้นเธอจึงผ่อนจังหวะหายใจให้กลับมาเป็นปกติ รวมถึงบังคับหัวใจที่เต้นแรงให้สงบลง “ตื่นแล้วก็ลง” สิงหาเดินอ้อมไปอีกฝั่ง เขาเปิดประตูรถให้คนที่ถูกปิดกั้นการมองเห็น แต่อีกฝ่ายกลับนั่งนิ่งไม่ยอมขยับจนเขาเผลอจิ๊ปาก “ทำไมไม่ลงอีก?” “ที่นี่ที่ไหน?” “ถ้าฉันบอก ฉันจะปิดตาเธอทำไม?” คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ณัฐรินีย์รู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เง่าเหลือเกิน เธอพยักหน้าเข้าใจ ก่อ
สิงหาพาคนมาใหม่เดินอ้อมไปอีกด้านของเกาะที่ไม่มีใครใช้เดินทางหรืออยู่อาศัย เขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนนี้พบเจอกับผู้คนที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้มากนัก มีเพียงไม่แค่กี่คนเท่านั้นที่สิงหาอนุญาตให้เธอได้เจอ “นายสิงห์!” เดินมาถึงด้านตะวันตกของเกาะ สิงหาก็ได้ยินเสียงเรียกที่แสดงถึงความดีใจและโล่งใจปะปนกันไป ก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฎตัวจากความมืดให้ทั้งสองคนได้เห็น “มาเสียที ป้ากังวลไปสารพัด” “กังวลทำไมป้าผ่อง ทำเหมือนว่าฉันไม่เคยข้ามฝั่งไปได้” “ก็ทะเลมันน่ากลัวนี่ เดาอารมณ์ไม่เคยได้ บางวันดีแต่บางวันก็ร้ายนายสิงห์ก็รู้” คนอายุมากกว่าส่งค้อนใส่นายสิงห์ ก่อนจะหันไปมองผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ยืนเยื้องออกไปด้วยสายตาใคร่รู้ “คนนี้หรือที่นายสิงห์บอก?” “บ้านที่ให้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” สิงหาตั้งคำถามแทนคำตอบ แต่คนที่คุ้นเคยกันมานานอย่างป้าผ่องกลับเข้าใจได้ทันที ถามมาแบบนี้ แปลว่าคนนี้นี่แหละ ผู้หญิงที่นายสิงห์ว่า “เรียบร้อยแล้วจ้ะ ให้ป้าพาคุณเขาไปเลยไหม?” “ไม่ต้องหรอก” สิงหาปฎิเสธเสียงเรียบ เขาปรายตามองคนที่ยืนปิดปากเงียบแล้วหันไปตอบป้าผ่องอีกครั้ง “เดี๋ยวฉันไปส่งเอง ป้าไปพักผ่อนเถอะ ลุงมิ่ง
สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติ เสียงพูดคุยหลากภาษาดังไปทั่วบริเวณ โดยเฉพาะบริเวณหน้าทางออกที่มีผู้คนครึ่งร้อยถือป้ายใหญ่น้อยโบกสะบัดไปมาเรียกสายตาจากใครหลายคน ณัฐรินีย์ เองก็มองไปที่ป้ายเหล่านั้น ดวงตาคู่สวยมองไล่ผ่านป้ายทุกใบไม่มีขาดตก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีป้ายที่เป็นชื่อเธอเลย... ทั้งๆ ที่รู้ว่าวันนี้เธอจะกลับมาเพราะขัดคำสั่งไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอไม่ได้กลับประเทศบ้านเกิดมาร่วมห้าปีแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะส่งคนมารับเธอ หญิงสาวยักไหล่ ชินเสียแล้วกับอะไรแบบนี้ ในเมื่อเธอเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่อง พวกเขาจะไม่สนใจเธอเลยก็ไม่คงไม่ผิด ร่างเพรียวบางเดินออกจากบริเวณนั้นไป เธอเลือกเดินไปตรงส่วนที่มีรถแท็กซี่มากมายจอดนิ่งเพื่อรอรับผู้โดยสารที่ไม่มีใครมารับเช่นเธอ ขาเรียวเกือบจะเดินเข้าไปหาแท็กซี่คันแรกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะนึกอะไรบางอย่างได้เสียก่อน เธอเกือบลืมส่งข้อความไปบอกคนที่อยู่อีกซีกโลกว่ามาถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพเสียแล้ว คิดได้ดังนั้นณัฐรินีย์ก็หยิบมือถือขึ้นมา กดเชื่อมต่อกับวายฟายของสนามบิน แต่เพราะตรงนี้สัญญาณไม่ค่อยดี เธอจึงต้องเดินกลับเข้าไปด้า
สิงหาพาคนมาใหม่เดินอ้อมไปอีกด้านของเกาะที่ไม่มีใครใช้เดินทางหรืออยู่อาศัย เขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนนี้พบเจอกับผู้คนที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้มากนัก มีเพียงไม่แค่กี่คนเท่านั้นที่สิงหาอนุญาตให้เธอได้เจอ “นายสิงห์!” เดินมาถึงด้านตะวันตกของเกาะ สิงหาก็ได้ยินเสียงเรียกที่แสดงถึงความดีใจและโล่งใจปะปนกันไป ก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฎตัวจากความมืดให้ทั้งสองคนได้เห็น “มาเสียที ป้ากังวลไปสารพัด” “กังวลทำไมป้าผ่อง ทำเหมือนว่าฉันไม่เคยข้ามฝั่งไปได้” “ก็ทะเลมันน่ากลัวนี่ เดาอารมณ์ไม่เคยได้ บางวันดีแต่บางวันก็ร้ายนายสิงห์ก็รู้” คนอายุมากกว่าส่งค้อนใส่นายสิงห์ ก่อนจะหันไปมองผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ยืนเยื้องออกไปด้วยสายตาใคร่รู้ “คนนี้หรือที่นายสิงห์บอก?” “บ้านที่ให้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” สิงหาตั้งคำถามแทนคำตอบ แต่คนที่คุ้นเคยกันมานานอย่างป้าผ่องกลับเข้าใจได้ทันที ถามมาแบบนี้ แปลว่าคนนี้นี่แหละ ผู้หญิงที่นายสิงห์ว่า “เรียบร้อยแล้วจ้ะ ให้ป้าพาคุณเขาไปเลยไหม?” “ไม่ต้องหรอก” สิงหาปฎิเสธเสียงเรียบ เขาปรายตามองคนที่ยืนปิดปากเงียบแล้วหันไปตอบป้าผ่องอีกครั้ง “เดี๋ยวฉันไปส่งเอง ป้าไปพักผ่อนเถอะ ลุงมิ่ง
สิงหาจอดรถคันเก่าแต่คุณภาพยังคับแน่นเข้าในที่ประจำ เวลาเย็นแบบนี้คนงานและชาวประมงที่ทำงานตรงนี้ทุกวันต่างแยกย้ายกันกลับบ้านหมดแล้ว และที่สิงหาเลือกมาถึงที่นี่ในตอนนี้ก็เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนอื่น คนที่นี่ไม่ใช่คนที่เกาะของเขา แม้ทุกคนจะไม่มายุ่งวุ่นวาย แต่คงไม่แคล้วได้เป็นขี้ปากอยู่ดี แปะ! “ตื่น” มือหยาบกร้านตามประสาคนทำงานแตะลงบนแขนเรียวเล็กด้วยแรงที่ไม่เบานัก สิงหาทำงานหนักมาทั้งชีวิต ไม่เคยต้องถนอมใคร เพราะฉะนั้นเขาจึงกะแรงกับผู้หญิงที่ตัวผอมจนแทบจะปลิวได้แบบนี้ไม่ถูก คนถูกตีสะดุ้งตื่นทันที สิ่งแรกที่ณัฐรินีย์เห็นคือความมืด เธอตกใจเล็กน้อย ก่อนจะระลึกได้ว่าตัวเองถูกจับตัวมาและตาก็ถูกปิดไว้ ดังนั้นเธอจึงผ่อนจังหวะหายใจให้กลับมาเป็นปกติ รวมถึงบังคับหัวใจที่เต้นแรงให้สงบลง “ตื่นแล้วก็ลง” สิงหาเดินอ้อมไปอีกฝั่ง เขาเปิดประตูรถให้คนที่ถูกปิดกั้นการมองเห็น แต่อีกฝ่ายกลับนั่งนิ่งไม่ยอมขยับจนเขาเผลอจิ๊ปาก “ทำไมไม่ลงอีก?” “ที่นี่ที่ไหน?” “ถ้าฉันบอก ฉันจะปิดตาเธอทำไม?” คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ณัฐรินีย์รู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เง่าเหลือเกิน เธอพยักหน้าเข้าใจ ก่อ
ณัฐรินีย์ถูกพาตัวมาที่รถยนต์คันหนึ่ง เพียงแค่กวาดสายตาดูคร่าวๆ ก็รู้แล้วว่ารถรุ่นเก่าตรงหน้าผ่านการใช้งานมาหนักหนาแค่ไหน และบนป้ายทะเบียนที่สีหลุดไปบางส่วนก็บอกให้เธอรู้ว่ารถคันนี้มาจากจังหวัดหนึ่งที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศ... “ขึ้นไป อย่าลีลา” อะไรเล่า! หญิงสาวโวยวายอยู่ในใจ เธอไม่ได้ลีลาเลยด้วยซ้ำ แค่แอบมองสภาพรถนิดเดียวเอง เขานั่นแหละที่ใจร้อนไปแล้วมาโทษคนอื่น อ้อ... เขาจะใจร้อนก็คงไม่แปลก ผู้ชายคนนี้ลักพาตัวคนๆ หนึ่งกลางสนามบินกลางวันแสกๆ เขาคงกลัวว่าครอบครัวของเธอจะรู้และตามมาช่วยได้ทันท่วงทีละมั้ง... แต่ดีใจด้วย เพราะครอบครัวเธอไม่ได้สนด้วยซ้ำว่าเธอมาถึงเมื่อไหร่ ไฟลท์ไหน และเดินทางอย่างไร พวกเขาสนแค่ว่าเธอจะยอมทำตามคำสั่งของพวกเขาหรือเปล่าก็เท่านั้น ลองเธอได้หายไปแบบนี้ ขี้คร้านพ่อกับแม่จะคิดแค่ว่าเธอมันดื้อรั้น ไม่ยอมกลับมาบ้านทั้งๆ ที่แม่อุตส่าห์เล่นละครตบตาว่าสุขภาพไม่ค่อยดีแบบนั้น แต่โทษเธอไม่ได้หรอกนะ เพราะถ้าพวกเขาส่งคนมารับเธอซักนิดเรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้ “ขึ้นไปสิ!” “รู้แล้วล่ะน่า!” หญิงสาวตอบเสียงห้วนเล็กน้อย ก่อนจะมุดตัวขึ้นไปนั่งบนรถแต่โดยดี เธอไม่ได้กลัวผู้ชา
สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติ เสียงพูดคุยหลากภาษาดังไปทั่วบริเวณ โดยเฉพาะบริเวณหน้าทางออกที่มีผู้คนครึ่งร้อยถือป้ายใหญ่น้อยโบกสะบัดไปมาเรียกสายตาจากใครหลายคน ณัฐรินีย์ เองก็มองไปที่ป้ายเหล่านั้น ดวงตาคู่สวยมองไล่ผ่านป้ายทุกใบไม่มีขาดตก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีป้ายที่เป็นชื่อเธอเลย... ทั้งๆ ที่รู้ว่าวันนี้เธอจะกลับมาเพราะขัดคำสั่งไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอไม่ได้กลับประเทศบ้านเกิดมาร่วมห้าปีแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะส่งคนมารับเธอ หญิงสาวยักไหล่ ชินเสียแล้วกับอะไรแบบนี้ ในเมื่อเธอเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่อง พวกเขาจะไม่สนใจเธอเลยก็ไม่คงไม่ผิด ร่างเพรียวบางเดินออกจากบริเวณนั้นไป เธอเลือกเดินไปตรงส่วนที่มีรถแท็กซี่มากมายจอดนิ่งเพื่อรอรับผู้โดยสารที่ไม่มีใครมารับเช่นเธอ ขาเรียวเกือบจะเดินเข้าไปหาแท็กซี่คันแรกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะนึกอะไรบางอย่างได้เสียก่อน เธอเกือบลืมส่งข้อความไปบอกคนที่อยู่อีกซีกโลกว่ามาถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพเสียแล้ว คิดได้ดังนั้นณัฐรินีย์ก็หยิบมือถือขึ้นมา กดเชื่อมต่อกับวายฟายของสนามบิน แต่เพราะตรงนี้สัญญาณไม่ค่อยดี เธอจึงต้องเดินกลับเข้าไปด้า