เพี๊ยะ!! ใบหน้างดงามหันตามแรงฟาดของฝ่ามือ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตัวแข็งค้าง สิงหาตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพความรุนแรงแบบนี้ ส่วนคนเป็นแม่ก็ไม่คิดว่าลูกจะถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายร่างกายอีกครั้ง “ลูกไม่รักดี!!!” “คุณคะ!” “เลี้ยงเสียข้าวสุก! แกมันไม่รักดี ไม่เคยทำให้ฉันกับแม่แกภูมิใจเลย! ต้องให้ฉันตบตีแกอีกกี่ครั้งแกถึงจะคิดได้ห้ะ!” สิงหากำมือแน่น เขาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเอง ต้องมาเห็นเมียถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายแบบนี้เขารับไม่ได้จริงๆ ยิ่งรู้ว่าไม่ใช่ครั้งแรกแบบนี้... ถึงเขาจะเลวแต่เขาไม่เคยคิดลงมือทำร้ายผู้หญิงเลยซักครั้ง แม้แต่ณัฐรินีย์เองเขาก็ไม่เคยตบตี ต่อให้ตอนที่ยังไม่ได้รักเขาก็ไม่คิดจะทำ แล้วทำไมพ่อแท้ๆ ถึงทำกับลูกได้ขนาดนี้ “คุณพ่อครับ” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น สิงหาหันกลับไปมอง ดวงตาเขาแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นใคร “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” “ให้พ่อใจเย็นได้ยังไงนิค ลูกนิ่มก็หายตัวไป ส่วนคนที่อยู่ก็ไม่มีประโยชน์” ท้ายประโยคคุณหมอกระแทกกระทั้นใส่ลูกสาวที่ตนเองเพิ่งลงมือทำร้ายร่างกายไป ณัฐรินีย์ไม่ต่างจากถูกทำร้ายร่างกายและเหยียบย่ำความรู้สึกซ้ำๆ เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นที่ต้องการ
“พี่สิงห์” ร่างบอบบางถลาเข้าหาอ้อมกอดของสามี พออ้อมแขนอบอุ่นโอบรัด น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลลงมาเป็นทาง ณัฐรินีย์ไม่ใช่คนเข้มแข็ง เธอเป็นเพียงคนๆ หนึ่งที่มีความรู้สึกเปราะบางเหมือนมนุษย์ทั่วไป เธอร้องไห้หลายครั้งแต่ไม่มีใครเห็น เธอเจ็บปวดเป็นพันครั้งแต่ไม่มีใครมาสนใจ ความเจ็บปวดซ้ำๆ ทำให้เธอต้องสร้างกำแพงขึ้นมา ทำเหมือนว่าตัวเองคือคนที่มีจิตใจแข็งแกร่งกว่าใคร เจ็บแค่ไหน เสียใจแค่ไหนก็ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น แต่วันนี้เธอรู้แล้วว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งเสมอไป ถ้ามีอ้อมกอดที่พร้อมกอดก็อย่าลังเลที่จะรับมัน ถ้ามีอกกว้างให้ซับน้ำตาก็อย่าลังเลที่จะร้องไห้ออกมา บางทีการร้องไห้อาจจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในใจได้บ้าง... ไม่มากก็น้อย “ไม่เป็นไรนะ” คำพูดสั้นๆ พร้อมกับมือที่ลูบเส้นผมเบาๆ ทำให้ณัฐรินีย์ปล่อยโฮ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอร้องไห้ขนาดนี้ ร้องเหมือนว่าโลกใบนี้กำลังจะแตกสลาย ร้องเหมือนว่าจะไม่มีพรุ่งนี้ให้ร้องอีก เธอร้องจนปวดหัว ร้องจนหูอื้อ ร้องจนเสื้อที่สิงหาใส่เปียกชื้น แต่ถึงอย่างนั้นอ้อมแขนแกร่งก็ไม่ปล่อยให้เธอห่างกาย คุณหญิงสุดามองภาพนั้นทั้งน้ำตา นานแค่ไหนแล้
กลับมาที่เกาะได้ไม่ถึงเดือน สองสามีภรรยาก็ต้องขึ้นฝั่งอีกครั้ง ทั้งคู่บินตรงไปกรุงเทพฯ และเดินทางต่อไปที่โรงพยาบาลโดยไม่หยุดพัก เมื่อเช้าสิงหาได้รับสายจากนิโคลัส แต่นิโคลัสไม่ได้เป็นคนคุย เขายื่นโทรศัพท์ให้คุณหญิงสุดา เธอรับไว้แล้วบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ลูกสาวและลูกเขยรู้ “พ่อเขาหมดสติ หัวใจหยุดเต้น ดีที่ยังอยู่ที่โรงพยาบาลเลยกู้ชีพกลับมาได้ แต่หมอบอกว่าพ่อเขาต้องทำบายพาสหัวใจ เพราะตรวจเจอเส้นเลือดตีบสามเส้น” ณัฐรินีย์ใจหายวาบ เร่งเร้าให้สิงหาหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด ก่อนจะพากันกระหืดกระหอบมาถึงโรงพยาบาลช่วงบ่ายแก่ เปิดประตูห้องพิเศษเข้าไปก็เจอกับคุณหญิงสุดาที่นั่งอยู่ข้างเตียง ถัดไปเป็นนิโคลัส และใกล้กันกับนิโคลัสคือณัฐริกา “พี่นิ่ม” “หนูนิด” สองพี่น้องโผเข้ากอดกันด้วยความคิดถึง ณัฐริการ้องไห้ออกมาเพราะไม่ได้เจอหน้าน้องสาวมาหลายปี เธอคิดถึงหนูนิด แต่ยิ่งคิดถึงเธอก็ยิ่งละอายใจ เพราะถ้าหนูนิดไม่ช่วยเธอไว้วันนั้น น้องสาวเธอคงไม่ถูกส่งไปไกลจากบ้านแบบนี้ “คิดถึง” “นิดก็คิดถึงพี่นิ่ม” แฝดน้องผละออก มองสำรวจพี่สาวที่ดูมีน้ำมีนวลขึ้นด้วยสายตารักใคร่ “ดูผุดผ่องขึ้นนะคะ ไปทำอะไรมา”
สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติ เสียงพูดคุยหลากภาษาดังไปทั่วบริเวณ โดยเฉพาะบริเวณหน้าทางออกที่มีผู้คนครึ่งร้อยถือป้ายใหญ่น้อยโบกสะบัดไปมาเรียกสายตาจากใครหลายคน ณัฐรินีย์ เองก็มองไปที่ป้ายเหล่านั้น ดวงตาคู่สวยมองไล่ผ่านป้ายทุกใบไม่มีขาดตก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีป้ายที่เป็นชื่อเธอเลย... ทั้งๆ ที่รู้ว่าวันนี้เธอจะกลับมาเพราะขัดคำสั่งไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอไม่ได้กลับประเทศบ้านเกิดมาร่วมห้าปีแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะส่งคนมารับเธอ หญิงสาวยักไหล่ ชินเสียแล้วกับอะไรแบบนี้ ในเมื่อเธอเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่อง พวกเขาจะไม่สนใจเธอเลยก็ไม่คงไม่ผิด ร่างเพรียวบางเดินออกจากบริเวณนั้นไป เธอเลือกเดินไปตรงส่วนที่มีรถแท็กซี่มากมายจอดนิ่งเพื่อรอรับผู้โดยสารที่ไม่มีใครมารับเช่นเธอ ขาเรียวเกือบจะเดินเข้าไปหาแท็กซี่คันแรกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะนึกอะไรบางอย่างได้เสียก่อน เธอเกือบลืมส่งข้อความไปบอกคนที่อยู่อีกซีกโลกว่ามาถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพเสียแล้ว คิดได้ดังนั้นณัฐรินีย์ก็หยิบมือถือขึ้นมา กดเชื่อมต่อกับวายฟายของสนามบิน แต่เพราะตรงนี้สัญญาณไม่ค่อยดี เธอจึงต้องเดินกลับเข้าไปด้า
ณัฐรินีย์ถูกพาตัวมาที่รถยนต์คันหนึ่ง เพียงแค่กวาดสายตาดูคร่าวๆ ก็รู้แล้วว่ารถรุ่นเก่าตรงหน้าผ่านการใช้งานมาหนักหนาแค่ไหน และบนป้ายทะเบียนที่สีหลุดไปบางส่วนก็บอกให้เธอรู้ว่ารถคันนี้มาจากจังหวัดหนึ่งที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศ... “ขึ้นไป อย่าลีลา” อะไรเล่า! หญิงสาวโวยวายอยู่ในใจ เธอไม่ได้ลีลาเลยด้วยซ้ำ แค่แอบมองสภาพรถนิดเดียวเอง เขานั่นแหละที่ใจร้อนไปแล้วมาโทษคนอื่น อ้อ... เขาจะใจร้อนก็คงไม่แปลก ผู้ชายคนนี้ลักพาตัวคนๆ หนึ่งกลางสนามบินกลางวันแสกๆ เขาคงกลัวว่าครอบครัวของเธอจะรู้และตามมาช่วยได้ทันท่วงทีละมั้ง... แต่ดีใจด้วย เพราะครอบครัวเธอไม่ได้สนด้วยซ้ำว่าเธอมาถึงเมื่อไหร่ ไฟลท์ไหน และเดินทางอย่างไร พวกเขาสนแค่ว่าเธอจะยอมทำตามคำสั่งของพวกเขาหรือเปล่าก็เท่านั้น ลองเธอได้หายไปแบบนี้ ขี้คร้านพ่อกับแม่จะคิดแค่ว่าเธอมันดื้อรั้น ไม่ยอมกลับมาบ้านทั้งๆ ที่แม่อุตส่าห์เล่นละครตบตาว่าสุขภาพไม่ค่อยดีแบบนั้น แต่โทษเธอไม่ได้หรอกนะ เพราะถ้าพวกเขาส่งคนมารับเธอซักนิดเรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้ “ขึ้นไปสิ!” “รู้แล้วล่ะน่า!” หญิงสาวตอบเสียงห้วนเล็กน้อย ก่อนจะมุดตัวขึ้นไปนั่งบนรถแต่โดยดี เธอไม่ได้กลัวผู้ชา
สิงหาจอดรถคันเก่าแต่คุณภาพยังคับแน่นเข้าในที่ประจำ เวลาเย็นแบบนี้คนงานและชาวประมงที่ทำงานตรงนี้ทุกวันต่างแยกย้ายกันกลับบ้านหมดแล้ว และที่สิงหาเลือกมาถึงที่นี่ในตอนนี้ก็เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนอื่น คนที่นี่ไม่ใช่คนที่เกาะของเขา แม้ทุกคนจะไม่มายุ่งวุ่นวาย แต่คงไม่แคล้วได้เป็นขี้ปากอยู่ดี แปะ! “ตื่น” มือหยาบกร้านตามประสาคนทำงานแตะลงบนแขนเรียวเล็กด้วยแรงที่ไม่เบานัก สิงหาทำงานหนักมาทั้งชีวิต ไม่เคยต้องถนอมใคร เพราะฉะนั้นเขาจึงกะแรงกับผู้หญิงที่ตัวผอมจนแทบจะปลิวได้แบบนี้ไม่ถูก คนถูกตีสะดุ้งตื่นทันที สิ่งแรกที่ณัฐรินีย์เห็นคือความมืด เธอตกใจเล็กน้อย ก่อนจะระลึกได้ว่าตัวเองถูกจับตัวมาและตาก็ถูกปิดไว้ ดังนั้นเธอจึงผ่อนจังหวะหายใจให้กลับมาเป็นปกติ รวมถึงบังคับหัวใจที่เต้นแรงให้สงบลง “ตื่นแล้วก็ลง” สิงหาเดินอ้อมไปอีกฝั่ง เขาเปิดประตูรถให้คนที่ถูกปิดกั้นการมองเห็น แต่อีกฝ่ายกลับนั่งนิ่งไม่ยอมขยับจนเขาเผลอจิ๊ปาก “ทำไมไม่ลงอีก?” “ที่นี่ที่ไหน?” “ถ้าฉันบอก ฉันจะปิดตาเธอทำไม?” คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ณัฐรินีย์รู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เง่าเหลือเกิน เธอพยักหน้าเข้าใจ ก่อ
สิงหาพาคนมาใหม่เดินอ้อมไปอีกด้านของเกาะที่ไม่มีใครใช้เดินทางหรืออยู่อาศัย เขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนนี้พบเจอกับผู้คนที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้มากนัก มีเพียงไม่แค่กี่คนเท่านั้นที่สิงหาอนุญาตให้เธอได้เจอ “นายสิงห์!” เดินมาถึงด้านตะวันตกของเกาะ สิงหาก็ได้ยินเสียงเรียกที่แสดงถึงความดีใจและโล่งใจปะปนกันไป ก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฎตัวจากความมืดให้ทั้งสองคนได้เห็น “มาเสียที ป้ากังวลไปสารพัด” “กังวลทำไมป้าผ่อง ทำเหมือนว่าฉันไม่เคยข้ามฝั่งไปได้” “ก็ทะเลมันน่ากลัวนี่ เดาอารมณ์ไม่เคยได้ บางวันดีแต่บางวันก็ร้ายนายสิงห์ก็รู้” คนอายุมากกว่าส่งค้อนใส่นายสิงห์ ก่อนจะหันไปมองผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ยืนเยื้องออกไปด้วยสายตาใคร่รู้ “คนนี้หรือที่นายสิงห์บอก?” “บ้านที่ให้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” สิงหาตั้งคำถามแทนคำตอบ แต่คนที่คุ้นเคยกันมานานอย่างป้าผ่องกลับเข้าใจได้ทันที ถามมาแบบนี้ แปลว่าคนนี้นี่แหละ ผู้หญิงที่นายสิงห์ว่า “เรียบร้อยแล้วจ้ะ ให้ป้าพาคุณเขาไปเลยไหม?” “ไม่ต้องหรอก” สิงหาปฎิเสธเสียงเรียบ เขาปรายตามองคนที่ยืนปิดปากเงียบแล้วหันไปตอบป้าผ่องอีกครั้ง “เดี๋ยวฉันไปส่งเอง ป้าไปพักผ่อนเถอะ ลุงมิ่ง
สิงหากลับมาที่บ้านริมหาดอีกครั้งในตอนสาย เขาอาบน้ำแต่งตัวใหม่ แต่หนวดเครายังคงยาวรกรุงรังเหมือนเดิม เส้นผมระต้นคอถูกจับมัดลวกๆ อย่างไม่ใส่ใจ เขากลับไปตั้งหลักมาเรียบร้อยแล้ว เมื่อเช้าสิงหาตื่นตระหนกไปหน่อยเพราะไม่คิดว่าผู้หญิงอย่างณัฐรินีย์จะต่อกรยากอะไร แต่ครั้งนี้เขารู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ใม่ใช่ผู้หญิงนิ่มๆ เรียบร้อยเหมือนลูกคุณหนูทั่วไป เพราะฉะนั้นวิธีที่เขาคิดไว้คงไม่สะดุ้งสะเทือนผิวกายขาวๆ นั่นเท่าไหร่ ปัง! ปัง! กำปั้นใหญ่ทุบลงบนประตูไม้ไผ่จนสั่นสะเทือน เขามั่นใจว่าส่งเสียงดังไปมากพอสมควร แต่รออยู่เกือบนาทีทุกอย่างก็ยังคงนิ่งเงียบ ประตูตรงหน้าไม่ได้ถูกเปิดออก เสียงภายในก็เงียบกริบ สวนทางกับบานประตูและหน้าต่างที่ถูกปิดล็อกไว้อย่างแน่นหนาบ่งบอกว่าต้องมีคนอยู่ภายในอย่างแน่นอน ผู้หญิงคนนี้ ไม่ทันไรก็ทำให้เขาปวดหัวตุ๊บๆ อีกแล้ว “ตื่น!!!” แกร๊กๆๆๆๆ สิงหาจับประตูแล้วออกแรงเขย่าอย่างแรง บ้านหลังนี้เขาเป็นคนสร้างเองกับมือ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่านอกจากพื้นแล้วตัวกำแพงมันไม่ได้แข็งแรงมากขนาดนั้น แค่ออกแรงเขย่ามันก็สั่นคล้ายแผ่นดินไหวขนาดย่อมๆ แล้ว และในที่สุดแรงที่สิงหาออกไปก็ได้ผล ชายหนุ
กลับมาที่เกาะได้ไม่ถึงเดือน สองสามีภรรยาก็ต้องขึ้นฝั่งอีกครั้ง ทั้งคู่บินตรงไปกรุงเทพฯ และเดินทางต่อไปที่โรงพยาบาลโดยไม่หยุดพัก เมื่อเช้าสิงหาได้รับสายจากนิโคลัส แต่นิโคลัสไม่ได้เป็นคนคุย เขายื่นโทรศัพท์ให้คุณหญิงสุดา เธอรับไว้แล้วบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ลูกสาวและลูกเขยรู้ “พ่อเขาหมดสติ หัวใจหยุดเต้น ดีที่ยังอยู่ที่โรงพยาบาลเลยกู้ชีพกลับมาได้ แต่หมอบอกว่าพ่อเขาต้องทำบายพาสหัวใจ เพราะตรวจเจอเส้นเลือดตีบสามเส้น” ณัฐรินีย์ใจหายวาบ เร่งเร้าให้สิงหาหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด ก่อนจะพากันกระหืดกระหอบมาถึงโรงพยาบาลช่วงบ่ายแก่ เปิดประตูห้องพิเศษเข้าไปก็เจอกับคุณหญิงสุดาที่นั่งอยู่ข้างเตียง ถัดไปเป็นนิโคลัส และใกล้กันกับนิโคลัสคือณัฐริกา “พี่นิ่ม” “หนูนิด” สองพี่น้องโผเข้ากอดกันด้วยความคิดถึง ณัฐริการ้องไห้ออกมาเพราะไม่ได้เจอหน้าน้องสาวมาหลายปี เธอคิดถึงหนูนิด แต่ยิ่งคิดถึงเธอก็ยิ่งละอายใจ เพราะถ้าหนูนิดไม่ช่วยเธอไว้วันนั้น น้องสาวเธอคงไม่ถูกส่งไปไกลจากบ้านแบบนี้ “คิดถึง” “นิดก็คิดถึงพี่นิ่ม” แฝดน้องผละออก มองสำรวจพี่สาวที่ดูมีน้ำมีนวลขึ้นด้วยสายตารักใคร่ “ดูผุดผ่องขึ้นนะคะ ไปทำอะไรมา”
“พี่สิงห์” ร่างบอบบางถลาเข้าหาอ้อมกอดของสามี พออ้อมแขนอบอุ่นโอบรัด น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลลงมาเป็นทาง ณัฐรินีย์ไม่ใช่คนเข้มแข็ง เธอเป็นเพียงคนๆ หนึ่งที่มีความรู้สึกเปราะบางเหมือนมนุษย์ทั่วไป เธอร้องไห้หลายครั้งแต่ไม่มีใครเห็น เธอเจ็บปวดเป็นพันครั้งแต่ไม่มีใครมาสนใจ ความเจ็บปวดซ้ำๆ ทำให้เธอต้องสร้างกำแพงขึ้นมา ทำเหมือนว่าตัวเองคือคนที่มีจิตใจแข็งแกร่งกว่าใคร เจ็บแค่ไหน เสียใจแค่ไหนก็ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น แต่วันนี้เธอรู้แล้วว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งเสมอไป ถ้ามีอ้อมกอดที่พร้อมกอดก็อย่าลังเลที่จะรับมัน ถ้ามีอกกว้างให้ซับน้ำตาก็อย่าลังเลที่จะร้องไห้ออกมา บางทีการร้องไห้อาจจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในใจได้บ้าง... ไม่มากก็น้อย “ไม่เป็นไรนะ” คำพูดสั้นๆ พร้อมกับมือที่ลูบเส้นผมเบาๆ ทำให้ณัฐรินีย์ปล่อยโฮ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอร้องไห้ขนาดนี้ ร้องเหมือนว่าโลกใบนี้กำลังจะแตกสลาย ร้องเหมือนว่าจะไม่มีพรุ่งนี้ให้ร้องอีก เธอร้องจนปวดหัว ร้องจนหูอื้อ ร้องจนเสื้อที่สิงหาใส่เปียกชื้น แต่ถึงอย่างนั้นอ้อมแขนแกร่งก็ไม่ปล่อยให้เธอห่างกาย คุณหญิงสุดามองภาพนั้นทั้งน้ำตา นานแค่ไหนแล้
เพี๊ยะ!! ใบหน้างดงามหันตามแรงฟาดของฝ่ามือ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตัวแข็งค้าง สิงหาตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพความรุนแรงแบบนี้ ส่วนคนเป็นแม่ก็ไม่คิดว่าลูกจะถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายร่างกายอีกครั้ง “ลูกไม่รักดี!!!” “คุณคะ!” “เลี้ยงเสียข้าวสุก! แกมันไม่รักดี ไม่เคยทำให้ฉันกับแม่แกภูมิใจเลย! ต้องให้ฉันตบตีแกอีกกี่ครั้งแกถึงจะคิดได้ห้ะ!” สิงหากำมือแน่น เขาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเอง ต้องมาเห็นเมียถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายแบบนี้เขารับไม่ได้จริงๆ ยิ่งรู้ว่าไม่ใช่ครั้งแรกแบบนี้... ถึงเขาจะเลวแต่เขาไม่เคยคิดลงมือทำร้ายผู้หญิงเลยซักครั้ง แม้แต่ณัฐรินีย์เองเขาก็ไม่เคยตบตี ต่อให้ตอนที่ยังไม่ได้รักเขาก็ไม่คิดจะทำ แล้วทำไมพ่อแท้ๆ ถึงทำกับลูกได้ขนาดนี้ “คุณพ่อครับ” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น สิงหาหันกลับไปมอง ดวงตาเขาแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นใคร “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” “ให้พ่อใจเย็นได้ยังไงนิค ลูกนิ่มก็หายตัวไป ส่วนคนที่อยู่ก็ไม่มีประโยชน์” ท้ายประโยคคุณหมอกระแทกกระทั้นใส่ลูกสาวที่ตนเองเพิ่งลงมือทำร้ายร่างกายไป ณัฐรินีย์ไม่ต่างจากถูกทำร้ายร่างกายและเหยียบย่ำความรู้สึกซ้ำๆ เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นที่ต้องการ
“นิโคลัสมันแต่งงานกับพี่สาวฝาแฝดของเมียแก” “พี่สาวฝาแฝด!?” สิงหาตกใจจนคำพูดของเพื่อนเกือบไม่เข้าหู พี่สาวฝาแฝด เขาเพิ่งรู้ว่าเมียตัวเองมีพี่สาวฝาแฝด “อืม หน้าเหมือนกันอย่างกับคนเดียวกัน ฉันเกือบสับสนไปแล้ว” “ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ตอนที่สิงหาสืบข้อมูลของณัฐรินีย์เพื่อแก้แค้นเขาไม่ได้สนใจครอบครัวของเธอเลย เขาสนแค่ถ้าจับเธอมาได้ครอบครัวเธอจะต้องเสียใจจนกระอักเลือดเพราะยังไงณัฐรินีย์ก็คือลูก และเพราะความไม่รอบคอบของเขานี่เอง เขาถึงไม่เคยรู้เลยว่าการจับตัวณัฐรินีย์มามันทำอะไรครอบครัวนั้นไม่ได้เลย และที่สำคัญ...หนูนิดของเขามีพี่สาวฝาแฝด บางอย่างที่ยังค้างคาอยู่ในใจเหมือนถูกปลดล็อก สิงหาถึงบางอ้อทันทีเมื่อรู้ว่าณัฐรินีย์มีพี่สาวฝาแฝด ถ้าหากคืนนั้นเธอไม่ได้ขับรถชนเขา คนที่ชนก็น่าจะเป็นพี่สาวเธอ เพราะวันนั้นเขาเห็นหน้าคนขับ และเขาจำได้ว่าใบหน้านั้นเหมือนกับณัฐรินีย์ราวกับแกะ “แล้วยังไงต่อ” “เมียแกกลับไปอยู่บ้าน ฉันไม่รู้มากกว่านี้ แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ” ราฟาเอลสะอึกเมื่อเห็นแววตาวาววับของเพื่อนสนิท เขากระแอมไอ รีบแก้คำพูดก่อนจะโดนดีดออกจากห้องโทษฐานบอกว่าเมียของมันไม่สำคัญ “ที่จริงแล้วเรื่อ
สิงหาฝัน... เขาฝันว่าตัวเองทะเลาะกับณัฐรินีย์ด้วยเรื่องที่เธอโกหกเขา เธอไม่ได้เป็นคนขับรถชนเขาเพราะเธอขับรถไม่เป็น แม้แต่พวงมาลัยเธอยังไม่เคยจับมันมาก่อน ลึกๆ แล้วสิงหาดีใจที่รู้แบบนั้น แต่เขาก็เสียใจอยู่ดีที่เธอเลือกที่จะปกปิดและโกหกมาตลอด เพราะถ้าหาก... ถ้าหากว่าเขาเลวกว่านี้อีกซักนิด แล้วเผลอทำอะไรรุนแรงกับคนบริสุทธิ์ลงไป เขาคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นในความฝันก็ยังมีเรื่องราวดีๆ ซ่อนอยู่ เขาได้ยินคำบอกรักจากเธอเป็นครั้งแรก ที่จริงจะเรียกว่าครั้งแรกก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะเขาเคยได้ยินคำนั้นในวันแต่งงานของเรา เพียงแต่เขาไม่กล้าเข้าข้างตัวเองว่าเธอพูดมันจากความรู้สึกจริงๆ บรรยากาศในวันนั้นมันเป็นใจเกินไป ณัฐรินีย์อาจจะพูดเพียงเพราะสถานการณ์พาไป ทว่าครั้งนี้สิงหาเชื่อสนิทใจ แม้จะเป็นแค่เพียงคำพูดในความฝัน แต่สิงหากลับรู้สึกยินดีเหลือเกินที่ได้ยินมัน และมันก็ทำให้หัวใจที่ปิดตายมานานสั่นคลอน ความรู้สึกภายในมันร่ำร้องบอกออกมาว่าตัวเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขารักหนูนิด น่าเสียดายที่ในฝันนั้นสิงหาไม่ได้บอกกลับไป เขาได้แต่เตือนตัวเองซ้ำๆ ว่าถ้าตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่จ
บรรยากาศภายในรถเงียบงันเมื่อสิงหาไม่ได้พูดอะไร เขาไม่แม้แต่จะเปิดเพลงคลอเหมือนขามาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มใช้มือเพียงข้างเดียวบังคับพวงมาลัย ไม่ถึงสองนาทีรถราคาไม่แพงนักก็เลี้ยวเข้าโรงแรมระดับสามดาวที่ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ “ที่จริงเราน่าจะพักที่โรงพยาบาล” ณัฐรินีย์ออกความเห็น แต่ก็เข้าใจว่าสิงหาไม่ได้เจ็บป่วยหนักอะไร ถ้าต้องพักที่โรงพยาบาลมันก็เหมือนกระต่ายตื่นตูมไปหน่อย สิงหาไม่ได้ตอบอะไร เขาลงจากรถ หยิบของจากเบาะหลัง ก่อนจะส่งกุญแจให้พนักงานรักษาความปลอดภัยพร้อมกับทิปจำนวนหนึ่ง ณัฐรินีย์ก้าวลงจากรถอย่างงุนงง เธอเดินตามหลังสิงหาเข้าไปในโรงแรมก็พบว่าเขาเช็กอินเรียบร้อยแล้ว “ห้องอยู่ชั้นสาม ห้อง 303 นะคะ ออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวขวาได้เลยค่ะ” สิงหารับคีย์การ์ดมาถือไว้ เขาไม่ได้ตอบอะไร เมื่อได้ของที่ต้องการก็เดินจ้ำอ้าวไม่แม้แต่รอเมียที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังมา “พี่สิงห์!” ณัฐรินีย์หอบแฮ่ก “ปวดแขนมากเหรอถึงได้รีบเดินขนาดนี้” “...” “พี่สิงห์ ทำไมไม่พูดกับนิด” “...” “พี่สิ-“ ติ๊ง “ไว้ไปคุยกันในห้อง” ณัฐรินีย์ชาไปทั้งตัวเมื่อน้ำเสียงของสิงหาไม่ได้อบอุ่นเหมือนเคย หรือถ้าพูดให้ถูกคือน้ำเสียงข
หลังจากเคี่ยวกรำเมียมาเป็นอาทิตย์สิงหาก็เกือบน้ำตาตกใน เมื่อวันหนึ่งณัฐรินีย์เดินเข้ามาบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ ว่า “พี่สิงห์ คืนนี้ห้ามกวนนิดนะ พอดีว่าน้องแดงเดือดมา” สิงหาเข่าอ่อน เขาเคยคิดว่าตัวเองน้ำยาดีพอ แต่นี่เขาไม่ได้ป้องกันมาเกือบเดือนแล้ว ทว่าก็ยังไม่มีทีท่าว่าเมียเขาจะตั้งท้องเสียที ยืนยันได้จากน้องแดงเดือดที่มาตรงเวลาจนน่าโมโห บางทีเขาก็ไม่เข้าใจ กับครอบครัวที่พร้อมมากๆ ทั้งอายุและการเงินอย่างเขาและณัฐรินีย์กลับยากที่จะมีลูก แต่กับเด็กๆ ที่พลาดจนตั้งท้องเป็นว่าเล่นกลับมีอย่างง่ายดาย และสุดท้ายเด็กทารกที่ไม่รู้อะไรก็มักจะถูกทอดทิ้งเสมอ เหมือนกับเขาที่ถูกทิ้งไว้หน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่แบเบาะ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่เป็นใคร พ่อเป็นใคร รู้แค่ตัวเองเป็นลูกครึ่ง แต่ครึ่งอะไรสิงหาไม่เคยคิดอยากจะหาคำตอบ ตอนเด็กๆ เขาถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อว่าแม่เขาเป็นผู้หญิงขายบริการ มีลูกกับแขกแล้วเลี้ยงไม่ไหวเลยเอาเขามาทิ้งเป็นภาระให้กับคนอื่น แต่พอเขาเอาเรื่องไปเล่าให้แม่ครูฟังแม่ครูก็ทำเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วบอกว่าซักวันแม่จะกลับมารับเขาไปอยู่ด้วย นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่สิงหารู้จักคำว่า
“อื้อ”เจ้าสาวคนสวยครางในลำคอเบาๆ เมื่อแผ่นหลังสัมผัสเข้ากับฟูกนุ่มที่โรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดงสด สิงหาค่อยๆ ปลดแขนเรียวที่เกี่ยวรั้งต้นคอตนเองออก ก่อนจะขยับออกห่างจากเจ้าสาวที่นอนทอดกายมองมาไม่วางตาดวงตาสุกสกาวมองตามสามีตามประเพณีที่ขยับออกห่างด้วยหัวใจที่เรียบสนิท ทั้งๆ ที่เหมือนกำลังจะถูกทอดทิ้งแต่ณัฐรินีย์กลับไม่รู้สึกเสียใจ เพราะเธอมั่นใจว่าเขาจะกลับมาและสิงหาก็กลับมาจริงๆ“หนูนิด” สิงหาเรียกเจ้าสาว ก่อนจะช่วยพยุงให้ร่างบอบบางลุกขึ้นนั่งดีๆ “พี่ให้”“มันคือ?”“แหวนวงแรกที่พี่เก็บเงินซื้อได้” สิงหาหมุนแหวนราคาไม่กี่หมื่นให้ณัฐรินีย์ดู เพชรเม็ดเล็กๆ ที่ฝังอยู่ในเนื้อแหวนส่องประกายล้อแสงไฟจากตะเกียงจนวาววับ “ตอนเรียนจบ พี่นึกอยากมีเครื่องประดับก็เลยเอาเงินเก็บที่ทำงานช่วงเรียนมาซื้อ ตั้งใจว่าจะเก็บมันไว้ต่อให้อดอยากแค่ไหน เพราะมันคือสมบัติชิ้นแรกที่พี่มี”“แล้วทำไมถึงให้นิด ของสำคัญแบบนี้พี่สิงห์ควรเก็บไว้ที่ตัวเอง”สิงหาเงยหน้าจากแหวนขึ้นมองใบหน้าของเจ้าสาว มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงนุ่มทุ้มว่า “ของสำคัญ ก็ต้องอยู่กับคนสำคัญ”“พี่สิงห์ นิดไม่ชิน” ณัฐรินีย์ก้มหน้าหลบ
พิธีการแต่งงานของเกาะตะวันฉายไม่ได้อิงกับศาสนาหรือพิธีของประเทศไหนเป็นหลัก เพราะที่นี่เป็นเกาะ เปรียบเสมือนแผ่นดินเล็กๆ ที่แยกตัวออกมาจากแผ่นดินหลัก ทำให้วิถีการใช้ชีวิตหรือความเชื่อของคนบนเกาะต่างจากคนทั่วไป อย่างเช่นผู้คนที่นี่ไม่นับถือศาสนา ไม่ได้เชื่อคำสอนของใคร พวกเขาแค่เชื่อในตัวเอง และมีที่พึ่งทางใจเป็นพ่อปู่ที่ไม่มีตัวตนเท่านั้น ณัฐรินีย์ถูกสิงหาจับจูงไปตรงส่วนทำพิธี ที่ตรงนั้นถูกจัดให้อยู่ในทะเลที่สูงระดับครึ่งหน้าแข้ง มีซุ้มดอกไม้สีขาวตั้งเด่น ไม่มีบาทหลวง ไม่มีคนทำพิธี เพราะสิงหาเคยบอกว่าการแต่งงานมันคือเรื่องราวของคนสองคน ไม่จำเป็นต้องมีใครมากำกับ มีเพียงแค่น้ำทะเลที่เหมือนเหมือนชีวิตและจิตวิญญาณโอบล้อมไว้ก็เพียงพอแล้ว บ่าวสาวหยุดลงเมื่อลุยน้ำไปจนถึงหน้าซุ้มดอกไม้ ทั้งคู่หันกลับไปมองบนฝั่ง ชาวบ้านนับร้อยยืนมองคู่แต่งงานอยู่บนนั้น ไม่มีใครเข้ามาใกล้ และจะไม่มีใครได้ยินว่าทั้งสองคนพูดคุย หรือให้คำสัญญาอะไรต่อกัน สมกับที่สิงหาบอก การแต่งงานบนเกาะตะวันฉายคือเรื่องของคนแค่สองคนเท่านั้น สิงหาเลิกสนใจผู้มาร่วมงาน เขาหันกลับมามองเจ้าสาวของตนเอง ทั้งคู่ยืนหันหน้าเข้าหากัน มือบา