สิงหาจอดรถคันเก่าแต่คุณภาพยังคับแน่นเข้าในที่ประจำ เวลาเย็นแบบนี้คนงานและชาวประมงที่ทำงานตรงนี้ทุกวันต่างแยกย้ายกันกลับบ้านหมดแล้ว และที่สิงหาเลือกมาถึงที่นี่ในตอนนี้ก็เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนอื่น
คนที่นี่ไม่ใช่คนที่เกาะของเขา แม้ทุกคนจะไม่มายุ่งวุ่นวาย แต่คงไม่แคล้วได้เป็นขี้ปากอยู่ดี แปะ! “ตื่น” มือหยาบกร้านตามประสาคนทำงานแตะลงบนแขนเรียวเล็กด้วยแรงที่ไม่เบานัก สิงหาทำงานหนักมาทั้งชีวิต ไม่เคยต้องถนอมใคร เพราะฉะนั้นเขาจึงกะแรงกับผู้หญิงที่ตัวผอมจนแทบจะปลิวได้แบบนี้ไม่ถูก คนถูกตีสะดุ้งตื่นทันที สิ่งแรกที่ณัฐรินีย์เห็นคือความมืด เธอตกใจเล็กน้อย ก่อนจะระลึกได้ว่าตัวเองถูกจับตัวมาและตาก็ถูกปิดไว้ ดังนั้นเธอจึงผ่อนจังหวะหายใจให้กลับมาเป็นปกติ รวมถึงบังคับหัวใจที่เต้นแรงให้สงบลง “ตื่นแล้วก็ลง” สิงหาเดินอ้อมไปอีกฝั่ง เขาเปิดประตูรถให้คนที่ถูกปิดกั้นการมองเห็น แต่อีกฝ่ายกลับนั่งนิ่งไม่ยอมขยับจนเขาเผลอจิ๊ปาก “ทำไมไม่ลงอีก?” “ที่นี่ที่ไหน?” “ถ้าฉันบอก ฉันจะปิดตาเธอทำไม?” คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ณัฐรินีย์รู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เง่าเหลือเกิน เธอพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะก้าวลงจากรถคันสูงโดยที่มีมือหยาบกร้านคอยประคองไม่ห่าง สิงหาไม่ได้อยากถูกเนื้อต้องตัวผู้หญิงคนนี้นัก แต่ถ้าปล่อยให้เธองมทางเองวันนี้คงไม่ได้กลับเกาะ นี่ก็เย็นมากแล้ว ถ้ากลับดึกกว่านี้จะอันตราย เขาไม่ได้พาเธอมาตายกลางทะเลหรอกนะ “เดินไป” “ดะ...เดี๋ยวสิ” “อะไรอีก?” สิงหาขมวดคิ้ว เขารู้สึกหงุดหงิดใจที่ผู้หญิงคนนี้เรื่องเยอะเหลือเกิน แต่ก็สมกับเป็นลูกผู้ดีตีนแดง พ่อแม่ตามใจจนกลายเป็นคนไร้ความรับผิดชอบแบบนี้ “ฉัน... อยากเข้าห้องน้ำ” “กลั้นไว้ก่อน อีกครึ่งชั่วโมงค่อยเข้า” “ไม่ได้!” หญิงสาวปฏิเสธเสียงดังลั่น ไม่ได้แล้วจริงๆ เธอไม่สามารถอดทนไปอีกครึ่งชั่วโมงได้อีกแล้ว “ให้ฉันเข้าเถอะนะ ฉันไม่ไหวแล้ว” “เธอนี่มัน...” สิงหาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พื้นฐานของชายหนุ่มเป็นคนทำอะไรรวดเร็ว คติประจำใจของคนที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบเขาคือเวลามันไม่เคยคอยท่า เพราะฉะนั้นสิงหาไม่เคยปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์เลยซักครั้ง ยกเว้นช่วงเวลาสามปีนั้นที่เขาต้องใช้ชีวิตอย่างคนพิการ “โอ้ย!” สิงหาคลายมือออก หลังจากได้ยินเสียงร้องจากเจ้าของแขนเล็กที่เขาบีบอยู่ พอคิดถึงเรื่องนั้นทีไรสิงหามักจะใจร้อนและอารมณ์รุนแรงกว่าปกติ เขาเกลียดตระกูลนั้นเป็นที่สุด ตระกูลที่ทำให้เขาเสียเวลาไปสามปีเต็มๆ อนาคตที่กำลังสดใสดับวูบลงเพราะความประมาทจากผู้หญิงคนนี้ และที่น่าเจ็บใจที่สุด... คือการที่กฎหมายแสนศักด์สิทธิ์ทำอะไรครอบครัวนี้ไม่ได้เลย เพราะพวกเขามีเงินล้นฟ้า และนี่คือแรงจูงใจในการใช้ศาลเตี้ยของสิงหา ในเมื่อกฎหมายทำอะไรไม่ได้ เขาก็จะพิจารณาโทษให้คนพวกนั้นเอง “โอ้ย! อย่าบีบ ฉันเจ็บ!” เธอร้อง เพราะเขาเผลอบีบแขนเล็กๆ นั่นอีกครั้ง ใจเย็นสิงหา ชายหนุ่มบอกตัวเองในใจ พลางคลายมือที่บีบแน่นยิ่งกว่าคีมเหล็กออก ยังไงตอนนี้เขาก็ได้ตัวผู้หญิงคนนี้มาแล้ว ป่านนี้คนที่บ้านของเธอคงนั่งไม่ติด ส่งคนตามหาลูกสาวสุดที่รักกันให้วุ่น แต่อย่าคิดว่าจะเจอได้ง่ายๆ เพราะเขาจะไม่ปล่อยตัวณัฐรินีย์กลับไป จนกว่าจะเห็นความทรมานของครอบครัวนั้น อย่างน้อยก็ต้องเทียบเท่ากับช่วงเวลาสามปีที่เขาทรมานเพราะเดินไม่ได้ “จะไปไหน?” เสียงใสเอ่ยถาม เมื่อแขนที่ยังไม่หายเจ็บถูกลากแถ่ดๆ ไปตามทางที่มืดมน เธอไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้อะไรเลยนอกจากเสียงคลื่นน้ำตีกับฝั่งที่ทำให้รู้ว่าตอนนี้คงอยู่ใกล้กับทะเลมากๆ อาจจะห่างกันไม่ถึงสิบเมตรด้วยซ้ำ “จะเยี่ยวไม่ใช่หรือไง?” “ฉี่! ฉันจะฉี่!” ณัฐรินีย์แก้ เธอยังกระดากปากที่จะพูดแบบนั้น แต่คำพูดของเธอกลับไม่ได้เข้าไปในหูของผู้ชายที่จับแขนเธออยู่เลย “จะเยี่ยวก็ตามมา” หรือหนวดที่ขึ้นมันปิดกั้นการได้ยินของเขาไปหมดแล้วนะ? ณัฐรินีย์ถูกเปิดตาครั้งแรกในรอบหกชั่วโมง เธอกวาดตามองห้องน้ำแคบๆ ที่ไม่สะอาดเท่าไหร่ด้วยใบหน้าที่บอกอารมณ์ไม่ถูก สมัยอยู่ที่อเมริกา เธอไม่ได้อยู่อย่างหรูหราก็จริง แต่ก็ไม่เคยแย่ขนาดนี้มาก่อน “เข้าไปสิ อย่าตุกติกนะ ไม่งั้นฉันฆ่าเธอแน่” “เหอะ!” คิดว่าคนอย่างณัฐรินีย์กลัวตายหรือไง ถ้ากลัว เธอไม่ยอมตามมาถึงที่นี่หรอก หญิงสาวสะบัดผมใส่ผู้ชายหนวดยาว ก่อนจะก้าวอาดๆ เข้าไปในห้องน้ำที่มีเพียงห้องเดียว คนที่จับเธอมารออยู่ด้านนอกห่างกันแค่ประตูกั้น เขาคงกลัวว่าเธอหนี แต่เธอจะหนีไปไหนได้นอกจากแปลงร่างเป็นแมลงสาบแล้วมุดท่อออกไป ใช้เวลาเพียงไม่นานหญิงสาวก็จัดการธุระส่วนตัวเสร็จ โชคดีที่แม้ภายนอกจะดูแย่ แต่ภายในห้องน้ำก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ ไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ และดูสะอาดสะอ้านเหมือนถูกทำความสะอาดวันละหลายครั้ง ปัง! ปัง! ปัง! “เสร็จหรือยัง!!” ณัฐรินีย์สะดุ้ง เธอเผลอส่งค้อนให้คนหลังประตูทั้งๆ ที่มองไม่เห็นอีกฝ่าย ผู้ชายอะไรใจร้อน เสียงดัง กักขฬะ และไร้อารยธรรมได้ขนาดนี้ หญิงสาวผลักประตูให้เปิดออกแรงๆ ตั้งใจจะให้โดนหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดยาวๆ นั่นด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายดันรู้ทันและหลบได้ก่อน ตาคมจ้องมองมาอย่างคาดโทษแต่หญิงสาวกลับไม่สนใจ เสียงดังมาเธอก็รุนแรงกลับ แค่นี้ก็หายกันแล้ว “ไปได้แล้ว” ผ้าสีดำคาดปิดที่ตาอีกครั้ง โลกของณัฐรินีย์กลับมามืดสนิท ต้นแขนของเธอถูกจับไว้แน่น เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตามสิงหาไปโดยไม่รู้ชะตากรรมต่อจากนี้ของตัวเอง “นายครับ...” สิงหาถลึงตาใส่ลูกน้องที่รออยู่ที่เรือ เพราะอีกฝ่ายเผลอเรียกเหมือนที่เรียกเขาทุกครั้งต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ “เอ่อ... นายสิงห์ เรือเรียบร้อยแล้ว” "ขอบใจ” “เรืออะไร นายจะพาฉันไปไหน?” “ไม่ต้องถามได้ไหม?” สิงหาเอ่ยเสียงเย็น เธอทำให้เขาสายไปเกือบสิบนาที ทั้งยังถามมากจนน่ารำคาญ “ถอดของมีค่าทุกอย่างออกมาให้หมด โดยเฉพาะของที่สามารถติดตามตัวเธอได้ ถ้าฉันรู้ว่าเธอตุกติกฉันจะโยนเธอลงไปในทะเล ให้ที่บ้านเธอตามหาเธอในทะเลก็แล้วกัน แต่ฉันไม่รับปากนะว่าจะเจอเธอในสภาพไหน” ณัฐรินีย์ลังเลอยู่ซักพัก แต่ในที่สุดเธอก็ยอมถอดเครื่องประดับทุกอย่างออก มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงเธอก็ยื่นมันให้เขา “หมดหรือยัง?” “หมดแล้ว?” “แน่ใจ?” “จะค้นไหมล่ะ?” หญิงสาวอ้าแขนออกเปิดทางให้เขาเข้ามาค้นหา เธอไม่เหลืออะไรติดตัวแล้ว เขาจะเอาอะไรกับเธออีก สิงหามองสิ่งที่ผู้หญิงตรงหน้าทำแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ไม่มีผู้หญิงดีๆ ที่ไหนยอมให้ผู้ชายสัมผัสร่างกายง่ายๆ แบบเธอ มุมปากหลังหนวดยาวยกยิ้มเยาะ ไปอยู่ที่อเมริกาลูกสาวคนโปรดของตระกูลดังคงใจแตกน่าดู “ฉันฝากลุงเอาไปทิ้งอีกจังหวัดหน่อยนะ อย่าให้พวกมันตามมาที่นี่ได้” “ครับ... ได้ เดี๋ยวลุงจัดการให้” “ขอบคุณ” สิงหามองตามจนร่างของลุงมิ่ง คนที่ชายหนุ่มให้ความไว้ใจเป็นอันดับต้นๆ เดินจากไปจนลับสายตา เมื่อกลับมาอยู่กันสองต่อสองอีกครั้ง สิงหาก็ออกคำสั่งเสียงดุ “ลงไป” “ลงอะไร ฉันมองไม่เห็น” “จิ๊! เธอนี่มันตัวปัญหาจริงๆ” สิงหาปล่อยมือจากต้นแขนเล็ก เขากระโดดเพียงครั้งเดียวก็ลงไปยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางสปีดโบ๊ท “ใครใช้ให้นายจับฉันมาล่ะ อ๊ะ!” เถียงไม่ทันจบ ร่างของเธอก็เหมือนถูกดึงให้ตกลงไปในหลุมอะไรซักอย่าง ณัฐรินีย์เผลอหลับตาปี๋ คิดในใจว่าคงเจ็บหรือไม่ก็ตกน้ำแล้วแน่ๆ แต่สิ่งที่เธอรับรู้ได้กลับกลายเป็นแค่อ้อมแขนอุ่นๆ และแผ่นอกแข็งๆ ของใครบางคนที่เธอซบอยู่ “จะซบอีกนานไหม?” “โอ๊ะ!” หญิงสาวรีบถอยห่าง และนั่นก็ทำให้เธอรู้ว่าเขาคลายอ้อมแขนอุ่นๆ ออกไปตั้งนานแล้ว มีแต่เธอที่เผลอซบอกกว้างๆ ของเขาด้วยความลืมตัวอยู่คนเดียว “โทษที” สิงหาไม่สนใจ เขาดันร่างบางให้ไปนั่งลงเรียบร้อย “นั่งตรงนี้ อย่าตุกติก เพราะฉันไม่รับปากว่าเธอจะตกทะเลหรือเปล่า” ขู่เก่งเหลือเกิน ณัฐรินีย์นินทาอีกฝ่ายในใจ ตั้งแต่เจอกันจนถึงตอนนี้เขาขู่เธอไปกี่ครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เห็นจะทำจริงซักครั้ง แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาทีณัฐรินีย์ก็เข้าใจว่าครั้งนี้เขาไม่ได้ขู่ ความเร็วที่ไม่กล้าประเมินว่ากี่กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำให้เธอต้องรีบคว้าที่จับไว้ เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงตกลงไปในทะเลจริงๆ กว่าครึ่งชั่วโมงที่หญิงสาวต้องนั่งเกร็งอยู่แบบนั้น เธอรู้สึกขอบคุณเขาเป็นครั้งแรกที่ปิดตาเธอไว้ เพราะถ้าได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เธอคงเป็นลมอยู่บนสปีดโบ๊ทลำนี้ไปแล้ว “เปิดตาแล้วยังจะเดินช้าอีก” สิงหาหันไปบ่น เขาเปิดตาให้เธอตั้งแต่มาถึงเกาะแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องถูกเนื้อต้องตัวของเธออีก แต่กลับกลายเป็นว่าพอเปิดตาณัฐรินีย์กลับเดินช้ากว่าเดิมจนน่ารำคาญ วันนี้เขารำคาญผู้หญิงคนนี้ไปกี่ครั้งแล้วไม่อยากจะนับเลย “ฉันก็รีบอยู่นี่ไง!” แต่ขาเธอมันสั่น แค่เดินช้าๆ ยังยาก นับประสาอะไรกับการเดินตามผู้ชายขายาวๆ นั่นให้ทัน “เป็นอะไร กลัว?” สิงหายิ้มเยาะ ถ้าไม่กลัวที่นี่คงใจแข็งน่าดู เกาะนี้เป็นเกาะที่สวยและสมบูรณ์มากในเวลากลางวัน แต่พอมาในเวลากลางคืนความสมบูรณ์ของเกาะก็ทำให้บรรยากาศดูน่ากลัว ทั้งต้นไม้ใหญ่ ทั้งบรรดาสัตว์เล็กใหญ่ที่ส่งเสียงร้องเป็นระยะๆ ชวนให้ขนลุก ณัฐรินีย์ไม่ได้ตอบอะไร เธอพยายามเดินตามคนที่เดินอยู่ตรงหน้าจนทัน ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า... แต่เหมือนว่านายสิงหาคนนี้จะเดินช้าลงเพื่อรอเธอ เป็นผู้ชายที่ปากร้ายแต่ใจดีสินะ...สิงหาพาคนมาใหม่เดินอ้อมไปอีกด้านของเกาะที่ไม่มีใครใช้เดินทางหรืออยู่อาศัย เขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนนี้พบเจอกับผู้คนที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้มากนัก มีเพียงไม่แค่กี่คนเท่านั้นที่สิงหาอนุญาตให้เธอได้เจอ “นายสิงห์!” เดินมาถึงด้านตะวันตกของเกาะ สิงหาก็ได้ยินเสียงเรียกที่แสดงถึงความดีใจและโล่งใจปะปนกันไป ก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฎตัวจากความมืดให้ทั้งสองคนได้เห็น “มาเสียที ป้ากังวลไปสารพัด” “กังวลทำไมป้าผ่อง ทำเหมือนว่าฉันไม่เคยข้ามฝั่งไปได้” “ก็ทะเลมันน่ากลัวนี่ เดาอารมณ์ไม่เคยได้ บางวันดีแต่บางวันก็ร้ายนายสิงห์ก็รู้” คนอายุมากกว่าส่งค้อนใส่นายสิงห์ ก่อนจะหันไปมองผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ยืนเยื้องออกไปด้วยสายตาใคร่รู้ “คนนี้หรือที่นายสิงห์บอก?” “บ้านที่ให้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” สิงหาตั้งคำถามแทนคำตอบ แต่คนที่คุ้นเคยกันมานานอย่างป้าผ่องกลับเข้าใจได้ทันที ถามมาแบบนี้ แปลว่าคนนี้นี่แหละ ผู้หญิงที่นายสิงห์ว่า “เรียบร้อยแล้วจ้ะ ให้ป้าพาคุณเขาไปเลยไหม?” “ไม่ต้องหรอก” สิงหาปฎิเสธเสียงเรียบ เขาปรายตามองคนที่ยืนปิดปากเงียบแล้วหันไปตอบป้าผ่องอีกครั้ง “เดี๋ยวฉันไปส่งเอง ป้าไปพักผ่อนเถอะ ลุงมิ่ง
สิงหากลับมาที่บ้านริมหาดอีกครั้งในตอนสาย เขาอาบน้ำแต่งตัวใหม่ แต่หนวดเครายังคงยาวรกรุงรังเหมือนเดิม เส้นผมระต้นคอถูกจับมัดลวกๆ อย่างไม่ใส่ใจ เขากลับไปตั้งหลักมาเรียบร้อยแล้ว เมื่อเช้าสิงหาตื่นตระหนกไปหน่อยเพราะไม่คิดว่าผู้หญิงอย่างณัฐรินีย์จะต่อกรยากอะไร แต่ครั้งนี้เขารู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ใม่ใช่ผู้หญิงนิ่มๆ เรียบร้อยเหมือนลูกคุณหนูทั่วไป เพราะฉะนั้นวิธีที่เขาคิดไว้คงไม่สะดุ้งสะเทือนผิวกายขาวๆ นั่นเท่าไหร่ ปัง! ปัง! กำปั้นใหญ่ทุบลงบนประตูไม้ไผ่จนสั่นสะเทือน เขามั่นใจว่าส่งเสียงดังไปมากพอสมควร แต่รออยู่เกือบนาทีทุกอย่างก็ยังคงนิ่งเงียบ ประตูตรงหน้าไม่ได้ถูกเปิดออก เสียงภายในก็เงียบกริบ สวนทางกับบานประตูและหน้าต่างที่ถูกปิดล็อกไว้อย่างแน่นหนาบ่งบอกว่าต้องมีคนอยู่ภายในอย่างแน่นอน ผู้หญิงคนนี้ ไม่ทันไรก็ทำให้เขาปวดหัวตุ๊บๆ อีกแล้ว “ตื่น!!!” แกร๊กๆๆๆๆ สิงหาจับประตูแล้วออกแรงเขย่าอย่างแรง บ้านหลังนี้เขาเป็นคนสร้างเองกับมือ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่านอกจากพื้นแล้วตัวกำแพงมันไม่ได้แข็งแรงมากขนาดนั้น แค่ออกแรงเขย่ามันก็สั่นคล้ายแผ่นดินไหวขนาดย่อมๆ แล้ว และในที่สุดแรงที่สิงหาออกไปก็ได้ผล ชายหนุ
สิงหาออกคำสั่งให้นักโทษสาวเอาเสื้อผ้าที่เปียกชื้นไปตากไม่ใกล้ไม่ไกลจากน้ำตกเท่าไหร่ เพราะที่นี่เป็นทางผ่านที่เธอต้องใช้เดินกลับบ้านหลังจากทำงานที่เขามอบหมายให้เสร็จ จึงไม่ต้องเดินลงไปตากผ้าที่บ้านและเสียเวลาเดินกลับขึ้นมาใหม่ ไว้เก็บไปทีเดียวตอนกลับบ้านจะสะดวกและเสียเวลาน้อยกว่า “เสร็จหรือยัง?” หนุ่มหนวดยาวยืนกอดอกหันไปทางอื่น เขาตั้งใจไม่มองไปที่เสื้อผ้าของเธอ ผู้หญิงอะไร กล้าตากชุดชั้นในประเจิดประเจ้อไม่กลัวใครมาเห็นเข้าแบบนี้ หน้าไม่อาย... จริงๆ แล้วตรงนี้ไม่มีทางที่ใครจะมาเห็นได้นอกจากเขา ซวยจริงๆ แบบนี้กลับบ้านไปเขาต้องล้างตาด้วยน้ำเกลือหรือเปล่า? “เสร็จแล้วจ้า” คนที่สดชื่นเพราะเพิ่งอาบน้ำมาตอบเสียงหวานจ๋อย และหลังจากนั้นสิงหาก็สะดุ้งโหยง เพราะจู่ๆ แขนก็ถูกจับหมับเข้าเต็มๆ มือ “ขี้ตกใจจัง” สิงหากระแอมไอ เขาเสมองไปทางอื่น ไม่สนใจรอยยิ้มแปลกๆ ของเธอ “มัวแต่เล่น ทำงานเสร็จช้าก็ไม่ได้กินข้าวหรอกนะ” เสียงทุ้มดุปนขู่ คนขี้เล่นหน้าจ๋อยสนิท พอพูดถึงข้าว เธอก็หิวข้าวขึ้นมาจนท้องร้องโครกคราก เรียกรอยยิ้มเล็กๆ จากคนหนวดยาว ก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างรวดเร็วโดยที่ณัฐรินีย์ไม่มีโอกาสได้เห
หลังจากกินข้าวมื้อกลางวันที่ล่วงเลยมาจนถึงบ่ายสองเสร็จ สิงหาก็เดินนำหน้านักโทษสาวที่อิ้มแปล้พุงกางไปอีกทางหนึ่ง เป็นคนละทางกับคอกหมูที่ณัฐรินีย์ทำงานเพื่อแลกข้าวก่อนหน้านี้ เธอจำได้ขึ้นใจ “พี่สิงห์จ๋า!” ยังไม่ทันได้เห็นว่าถูกพามาที่ไหน เสียงแหลมๆ ที่หวานหยดย้อยก็ดังขึ้นเสียก่อน และหลังจากนั้นร่างสูงใหญ่ที่เดินนำหน้าก็เซแถ่ดๆ มาชนเข้ากับเธอ โชคดีที่ณัฐรินีย์ตั้งตัวทัน ไม่อย่างนั้นคงได้ลงไปกองที่พื้นพร้อมกับมีร่างใหญ่โตเหมือนหมีควายทับให้ได้จุกเล่น “กระแต!” เสียงทุ้มดูดุ แต่น้อยกว่าตอนที่ใช้พูดกับนักโทษอย่างณัฐรินีย์หลายเท่า “อย่าทำแบบนี้ ล้มไปจะเจ็บตัว” “จ้ะ กระแตขอโทษน้าพี่สิงห์ กระแตแค่ดีใจที่ได้เจอพี่สิงห์ ไม่ได้เจอตั้งวันกว่าคิดถึ๊งคิดถึง” “เยอะ!” ณัฐรินีย์แอบมองข้ามไหล่หนา เธอเห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นหญิงวัยประมาณไม่เกินสี่สิบห้าปี ท่าทางแข็งแรงและหน้าตาสะสวยพอตัว “มานี่เดี๋ยวนี้นะกระแต เป็นสาวเป็นนางไปลามปามนายสิงห์เขาแบบนั้นได้อย่างไร?” “แม่อะ! พี่สิงห์ยังไม่ว่ากระแตซักคำเลย ใช่ไหมจ๊ะ?” “หึ” สิงหาเพียงแค่หัวเราะแผ่วๆ เขาไม่ได้ตอบสาวเจ้า แต่หันไปสนใจแม่ของเธอแทน “น้าพิมท
หญิงสาวที่มีสถานะเป็นนักโทษยอมถูกลากไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนออกมา เธอเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างที่ชื้นเหงื่อขึ้นทีละน้อย จนในที่สุดมันเปียกโชก แต่ถึงอย่างนั้นสิงหาก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด “เดี๋ยวสิ...” หญิงสาวขัดขืนเป็นครั้งแรก เธอยื้อตัวเองไว้ไม่ยอมเดินตามจนสายตาคมๆ ตวัดกลับมามองอย่างไม่พอใจ “ให้ฉันเก็บเสื้อผ้าก่อน” เธอชี้ไปที่เสื้อผ้าที่ยังคงตากอยู่ที่เดิม สิงหาลากเธอจนมาถึงน้ำตกแสนสวยนี่แล้ว ที่จริงเธออยากขออาบน้ำอีกซักครั้ง แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายอารมณ์เสียแบบนี้ก็ได้แต่ปลอบตัวเองในใจว่าช่วงเย็นๆ ค่อยมาอาบก็ได้ “ฉันบอกเธอว่าอะไร?” “ค่อยคุยกันได้ไหม ขอเก็บเสื้อผ้าก่อน โอ้ย!” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่น นายสิงห์คนนี้กระชากแขนเธอจนเจ็บไปหมดแล้ว รับรองได้ว่าคืนนี้เธอคงร้าวระบมไปทั้งแขนแน่นอน “เธอมันดีแต่ยั่วโมโหฉัน คิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรหรือไง!?” “ฉันไปทำอะไรให้เล่า! นายก็บอกมาสิ ไม่ใช่มาลากๆๆๆ แล้วก็ใส่อารมณ์แบบนี้!” ณัฐรินีย์เริ่มเสียงดังบ้าง เธอพยายามอดทนแล้วนะ แต่นายสิงห์คนนี้ทำให้ความอดทนของเธอขาดกระจุย เอะอะก็เสียงดัง เอะอะก็ขู่ อยากทำอะไรก็ทำ อยากฆ่าก็ฆ่ากันเลยสิ นี่มันถิ่นเ
“ขึ้นมาที่นี่ทำไม?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางหันกลับมามองผู้บุกรุกในยามวิกาล แววตาของสิงหาไม่ได้ฉายแววดุดัน แต่ก็ไม่ได้อ่อนโยนเท่าไหร่ “หิว” “ที่นี่ไม่ใช่โรงครัว” "รู้แล้ว แต่หลง...” “ถึงไม่หลงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรกินหรอก ครัวปิดแล้ว คนอื่นๆ เขาเข้านอนกันหมด ไม่มีใครหิวตอนนี้” “ห๊า!” ณัฐรินีย์ตาโต เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินผิดหรือสิงหาตั้งใจโกหกเพราะอยากกลั่นแกล้งกันแน่ ถึงตอนนี้เธอจะไม่มีนาฬิกา แต่ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งลาลับขอบฟ้าไปได้ไม่นาน รวมกับระยะเวลาที่เธอเดินหลงอยู่ในป่านี้ เธอมั่นใจว่านี่ยังไม่ถึงสองทุ่มแน่ๆ แต่คนที่นี่เข้านอนกันหมดแล้ว? นี่มันน่าเหลือเชื่อมาก ตอนที่เธออยู่นิวยอร์กเธอไม่เคยนอนต่ำกว่าเที่ยงคืน ไม่นั่งวาดรูปก็รอรับสายจากนิคกี้ เพราะรายนั้นกว่าจะกลับอพาร์ทเม้นท์ได้ก็เข้าวันใหม่ทุกที ทั้งๆ ที่ต้องตื่นมาทำงานแต่เช้าแท้ๆ แต่ก็ยังทำงานจนถึงดึกดื่นทุกวัน เธอเลยยื่นคำขาดว่าถ้ายังไม่ได้เห็นเขาอาบน้ำเตรียมนอน เธอก็จะไม่นอนเหมือนกัน นิคกี้เลยยอมทำตามเพราะไม่อยากได้ยินเธอบ่นเหมือนแม่คนที่สอง ยิ่งช่วงนี้เธอยิ่งมั่นใจว่านิคกี้คงทำงานไม่หลับไม่นอนแน่ๆ เขาต้องเคลียร์งานให้เรียบร้
ตอนนี้เป็นเวลาตีสี่ครึ่ง เป็นปกติที่สิงหาจะตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นทุกวัน ต่อให้ช่วงกลางคืนเข้านอนดึกแค่ไหน ร่างกายมันก็ตื่นขึ้นมาในเวลาเดิมเหมือนถูกตั้งค่าไว้ คงจะเป็นความเคยชินไปแล้ว เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้ร่างกายอ่อนแอเกินไป สิงหาจึงเข้านอนไม่ดึกมากนัก อย่างน้อยก็ต้องนอนให้ครบเจ็ดถึงแปดชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ เขาไม่อยากเจ็บป่วยอะไรอีกแล้ว เพราะรู้ดีว่าตอนที่ร่างกายอ่อนแอควบคุมไม่ได้มันทรมานมากแค่ไหน ร่างกายเปลือยเปล่าลุกขึ้นจากเตียงที่ไม่นุ่มและแข็งจนเกินไป สิงหาตวัดผ้าห่มที่ปิดเพียงท่อนล่างออก ก่อนบิดกล้ามเนื้อเล็กน้อยจนกระดูกส่งเสียงดังกร๊อบ เพียงเท่านี้ชายหนุ่มก็รู้สึกตื่นเต็มตา ไม่ใช่แค่สิงหาเท่านั้นที่ตื่น อวัยวะบางอย่างที่อยู่กลางลำตัวก็ตื่นขึ้นมาจนตั้งตรงเช่นกัน เป็นเรื่องปกติ สิงหาอายุเพียงยี่สิบเก้าปี อยู่ในวัยที่กำลังเจริญพันธุ์เต็มที่ เพราะฉะนั้นเรื่องความต้องการในยามเช้าไม่ใช่อะไรที่น่าตกใจ สิงหาไม่มีเมีย และไม่คิดซื้อผู้หญิงกิน เพราะฉะนั้นทุกเช้าเขาจะพึ่งนิ้วมือทั้งห้าของตัวเอง เขาไม่ได้ติดเซ็กส์ แค่ปลดปล่อยให้ร่างกายโล่งขึ้นบ้างก็เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ทำทุกวันเพราะบางครั้ง
“ต่อไปนี้กลับไปทำงานที่เล้าหมู ห้ามตีสนิทใคร จำเอาไว้ว่าตัวเองเป็นแค่นักโทษ” . “หนูนิด” เสียงเรียกที่แฝงไปด้วยความเมตตาดังขึ้นจากด้านหลัง ณัฐรินีย์ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ ก่อนจะหันไปมองด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ประจำตัว “เหนื่อยหรือยังลูก?” “ร้อนมากกว่าค่ะป้าผ่อง” “งั้นมาพัก กินข้าวกินปลา” “แต่หนูนิดยังทำตรงนี้ไม่เสร็จเลยค่ะ” “ไว้ก่อนลูก” ผ่องโบกไม้โบกมือ ทำหน้ายุ่งยากใจ เด็กสมัยนี้ดื้อจริงเชียว “จะบ่ายแล้วมากินข้าวก่อนเถอะ เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปไม่คุ้ม” ณัฐรินีย์นิ่งคิดเพียงอึดใจ ก่อนขาเรียวจะก้าวข้ามคอกหมูที่ไม่สูงมากนักออกมาด้านนอก กว่าสองอาทิตย์แล้วที่ณัฐรินีย์มีอาชีพเป็นคนเลี้ยงหมูเต็มตัว สิงหาสั่งให้เธอดูแลหมูหลายสิบตัวที่นี่ ตั้งแต่ให้อาหาร ทำความสะอาด จนถึงดูแลถ้าหากมีหมูตัวไหนป่วย งานที่เธอทำไม่มีค่าแรง มีเพียงอาหารสามมื้อ บ้านไว้หลับนอน แล้วก็น้ำตกกว้างขวางไว้ชำระร่างกายเป็นค่าตอบแทนเท่านั้น ที่จริงแล้วมันไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ เพราะอาหารที่นี่อร่อยกว่าร้านอาหารมิชลินสตาร์ที่นิคกี้เคยพาเธอไปกินด้วยซ้ำ บ้านที่เธอนอนก็สบายดี ถึงไม่มีฟูกนิ่มๆ แต่ก็ได้เห็นพระอาทิตย์ตกทุกวัน รวมถึง
กลับมาที่เกาะได้ไม่ถึงเดือน สองสามีภรรยาก็ต้องขึ้นฝั่งอีกครั้ง ทั้งคู่บินตรงไปกรุงเทพฯ และเดินทางต่อไปที่โรงพยาบาลโดยไม่หยุดพัก เมื่อเช้าสิงหาได้รับสายจากนิโคลัส แต่นิโคลัสไม่ได้เป็นคนคุย เขายื่นโทรศัพท์ให้คุณหญิงสุดา เธอรับไว้แล้วบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ลูกสาวและลูกเขยรู้ “พ่อเขาหมดสติ หัวใจหยุดเต้น ดีที่ยังอยู่ที่โรงพยาบาลเลยกู้ชีพกลับมาได้ แต่หมอบอกว่าพ่อเขาต้องทำบายพาสหัวใจ เพราะตรวจเจอเส้นเลือดตีบสามเส้น” ณัฐรินีย์ใจหายวาบ เร่งเร้าให้สิงหาหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด ก่อนจะพากันกระหืดกระหอบมาถึงโรงพยาบาลช่วงบ่ายแก่ เปิดประตูห้องพิเศษเข้าไปก็เจอกับคุณหญิงสุดาที่นั่งอยู่ข้างเตียง ถัดไปเป็นนิโคลัส และใกล้กันกับนิโคลัสคือณัฐริกา “พี่นิ่ม” “หนูนิด” สองพี่น้องโผเข้ากอดกันด้วยความคิดถึง ณัฐริการ้องไห้ออกมาเพราะไม่ได้เจอหน้าน้องสาวมาหลายปี เธอคิดถึงหนูนิด แต่ยิ่งคิดถึงเธอก็ยิ่งละอายใจ เพราะถ้าหนูนิดไม่ช่วยเธอไว้วันนั้น น้องสาวเธอคงไม่ถูกส่งไปไกลจากบ้านแบบนี้ “คิดถึง” “นิดก็คิดถึงพี่นิ่ม” แฝดน้องผละออก มองสำรวจพี่สาวที่ดูมีน้ำมีนวลขึ้นด้วยสายตารักใคร่ “ดูผุดผ่องขึ้นนะคะ ไปทำอะไรมา”
“พี่สิงห์” ร่างบอบบางถลาเข้าหาอ้อมกอดของสามี พออ้อมแขนอบอุ่นโอบรัด น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลลงมาเป็นทาง ณัฐรินีย์ไม่ใช่คนเข้มแข็ง เธอเป็นเพียงคนๆ หนึ่งที่มีความรู้สึกเปราะบางเหมือนมนุษย์ทั่วไป เธอร้องไห้หลายครั้งแต่ไม่มีใครเห็น เธอเจ็บปวดเป็นพันครั้งแต่ไม่มีใครมาสนใจ ความเจ็บปวดซ้ำๆ ทำให้เธอต้องสร้างกำแพงขึ้นมา ทำเหมือนว่าตัวเองคือคนที่มีจิตใจแข็งแกร่งกว่าใคร เจ็บแค่ไหน เสียใจแค่ไหนก็ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น แต่วันนี้เธอรู้แล้วว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งเสมอไป ถ้ามีอ้อมกอดที่พร้อมกอดก็อย่าลังเลที่จะรับมัน ถ้ามีอกกว้างให้ซับน้ำตาก็อย่าลังเลที่จะร้องไห้ออกมา บางทีการร้องไห้อาจจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในใจได้บ้าง... ไม่มากก็น้อย “ไม่เป็นไรนะ” คำพูดสั้นๆ พร้อมกับมือที่ลูบเส้นผมเบาๆ ทำให้ณัฐรินีย์ปล่อยโฮ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอร้องไห้ขนาดนี้ ร้องเหมือนว่าโลกใบนี้กำลังจะแตกสลาย ร้องเหมือนว่าจะไม่มีพรุ่งนี้ให้ร้องอีก เธอร้องจนปวดหัว ร้องจนหูอื้อ ร้องจนเสื้อที่สิงหาใส่เปียกชื้น แต่ถึงอย่างนั้นอ้อมแขนแกร่งก็ไม่ปล่อยให้เธอห่างกาย คุณหญิงสุดามองภาพนั้นทั้งน้ำตา นานแค่ไหนแล้
เพี๊ยะ!! ใบหน้างดงามหันตามแรงฟาดของฝ่ามือ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตัวแข็งค้าง สิงหาตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพความรุนแรงแบบนี้ ส่วนคนเป็นแม่ก็ไม่คิดว่าลูกจะถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายร่างกายอีกครั้ง “ลูกไม่รักดี!!!” “คุณคะ!” “เลี้ยงเสียข้าวสุก! แกมันไม่รักดี ไม่เคยทำให้ฉันกับแม่แกภูมิใจเลย! ต้องให้ฉันตบตีแกอีกกี่ครั้งแกถึงจะคิดได้ห้ะ!” สิงหากำมือแน่น เขาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเอง ต้องมาเห็นเมียถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายแบบนี้เขารับไม่ได้จริงๆ ยิ่งรู้ว่าไม่ใช่ครั้งแรกแบบนี้... ถึงเขาจะเลวแต่เขาไม่เคยคิดลงมือทำร้ายผู้หญิงเลยซักครั้ง แม้แต่ณัฐรินีย์เองเขาก็ไม่เคยตบตี ต่อให้ตอนที่ยังไม่ได้รักเขาก็ไม่คิดจะทำ แล้วทำไมพ่อแท้ๆ ถึงทำกับลูกได้ขนาดนี้ “คุณพ่อครับ” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น สิงหาหันกลับไปมอง ดวงตาเขาแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นใคร “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” “ให้พ่อใจเย็นได้ยังไงนิค ลูกนิ่มก็หายตัวไป ส่วนคนที่อยู่ก็ไม่มีประโยชน์” ท้ายประโยคคุณหมอกระแทกกระทั้นใส่ลูกสาวที่ตนเองเพิ่งลงมือทำร้ายร่างกายไป ณัฐรินีย์ไม่ต่างจากถูกทำร้ายร่างกายและเหยียบย่ำความรู้สึกซ้ำๆ เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นที่ต้องการ
“นิโคลัสมันแต่งงานกับพี่สาวฝาแฝดของเมียแก” “พี่สาวฝาแฝด!?” สิงหาตกใจจนคำพูดของเพื่อนเกือบไม่เข้าหู พี่สาวฝาแฝด เขาเพิ่งรู้ว่าเมียตัวเองมีพี่สาวฝาแฝด “อืม หน้าเหมือนกันอย่างกับคนเดียวกัน ฉันเกือบสับสนไปแล้ว” “ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ตอนที่สิงหาสืบข้อมูลของณัฐรินีย์เพื่อแก้แค้นเขาไม่ได้สนใจครอบครัวของเธอเลย เขาสนแค่ถ้าจับเธอมาได้ครอบครัวเธอจะต้องเสียใจจนกระอักเลือดเพราะยังไงณัฐรินีย์ก็คือลูก และเพราะความไม่รอบคอบของเขานี่เอง เขาถึงไม่เคยรู้เลยว่าการจับตัวณัฐรินีย์มามันทำอะไรครอบครัวนั้นไม่ได้เลย และที่สำคัญ...หนูนิดของเขามีพี่สาวฝาแฝด บางอย่างที่ยังค้างคาอยู่ในใจเหมือนถูกปลดล็อก สิงหาถึงบางอ้อทันทีเมื่อรู้ว่าณัฐรินีย์มีพี่สาวฝาแฝด ถ้าหากคืนนั้นเธอไม่ได้ขับรถชนเขา คนที่ชนก็น่าจะเป็นพี่สาวเธอ เพราะวันนั้นเขาเห็นหน้าคนขับ และเขาจำได้ว่าใบหน้านั้นเหมือนกับณัฐรินีย์ราวกับแกะ “แล้วยังไงต่อ” “เมียแกกลับไปอยู่บ้าน ฉันไม่รู้มากกว่านี้ แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ” ราฟาเอลสะอึกเมื่อเห็นแววตาวาววับของเพื่อนสนิท เขากระแอมไอ รีบแก้คำพูดก่อนจะโดนดีดออกจากห้องโทษฐานบอกว่าเมียของมันไม่สำคัญ “ที่จริงแล้วเรื่อ
สิงหาฝัน... เขาฝันว่าตัวเองทะเลาะกับณัฐรินีย์ด้วยเรื่องที่เธอโกหกเขา เธอไม่ได้เป็นคนขับรถชนเขาเพราะเธอขับรถไม่เป็น แม้แต่พวงมาลัยเธอยังไม่เคยจับมันมาก่อน ลึกๆ แล้วสิงหาดีใจที่รู้แบบนั้น แต่เขาก็เสียใจอยู่ดีที่เธอเลือกที่จะปกปิดและโกหกมาตลอด เพราะถ้าหาก... ถ้าหากว่าเขาเลวกว่านี้อีกซักนิด แล้วเผลอทำอะไรรุนแรงกับคนบริสุทธิ์ลงไป เขาคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นในความฝันก็ยังมีเรื่องราวดีๆ ซ่อนอยู่ เขาได้ยินคำบอกรักจากเธอเป็นครั้งแรก ที่จริงจะเรียกว่าครั้งแรกก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะเขาเคยได้ยินคำนั้นในวันแต่งงานของเรา เพียงแต่เขาไม่กล้าเข้าข้างตัวเองว่าเธอพูดมันจากความรู้สึกจริงๆ บรรยากาศในวันนั้นมันเป็นใจเกินไป ณัฐรินีย์อาจจะพูดเพียงเพราะสถานการณ์พาไป ทว่าครั้งนี้สิงหาเชื่อสนิทใจ แม้จะเป็นแค่เพียงคำพูดในความฝัน แต่สิงหากลับรู้สึกยินดีเหลือเกินที่ได้ยินมัน และมันก็ทำให้หัวใจที่ปิดตายมานานสั่นคลอน ความรู้สึกภายในมันร่ำร้องบอกออกมาว่าตัวเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขารักหนูนิด น่าเสียดายที่ในฝันนั้นสิงหาไม่ได้บอกกลับไป เขาได้แต่เตือนตัวเองซ้ำๆ ว่าถ้าตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่จ
บรรยากาศภายในรถเงียบงันเมื่อสิงหาไม่ได้พูดอะไร เขาไม่แม้แต่จะเปิดเพลงคลอเหมือนขามาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มใช้มือเพียงข้างเดียวบังคับพวงมาลัย ไม่ถึงสองนาทีรถราคาไม่แพงนักก็เลี้ยวเข้าโรงแรมระดับสามดาวที่ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ “ที่จริงเราน่าจะพักที่โรงพยาบาล” ณัฐรินีย์ออกความเห็น แต่ก็เข้าใจว่าสิงหาไม่ได้เจ็บป่วยหนักอะไร ถ้าต้องพักที่โรงพยาบาลมันก็เหมือนกระต่ายตื่นตูมไปหน่อย สิงหาไม่ได้ตอบอะไร เขาลงจากรถ หยิบของจากเบาะหลัง ก่อนจะส่งกุญแจให้พนักงานรักษาความปลอดภัยพร้อมกับทิปจำนวนหนึ่ง ณัฐรินีย์ก้าวลงจากรถอย่างงุนงง เธอเดินตามหลังสิงหาเข้าไปในโรงแรมก็พบว่าเขาเช็กอินเรียบร้อยแล้ว “ห้องอยู่ชั้นสาม ห้อง 303 นะคะ ออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวขวาได้เลยค่ะ” สิงหารับคีย์การ์ดมาถือไว้ เขาไม่ได้ตอบอะไร เมื่อได้ของที่ต้องการก็เดินจ้ำอ้าวไม่แม้แต่รอเมียที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังมา “พี่สิงห์!” ณัฐรินีย์หอบแฮ่ก “ปวดแขนมากเหรอถึงได้รีบเดินขนาดนี้” “...” “พี่สิงห์ ทำไมไม่พูดกับนิด” “...” “พี่สิ-“ ติ๊ง “ไว้ไปคุยกันในห้อง” ณัฐรินีย์ชาไปทั้งตัวเมื่อน้ำเสียงของสิงหาไม่ได้อบอุ่นเหมือนเคย หรือถ้าพูดให้ถูกคือน้ำเสียงข
หลังจากเคี่ยวกรำเมียมาเป็นอาทิตย์สิงหาก็เกือบน้ำตาตกใน เมื่อวันหนึ่งณัฐรินีย์เดินเข้ามาบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ ว่า “พี่สิงห์ คืนนี้ห้ามกวนนิดนะ พอดีว่าน้องแดงเดือดมา” สิงหาเข่าอ่อน เขาเคยคิดว่าตัวเองน้ำยาดีพอ แต่นี่เขาไม่ได้ป้องกันมาเกือบเดือนแล้ว ทว่าก็ยังไม่มีทีท่าว่าเมียเขาจะตั้งท้องเสียที ยืนยันได้จากน้องแดงเดือดที่มาตรงเวลาจนน่าโมโห บางทีเขาก็ไม่เข้าใจ กับครอบครัวที่พร้อมมากๆ ทั้งอายุและการเงินอย่างเขาและณัฐรินีย์กลับยากที่จะมีลูก แต่กับเด็กๆ ที่พลาดจนตั้งท้องเป็นว่าเล่นกลับมีอย่างง่ายดาย และสุดท้ายเด็กทารกที่ไม่รู้อะไรก็มักจะถูกทอดทิ้งเสมอ เหมือนกับเขาที่ถูกทิ้งไว้หน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่แบเบาะ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่เป็นใคร พ่อเป็นใคร รู้แค่ตัวเองเป็นลูกครึ่ง แต่ครึ่งอะไรสิงหาไม่เคยคิดอยากจะหาคำตอบ ตอนเด็กๆ เขาถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อว่าแม่เขาเป็นผู้หญิงขายบริการ มีลูกกับแขกแล้วเลี้ยงไม่ไหวเลยเอาเขามาทิ้งเป็นภาระให้กับคนอื่น แต่พอเขาเอาเรื่องไปเล่าให้แม่ครูฟังแม่ครูก็ทำเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วบอกว่าซักวันแม่จะกลับมารับเขาไปอยู่ด้วย นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่สิงหารู้จักคำว่า
“อื้อ”เจ้าสาวคนสวยครางในลำคอเบาๆ เมื่อแผ่นหลังสัมผัสเข้ากับฟูกนุ่มที่โรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดงสด สิงหาค่อยๆ ปลดแขนเรียวที่เกี่ยวรั้งต้นคอตนเองออก ก่อนจะขยับออกห่างจากเจ้าสาวที่นอนทอดกายมองมาไม่วางตาดวงตาสุกสกาวมองตามสามีตามประเพณีที่ขยับออกห่างด้วยหัวใจที่เรียบสนิท ทั้งๆ ที่เหมือนกำลังจะถูกทอดทิ้งแต่ณัฐรินีย์กลับไม่รู้สึกเสียใจ เพราะเธอมั่นใจว่าเขาจะกลับมาและสิงหาก็กลับมาจริงๆ“หนูนิด” สิงหาเรียกเจ้าสาว ก่อนจะช่วยพยุงให้ร่างบอบบางลุกขึ้นนั่งดีๆ “พี่ให้”“มันคือ?”“แหวนวงแรกที่พี่เก็บเงินซื้อได้” สิงหาหมุนแหวนราคาไม่กี่หมื่นให้ณัฐรินีย์ดู เพชรเม็ดเล็กๆ ที่ฝังอยู่ในเนื้อแหวนส่องประกายล้อแสงไฟจากตะเกียงจนวาววับ “ตอนเรียนจบ พี่นึกอยากมีเครื่องประดับก็เลยเอาเงินเก็บที่ทำงานช่วงเรียนมาซื้อ ตั้งใจว่าจะเก็บมันไว้ต่อให้อดอยากแค่ไหน เพราะมันคือสมบัติชิ้นแรกที่พี่มี”“แล้วทำไมถึงให้นิด ของสำคัญแบบนี้พี่สิงห์ควรเก็บไว้ที่ตัวเอง”สิงหาเงยหน้าจากแหวนขึ้นมองใบหน้าของเจ้าสาว มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงนุ่มทุ้มว่า “ของสำคัญ ก็ต้องอยู่กับคนสำคัญ”“พี่สิงห์ นิดไม่ชิน” ณัฐรินีย์ก้มหน้าหลบ
พิธีการแต่งงานของเกาะตะวันฉายไม่ได้อิงกับศาสนาหรือพิธีของประเทศไหนเป็นหลัก เพราะที่นี่เป็นเกาะ เปรียบเสมือนแผ่นดินเล็กๆ ที่แยกตัวออกมาจากแผ่นดินหลัก ทำให้วิถีการใช้ชีวิตหรือความเชื่อของคนบนเกาะต่างจากคนทั่วไป อย่างเช่นผู้คนที่นี่ไม่นับถือศาสนา ไม่ได้เชื่อคำสอนของใคร พวกเขาแค่เชื่อในตัวเอง และมีที่พึ่งทางใจเป็นพ่อปู่ที่ไม่มีตัวตนเท่านั้น ณัฐรินีย์ถูกสิงหาจับจูงไปตรงส่วนทำพิธี ที่ตรงนั้นถูกจัดให้อยู่ในทะเลที่สูงระดับครึ่งหน้าแข้ง มีซุ้มดอกไม้สีขาวตั้งเด่น ไม่มีบาทหลวง ไม่มีคนทำพิธี เพราะสิงหาเคยบอกว่าการแต่งงานมันคือเรื่องราวของคนสองคน ไม่จำเป็นต้องมีใครมากำกับ มีเพียงแค่น้ำทะเลที่เหมือนเหมือนชีวิตและจิตวิญญาณโอบล้อมไว้ก็เพียงพอแล้ว บ่าวสาวหยุดลงเมื่อลุยน้ำไปจนถึงหน้าซุ้มดอกไม้ ทั้งคู่หันกลับไปมองบนฝั่ง ชาวบ้านนับร้อยยืนมองคู่แต่งงานอยู่บนนั้น ไม่มีใครเข้ามาใกล้ และจะไม่มีใครได้ยินว่าทั้งสองคนพูดคุย หรือให้คำสัญญาอะไรต่อกัน สมกับที่สิงหาบอก การแต่งงานบนเกาะตะวันฉายคือเรื่องของคนแค่สองคนเท่านั้น สิงหาเลิกสนใจผู้มาร่วมงาน เขาหันกลับมามองเจ้าสาวของตนเอง ทั้งคู่ยืนหันหน้าเข้าหากัน มือบา