“ขึ้นมาที่นี่ทำไม?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางหันกลับมามองผู้บุกรุกในยามวิกาล แววตาของสิงหาไม่ได้ฉายแววดุดัน แต่ก็ไม่ได้อ่อนโยนเท่าไหร่ “หิว” “ที่นี่ไม่ใช่โรงครัว” "รู้แล้ว แต่หลง...” “ถึงไม่หลงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรกินหรอก ครัวปิดแล้ว คนอื่นๆ เขาเข้านอนกันหมด ไม่มีใครหิวตอนนี้” “ห๊า!” ณัฐรินีย์ตาโต เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินผิดหรือสิงหาตั้งใจโกหกเพราะอยากกลั่นแกล้งกันแน่ ถึงตอนนี้เธอจะไม่มีนาฬิกา แต่ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งลาลับขอบฟ้าไปได้ไม่นาน รวมกับระยะเวลาที่เธอเดินหลงอยู่ในป่านี้ เธอมั่นใจว่านี่ยังไม่ถึงสองทุ่มแน่ๆ แต่คนที่นี่เข้านอนกันหมดแล้ว? นี่มันน่าเหลือเชื่อมาก ตอนที่เธออยู่นิวยอร์กเธอไม่เคยนอนต่ำกว่าเที่ยงคืน ไม่นั่งวาดรูปก็รอรับสายจากนิคกี้ เพราะรายนั้นกว่าจะกลับอพาร์ทเม้นท์ได้ก็เข้าวันใหม่ทุกที ทั้งๆ ที่ต้องตื่นมาทำงานแต่เช้าแท้ๆ แต่ก็ยังทำงานจนถึงดึกดื่นทุกวัน เธอเลยยื่นคำขาดว่าถ้ายังไม่ได้เห็นเขาอาบน้ำเตรียมนอน เธอก็จะไม่นอนเหมือนกัน นิคกี้เลยยอมทำตามเพราะไม่อยากได้ยินเธอบ่นเหมือนแม่คนที่สอง ยิ่งช่วงนี้เธอยิ่งมั่นใจว่านิคกี้คงทำงานไม่หลับไม่นอนแน่ๆ เขาต้องเคลียร์งานให้เรียบร้
ตอนนี้เป็นเวลาตีสี่ครึ่ง เป็นปกติที่สิงหาจะตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นทุกวัน ต่อให้ช่วงกลางคืนเข้านอนดึกแค่ไหน ร่างกายมันก็ตื่นขึ้นมาในเวลาเดิมเหมือนถูกตั้งค่าไว้ คงจะเป็นความเคยชินไปแล้ว เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้ร่างกายอ่อนแอเกินไป สิงหาจึงเข้านอนไม่ดึกมากนัก อย่างน้อยก็ต้องนอนให้ครบเจ็ดถึงแปดชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ เขาไม่อยากเจ็บป่วยอะไรอีกแล้ว เพราะรู้ดีว่าตอนที่ร่างกายอ่อนแอควบคุมไม่ได้มันทรมานมากแค่ไหน ร่างกายเปลือยเปล่าลุกขึ้นจากเตียงที่ไม่นุ่มและแข็งจนเกินไป สิงหาตวัดผ้าห่มที่ปิดเพียงท่อนล่างออก ก่อนบิดกล้ามเนื้อเล็กน้อยจนกระดูกส่งเสียงดังกร๊อบ เพียงเท่านี้ชายหนุ่มก็รู้สึกตื่นเต็มตา ไม่ใช่แค่สิงหาเท่านั้นที่ตื่น อวัยวะบางอย่างที่อยู่กลางลำตัวก็ตื่นขึ้นมาจนตั้งตรงเช่นกัน เป็นเรื่องปกติ สิงหาอายุเพียงยี่สิบเก้าปี อยู่ในวัยที่กำลังเจริญพันธุ์เต็มที่ เพราะฉะนั้นเรื่องความต้องการในยามเช้าไม่ใช่อะไรที่น่าตกใจ สิงหาไม่มีเมีย และไม่คิดซื้อผู้หญิงกิน เพราะฉะนั้นทุกเช้าเขาจะพึ่งนิ้วมือทั้งห้าของตัวเอง เขาไม่ได้ติดเซ็กส์ แค่ปลดปล่อยให้ร่างกายโล่งขึ้นบ้างก็เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ทำทุกวันเพราะบางครั้ง
“ต่อไปนี้กลับไปทำงานที่เล้าหมู ห้ามตีสนิทใคร จำเอาไว้ว่าตัวเองเป็นแค่นักโทษ” . “หนูนิด” เสียงเรียกที่แฝงไปด้วยความเมตตาดังขึ้นจากด้านหลัง ณัฐรินีย์ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ ก่อนจะหันไปมองด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ประจำตัว “เหนื่อยหรือยังลูก?” “ร้อนมากกว่าค่ะป้าผ่อง” “งั้นมาพัก กินข้าวกินปลา” “แต่หนูนิดยังทำตรงนี้ไม่เสร็จเลยค่ะ” “ไว้ก่อนลูก” ผ่องโบกไม้โบกมือ ทำหน้ายุ่งยากใจ เด็กสมัยนี้ดื้อจริงเชียว “จะบ่ายแล้วมากินข้าวก่อนเถอะ เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปไม่คุ้ม” ณัฐรินีย์นิ่งคิดเพียงอึดใจ ก่อนขาเรียวจะก้าวข้ามคอกหมูที่ไม่สูงมากนักออกมาด้านนอก กว่าสองอาทิตย์แล้วที่ณัฐรินีย์มีอาชีพเป็นคนเลี้ยงหมูเต็มตัว สิงหาสั่งให้เธอดูแลหมูหลายสิบตัวที่นี่ ตั้งแต่ให้อาหาร ทำความสะอาด จนถึงดูแลถ้าหากมีหมูตัวไหนป่วย งานที่เธอทำไม่มีค่าแรง มีเพียงอาหารสามมื้อ บ้านไว้หลับนอน แล้วก็น้ำตกกว้างขวางไว้ชำระร่างกายเป็นค่าตอบแทนเท่านั้น ที่จริงแล้วมันไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ เพราะอาหารที่นี่อร่อยกว่าร้านอาหารมิชลินสตาร์ที่นิคกี้เคยพาเธอไปกินด้วยซ้ำ บ้านที่เธอนอนก็สบายดี ถึงไม่มีฟูกนิ่มๆ แต่ก็ได้เห็นพระอาทิตย์ตกทุกวัน รวมถึง
เพี๊ยะ! “ว๊าย คุณ!” ณัฐรินีย์ได้เสียงของแม่เพียงแค่นั้น เพราะหูของเธออื้ออึงจนแทบไม่ได้ยินเสียงรอบกายอื่นใดอีก ฝ่ามือของพ่อไม่ใช่เล็กๆ มันฟาดเข้าที่แก้มและใบหูของเธอเต็มๆ จนหูอื้อไปหมด ส่วนแก้มของเธอก็เจ็บแสบจนรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่คลุ้งอยู่ในโพรงปาก เธอเจ็บ... แต่ซักพักมันก็กลายเป็นความชา ทว่าไม่ใช่เพียงแค่ที่แก้มของเธอเท่านั้น หัวใจเธอก็ไม่ต่างกัน “ไม่รักดี!” เสียงของพ่อสั่นด้วยความโกรธ “ไม่ได้เรื่องซักอย่าง สร้างแต่ปัญหา” “...” “แกไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย” “คุณพ่อคะ อย่าว่าน้องแบบนั้น” เสียงหวานสั่นเครือของใครบางคนดังขึ้น และหลังจากนั้นณัฐรินีย์ก็รู้สึกได้ถึงฝ่ามือเล็กแต่อบอุ่นที่แตะลงบนไหล่ของตัวเอง “เรื่องนี้นิ่ม-“ “นิดขอโทษค่ะ” ณัฐรินีย์เอ่ยขึ้นก่อนพี่สาวที่เกิดจากไข่ใบเดียวกันจะพูดจบ เธอเหลือบตามองใบหน้าที่คล้ายคลึงกันจนแยกไม่ออกเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงเหมือนเดิม “นิดผิดเอง นิดไม่ระวังจนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” “แกมันไม่เคยระวังอะไรซักอย่าง” เสียงของพ่อเกรี้ยวกราดกว่าเดิม "ขับรถไม่แข็งแต่กลับขับออกถนนใหญ่ แล้วนี่พานิ่มไปด้วย ถ้าพี่สาวแกเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไ
“อรุณสวัสดิ์” สิงหาชะงักกึกเมื่อเปิดประตูออกมาแล้วเจอเข้ากับรอยยิ้มแป้นๆ ของใครอีกคนเป็นอย่างแรก ชายหนุ่มทำเป็นไม่ใส่ใจ เดินผ่านร่างเล็กกว่าไปเพื่ออาบน้ำให้ร่างกายตื่นขึ้นมาบ้าง ไม่ได้นอนทั้งคืน ตาเขาคล้ำยิ่งกว่าแพนด้าแล้วละมั้ง ณัฐรินีย์ไม่สนใจท่าทีเย็นชาของอีกฝ่าย เธอเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีไปที่ครัว จัดการทำมื้อเช้าง่ายๆ เหมือนที่สิงหาเคยทำให้กินสองที่ ในจานของสิงหามีปริมาณมากกว่าของเธอเท่าตัว “บาร์บี้ มากินข้าวเร็วสุดสวย” จากนั้นก็เทอาหารเม็ดสูตรดีต่อสุขภาพให้สุนัขแสนรู้ เธอนั่งมองบาร์บี้กินอาหารพลางลูบขนนุ่มๆ อยู่หลายนาที จนกระทั่งได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดออก “มื้อเช้าเรียบร้อยแล้วนะ” “อืม” รับคำแค่นั้นก่อนจะเลี่ยงเข้าไปแต่งตัว วันนี้สิงหาแต่งตัวด้วยเสื้อกล้ามสีขาว สวมทับด้วยเสื้อเชิ๊ตลายสก็อตสีเข้มติดกระดุมด้านล่างเพียงสองเม็ดแล้วยัดชายเสื้อเข้าในกางเกง ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์พอดีตัว ผมหยักศกยาวประบ่าถูกมัดไว้ตรงท้ายทอย หนวดยาวถูกตัดสั้นลงเพียงเล็กน้อยให้เข้าทรง เสริมลุคให้ดูเป็นหนุ่มเซอร์น่าค้นหา ยิ่งมีรอบดวงตาที่คล้ำๆ ยิ่งทำให้เซอร์เข้าไปใหญ่ แต่ถ้าจะมองว่าน่ากล
“เป็นยังไง?”ดวงตาสุกสกาวจ้องมองท่าทีของคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอย่างลุ้นละทึก ทันทีที่ปลายช้อนสีเงินแตะที่ปากบางเธอก็ไม่เป็นอันทำอะไร เอาแต่จ้องมองท่าทีของสิงหาจนชายหนุ่มรู้สึกอึดอัด“อร่อยไหม?”“ไม่”“อ้าว...” ดวงตาที่เคยใสแจ๋วพลันหมองลง ณัฐรินีย์มองแกงจืดวุ้นเส้นหมูสับที่อยู่ในถ้วยด้วยความเสียดาย ขนาดอาหารง่ายๆ แค่นี้เธอยังทำให้ดีไม่ได้แบบนี้อีกไม่นานคงถูกเฉดหัวกลับบ้านแน่นอนมันคงจะแปลกน่าดูที่ณัฐรินีย์ไม่อยากกลับบ้าน แต่ถ้าใครมาเจอแบบเธอก็คงไม่อยากกลับเหมือนกัน... กลับไปก็คงไม่แคล้วถูกผู้ให้กำเนิดต่อว่าให้ช้ำใจ ยกเอาความสำเร็จของพี่สาวร่วมไข่ใบเดียวกันมาทับถมเธอให้จมดิน เธอไม่ได้เก่งจนสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ได้ตั้งแต่อายุสิบห้าเหมือนพี่นิ่ม ไม่ได้มีกิริยาเรียบร้อยอ่อนหวานและเป็นแม่บ้านแม่เรือนได้อย่างพี่นิ่ม ไม่ได้เป็นหน้าเป็นตาให้กับวงศ์ตระกูลได้เหมือนพี่นิ่มนอกจากหน้าตาที่เหมือนกันแล้ว เธอกับพี่นิ่มแตกต่างกันราวกับฟ้าและเหว คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าใครคือฟ้า และใครคือเหว...“ไม่อร่อย แต่กินได้”สิงหาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องพูดแบบนั้น ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะพูดให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจจนต้องหนีก
ณัฐรินีย์วิ่งวุ่นตั้งแต่เช้าตรู่ เธอตื่นนอนตอนตีสาม ช่วยงานในครัวถึงตีห้าก็กลับมาทำความสะอาดบ้านและเตรียมมื้อเช้าให้เจ้าของบ้าน หลังจากจัดการมื้อเช้าเสร็จเธอก็ต้องไปดูแลหมูต่อ งานในคอกหมูทั้งเหนื่อยทั้งเหม็น แต่โชคดีที่พักหลังมานี้เธอมีผู้ช่วยที่ทำให้เหนื่อยน้อยลงไปได้บ้าง “ลุงมิ่ง” ผู้ช่วยที่ว่าก็ไม่ใช่คนอื่นไกล ลุงมิ่ง สามีของป้าผ่องนั่นเอง “ตรงนั้นหนูนิดทำเองค่ะ” “ไม่เป็นไร ลุงทำได้” “หนูนิดเกรงใจ แค่มาช่วยก็ขอบคุณมากแล้วค่ะ” “อย่าเกรงใจเลย งานที่คอกวัวคนทำเยอะแยะ บ่ายหน่อยก็เสร็จแล้ว ลุงว่างไม่มีอะไรทำก็เบื่อ” นั่นคือเหตุผลที่ลุงมิ่งมาช่วยงานเธอ ณัฐรินีย์เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันก่อนว่าปกติแล้วการเลี้ยงสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นเป็ดไก่หรือวัวล้วนแล้วแต่มีคนดูแลสามถึงห้าคนทั้งนั้น มีที่คอกหมูที่เดียวที่เธอต้องดูแลคนเดียว นายสิงห์ตั้งใจให้เธอทำงานหนัก คงอยากให้เธอเหนื่อยจนทนไม่ไหว แต่พอดีว่าณัฐรินีย์ไม่ใช่ลูกคุณหนูมือบาง สมัยอยู่อเมริกาเธอทำงานเยอะเพราะติดนิสัยอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นการเลี้ยงหมูไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย หัวหมุนนิดหน่อยแต่ก็สนุกดี “หนูนิดไม่เคยได้ไปที่คอกวัวเลยค่ะ” “ไม่ต่
“ไม่... อื้อ!” เสียงใสที่ร้องห้ามเงียบหายไป พร้อมกับมือบางที่ยกขึ้นปิดกั้นริมฝีปากตัวเองกับริมฝีปากของคนด้านบนไว้ได้ทันก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิด “จิ๊!” คนเมาจิ๊ปากขัดใจ เมื่อไม่ได้ลิ้มรสริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อที่ต้องการ ถึงแม้มือที่กางกั้นอยู่จะนุ่มน่าสัมผัสไม่น้อย แต่เขาต้องการริมฝีปากคู่นั้นมากกว่า ต้องการ อย่างที่ไม่เคยต้องการกับใครมาก่อน สิงหาโทษว่ามันเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่กินเข้าไป เขาถึงควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้ “นิดจะไม่เป็นตัวแทนของใครทั้งนั้น” เสียงใสอู้อี้เล็กน้อย แต่ก็แฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยวจนคนหัวเสียเผลอชะงักงัน “ไลลา” “ไม่ใช่” “ไล-“ “นิดไม่ใช่ไลลา! มองหน้านิดสินายสิงห์!” ณัฐรินีย์ตะโกนเสียงดัง ฝ่ามือเย็นเฉียบแปะลงบนแก้มสากทั้งสองข้าง บังคับให้ดวงตาคมจ้องมองมาที่ตัวเอง “นิดไม่ใช่ไลลา” “...” “นิดคือ...” “...หนูนิด” หัวใจดวงน้อยเต้นรัว เป็นครั้งที่สองแล้วที่เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อเล่นของเธอแบบนี้ ครั้งแรกเขาเรียกเพื่อทำให้เธอสงบลงจากอาการกลัวกระต่าย ทว่าครั้งที่สองเขากลับทำให้เธอใจเต้นแรงเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง “หนูนิดคือใคร?” “คือหนูนิด” สิงหาตอบตามที
กลับมาที่เกาะได้ไม่ถึงเดือน สองสามีภรรยาก็ต้องขึ้นฝั่งอีกครั้ง ทั้งคู่บินตรงไปกรุงเทพฯ และเดินทางต่อไปที่โรงพยาบาลโดยไม่หยุดพัก เมื่อเช้าสิงหาได้รับสายจากนิโคลัส แต่นิโคลัสไม่ได้เป็นคนคุย เขายื่นโทรศัพท์ให้คุณหญิงสุดา เธอรับไว้แล้วบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ลูกสาวและลูกเขยรู้ “พ่อเขาหมดสติ หัวใจหยุดเต้น ดีที่ยังอยู่ที่โรงพยาบาลเลยกู้ชีพกลับมาได้ แต่หมอบอกว่าพ่อเขาต้องทำบายพาสหัวใจ เพราะตรวจเจอเส้นเลือดตีบสามเส้น” ณัฐรินีย์ใจหายวาบ เร่งเร้าให้สิงหาหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด ก่อนจะพากันกระหืดกระหอบมาถึงโรงพยาบาลช่วงบ่ายแก่ เปิดประตูห้องพิเศษเข้าไปก็เจอกับคุณหญิงสุดาที่นั่งอยู่ข้างเตียง ถัดไปเป็นนิโคลัส และใกล้กันกับนิโคลัสคือณัฐริกา “พี่นิ่ม” “หนูนิด” สองพี่น้องโผเข้ากอดกันด้วยความคิดถึง ณัฐริการ้องไห้ออกมาเพราะไม่ได้เจอหน้าน้องสาวมาหลายปี เธอคิดถึงหนูนิด แต่ยิ่งคิดถึงเธอก็ยิ่งละอายใจ เพราะถ้าหนูนิดไม่ช่วยเธอไว้วันนั้น น้องสาวเธอคงไม่ถูกส่งไปไกลจากบ้านแบบนี้ “คิดถึง” “นิดก็คิดถึงพี่นิ่ม” แฝดน้องผละออก มองสำรวจพี่สาวที่ดูมีน้ำมีนวลขึ้นด้วยสายตารักใคร่ “ดูผุดผ่องขึ้นนะคะ ไปทำอะไรมา”
“พี่สิงห์” ร่างบอบบางถลาเข้าหาอ้อมกอดของสามี พออ้อมแขนอบอุ่นโอบรัด น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลลงมาเป็นทาง ณัฐรินีย์ไม่ใช่คนเข้มแข็ง เธอเป็นเพียงคนๆ หนึ่งที่มีความรู้สึกเปราะบางเหมือนมนุษย์ทั่วไป เธอร้องไห้หลายครั้งแต่ไม่มีใครเห็น เธอเจ็บปวดเป็นพันครั้งแต่ไม่มีใครมาสนใจ ความเจ็บปวดซ้ำๆ ทำให้เธอต้องสร้างกำแพงขึ้นมา ทำเหมือนว่าตัวเองคือคนที่มีจิตใจแข็งแกร่งกว่าใคร เจ็บแค่ไหน เสียใจแค่ไหนก็ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น แต่วันนี้เธอรู้แล้วว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งเสมอไป ถ้ามีอ้อมกอดที่พร้อมกอดก็อย่าลังเลที่จะรับมัน ถ้ามีอกกว้างให้ซับน้ำตาก็อย่าลังเลที่จะร้องไห้ออกมา บางทีการร้องไห้อาจจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในใจได้บ้าง... ไม่มากก็น้อย “ไม่เป็นไรนะ” คำพูดสั้นๆ พร้อมกับมือที่ลูบเส้นผมเบาๆ ทำให้ณัฐรินีย์ปล่อยโฮ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอร้องไห้ขนาดนี้ ร้องเหมือนว่าโลกใบนี้กำลังจะแตกสลาย ร้องเหมือนว่าจะไม่มีพรุ่งนี้ให้ร้องอีก เธอร้องจนปวดหัว ร้องจนหูอื้อ ร้องจนเสื้อที่สิงหาใส่เปียกชื้น แต่ถึงอย่างนั้นอ้อมแขนแกร่งก็ไม่ปล่อยให้เธอห่างกาย คุณหญิงสุดามองภาพนั้นทั้งน้ำตา นานแค่ไหนแล้
เพี๊ยะ!! ใบหน้างดงามหันตามแรงฟาดของฝ่ามือ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตัวแข็งค้าง สิงหาตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพความรุนแรงแบบนี้ ส่วนคนเป็นแม่ก็ไม่คิดว่าลูกจะถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายร่างกายอีกครั้ง “ลูกไม่รักดี!!!” “คุณคะ!” “เลี้ยงเสียข้าวสุก! แกมันไม่รักดี ไม่เคยทำให้ฉันกับแม่แกภูมิใจเลย! ต้องให้ฉันตบตีแกอีกกี่ครั้งแกถึงจะคิดได้ห้ะ!” สิงหากำมือแน่น เขาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเอง ต้องมาเห็นเมียถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายแบบนี้เขารับไม่ได้จริงๆ ยิ่งรู้ว่าไม่ใช่ครั้งแรกแบบนี้... ถึงเขาจะเลวแต่เขาไม่เคยคิดลงมือทำร้ายผู้หญิงเลยซักครั้ง แม้แต่ณัฐรินีย์เองเขาก็ไม่เคยตบตี ต่อให้ตอนที่ยังไม่ได้รักเขาก็ไม่คิดจะทำ แล้วทำไมพ่อแท้ๆ ถึงทำกับลูกได้ขนาดนี้ “คุณพ่อครับ” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น สิงหาหันกลับไปมอง ดวงตาเขาแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นใคร “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” “ให้พ่อใจเย็นได้ยังไงนิค ลูกนิ่มก็หายตัวไป ส่วนคนที่อยู่ก็ไม่มีประโยชน์” ท้ายประโยคคุณหมอกระแทกกระทั้นใส่ลูกสาวที่ตนเองเพิ่งลงมือทำร้ายร่างกายไป ณัฐรินีย์ไม่ต่างจากถูกทำร้ายร่างกายและเหยียบย่ำความรู้สึกซ้ำๆ เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นที่ต้องการ
“นิโคลัสมันแต่งงานกับพี่สาวฝาแฝดของเมียแก” “พี่สาวฝาแฝด!?” สิงหาตกใจจนคำพูดของเพื่อนเกือบไม่เข้าหู พี่สาวฝาแฝด เขาเพิ่งรู้ว่าเมียตัวเองมีพี่สาวฝาแฝด “อืม หน้าเหมือนกันอย่างกับคนเดียวกัน ฉันเกือบสับสนไปแล้ว” “ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ตอนที่สิงหาสืบข้อมูลของณัฐรินีย์เพื่อแก้แค้นเขาไม่ได้สนใจครอบครัวของเธอเลย เขาสนแค่ถ้าจับเธอมาได้ครอบครัวเธอจะต้องเสียใจจนกระอักเลือดเพราะยังไงณัฐรินีย์ก็คือลูก และเพราะความไม่รอบคอบของเขานี่เอง เขาถึงไม่เคยรู้เลยว่าการจับตัวณัฐรินีย์มามันทำอะไรครอบครัวนั้นไม่ได้เลย และที่สำคัญ...หนูนิดของเขามีพี่สาวฝาแฝด บางอย่างที่ยังค้างคาอยู่ในใจเหมือนถูกปลดล็อก สิงหาถึงบางอ้อทันทีเมื่อรู้ว่าณัฐรินีย์มีพี่สาวฝาแฝด ถ้าหากคืนนั้นเธอไม่ได้ขับรถชนเขา คนที่ชนก็น่าจะเป็นพี่สาวเธอ เพราะวันนั้นเขาเห็นหน้าคนขับ และเขาจำได้ว่าใบหน้านั้นเหมือนกับณัฐรินีย์ราวกับแกะ “แล้วยังไงต่อ” “เมียแกกลับไปอยู่บ้าน ฉันไม่รู้มากกว่านี้ แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ” ราฟาเอลสะอึกเมื่อเห็นแววตาวาววับของเพื่อนสนิท เขากระแอมไอ รีบแก้คำพูดก่อนจะโดนดีดออกจากห้องโทษฐานบอกว่าเมียของมันไม่สำคัญ “ที่จริงแล้วเรื่อ
สิงหาฝัน... เขาฝันว่าตัวเองทะเลาะกับณัฐรินีย์ด้วยเรื่องที่เธอโกหกเขา เธอไม่ได้เป็นคนขับรถชนเขาเพราะเธอขับรถไม่เป็น แม้แต่พวงมาลัยเธอยังไม่เคยจับมันมาก่อน ลึกๆ แล้วสิงหาดีใจที่รู้แบบนั้น แต่เขาก็เสียใจอยู่ดีที่เธอเลือกที่จะปกปิดและโกหกมาตลอด เพราะถ้าหาก... ถ้าหากว่าเขาเลวกว่านี้อีกซักนิด แล้วเผลอทำอะไรรุนแรงกับคนบริสุทธิ์ลงไป เขาคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นในความฝันก็ยังมีเรื่องราวดีๆ ซ่อนอยู่ เขาได้ยินคำบอกรักจากเธอเป็นครั้งแรก ที่จริงจะเรียกว่าครั้งแรกก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะเขาเคยได้ยินคำนั้นในวันแต่งงานของเรา เพียงแต่เขาไม่กล้าเข้าข้างตัวเองว่าเธอพูดมันจากความรู้สึกจริงๆ บรรยากาศในวันนั้นมันเป็นใจเกินไป ณัฐรินีย์อาจจะพูดเพียงเพราะสถานการณ์พาไป ทว่าครั้งนี้สิงหาเชื่อสนิทใจ แม้จะเป็นแค่เพียงคำพูดในความฝัน แต่สิงหากลับรู้สึกยินดีเหลือเกินที่ได้ยินมัน และมันก็ทำให้หัวใจที่ปิดตายมานานสั่นคลอน ความรู้สึกภายในมันร่ำร้องบอกออกมาว่าตัวเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขารักหนูนิด น่าเสียดายที่ในฝันนั้นสิงหาไม่ได้บอกกลับไป เขาได้แต่เตือนตัวเองซ้ำๆ ว่าถ้าตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่จ
บรรยากาศภายในรถเงียบงันเมื่อสิงหาไม่ได้พูดอะไร เขาไม่แม้แต่จะเปิดเพลงคลอเหมือนขามาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มใช้มือเพียงข้างเดียวบังคับพวงมาลัย ไม่ถึงสองนาทีรถราคาไม่แพงนักก็เลี้ยวเข้าโรงแรมระดับสามดาวที่ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ “ที่จริงเราน่าจะพักที่โรงพยาบาล” ณัฐรินีย์ออกความเห็น แต่ก็เข้าใจว่าสิงหาไม่ได้เจ็บป่วยหนักอะไร ถ้าต้องพักที่โรงพยาบาลมันก็เหมือนกระต่ายตื่นตูมไปหน่อย สิงหาไม่ได้ตอบอะไร เขาลงจากรถ หยิบของจากเบาะหลัง ก่อนจะส่งกุญแจให้พนักงานรักษาความปลอดภัยพร้อมกับทิปจำนวนหนึ่ง ณัฐรินีย์ก้าวลงจากรถอย่างงุนงง เธอเดินตามหลังสิงหาเข้าไปในโรงแรมก็พบว่าเขาเช็กอินเรียบร้อยแล้ว “ห้องอยู่ชั้นสาม ห้อง 303 นะคะ ออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวขวาได้เลยค่ะ” สิงหารับคีย์การ์ดมาถือไว้ เขาไม่ได้ตอบอะไร เมื่อได้ของที่ต้องการก็เดินจ้ำอ้าวไม่แม้แต่รอเมียที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังมา “พี่สิงห์!” ณัฐรินีย์หอบแฮ่ก “ปวดแขนมากเหรอถึงได้รีบเดินขนาดนี้” “...” “พี่สิงห์ ทำไมไม่พูดกับนิด” “...” “พี่สิ-“ ติ๊ง “ไว้ไปคุยกันในห้อง” ณัฐรินีย์ชาไปทั้งตัวเมื่อน้ำเสียงของสิงหาไม่ได้อบอุ่นเหมือนเคย หรือถ้าพูดให้ถูกคือน้ำเสียงข
หลังจากเคี่ยวกรำเมียมาเป็นอาทิตย์สิงหาก็เกือบน้ำตาตกใน เมื่อวันหนึ่งณัฐรินีย์เดินเข้ามาบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ ว่า “พี่สิงห์ คืนนี้ห้ามกวนนิดนะ พอดีว่าน้องแดงเดือดมา” สิงหาเข่าอ่อน เขาเคยคิดว่าตัวเองน้ำยาดีพอ แต่นี่เขาไม่ได้ป้องกันมาเกือบเดือนแล้ว ทว่าก็ยังไม่มีทีท่าว่าเมียเขาจะตั้งท้องเสียที ยืนยันได้จากน้องแดงเดือดที่มาตรงเวลาจนน่าโมโห บางทีเขาก็ไม่เข้าใจ กับครอบครัวที่พร้อมมากๆ ทั้งอายุและการเงินอย่างเขาและณัฐรินีย์กลับยากที่จะมีลูก แต่กับเด็กๆ ที่พลาดจนตั้งท้องเป็นว่าเล่นกลับมีอย่างง่ายดาย และสุดท้ายเด็กทารกที่ไม่รู้อะไรก็มักจะถูกทอดทิ้งเสมอ เหมือนกับเขาที่ถูกทิ้งไว้หน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่แบเบาะ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่เป็นใคร พ่อเป็นใคร รู้แค่ตัวเองเป็นลูกครึ่ง แต่ครึ่งอะไรสิงหาไม่เคยคิดอยากจะหาคำตอบ ตอนเด็กๆ เขาถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อว่าแม่เขาเป็นผู้หญิงขายบริการ มีลูกกับแขกแล้วเลี้ยงไม่ไหวเลยเอาเขามาทิ้งเป็นภาระให้กับคนอื่น แต่พอเขาเอาเรื่องไปเล่าให้แม่ครูฟังแม่ครูก็ทำเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วบอกว่าซักวันแม่จะกลับมารับเขาไปอยู่ด้วย นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่สิงหารู้จักคำว่า
“อื้อ”เจ้าสาวคนสวยครางในลำคอเบาๆ เมื่อแผ่นหลังสัมผัสเข้ากับฟูกนุ่มที่โรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดงสด สิงหาค่อยๆ ปลดแขนเรียวที่เกี่ยวรั้งต้นคอตนเองออก ก่อนจะขยับออกห่างจากเจ้าสาวที่นอนทอดกายมองมาไม่วางตาดวงตาสุกสกาวมองตามสามีตามประเพณีที่ขยับออกห่างด้วยหัวใจที่เรียบสนิท ทั้งๆ ที่เหมือนกำลังจะถูกทอดทิ้งแต่ณัฐรินีย์กลับไม่รู้สึกเสียใจ เพราะเธอมั่นใจว่าเขาจะกลับมาและสิงหาก็กลับมาจริงๆ“หนูนิด” สิงหาเรียกเจ้าสาว ก่อนจะช่วยพยุงให้ร่างบอบบางลุกขึ้นนั่งดีๆ “พี่ให้”“มันคือ?”“แหวนวงแรกที่พี่เก็บเงินซื้อได้” สิงหาหมุนแหวนราคาไม่กี่หมื่นให้ณัฐรินีย์ดู เพชรเม็ดเล็กๆ ที่ฝังอยู่ในเนื้อแหวนส่องประกายล้อแสงไฟจากตะเกียงจนวาววับ “ตอนเรียนจบ พี่นึกอยากมีเครื่องประดับก็เลยเอาเงินเก็บที่ทำงานช่วงเรียนมาซื้อ ตั้งใจว่าจะเก็บมันไว้ต่อให้อดอยากแค่ไหน เพราะมันคือสมบัติชิ้นแรกที่พี่มี”“แล้วทำไมถึงให้นิด ของสำคัญแบบนี้พี่สิงห์ควรเก็บไว้ที่ตัวเอง”สิงหาเงยหน้าจากแหวนขึ้นมองใบหน้าของเจ้าสาว มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงนุ่มทุ้มว่า “ของสำคัญ ก็ต้องอยู่กับคนสำคัญ”“พี่สิงห์ นิดไม่ชิน” ณัฐรินีย์ก้มหน้าหลบ
พิธีการแต่งงานของเกาะตะวันฉายไม่ได้อิงกับศาสนาหรือพิธีของประเทศไหนเป็นหลัก เพราะที่นี่เป็นเกาะ เปรียบเสมือนแผ่นดินเล็กๆ ที่แยกตัวออกมาจากแผ่นดินหลัก ทำให้วิถีการใช้ชีวิตหรือความเชื่อของคนบนเกาะต่างจากคนทั่วไป อย่างเช่นผู้คนที่นี่ไม่นับถือศาสนา ไม่ได้เชื่อคำสอนของใคร พวกเขาแค่เชื่อในตัวเอง และมีที่พึ่งทางใจเป็นพ่อปู่ที่ไม่มีตัวตนเท่านั้น ณัฐรินีย์ถูกสิงหาจับจูงไปตรงส่วนทำพิธี ที่ตรงนั้นถูกจัดให้อยู่ในทะเลที่สูงระดับครึ่งหน้าแข้ง มีซุ้มดอกไม้สีขาวตั้งเด่น ไม่มีบาทหลวง ไม่มีคนทำพิธี เพราะสิงหาเคยบอกว่าการแต่งงานมันคือเรื่องราวของคนสองคน ไม่จำเป็นต้องมีใครมากำกับ มีเพียงแค่น้ำทะเลที่เหมือนเหมือนชีวิตและจิตวิญญาณโอบล้อมไว้ก็เพียงพอแล้ว บ่าวสาวหยุดลงเมื่อลุยน้ำไปจนถึงหน้าซุ้มดอกไม้ ทั้งคู่หันกลับไปมองบนฝั่ง ชาวบ้านนับร้อยยืนมองคู่แต่งงานอยู่บนนั้น ไม่มีใครเข้ามาใกล้ และจะไม่มีใครได้ยินว่าทั้งสองคนพูดคุย หรือให้คำสัญญาอะไรต่อกัน สมกับที่สิงหาบอก การแต่งงานบนเกาะตะวันฉายคือเรื่องของคนแค่สองคนเท่านั้น สิงหาเลิกสนใจผู้มาร่วมงาน เขาหันกลับมามองเจ้าสาวของตนเอง ทั้งคู่ยืนหันหน้าเข้าหากัน มือบา