สิงหาออกคำสั่งให้นักโทษสาวเอาเสื้อผ้าที่เปียกชื้นไปตากไม่ใกล้ไม่ไกลจากน้ำตกเท่าไหร่ เพราะที่นี่เป็นทางผ่านที่เธอต้องใช้เดินกลับบ้านหลังจากทำงานที่เขามอบหมายให้เสร็จ จึงไม่ต้องเดินลงไปตากผ้าที่บ้านและเสียเวลาเดินกลับขึ้นมาใหม่ ไว้เก็บไปทีเดียวตอนกลับบ้านจะสะดวกและเสียเวลาน้อยกว่า
“เสร็จหรือยัง?” หนุ่มหนวดยาวยืนกอดอกหันไปทางอื่น เขาตั้งใจไม่มองไปที่เสื้อผ้าของเธอ ผู้หญิงอะไร กล้าตากชุดชั้นในประเจิดประเจ้อไม่กลัวใครมาเห็นเข้าแบบนี้ หน้าไม่อาย... จริงๆ แล้วตรงนี้ไม่มีทางที่ใครจะมาเห็นได้นอกจากเขา ซวยจริงๆ แบบนี้กลับบ้านไปเขาต้องล้างตาด้วยน้ำเกลือหรือเปล่า? “เสร็จแล้วจ้า” คนที่สดชื่นเพราะเพิ่งอาบน้ำมาตอบเสียงหวานจ๋อย และหลังจากนั้นสิงหาก็สะดุ้งโหยง เพราะจู่ๆ แขนก็ถูกจับหมับเข้าเต็มๆ มือ “ขี้ตกใจจัง” สิงหากระแอมไอ เขาเสมองไปทางอื่น ไม่สนใจรอยยิ้มแปลกๆ ของเธอ “มัวแต่เล่น ทำงานเสร็จช้าก็ไม่ได้กินข้าวหรอกนะ” เสียงทุ้มดุปนขู่ คนขี้เล่นหน้าจ๋อยสนิท พอพูดถึงข้าว เธอก็หิวข้าวขึ้นมาจนท้องร้องโครกคราก เรียกรอยยิ้มเล็กๆ จากคนหนวดยาว ก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างรวดเร็วโดยที่ณัฐรินีย์ไม่มีโอกาสได้เห็น “ทำงานก่อนถึงจะได้กิน” พูดจบ สิงหาก็เดินนำไปอีกทางหนึ่ง ณัฐรินีย์ไม่มีทางเลือก เธอเดินตามแผ่นหลังกว้างไปตามทางที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดคนที่เดินนำก็หยุดฝีเท้าลง “ป้าผ่อง” “อ้าว มาแล้วหรือ?” เสียงที่คุ้นเคยเหมือนเคยได้ยินมาก่อนทำให้หญิงสาวชะโงกหน้าออกไปดู ก่อนจะร้องอ๋อขึ้นในใจ เพราะจำได้ว่าคุณป้าคนนี้คือคนที่เข้ามาทักนายสิงห์เมื่อคืน “นอนหลับสบายไหมจ๊ะคุณ?” “สบายดีค่ะ เอ่อ...” “เรียกป้าผ่องตามนายสิงห์นั่นแหละจ้ะ” คนมีไมตรีเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเข้าไปจูงมือบางให้ออกมาจากเงาดำใหญ่ๆ ของนายสิงห์ เพื่อที่จะได้พูดคุยกันได้สะดวก “แล้วคุณชื่ออะไรจ๊ะ?” “หนูนิดค่ะ ป้าผ่องเรียกแค่หนูนิดหรือนิดก็พอนะคะ อย่าเรียกคุณเลย” “แต่ว่าคุณ...” “เรียกตามนั้นแหละป้าผ่อง เธอไม่ใช่แขกของที่นี่ ไม่ต้องให้เกียรติมากก็ได้” เสียงทุ้มที่เอ่ยขัดทำให้ผ่องไม่กล้าขัดใจ ที่จริงแล้วบนเกาะนี้ไม่มีใครกล้าขัดใจนายสิงห์คนนี้ ไม่เว้นแม้แต่เธอ “ก็ได้จ้ะ หนูนิด ชื่อน่ารักเชียว” “เลิกคุยกันได้แล้ว” เป็นอีกครั้งที่สิงหาเอ่ยขัดขึ้น เขาไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่เห็นป้าผ่องเอ็นดูผู้หญิงคนนี้ เธอเป็นนักโทษ ไม่ควรได้รับความใจดีจากใครทั้งนั้น “พาเธอไปทำงานที งานที่ฉันบอกไว้เมื่อวันก่อน” “แต่งานนั้นมันงานของ...” “ป้าผ่อง” สิงหากดเสียงต่ำ และนั่นทำให้ป้าผ่องไม่กล้าพูดอะไรอีก หญิงวัยห้าสิบกว่ายอมศิโรราบให้ผู้ชายตัวใหญ่กว่าที่อายุรุ่นราวคราวลูกอย่างง่ายดาย และนั่นสร้างความไม่พอใจให้กับคนที่อยู่ในเหตุการณ์อีกคนหนึ่ง แต่ยังไม่ทันทีที่เธอจะได้พูดอะไร สิงหาก็ก้าวไปอีกทางและหายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว “นิสัยไม่ดี” “เอ๊ะ หนูนิดว่าใครหรือลูก?” ผ่องเอ็นดูหนูนิดคนนี้มากทั้งๆ ที่ได้เจอกันไม่นาน ผู้หญิงอะไรหน้าตาสะสวย น่ารักจิ้มลิ้มไปหมด ตัวก็เล็กนิดเดียว ผิวก็ขาวผ่องยิ่งกว่าหยวกกล้วย เสียงก็หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งเดือนห้า แต่ท่าทางดูทะมัดทะแมงไม่ได้อ่อนปวกเปียกเหมือนรูปร่างหน้าตาซักนิด “ลุงสิงห์น่ะค่ะ นิสัยไม่ดีเลย พูดจาไม่น่ารัก” “ลุง?” ผ่องปิดปากขำ ไม่เคยได้ยินใครเรียกสิงหาแบบนี้มาก่อน “นายสิงห์ปากร้ายแต่ใจดีจ้ะ” “มันไม่เมคเซ้นเลยค่ะ คนเราสามารถใจดีได้โดยไม่ต้องปากร้ายนะคะ แต่สงสัยนายสิงห์ของป้าผ่องจะไม่รู้” อารมณ์ขุ่นเคืองพุ่งสูงกว่าเดิม เพราะแม้แต่ป้าผ่องยังเข้าข้างนายคนนั้น เธอไม่รู้หรอกว่านายสิงห์เป็นอะไรของที่นี่ แต่ดูจากท่าทางที่ป้าผ่องปฏิบัติด้วยก็คงไม่แคล้วหัวหน้าเผ่า หัวหน้าหมู่บ้านอะไรทำนองนั้น แต่ถึงเป็นหัวหน้าใช่จะข่มใครได้ไปทั่วนี่ อย่างน้อยป้าผ่องคนนี้ก็น่าจะอายุเท่าแม่ของเขา มาทำเสียงดุใส่แบบนั้นมันใช้ได้ที่ไหนกัน ผ่องฟังหนูนิดพูดไม่รู้เรื่อง หนูนิดพูดเร็วและมีภาษาอังกฤษที่คนเกาะอย่างผ่องไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก หญิงวัยห้าสิบเศษจึงทำได้แค่ยืนยิ้ม รอให้หนูนิดอารมณ์ดีขึ้น ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นาน “หิวแล้วค่ะ หนูนิดต้องทำงานอะไรก่อนคะถึงจะได้กินข้าว?” “อ๋อ ตามป้ามาทางนี้เลยจ้า” . . อู๊ด อู๊ด นี่มัน... อู๊ดดด “หมู?” “ใช่แล้วหนูนิด นี่เป็นหมูที่เกาะเราเลี้ยงไว้ทำอาหาร อ้วนดีไหมล่ะ?” “ค่ะ...” ณัฐรินีย์ตอบพลางกวาดตามองหมูตัวขาวอมชมพูอ้วนกลมที่ยืนอยู่ในคอกกว่ายี่สิบตัว ไม่รวมตัวเล็กๆ ที่ปะปนอยู่อีกมากกว่าสิบตัว และอีกคอกที่เป็นหมูสีผิวคล้ำ ถ้าให้เดานั่นคงเป็นหมูป่า นี่มันฟาร์มหมูหรือยังไง? “นอกจากหมูแล้วเรายังมีเป็ด ไก่ วัว ส่วนปลาเราออกเรือจับในทะเลได้ แล้วก็มีสวนผักผลไม้ที่กว้างมาก กินเท่าไหร่ก็ไม่หมดด้วยนะ” “ที่นี่ไม่ได้นำเข้าอะไรเลยหรือคะ?” “นำเข้า? อ๋อ... ขนของมาจากฝั่งน่ะหรือ? ไม่จำเป็นหรอก ในเมื่อเราเลี้ยงเองได้ จะเสียเงินให้คนอื่นทำไม แนวคิดนี้เป็นของนายสิงห์เขาจ้ะ” สายตาของคนพูดเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ นายสิงห์คงเป็นคนที่คนบนเกาะนี่รักและเคารพมาก มิน่า... ถึงได้กร่างแบบนั้น “ที่กินไม่หมดเพราะมีคนน้อยเหรอคะป้า?” ณัฐรินีย์ตะล่อมถาม ตั้งแต่มาที่นี่เธอเจอสิ่งมีชีวิตแต่สามสิ่ง หนึ่งคือนายสิงห์ สองคือป้าผ่อง และสามคือหมูพวกนี้ จนเธอชักไม่แน่ใจแล้วว่าเกาะนี้มีคนอื่นอยู่อีกหรือเปล่า “น้อยที่ไหนกัน ไม่น้อยหรอก แต่คนที่นี่เขาขยัน กินไม่เคยทันที่ปลูกที่เลี้ยงไว้ก็เท่านั้น” “อ๋อ... แบบนี้นี่เอง” ณัฐรินีย์รีบเก็บข้อมูลอย่างรวดเร็ว เธอจดจำไว้จนขึ้นใจว่าบนเกาะนี้ไม่มีได้มีแค่เธอ ป้าผ่อง และนายสิงห์อาศัยอยู่ แต่มีผู้คนอีกมากมายที่นายสิงห์ตั้งใจไม่ให้เธอได้พบเจอ “แล้วหนูนิดต้องทำอะไรคะ?” “วันนี้คนอื่นเขาให้อาหารหมูไปแล้ว หน้าที่ของหนูนิดคือเก็บคอกหมูให้สะอาดจ้ะ ล้างขี้หมู ล้างตัวหมูด้วย” “ล้างขี้หมู...” หญิงสาวอยากอ้อนวอนต่ออะไรก็ได้ให้เธอแค่หูฝาดหรือแค่ฝันไป แต่ใบหน้าที่ขยับขึ้นลงด้วยรอยยิ้มนั้นทำให้เธอเลิกหวังอะไรลมๆ แล้งๆ ทันที ล้างคอกหมู คงไม่ยากเท่าตอนเรียนพิเศษเพื่อเตรียมสอบเข้าหมอหรอกมั้ง... หญิงสาวพยักหน้ากับตัวเองเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจ เธอถามวิธีการทำจากป้าผ่อง ก่อนจะเริ่มลงมือทำเองโดยไม่ปริปากบ่นออกมาซักคำ กลิ่นของเสียจากหมูทำให้เธออยากจะเป็นลม แต่พอนานไปมันก็ชินจนเหมือนว่าจมูกของเธอได้ตายด้านไปเสียแล้ว หญิงสาวที่ป้าผ่องคิดในใจว่าตัวเล็กนิดเดียวสามารถล้างคอกหมูเกือบสิบคอกเสร็จภายในสองชั่วโมงไม่ขาดไม่เกิน “เหนื่อย!” พอหมดคอกสุดท้ายณัฐรินีย์ก็เริ่มรู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้ว่าเธอจะอาบน้ำมาทำไม ในเมื่อตอนนี้เสื้อผ้าเธอเปียกชื้นไปหมดแล้ว “เก่งนี่” หญิงสาวสะดุ้งโหยง เผลอหันสายยางไปทางต้นเสียงจนอีกฝ่ายเปียกไปครึ่งตัว “อุ้ย! ขอโทษ…” ณัฐรินีย์รีบสะบัดสายยางทิ้ง เธอเอ่ยขอโทษด้วยท่าทางสำนึกผิด ทั้งๆ ที่ในใจรู้สึกลิงโลดที่สามารถทำอะไรบางอย่างกับผู้ชายคนนี้ได้บ้าง ใช้เธอดีนัก ต้องโดนแบบนี้นั่นแหละ สิงหามองร่างกายของตัวเองที่เปียกไปครึ่งตัวอย่างหัวเสีย เขาแค่จะแวะมาดูผลงาน กลับต้องเปียกปอนเหมือนลูกหมาตกน้ำก็ไม่ปาน แล้วนั่นอะไร... คนต้นเหตุเอ่ยขอโทษทั้งๆ ที่พยายามกลั้นยิ้มเอาไว้ คิดว่าเขาไม่เห็นหรือยังไง? “ไม่ต้องกินข้าวดีไหม?” “ได้ยังไง!” เสียงใสโวยวายทันที เธอทำงานเสร็จแล้วนะ ไม่ให้เธอกินข้าวไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ? “ถ้านายกลับคำแปลว่านายไม่ใช่ลูกผู้ชาย!” “อ๋อ... เพิ่งรู้ว่าลูกผู้ชายเขาวัดกันตรงนี้ ไม่ใช่ตรงนั้น” “ตรงไหน!” “ตรงที่เธอไม่มี” คิ้วสวยขมวดเข้าหากันแน่น ความหิวจนตาลายทำให้หญิงสาวคิดตามสิงหาไม่ทัน “ไปล้างมือ จะพาไปกินข้าว” “เอ๊ะ! หนูได้กินข้าวเหรอลุง!” สาบานได้ว่าหางตาสิงหาเห็นเหมือนว่าบั้นท้ายของเธอมีหางยาวๆ งอกออกมา มันสะบัดไปมาด้วยความดีใจเพราะจะได้กินข้าว คนอะไร... ทำตัวเหมือนลูกหมาซนๆ ตัวหนึ่งไปได้ “อืม ฉันเป็นลูกผู้ชายพอ พูดคำไหนก็คำนั้น” “ขอบคุณ!” ณัฐรินีย์อยากจะกระโดดให้ตัวลอย นาทีนี้เธอแลกได้ทุกอย่างเพื่อข้าว เพราะตั้งแต่ลงเครื่องมาเธอยังไม่ได้กินอะไรนอกจากน้ำแค่ขวดเดียว “รอเดี๋ยวนะ แปปเดียว อย่าเพิ่งไปล่ะ!” พูดจบก็วิ่งปรู๊ดไปอีกทาง คงไปหาที่ล้างมือตามที่สิงหาบอก คนยืนรอยกแขนขึ้นกอดอก มองสายยางที่ยังมีน้ำไหลออกมาด้วยความเหนื่อยใจ ผู้หญิงคนนี้นอกจากหน้าไม่อายแล้วยังยังติ๊งต๊องอีก น้ำก็อยู่ตรงนี้ แต่วิ่งไปล้างมือซะไกล... สิงหาพานักโทษหิวโซไปที่โรงครัวของคนงาน เพราะเป็นเวลาเกือบบ่ายสองแล้ว ทำให้ในโรงครัวไม่มีใครอยู่ที่นี่อีก นอกจากสิงหาและณัฐรินีย์สองคน “หยิบจานตรงนั้น ตักข้าว แล้วก็ตักกับข้าวที่อยากกิน” สิงหาพูดพลางทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เมื่อเห็นกลับไปมองก็เห็นอีกฝ่ายจ้องตามตาแป๋วน่าเอ็นดู น่าเอ็นดู?! สิงหาสะบัดหัว นี่เขาคิดอะไรลงไป?! “กับข้าวที่นี่จะทำมื้อละสามอย่าง แกง ผัด ทอด อยากกินอะไรก็กิน ส่วนนี่เป็นของหวาน แต่ละวันจะไม่ซ้ำกัน” “เขาเรียกว่าอะไรเหรอ?” เธอชี้ไปที่หม้อของหวาน นานมากแล้วที่เธอไม่ได้กินของหวานไทย เท่าที่จำได้ก็มีแค่พวกที่เป็นที่นิยมในหมู่ต่างชาติอย่างทองหยิบทองหยอดหรือบัวลอยไข่หวาน “ไม่รู้จัก?” เธอพยักหน้าสองที แววตาสนใจใคร่รู้ “นี่เรียกว่าข้าวฟ่างเปียก ไม่เคยกินก็ลองตักมากิน แต่เอาเท่าที่กินหมดนะ อย่ามากินทิ้งๆ ขว้างๆ ให้ฉันเห็นเด็ดขาด ไม่งั้นมื้อต่อไป...อด!” “รู้แล้วจ้าาา” ณัฐรินีย์ตอบเสียงดังฟังชัด ดุเก่ง ขู่เก่ง อยากรู้จริงๆ ว่ามีเรื่องไหนบ้างที่นายสิงห์ของป้าผ่องจะไม่ดุ แต่คิดไปคิดมาคงไม่มี นึกแล้วก็สงสารคนที่จะมาเป็นภรรยาในอนาคตของผู้ชายคนนี้ ไม่ใช่ว่าทำอะไรไม่ถูกใจก็จะถูกขู่โยนลงทะเลหรอกเหรอ? แค่คิดเธอก็สงสารผู้หญิงคนนั้นจับใจหลังจากกินข้าวมื้อกลางวันที่ล่วงเลยมาจนถึงบ่ายสองเสร็จ สิงหาก็เดินนำหน้านักโทษสาวที่อิ้มแปล้พุงกางไปอีกทางหนึ่ง เป็นคนละทางกับคอกหมูที่ณัฐรินีย์ทำงานเพื่อแลกข้าวก่อนหน้านี้ เธอจำได้ขึ้นใจ “พี่สิงห์จ๋า!” ยังไม่ทันได้เห็นว่าถูกพามาที่ไหน เสียงแหลมๆ ที่หวานหยดย้อยก็ดังขึ้นเสียก่อน และหลังจากนั้นร่างสูงใหญ่ที่เดินนำหน้าก็เซแถ่ดๆ มาชนเข้ากับเธอ โชคดีที่ณัฐรินีย์ตั้งตัวทัน ไม่อย่างนั้นคงได้ลงไปกองที่พื้นพร้อมกับมีร่างใหญ่โตเหมือนหมีควายทับให้ได้จุกเล่น “กระแต!” เสียงทุ้มดูดุ แต่น้อยกว่าตอนที่ใช้พูดกับนักโทษอย่างณัฐรินีย์หลายเท่า “อย่าทำแบบนี้ ล้มไปจะเจ็บตัว” “จ้ะ กระแตขอโทษน้าพี่สิงห์ กระแตแค่ดีใจที่ได้เจอพี่สิงห์ ไม่ได้เจอตั้งวันกว่าคิดถึ๊งคิดถึง” “เยอะ!” ณัฐรินีย์แอบมองข้ามไหล่หนา เธอเห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นหญิงวัยประมาณไม่เกินสี่สิบห้าปี ท่าทางแข็งแรงและหน้าตาสะสวยพอตัว “มานี่เดี๋ยวนี้นะกระแต เป็นสาวเป็นนางไปลามปามนายสิงห์เขาแบบนั้นได้อย่างไร?” “แม่อะ! พี่สิงห์ยังไม่ว่ากระแตซักคำเลย ใช่ไหมจ๊ะ?” “หึ” สิงหาเพียงแค่หัวเราะแผ่วๆ เขาไม่ได้ตอบสาวเจ้า แต่หันไปสนใจแม่ของเธอแทน “น้าพิมท
หญิงสาวที่มีสถานะเป็นนักโทษยอมถูกลากไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนออกมา เธอเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างที่ชื้นเหงื่อขึ้นทีละน้อย จนในที่สุดมันเปียกโชก แต่ถึงอย่างนั้นสิงหาก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด “เดี๋ยวสิ...” หญิงสาวขัดขืนเป็นครั้งแรก เธอยื้อตัวเองไว้ไม่ยอมเดินตามจนสายตาคมๆ ตวัดกลับมามองอย่างไม่พอใจ “ให้ฉันเก็บเสื้อผ้าก่อน” เธอชี้ไปที่เสื้อผ้าที่ยังคงตากอยู่ที่เดิม สิงหาลากเธอจนมาถึงน้ำตกแสนสวยนี่แล้ว ที่จริงเธออยากขออาบน้ำอีกซักครั้ง แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายอารมณ์เสียแบบนี้ก็ได้แต่ปลอบตัวเองในใจว่าช่วงเย็นๆ ค่อยมาอาบก็ได้ “ฉันบอกเธอว่าอะไร?” “ค่อยคุยกันได้ไหม ขอเก็บเสื้อผ้าก่อน โอ้ย!” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่น นายสิงห์คนนี้กระชากแขนเธอจนเจ็บไปหมดแล้ว รับรองได้ว่าคืนนี้เธอคงร้าวระบมไปทั้งแขนแน่นอน “เธอมันดีแต่ยั่วโมโหฉัน คิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรหรือไง!?” “ฉันไปทำอะไรให้เล่า! นายก็บอกมาสิ ไม่ใช่มาลากๆๆๆ แล้วก็ใส่อารมณ์แบบนี้!” ณัฐรินีย์เริ่มเสียงดังบ้าง เธอพยายามอดทนแล้วนะ แต่นายสิงห์คนนี้ทำให้ความอดทนของเธอขาดกระจุย เอะอะก็เสียงดัง เอะอะก็ขู่ อยากทำอะไรก็ทำ อยากฆ่าก็ฆ่ากันเลยสิ นี่มันถิ่นเ
“ขึ้นมาที่นี่ทำไม?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางหันกลับมามองผู้บุกรุกในยามวิกาล แววตาของสิงหาไม่ได้ฉายแววดุดัน แต่ก็ไม่ได้อ่อนโยนเท่าไหร่ “หิว” “ที่นี่ไม่ใช่โรงครัว” "รู้แล้ว แต่หลง...” “ถึงไม่หลงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรกินหรอก ครัวปิดแล้ว คนอื่นๆ เขาเข้านอนกันหมด ไม่มีใครหิวตอนนี้” “ห๊า!” ณัฐรินีย์ตาโต เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินผิดหรือสิงหาตั้งใจโกหกเพราะอยากกลั่นแกล้งกันแน่ ถึงตอนนี้เธอจะไม่มีนาฬิกา แต่ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งลาลับขอบฟ้าไปได้ไม่นาน รวมกับระยะเวลาที่เธอเดินหลงอยู่ในป่านี้ เธอมั่นใจว่านี่ยังไม่ถึงสองทุ่มแน่ๆ แต่คนที่นี่เข้านอนกันหมดแล้ว? นี่มันน่าเหลือเชื่อมาก ตอนที่เธออยู่นิวยอร์กเธอไม่เคยนอนต่ำกว่าเที่ยงคืน ไม่นั่งวาดรูปก็รอรับสายจากนิคกี้ เพราะรายนั้นกว่าจะกลับอพาร์ทเม้นท์ได้ก็เข้าวันใหม่ทุกที ทั้งๆ ที่ต้องตื่นมาทำงานแต่เช้าแท้ๆ แต่ก็ยังทำงานจนถึงดึกดื่นทุกวัน เธอเลยยื่นคำขาดว่าถ้ายังไม่ได้เห็นเขาอาบน้ำเตรียมนอน เธอก็จะไม่นอนเหมือนกัน นิคกี้เลยยอมทำตามเพราะไม่อยากได้ยินเธอบ่นเหมือนแม่คนที่สอง ยิ่งช่วงนี้เธอยิ่งมั่นใจว่านิคกี้คงทำงานไม่หลับไม่นอนแน่ๆ เขาต้องเคลียร์งานให้เรียบร้
ตอนนี้เป็นเวลาตีสี่ครึ่ง เป็นปกติที่สิงหาจะตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นทุกวัน ต่อให้ช่วงกลางคืนเข้านอนดึกแค่ไหน ร่างกายมันก็ตื่นขึ้นมาในเวลาเดิมเหมือนถูกตั้งค่าไว้ คงจะเป็นความเคยชินไปแล้ว เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้ร่างกายอ่อนแอเกินไป สิงหาจึงเข้านอนไม่ดึกมากนัก อย่างน้อยก็ต้องนอนให้ครบเจ็ดถึงแปดชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ เขาไม่อยากเจ็บป่วยอะไรอีกแล้ว เพราะรู้ดีว่าตอนที่ร่างกายอ่อนแอควบคุมไม่ได้มันทรมานมากแค่ไหน ร่างกายเปลือยเปล่าลุกขึ้นจากเตียงที่ไม่นุ่มและแข็งจนเกินไป สิงหาตวัดผ้าห่มที่ปิดเพียงท่อนล่างออก ก่อนบิดกล้ามเนื้อเล็กน้อยจนกระดูกส่งเสียงดังกร๊อบ เพียงเท่านี้ชายหนุ่มก็รู้สึกตื่นเต็มตา ไม่ใช่แค่สิงหาเท่านั้นที่ตื่น อวัยวะบางอย่างที่อยู่กลางลำตัวก็ตื่นขึ้นมาจนตั้งตรงเช่นกัน เป็นเรื่องปกติ สิงหาอายุเพียงยี่สิบเก้าปี อยู่ในวัยที่กำลังเจริญพันธุ์เต็มที่ เพราะฉะนั้นเรื่องความต้องการในยามเช้าไม่ใช่อะไรที่น่าตกใจ สิงหาไม่มีเมีย และไม่คิดซื้อผู้หญิงกิน เพราะฉะนั้นทุกเช้าเขาจะพึ่งนิ้วมือทั้งห้าของตัวเอง เขาไม่ได้ติดเซ็กส์ แค่ปลดปล่อยให้ร่างกายโล่งขึ้นบ้างก็เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ทำทุกวันเพราะบางครั้ง
“ต่อไปนี้กลับไปทำงานที่เล้าหมู ห้ามตีสนิทใคร จำเอาไว้ว่าตัวเองเป็นแค่นักโทษ” . “หนูนิด” เสียงเรียกที่แฝงไปด้วยความเมตตาดังขึ้นจากด้านหลัง ณัฐรินีย์ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ ก่อนจะหันไปมองด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ประจำตัว “เหนื่อยหรือยังลูก?” “ร้อนมากกว่าค่ะป้าผ่อง” “งั้นมาพัก กินข้าวกินปลา” “แต่หนูนิดยังทำตรงนี้ไม่เสร็จเลยค่ะ” “ไว้ก่อนลูก” ผ่องโบกไม้โบกมือ ทำหน้ายุ่งยากใจ เด็กสมัยนี้ดื้อจริงเชียว “จะบ่ายแล้วมากินข้าวก่อนเถอะ เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปไม่คุ้ม” ณัฐรินีย์นิ่งคิดเพียงอึดใจ ก่อนขาเรียวจะก้าวข้ามคอกหมูที่ไม่สูงมากนักออกมาด้านนอก กว่าสองอาทิตย์แล้วที่ณัฐรินีย์มีอาชีพเป็นคนเลี้ยงหมูเต็มตัว สิงหาสั่งให้เธอดูแลหมูหลายสิบตัวที่นี่ ตั้งแต่ให้อาหาร ทำความสะอาด จนถึงดูแลถ้าหากมีหมูตัวไหนป่วย งานที่เธอทำไม่มีค่าแรง มีเพียงอาหารสามมื้อ บ้านไว้หลับนอน แล้วก็น้ำตกกว้างขวางไว้ชำระร่างกายเป็นค่าตอบแทนเท่านั้น ที่จริงแล้วมันไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ เพราะอาหารที่นี่อร่อยกว่าร้านอาหารมิชลินสตาร์ที่นิคกี้เคยพาเธอไปกินด้วยซ้ำ บ้านที่เธอนอนก็สบายดี ถึงไม่มีฟูกนิ่มๆ แต่ก็ได้เห็นพระอาทิตย์ตกทุกวัน รวมถึง
เพี๊ยะ! “ว๊าย คุณ!” ณัฐรินีย์ได้เสียงของแม่เพียงแค่นั้น เพราะหูของเธออื้ออึงจนแทบไม่ได้ยินเสียงรอบกายอื่นใดอีก ฝ่ามือของพ่อไม่ใช่เล็กๆ มันฟาดเข้าที่แก้มและใบหูของเธอเต็มๆ จนหูอื้อไปหมด ส่วนแก้มของเธอก็เจ็บแสบจนรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่คลุ้งอยู่ในโพรงปาก เธอเจ็บ... แต่ซักพักมันก็กลายเป็นความชา ทว่าไม่ใช่เพียงแค่ที่แก้มของเธอเท่านั้น หัวใจเธอก็ไม่ต่างกัน “ไม่รักดี!” เสียงของพ่อสั่นด้วยความโกรธ “ไม่ได้เรื่องซักอย่าง สร้างแต่ปัญหา” “...” “แกไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย” “คุณพ่อคะ อย่าว่าน้องแบบนั้น” เสียงหวานสั่นเครือของใครบางคนดังขึ้น และหลังจากนั้นณัฐรินีย์ก็รู้สึกได้ถึงฝ่ามือเล็กแต่อบอุ่นที่แตะลงบนไหล่ของตัวเอง “เรื่องนี้นิ่ม-“ “นิดขอโทษค่ะ” ณัฐรินีย์เอ่ยขึ้นก่อนพี่สาวที่เกิดจากไข่ใบเดียวกันจะพูดจบ เธอเหลือบตามองใบหน้าที่คล้ายคลึงกันจนแยกไม่ออกเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงเหมือนเดิม “นิดผิดเอง นิดไม่ระวังจนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” “แกมันไม่เคยระวังอะไรซักอย่าง” เสียงของพ่อเกรี้ยวกราดกว่าเดิม "ขับรถไม่แข็งแต่กลับขับออกถนนใหญ่ แล้วนี่พานิ่มไปด้วย ถ้าพี่สาวแกเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไ
“อรุณสวัสดิ์” สิงหาชะงักกึกเมื่อเปิดประตูออกมาแล้วเจอเข้ากับรอยยิ้มแป้นๆ ของใครอีกคนเป็นอย่างแรก ชายหนุ่มทำเป็นไม่ใส่ใจ เดินผ่านร่างเล็กกว่าไปเพื่ออาบน้ำให้ร่างกายตื่นขึ้นมาบ้าง ไม่ได้นอนทั้งคืน ตาเขาคล้ำยิ่งกว่าแพนด้าแล้วละมั้ง ณัฐรินีย์ไม่สนใจท่าทีเย็นชาของอีกฝ่าย เธอเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีไปที่ครัว จัดการทำมื้อเช้าง่ายๆ เหมือนที่สิงหาเคยทำให้กินสองที่ ในจานของสิงหามีปริมาณมากกว่าของเธอเท่าตัว “บาร์บี้ มากินข้าวเร็วสุดสวย” จากนั้นก็เทอาหารเม็ดสูตรดีต่อสุขภาพให้สุนัขแสนรู้ เธอนั่งมองบาร์บี้กินอาหารพลางลูบขนนุ่มๆ อยู่หลายนาที จนกระทั่งได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดออก “มื้อเช้าเรียบร้อยแล้วนะ” “อืม” รับคำแค่นั้นก่อนจะเลี่ยงเข้าไปแต่งตัว วันนี้สิงหาแต่งตัวด้วยเสื้อกล้ามสีขาว สวมทับด้วยเสื้อเชิ๊ตลายสก็อตสีเข้มติดกระดุมด้านล่างเพียงสองเม็ดแล้วยัดชายเสื้อเข้าในกางเกง ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์พอดีตัว ผมหยักศกยาวประบ่าถูกมัดไว้ตรงท้ายทอย หนวดยาวถูกตัดสั้นลงเพียงเล็กน้อยให้เข้าทรง เสริมลุคให้ดูเป็นหนุ่มเซอร์น่าค้นหา ยิ่งมีรอบดวงตาที่คล้ำๆ ยิ่งทำให้เซอร์เข้าไปใหญ่ แต่ถ้าจะมองว่าน่ากล
“เป็นยังไง?”ดวงตาสุกสกาวจ้องมองท่าทีของคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอย่างลุ้นละทึก ทันทีที่ปลายช้อนสีเงินแตะที่ปากบางเธอก็ไม่เป็นอันทำอะไร เอาแต่จ้องมองท่าทีของสิงหาจนชายหนุ่มรู้สึกอึดอัด“อร่อยไหม?”“ไม่”“อ้าว...” ดวงตาที่เคยใสแจ๋วพลันหมองลง ณัฐรินีย์มองแกงจืดวุ้นเส้นหมูสับที่อยู่ในถ้วยด้วยความเสียดาย ขนาดอาหารง่ายๆ แค่นี้เธอยังทำให้ดีไม่ได้แบบนี้อีกไม่นานคงถูกเฉดหัวกลับบ้านแน่นอนมันคงจะแปลกน่าดูที่ณัฐรินีย์ไม่อยากกลับบ้าน แต่ถ้าใครมาเจอแบบเธอก็คงไม่อยากกลับเหมือนกัน... กลับไปก็คงไม่แคล้วถูกผู้ให้กำเนิดต่อว่าให้ช้ำใจ ยกเอาความสำเร็จของพี่สาวร่วมไข่ใบเดียวกันมาทับถมเธอให้จมดิน เธอไม่ได้เก่งจนสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ได้ตั้งแต่อายุสิบห้าเหมือนพี่นิ่ม ไม่ได้มีกิริยาเรียบร้อยอ่อนหวานและเป็นแม่บ้านแม่เรือนได้อย่างพี่นิ่ม ไม่ได้เป็นหน้าเป็นตาให้กับวงศ์ตระกูลได้เหมือนพี่นิ่มนอกจากหน้าตาที่เหมือนกันแล้ว เธอกับพี่นิ่มแตกต่างกันราวกับฟ้าและเหว คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าใครคือฟ้า และใครคือเหว...“ไม่อร่อย แต่กินได้”สิงหาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องพูดแบบนั้น ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะพูดให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจจนต้องหนีก
กลับมาที่เกาะได้ไม่ถึงเดือน สองสามีภรรยาก็ต้องขึ้นฝั่งอีกครั้ง ทั้งคู่บินตรงไปกรุงเทพฯ และเดินทางต่อไปที่โรงพยาบาลโดยไม่หยุดพัก เมื่อเช้าสิงหาได้รับสายจากนิโคลัส แต่นิโคลัสไม่ได้เป็นคนคุย เขายื่นโทรศัพท์ให้คุณหญิงสุดา เธอรับไว้แล้วบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ลูกสาวและลูกเขยรู้ “พ่อเขาหมดสติ หัวใจหยุดเต้น ดีที่ยังอยู่ที่โรงพยาบาลเลยกู้ชีพกลับมาได้ แต่หมอบอกว่าพ่อเขาต้องทำบายพาสหัวใจ เพราะตรวจเจอเส้นเลือดตีบสามเส้น” ณัฐรินีย์ใจหายวาบ เร่งเร้าให้สิงหาหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด ก่อนจะพากันกระหืดกระหอบมาถึงโรงพยาบาลช่วงบ่ายแก่ เปิดประตูห้องพิเศษเข้าไปก็เจอกับคุณหญิงสุดาที่นั่งอยู่ข้างเตียง ถัดไปเป็นนิโคลัส และใกล้กันกับนิโคลัสคือณัฐริกา “พี่นิ่ม” “หนูนิด” สองพี่น้องโผเข้ากอดกันด้วยความคิดถึง ณัฐริการ้องไห้ออกมาเพราะไม่ได้เจอหน้าน้องสาวมาหลายปี เธอคิดถึงหนูนิด แต่ยิ่งคิดถึงเธอก็ยิ่งละอายใจ เพราะถ้าหนูนิดไม่ช่วยเธอไว้วันนั้น น้องสาวเธอคงไม่ถูกส่งไปไกลจากบ้านแบบนี้ “คิดถึง” “นิดก็คิดถึงพี่นิ่ม” แฝดน้องผละออก มองสำรวจพี่สาวที่ดูมีน้ำมีนวลขึ้นด้วยสายตารักใคร่ “ดูผุดผ่องขึ้นนะคะ ไปทำอะไรมา”
“พี่สิงห์” ร่างบอบบางถลาเข้าหาอ้อมกอดของสามี พออ้อมแขนอบอุ่นโอบรัด น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลลงมาเป็นทาง ณัฐรินีย์ไม่ใช่คนเข้มแข็ง เธอเป็นเพียงคนๆ หนึ่งที่มีความรู้สึกเปราะบางเหมือนมนุษย์ทั่วไป เธอร้องไห้หลายครั้งแต่ไม่มีใครเห็น เธอเจ็บปวดเป็นพันครั้งแต่ไม่มีใครมาสนใจ ความเจ็บปวดซ้ำๆ ทำให้เธอต้องสร้างกำแพงขึ้นมา ทำเหมือนว่าตัวเองคือคนที่มีจิตใจแข็งแกร่งกว่าใคร เจ็บแค่ไหน เสียใจแค่ไหนก็ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น แต่วันนี้เธอรู้แล้วว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งเสมอไป ถ้ามีอ้อมกอดที่พร้อมกอดก็อย่าลังเลที่จะรับมัน ถ้ามีอกกว้างให้ซับน้ำตาก็อย่าลังเลที่จะร้องไห้ออกมา บางทีการร้องไห้อาจจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในใจได้บ้าง... ไม่มากก็น้อย “ไม่เป็นไรนะ” คำพูดสั้นๆ พร้อมกับมือที่ลูบเส้นผมเบาๆ ทำให้ณัฐรินีย์ปล่อยโฮ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอร้องไห้ขนาดนี้ ร้องเหมือนว่าโลกใบนี้กำลังจะแตกสลาย ร้องเหมือนว่าจะไม่มีพรุ่งนี้ให้ร้องอีก เธอร้องจนปวดหัว ร้องจนหูอื้อ ร้องจนเสื้อที่สิงหาใส่เปียกชื้น แต่ถึงอย่างนั้นอ้อมแขนแกร่งก็ไม่ปล่อยให้เธอห่างกาย คุณหญิงสุดามองภาพนั้นทั้งน้ำตา นานแค่ไหนแล้
เพี๊ยะ!! ใบหน้างดงามหันตามแรงฟาดของฝ่ามือ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตัวแข็งค้าง สิงหาตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพความรุนแรงแบบนี้ ส่วนคนเป็นแม่ก็ไม่คิดว่าลูกจะถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายร่างกายอีกครั้ง “ลูกไม่รักดี!!!” “คุณคะ!” “เลี้ยงเสียข้าวสุก! แกมันไม่รักดี ไม่เคยทำให้ฉันกับแม่แกภูมิใจเลย! ต้องให้ฉันตบตีแกอีกกี่ครั้งแกถึงจะคิดได้ห้ะ!” สิงหากำมือแน่น เขาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเอง ต้องมาเห็นเมียถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายแบบนี้เขารับไม่ได้จริงๆ ยิ่งรู้ว่าไม่ใช่ครั้งแรกแบบนี้... ถึงเขาจะเลวแต่เขาไม่เคยคิดลงมือทำร้ายผู้หญิงเลยซักครั้ง แม้แต่ณัฐรินีย์เองเขาก็ไม่เคยตบตี ต่อให้ตอนที่ยังไม่ได้รักเขาก็ไม่คิดจะทำ แล้วทำไมพ่อแท้ๆ ถึงทำกับลูกได้ขนาดนี้ “คุณพ่อครับ” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น สิงหาหันกลับไปมอง ดวงตาเขาแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นใคร “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” “ให้พ่อใจเย็นได้ยังไงนิค ลูกนิ่มก็หายตัวไป ส่วนคนที่อยู่ก็ไม่มีประโยชน์” ท้ายประโยคคุณหมอกระแทกกระทั้นใส่ลูกสาวที่ตนเองเพิ่งลงมือทำร้ายร่างกายไป ณัฐรินีย์ไม่ต่างจากถูกทำร้ายร่างกายและเหยียบย่ำความรู้สึกซ้ำๆ เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นที่ต้องการ
“นิโคลัสมันแต่งงานกับพี่สาวฝาแฝดของเมียแก” “พี่สาวฝาแฝด!?” สิงหาตกใจจนคำพูดของเพื่อนเกือบไม่เข้าหู พี่สาวฝาแฝด เขาเพิ่งรู้ว่าเมียตัวเองมีพี่สาวฝาแฝด “อืม หน้าเหมือนกันอย่างกับคนเดียวกัน ฉันเกือบสับสนไปแล้ว” “ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ตอนที่สิงหาสืบข้อมูลของณัฐรินีย์เพื่อแก้แค้นเขาไม่ได้สนใจครอบครัวของเธอเลย เขาสนแค่ถ้าจับเธอมาได้ครอบครัวเธอจะต้องเสียใจจนกระอักเลือดเพราะยังไงณัฐรินีย์ก็คือลูก และเพราะความไม่รอบคอบของเขานี่เอง เขาถึงไม่เคยรู้เลยว่าการจับตัวณัฐรินีย์มามันทำอะไรครอบครัวนั้นไม่ได้เลย และที่สำคัญ...หนูนิดของเขามีพี่สาวฝาแฝด บางอย่างที่ยังค้างคาอยู่ในใจเหมือนถูกปลดล็อก สิงหาถึงบางอ้อทันทีเมื่อรู้ว่าณัฐรินีย์มีพี่สาวฝาแฝด ถ้าหากคืนนั้นเธอไม่ได้ขับรถชนเขา คนที่ชนก็น่าจะเป็นพี่สาวเธอ เพราะวันนั้นเขาเห็นหน้าคนขับ และเขาจำได้ว่าใบหน้านั้นเหมือนกับณัฐรินีย์ราวกับแกะ “แล้วยังไงต่อ” “เมียแกกลับไปอยู่บ้าน ฉันไม่รู้มากกว่านี้ แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ” ราฟาเอลสะอึกเมื่อเห็นแววตาวาววับของเพื่อนสนิท เขากระแอมไอ รีบแก้คำพูดก่อนจะโดนดีดออกจากห้องโทษฐานบอกว่าเมียของมันไม่สำคัญ “ที่จริงแล้วเรื่อ
สิงหาฝัน... เขาฝันว่าตัวเองทะเลาะกับณัฐรินีย์ด้วยเรื่องที่เธอโกหกเขา เธอไม่ได้เป็นคนขับรถชนเขาเพราะเธอขับรถไม่เป็น แม้แต่พวงมาลัยเธอยังไม่เคยจับมันมาก่อน ลึกๆ แล้วสิงหาดีใจที่รู้แบบนั้น แต่เขาก็เสียใจอยู่ดีที่เธอเลือกที่จะปกปิดและโกหกมาตลอด เพราะถ้าหาก... ถ้าหากว่าเขาเลวกว่านี้อีกซักนิด แล้วเผลอทำอะไรรุนแรงกับคนบริสุทธิ์ลงไป เขาคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นในความฝันก็ยังมีเรื่องราวดีๆ ซ่อนอยู่ เขาได้ยินคำบอกรักจากเธอเป็นครั้งแรก ที่จริงจะเรียกว่าครั้งแรกก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะเขาเคยได้ยินคำนั้นในวันแต่งงานของเรา เพียงแต่เขาไม่กล้าเข้าข้างตัวเองว่าเธอพูดมันจากความรู้สึกจริงๆ บรรยากาศในวันนั้นมันเป็นใจเกินไป ณัฐรินีย์อาจจะพูดเพียงเพราะสถานการณ์พาไป ทว่าครั้งนี้สิงหาเชื่อสนิทใจ แม้จะเป็นแค่เพียงคำพูดในความฝัน แต่สิงหากลับรู้สึกยินดีเหลือเกินที่ได้ยินมัน และมันก็ทำให้หัวใจที่ปิดตายมานานสั่นคลอน ความรู้สึกภายในมันร่ำร้องบอกออกมาว่าตัวเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขารักหนูนิด น่าเสียดายที่ในฝันนั้นสิงหาไม่ได้บอกกลับไป เขาได้แต่เตือนตัวเองซ้ำๆ ว่าถ้าตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่จ
บรรยากาศภายในรถเงียบงันเมื่อสิงหาไม่ได้พูดอะไร เขาไม่แม้แต่จะเปิดเพลงคลอเหมือนขามาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มใช้มือเพียงข้างเดียวบังคับพวงมาลัย ไม่ถึงสองนาทีรถราคาไม่แพงนักก็เลี้ยวเข้าโรงแรมระดับสามดาวที่ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ “ที่จริงเราน่าจะพักที่โรงพยาบาล” ณัฐรินีย์ออกความเห็น แต่ก็เข้าใจว่าสิงหาไม่ได้เจ็บป่วยหนักอะไร ถ้าต้องพักที่โรงพยาบาลมันก็เหมือนกระต่ายตื่นตูมไปหน่อย สิงหาไม่ได้ตอบอะไร เขาลงจากรถ หยิบของจากเบาะหลัง ก่อนจะส่งกุญแจให้พนักงานรักษาความปลอดภัยพร้อมกับทิปจำนวนหนึ่ง ณัฐรินีย์ก้าวลงจากรถอย่างงุนงง เธอเดินตามหลังสิงหาเข้าไปในโรงแรมก็พบว่าเขาเช็กอินเรียบร้อยแล้ว “ห้องอยู่ชั้นสาม ห้อง 303 นะคะ ออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวขวาได้เลยค่ะ” สิงหารับคีย์การ์ดมาถือไว้ เขาไม่ได้ตอบอะไร เมื่อได้ของที่ต้องการก็เดินจ้ำอ้าวไม่แม้แต่รอเมียที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังมา “พี่สิงห์!” ณัฐรินีย์หอบแฮ่ก “ปวดแขนมากเหรอถึงได้รีบเดินขนาดนี้” “...” “พี่สิงห์ ทำไมไม่พูดกับนิด” “...” “พี่สิ-“ ติ๊ง “ไว้ไปคุยกันในห้อง” ณัฐรินีย์ชาไปทั้งตัวเมื่อน้ำเสียงของสิงหาไม่ได้อบอุ่นเหมือนเคย หรือถ้าพูดให้ถูกคือน้ำเสียงข
หลังจากเคี่ยวกรำเมียมาเป็นอาทิตย์สิงหาก็เกือบน้ำตาตกใน เมื่อวันหนึ่งณัฐรินีย์เดินเข้ามาบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ ว่า “พี่สิงห์ คืนนี้ห้ามกวนนิดนะ พอดีว่าน้องแดงเดือดมา” สิงหาเข่าอ่อน เขาเคยคิดว่าตัวเองน้ำยาดีพอ แต่นี่เขาไม่ได้ป้องกันมาเกือบเดือนแล้ว ทว่าก็ยังไม่มีทีท่าว่าเมียเขาจะตั้งท้องเสียที ยืนยันได้จากน้องแดงเดือดที่มาตรงเวลาจนน่าโมโห บางทีเขาก็ไม่เข้าใจ กับครอบครัวที่พร้อมมากๆ ทั้งอายุและการเงินอย่างเขาและณัฐรินีย์กลับยากที่จะมีลูก แต่กับเด็กๆ ที่พลาดจนตั้งท้องเป็นว่าเล่นกลับมีอย่างง่ายดาย และสุดท้ายเด็กทารกที่ไม่รู้อะไรก็มักจะถูกทอดทิ้งเสมอ เหมือนกับเขาที่ถูกทิ้งไว้หน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่แบเบาะ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่เป็นใคร พ่อเป็นใคร รู้แค่ตัวเองเป็นลูกครึ่ง แต่ครึ่งอะไรสิงหาไม่เคยคิดอยากจะหาคำตอบ ตอนเด็กๆ เขาถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อว่าแม่เขาเป็นผู้หญิงขายบริการ มีลูกกับแขกแล้วเลี้ยงไม่ไหวเลยเอาเขามาทิ้งเป็นภาระให้กับคนอื่น แต่พอเขาเอาเรื่องไปเล่าให้แม่ครูฟังแม่ครูก็ทำเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วบอกว่าซักวันแม่จะกลับมารับเขาไปอยู่ด้วย นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่สิงหารู้จักคำว่า
“อื้อ”เจ้าสาวคนสวยครางในลำคอเบาๆ เมื่อแผ่นหลังสัมผัสเข้ากับฟูกนุ่มที่โรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดงสด สิงหาค่อยๆ ปลดแขนเรียวที่เกี่ยวรั้งต้นคอตนเองออก ก่อนจะขยับออกห่างจากเจ้าสาวที่นอนทอดกายมองมาไม่วางตาดวงตาสุกสกาวมองตามสามีตามประเพณีที่ขยับออกห่างด้วยหัวใจที่เรียบสนิท ทั้งๆ ที่เหมือนกำลังจะถูกทอดทิ้งแต่ณัฐรินีย์กลับไม่รู้สึกเสียใจ เพราะเธอมั่นใจว่าเขาจะกลับมาและสิงหาก็กลับมาจริงๆ“หนูนิด” สิงหาเรียกเจ้าสาว ก่อนจะช่วยพยุงให้ร่างบอบบางลุกขึ้นนั่งดีๆ “พี่ให้”“มันคือ?”“แหวนวงแรกที่พี่เก็บเงินซื้อได้” สิงหาหมุนแหวนราคาไม่กี่หมื่นให้ณัฐรินีย์ดู เพชรเม็ดเล็กๆ ที่ฝังอยู่ในเนื้อแหวนส่องประกายล้อแสงไฟจากตะเกียงจนวาววับ “ตอนเรียนจบ พี่นึกอยากมีเครื่องประดับก็เลยเอาเงินเก็บที่ทำงานช่วงเรียนมาซื้อ ตั้งใจว่าจะเก็บมันไว้ต่อให้อดอยากแค่ไหน เพราะมันคือสมบัติชิ้นแรกที่พี่มี”“แล้วทำไมถึงให้นิด ของสำคัญแบบนี้พี่สิงห์ควรเก็บไว้ที่ตัวเอง”สิงหาเงยหน้าจากแหวนขึ้นมองใบหน้าของเจ้าสาว มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงนุ่มทุ้มว่า “ของสำคัญ ก็ต้องอยู่กับคนสำคัญ”“พี่สิงห์ นิดไม่ชิน” ณัฐรินีย์ก้มหน้าหลบ
พิธีการแต่งงานของเกาะตะวันฉายไม่ได้อิงกับศาสนาหรือพิธีของประเทศไหนเป็นหลัก เพราะที่นี่เป็นเกาะ เปรียบเสมือนแผ่นดินเล็กๆ ที่แยกตัวออกมาจากแผ่นดินหลัก ทำให้วิถีการใช้ชีวิตหรือความเชื่อของคนบนเกาะต่างจากคนทั่วไป อย่างเช่นผู้คนที่นี่ไม่นับถือศาสนา ไม่ได้เชื่อคำสอนของใคร พวกเขาแค่เชื่อในตัวเอง และมีที่พึ่งทางใจเป็นพ่อปู่ที่ไม่มีตัวตนเท่านั้น ณัฐรินีย์ถูกสิงหาจับจูงไปตรงส่วนทำพิธี ที่ตรงนั้นถูกจัดให้อยู่ในทะเลที่สูงระดับครึ่งหน้าแข้ง มีซุ้มดอกไม้สีขาวตั้งเด่น ไม่มีบาทหลวง ไม่มีคนทำพิธี เพราะสิงหาเคยบอกว่าการแต่งงานมันคือเรื่องราวของคนสองคน ไม่จำเป็นต้องมีใครมากำกับ มีเพียงแค่น้ำทะเลที่เหมือนเหมือนชีวิตและจิตวิญญาณโอบล้อมไว้ก็เพียงพอแล้ว บ่าวสาวหยุดลงเมื่อลุยน้ำไปจนถึงหน้าซุ้มดอกไม้ ทั้งคู่หันกลับไปมองบนฝั่ง ชาวบ้านนับร้อยยืนมองคู่แต่งงานอยู่บนนั้น ไม่มีใครเข้ามาใกล้ และจะไม่มีใครได้ยินว่าทั้งสองคนพูดคุย หรือให้คำสัญญาอะไรต่อกัน สมกับที่สิงหาบอก การแต่งงานบนเกาะตะวันฉายคือเรื่องของคนแค่สองคนเท่านั้น สิงหาเลิกสนใจผู้มาร่วมงาน เขาหันกลับมามองเจ้าสาวของตนเอง ทั้งคู่ยืนหันหน้าเข้าหากัน มือบา