“ผู้ใดปลูกดอกโบตั๋นได้งดงามถึงเพียงนี้”
“เรือนหลังนี้ ท่านแม่ทัพให้คนเตรียมไว้เพื่อฮูหยินเจ้าคะ”
“หมายถึงข้าหรือ?” นางชี้นิ้วที่หน้าตัวเอง
“อันที่จริง ข้าก็ไม่ค่อยรู้เรื่องในจวนนัก แต่เจ้าทึ่มหวงอี้ชอบเล่าให้ข้าฟังบ่อยๆ ท่านแม่ทัพให้คนมาทำความสะอาดอยู่เสมอ บอกว่าสักวันท่านจะมา พวกเรายังคิดอยู่ว่าเมื่อไหร่ฮูหยินท่านแม่ทัพจะมา แล้ววันนี้ท่านก็มาจริงๆ”
“เขา...รอข้า...”
เหตุใดหัวใจนางเต้นรัวเช่นนี้
หรูซื่อยกมือขึ้นกดที่หน้าอกตัวเอง หัวใจเต้นรัวเหลือเกิน ดีใจ? นางกำลังดีใจอย่างนั้นหรือ? หญิงสาวอดยิ้มไม่ได้ ภายในอกเกิดระลอกคลื่นอารมณ์แปลกประหลาด รู้สึกดีเหลือเกินที่มีคนรอคอยนางถึงเพียงนี้ ยิ่งกวาดตามองเห็นสวนดอกไม้งดงาม ยิ่งทำให้เชื่อว่าเขาใส่ใจและรอคอยนางจริงๆ
แล้วเหตุใดนางไม่รีบมาหาเขา เป็นสามีภรรยาต้องอยู่ด้วยกันนี่
“เจ้าเป็นอะไรไป เจ็บหัวใจรึ”
น้ำเสียงร้อนรนทำให้หญิงสาวรีบหมุนตัวกลับมา นางปะทะกับแผงอกของเขา เพราะไม่คิดว่าคนที่พูดจะยืนอยู่ใกล้มาก ความสูงที่ต่าง
กันมาก นางต้องแหงนหน้ามองเขาเลยทีเดียว
“เหตุใดออกมาข้างนอกเช่นนี้” น้ำเสียงไม่ได้ตำหนิ ทว่าเจือความห่วงใยด้วยซ้ำ
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร” นางพูดตะกุกตะกัก ยังไม่คุ้นชินกับการอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษ แม้ว่าเขาจะเป็นสามีของนางก็ตาม แก้มเนียนจึงแดงระเรื่อ แต่ทำให้บุรุษเบื้องหน้ายกมือขึ้นประคองใบหน้าของนางไว้
“แก้มเจ้าแดง มีไข้หรือเปล่า”
หรูซื่อส่ายหน้าไปมา แต่การใกล้ชิดเช่นนี้ทำให้ใบหน้ายิ่งหน้าแดงจัด ซุนหลวนคุนยังไม่เข้าใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล รีบช้อนร่างนางอุ้มขึ้นทันที
“ท่านแม่ทัพ!ท่านจะทำอะไร!” หรูซื่อร้อนรนดิ้นขลุกขลัก นางเพิ่งรู้ตัวว่ามีทหารยามอยู่ไม่ไกล พวกเขาต่างก้มหน้าหลบสายตากันหมด แต่กระนั้น นางก็ยังเขินอายอยู่ดี
“เจ้าหน้าแดงถึงเพียงนี้ยังจะไม่เป็นอะไรอีกรึ” เขาดุนาง
“ท่านแม่ทัพเจ้าคะ” นางหวงฝูเอ่ยพยายามกลั้นหัวเราะ “ฮูหยินมิได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ ที่หน้าแดงเพราะท่านแม่ทัพต่างหาก”
“เพราะข้า” เขาทำหน้างง แต่เมื่อก้มมองคนในอ้อมอกก็เห็นว่านางเอาแต่ซุกหน้ากับอกของเขา ใบหูน้อยๆ แดงระเรื่อราวถูกย้อมสี
“พวกท่านสามีภรรยาค่อยๆ คุยกันนะเจ้าคะ”
นางหวงฝูยิ้มให้แล้วหมุนตัวเดินออกไป นางโบกมือไล่ไม่ให้ทหารอยู่ใกล้ ปล่อยให้ท่านแม่ทัพกับฮูหยินอยู่กันตามลำพัง
“เจ้าไม่ได้เป็นอะไรแน่นะ”
เขาถามย้ำ นางตอบด้วยการพยักหน้า แต่เมื่อได้อุ้มนางแล้ว เขาก็ไม่คิดจะปล่อย นางตัวเบาราวกับนกน้อยตัวเล็กน่าทะนุถนอม เห็นทีว่าต้องบำรุงนางให้มากยิ่งขึ้น
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แค่อยากเดินเล่น อุดอู้อยู่ในห้องมาหลายวันแล้ว”
“ยังปวดหัวอีกหรือไม่ กินยาที่ท่านหมอให้ไว้หรือเปล่า กินข้าวเช้าหรือยัง”
หรูซื่อเงยหน้าขึ้นมองเขา ชายผู้นี้มีใบหน้าคมสัน ผิวสีทองแดง ร่างกายสูงใหญ่กำยำ ดวงตาลึกล้ำจนยากจะคาดเดาความคิดได้ แต่ท่าทางห่วงใยนี้ทำให้หัวใจของนางอิ่มเอม
“หากไม่ฝืนคิดเรื่องที่หลงลืมไปแล้วก็ไม่ปวดหัวอีก” นางพูดไปตามตรง “ข้ากินข้าวกินยาแล้วด้วย”
“จำไม่ได้ก็ช่างเถิด” เขาถอนใจเบาๆ “ขอแค่เจ้าปลอดภัยดีก็พอ”
“ข้าทราบแล้ว” นางพยักหน้าน้อยๆ
‘สามีของนางช่างดีเหลือเกิน ชีวิตแต่งงานของนางต้องดีมากอย่างแน่นอน’
ซุนหลวนคุนได้แต่ข่มความรู้สึกของตัวเองลงไป สวรรค์ให้โอกาสเขา ให้นางลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ยิ่งนางจำเรื่องของเขาไม่ได้เลยนั้นก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว
นับจากนี้ เขาจะทำให้นางรักเขาอย่างหมดหัวใจ
อีกครั้ง.
ภายในจวนแม่ทัพพิทักษ์ประจิมรับรู้เพียงว่า ฮูหยินของท่านแม่ทัพเดินทางมาเพื่อดูแลสามีที่ไม่ได้กลับบ้านถึงสองปีเศษ การดูแลชายแดนฝั่งตะวันตกติดพันยาวนานทำให้สามีภรรยาห่างเหิน ว่ากันว่า ท่านแม่ทัพห้ามมิให้ฮูหยินเดินทางมาที่นี่ เพราะแร้นแค้นกันดาร แต่เมื่อทุกคนได้เห็นโฉมหน้างดงามของนางแล้ว จึงไม่แปลกใจที่ท่านแม่ทัพทะนุถนอมนางยิ่งนัก
ทว่านอกจากหมอทหารแล้ว ไม่มีใครรู้ว่า สมองของฮูหยินท่านแม่ทัพได้รับการกระทบกระเทือนจนความจำเสื่อม นางจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่ชื่อของตนเอง และทุกครั้งที่นางพยายามเค้นสมองคิดว่าตนเองเป็นใครและเหตุใดจึงได้รับอุบัติเหตุหนักหนาถึงเพียงนี้ นางจะทรมานจากการปวดศีรษะจนแทบอยากกัดลิ้นตายไปเสีย นั้นทำให้นางตัดสินใจไม่หวนคิดถึงเรื่องเหล่านั้น และสามีของนางก็เห็นพ้องต้องกัน นางจึงไม่พูดเรื่องที่ตนความจำเสื่อมกับใคร
“ชื่อของข้าคือหรูซื่อ เป็นบุตรสาวของท่านราชครูอู๋เจ๋อ ได้รับสมรสพระทานกับแม่ทัพซุนหลวนคุนตอนอายุสิบสอง...เอ๊ะ! ข้าแต่งงานกับท่านตั้งแต่อายุสิบสองหรือเจ้าคะ”
ซุนหลวนคุนพยักหน้ารับ แสร้งยกถ้วยชาขึ้นจิบกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างในใจ
“ตอนนั้นท่านแต่งกับข้า ท่านอายุเท่าใดกัน” นางเอียงคอถามอย่างสงสัย สามีนางช่างแสนดีและใจเย็นนัก ค่อยๆ สอนให้นางเรียนรู้เรื่องของตนเองไปที่ละเรื่องสองเรื่อง
“ตอนนั้นข้าอายุสิบเก้า”
“แล้วตอนนี้?”
“ยี่สิบสาม”
“เช่นนั้นตอนนี้ข้าอายุ...” นางยกนิ้วขึ้นนับ “สิบหกใช่ไหมเจ้าคะ”
“อืม ปีนี้เจ้าอายุสิบหกแล้ว”
“ข้ากับท่านก็แต่งงานกันมาห้าปีแล้วสินะ” นางถามเองตอบ แต่เห็นเขาพยักหน้ารับก็ลอบมองสีหน้าของเขา “ห้าปีมานี่ ข้ากับท่านใช้ชีวิตอย่างไรเจ้าคะ”
“ข้า...” เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ตอนนั้นเจ้าอายุแค่สิบสอง ข้าต้องออกรบ จึงให้เจ้าอยู่กับมารดาข้าที่เมืองหลวง เราไม่ได้อยู่ด้วยกันเท่าไหร่นัก แต่งงานห้าปียังไร้ทายาท มารดาข้าร้อนใจจึงให้เจ้ามาอยู่ข้างกายข้าที่นี่”
“แต่งงานห้าปียังไร้ทายาท ข้านี่บกพร่องเสียจริง” สีหน้านางเป็นกังวลยิ่ง
“อย่าคิดมากไป ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” เขาอึกอัก
“เอ๋? หรือท่านพี่ไม่สบายเจ้าคะ” นางยื่นมือไปแตะท่อนแขนของเขา
“ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด” เขาเบือนหน้าไปทางอื่น แต่ตัดสินใจว่าจะไม่บอกนางว่าเขากับนางยังไม่ได้ร่วมหอกันอย่างแท้จริง
เขาแต่งกับนางที่อายุเพียงสิบสอง คืนเข้าหอนางก็หลับน้ำลายไหลก่อนเขาจะเข้ามาเปิดผ้าคลุมหน้าเสียอีก นางยังเด็กมากสำหรับเขา แม้ผู้อื่นจะแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เขาอยากให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป เขารอนางได้ และคิดว่าจะรอต่อไป แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดมารดาจึงส่งนางมาเช่นนี้
“ที่นี่ทุรกันดารมาก หากมีสิ่งใดที่เจ้าต้องการก็บอกป้าหวงฝูได้ คนในจวนก็เหมือนคนของเจ้า ต้องการใช้งานใดก็สั่งการได้ทันที”
“ข้าอยู่ที่นี่ไม่ลำบากอะไร” นางระบายยิ้มหวานเกลือนใบหน้า ดวงตาพราวระยับดุจดวงดารา เล่นเอาคนจ้องมองถึงกับตาพร่าไปชั่วขณะ “ท่านแม่ทัพใจดีกับข้ามาก”
“ท่านพี่”
“....” หญิงสาวนิ่งไป
“เรียกข้าว่าท่านพี่”
“ท่าน...ท่านพี่” แก้มเนียนฝาดสีเลือดขึ้นมาทันที นางรู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย หรือว่า เพราะว่าไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน นางจึงเขินอายอย่างนี้
ได้เห็นท่าทีเขินอายของนางแล้ว หัวใจพลันคันยุบยิบ เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบ
“หากไม่มีผู้อื่น เจ้าจะเรียกข้าว่าหลวนคุนก็ได้”
ลมหายใจอุ่นร้อนคลอเคลียใบหูทำให้หญิงสาวไม่กล้าเงยหน้าขึ้นจึงพยักหน้ารับแทนคำตอบ
“หลวนคุน ลองเรียกดูสิ”
“หลวนคุน” นางทำตามเขาสั่ง ช้อนตาขึ้นมองเห็นสีหน้าพอใจของเขาแล้วก็ใจเต้นรัวขึ้นมา
ดีจริง เขาคงพอใจสินะ สามีของนางช่างดีเหลือเกิน
หรูซื่อคิดว่าตนเองโชคดีนัก แต่งงานห้าปีไร้ทายาท สามีไม่แสดงท่าทีรังเกียจ ซ้ำยังดูแลเอาใจใส่อย่างดี “แล้ว...แล้ว ครอบครัวของข้าเป็นอย่างไรเจ้าคะ พวกเขารักข้าหรือไม่ ดีกับท่านหรือเปล่า แล้ว...แล้วมารดาของท่าน เอ่อ แม่สามีของข้า รักใคร่เอ็นดูข้าหรือไม่เจ้าคะ เอ๋...เหมือนว่าข้าจะได้ยินท่านพูดเรื่องอนุ” คำถามของนางทำเอาดวงตาของเขาวูบไหวครู่หนึ่ง แต่กระนั้นเขาก็กักเก็บมันไว้ได้ทัน กลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มเอ็นดู “บิดามารดาของเจ้ามีบุตรชายสามคน เจ้าเป็นบุตรคนที่สี่เป็นบุตรสาวคนเดียวและบุตรคนเล็ก เป็นแก้วตาดวงใจของท่านราชครู ข้าได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะดูแลเจ้าอย่างดีมิให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจ บิดาเจ้ามีมารดาเพียงผู้เดียวไม่มีหญิงอื่น ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่รับอนุมีไม่หลายภรรยาให้เจ้าต้องปวดใจ ส่วนเรื่องรับอนุนั้น เป็นความใจร้อนของมารดาข้าเอง” “ท่าน...ท่านพี่อย่าได้ตำหนิมารดาของท่านเช่นนั้น” นางรีบพูดขึ้น “แต่งงานกันห้าปีไร้ทายาท แม่สามีไม่ขับไล่ข้าก็นับว่าดียิ่งนัก หาก...หากว่าข้าไม่สามารถมีทายาทให้ท่านได้ ท่าน.
“เจ้า...ตุ๋นไก่ให้ข้า” ที่คิดจะออกปากตำหนิจึงพูดไม่ออก พลันรู้สึกวูบไหวในอก นานเพียงใดที่เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้ รู้สึกเป็นพิเศษ เป็นคนสำคัญ “ใช่เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ ฮูหยินเพียงต้องการลงมือทำอาหารบำรุงให้ท่าน ไม่ได้มีเจตนาร้าย ขอท่านแม่ทัพอย่าโกรธเคืองฮูหยินเลยนะเจ้าคะ” ป้าหวงฝูอธิบาย ทหารคนอื่นก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย ฮูหยินท่านแม่ทัพเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมและงดงาม มีจิตใจดี รักใคร่ห่วงใยท่านแม่ทัพถึงเพียงนี้ แม้ว่าจะเกือบเผาห้องครัวไปก็เถิดนะ หรูซื่อช้อนตาขึ้นมอง “ข้าไม่ได้ตั้งใจเผาห้องครัวของท่านจริงๆ นะ” เสียงถอนหายใจดังขึ้น เขาเองไม่ได้อยากตำหนินาง “เจ้าปลอดภัยดีหรือไม่ บาดเจ็บที่ใดหรือเปล่า” น้ำเสียงแม้ไม่ได้อ่อนโยนนัก แต่บรรดาทหารที่มักได้รับคำสั่งต่างอ้าปากค้างตะลึงงันกับสิ่งที่ได้ยิน แม่ทัพซุนมีอีกชื่อที่เรียกขานลับหลังว่า ‘แม่ทัพปีศาจ’ ร้อยวันพันปีไม่เคยได้ยินท่านแม่ทัพปีศาจใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับผู้ใดมาก่อน หญิงสาวฉีกยิ้มหวานส่ายหน้าไปมา แต่ซ่อนมือไว้ด้านหลัง รอยยิ้มของนางไม่ได
เขาบอกไม่ต้องรอ แต่นางก็รอ รอจนไม่รู้ฟุบหลับไปบนโต๊ะเมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าเลยว่าเขาอุ้มนางมานอนบนเตียงเมื่อใดกัน เขาแวะเวียนมากินข้าวกับนางสักมื้อหนึ่งแล้วรีบร้อนออกไป ป้าหวงฝูและบรรดาทหารยามบอกนางว่าช่วงนี้ท่านแม่ทัพมีงานรัดตัวจริง ๆ นางอยู่ว่างไม่รู้จะทำอะไร จึงหยิบจับเสื้อผ้าของเขาออกมาดู เห็นมีบางแห่งที่มีรอยขาดก็นึกประหลาดใจ จวนแม่ทัพมิได้ยากจน ไฉนเสื้อผ้าสามีนางจึงชำรุดขนาดนี้ นางจึงขอเข็มและด้ายจากป้าหวงฝูแล้วเอาเสื้อผ้าของเขามาซ่อมแซม น่าแปลก นางกลับคุ้นชินกับการเย็บปักเหล่านี้มากกว่าทำอาหารที่แทบจะเผาครัวของเขาไปเมื่อครั้งก่อน ขนาดป้าหวงฝูยังเอ่ยชมว่าฝีมือของนางนั้นประณีตจริง ๆ “ป้าหวงฝู ข้าอยากไปซื้อพวกอุปกรณ์เย็บปัก ท่านไปกับข้าได้หรือไม่ ข้าเพิ่งเคยมาเมืองนี้” “ได้สิเจ้าค่ะ ฮูหยินตั้งใจทำให้ท่านแม่ทัพถึงเพียงนี้ ท่านแม่ทัพต้องดีใจมากเป็นแน่” “ข้าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็ทำได้แค่เรื่องพวกนี้” นางยิ้มเขินอายจนแก้มเนียนแดงปลั่ง “ข้า...ข้าต้องขอบคุณป้าหวงฝูที่คอยชี้แนะและดูแลข้า” “ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้
“ข้าเข้าใจแล้ว” นางเอ่ยไปเช่นนั้นแต่ในใจยังคงว้าวุ้นสับสน แสร้งหลับตาลง เมื่อรับรู้ว่าในห้องไม่เหลือผู้ใดแล้วจึงลืมตาขึ้น ริมฝีปากงามถอนหายใจหนักหน่วง นางบอกตัวเองไม่ให้คิดมาก แต่ไม่อาจทำได้ ตั้งแต่ได้สติฟื้นขึ้นมา นางพบซุนหลวนคุนเป็นคนแรก เขาบอกว่านางคือภรรยาของเขาชื่อหรูซื่อ นางก็เชื่อทุกสิ่งที่เขาพูด แต่นางคือ ‘หรูซื่อ’ ภรรยาของเขาจริง ๆหรือไม่นั้น ไม่มีใครยืนยันได้ เขาเล่าว่ารถม้าของนางถูกปล้นชิง คนติดตามล้วนถูกสังหารหมดสิ้น ข้าวของที่นำมาถูกขโมยไปสิ่งที่เหลือก็ใช้การอะไรไม่ได้ นางโชคดีที่เขาและทหารลาดตระเวนมาพบและเข้าช่วยเหลือได้ทัน ‘หรูซื่อ’ ‘หลิวหรูซื่อ’ ชายแปลกหน้าผู้นั้นก็เรียกนางว่า ‘หรูซื่อ’ นางคงเป็น‘หรูซื่อ’จริงๆ นั้นแหละ ทว่านางไม่คุ้นหน้าชายผู้นั้นเลย แต่น้ำเสียงและแววตาตัดพ้อนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นการจำคนผิดเป็นแน่ ทำไมคนผู้นั้นถึงมองนางเช่นนั้น นางทำสิ่งใดไว้หรือ? ทำเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ถึงขนาดที่จ้องมองด้วยสายตาเช่นนั้น หรือนางทำเรื่องผิดต่อซุนหลวนคุน เขาจึงไม่กลับบ้าน
“ท่านพี่เป็นอะไร” “ข้า...”น้ำเสียงที่ได้ยินแหบแห้งจนน่าตกใจ “ท่านพี่ไม่สบายหรือ?”หรูซื่อขยับตัวทำให้เพิ่งรู้ว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของสามี แก้มเนียนฝาดสีเลือดขึ้นมาทันที เห็นท่าทีของนางกลับมาเป็นเช่นเดิมหัวใจจึงกลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง “ข้าแค่ตกใจ” “ตกใจ?” “เจ้าทำข้ากลัวเหลือเกิน” เขากุมมือที่ยังแนบแก้มของเขาอยู่ “เจ้าฝันร้ายและข้าไม่สามารถช่วยเจ้าได้” “แค่ฝันร้าย” นางยิ้มเขินอาย นางไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าร้องไห้ “ข้าทำให้ท่านเป็นห่วงอีกแล้ว” “เจ้าฝันถึงสิ่งใด เหตุใดจึงร้องไห้จนดวงตาเปียกชุ่มเช่นนี้” หรูซื่อเพิ่งรู้ตัว นางดึงมือกลับมาใช้หลังมือเช็ดที่ใต้ตา รอยเปียกชื้นที่เหลืออยู่ยืนยันได้ว่านางร้องไห้ “ข้าร้องไห้หรือ? แต่ข้าจำไม่ได้เลยว่าร้องไห้เรื่องอันใดกัน” “จำไม่ได้ก็ดีแล้ว ข้าเห็นเจ้าร้องไห้ก็ปวดใจเหลือเกิน” “ท่านพี่” หัวใจนางเหมือนจะพองโตคับอก แม้ผู้อื่นเกรงกลัวสามีของนางมาก แต่เขาอ่อนโยนและห่วงใย ใส่ใจทุกเรื่องของนาง แม้นางความจำเส
“อีกเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว” เขายิ้มร้ายกาจ โน้มหน้าลงดูดกลืนปลายถันที่แดงฉ่ำ ใช้ทั้งปากและลิ้นละเลียดความอ่อนนุ่มปลุกเร้าจนยอดอกชูชันท้าทายสายตา มือเรียวยกขึ้นโอบกอดเขาไว้ ส่งตัวตนของนางให้เขาลิ้มรส ในขณะที่สะโพกสอบยังคงเคลื่อนไหวนำพาความเสียดเสียวไปทั่วร่าง เขาทำเช่นเดียวกับที่ใช้นิ้วและลิ้นแต่ครั้งนี้เป็นแท่งหยกร้อนระอุของเขาที่เคลื่อนไหวเข้าออกในร่องรัก ทุกการเคลื่อนไหวของเขานำพาความเสียวซ่านมาแทนที ความเจ็บปวดจางหายไปเมื่อใดไม่อาจรู้ได้ ร่องรักทั้งอุ่นร้อนและชุ่มฉ่ำ เสียงครางกระเส่าปลุกเร้าให้ชายหนุ่มแทบคลุ้มคลั่ง เหงื่อไหลโทรมกาย นัยต์ตาร้องแรงดุจลูกไฟ และดวงตาของเขาสะกดนางให้นางจ้องมองเพียงเขาเท่านั้น สะโพกสอบขยับโยกดุนดันจนร่างบางสั่นไหวตามแรงกระแทกกระทั้น มันเร็วขึ้น แรงขึ้น ถี่กระชั้นมากขึ้น นางบิดเอวเผลอจิกเล็บกับแผ่นหลังของเขา เสียงครางแหบพร่าทำให้นางได้สติ จ้องมองสีหน้าของเขาอย่างหลงใหล เหงื่อไหลชโลมกาย ผสานกับเสียงครวญหวานของนางเร่งเร้าผลักดันให้เขาขยับกาย “ข้า...ข้าไม่ไหวแล้ว” หรูซื่อพูดเสียงแผ่ว ครั้งนี้มันยิ่งกว่าเมื่อครู
“ซื่อเอ๋อร์...มองข้า” น้ำเสียงเว้าวอนทำให้นางลืมตามองเขา อารมณ์ปรารถนาในดวงตาคู่นี้ทำให้นางไม่อาจหลบสายตาได้เลย เขาต้องการนางเช่นเดียวกับที่นางปรารถนาในตัวเขา สองมือยื่นมือไปโอบล้อมลำคอ เขายกบั้นท้ายงามงอนขึ้นก่อนจะชำแรกเข้าไปในร่องรักที่ฉ่ำแฉะ ฝากฝั่งตัวตนจนหมด เสียงหวานครางออกมาผสานกับเสียงคำรามอย่างพอใจ เพราะความเสียวซ่านทำให้นางรัดเอวเขาแน่น เขายกนางอุ้มทั้งที่สอดประสาน ยกสะโพกนางขึ้นแล้วกดลง “อ๊า...” หรูซื่อกอดรัดเขาแน่น ทรวงอกงามบดเบียดแผงอกกำยำ ทุกการขยับโยกของเขาทำให้นางแทบสำลักความเสียวซ่าน กระแสแห่งความสุขแล่นไปทั่วร่างยันปลายนิ้วเท้า เขาอุ้มนางพร้อมยกสะโพกตอกตรึงลำทวน มันลึกเสียจนนางได้แต่จิกเล็บกับแผ่นหลังของเขา “ชอบหรือไม่”เขายังคงเพียรถามทั้งที่ร่องรักนางขมิบรัดลำทวนแข็งแกร่งจนเขาแทบคลั่ง นางพยักหน้าอย่างสิ้นอาย เขายกสะโพกนางขึ้นลงกระแทกกระทั้นอย่างดุเดือด เหงื่อไหลพราวไปทั่วร่าง ความปรารถนาถาโถมราวพายุหลงฤดู หรูซื่อไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้นอกจากความสุขสมที่เขามอบให้ กระทั่งเขาอุ้มนางมาที่โต๊ะอีกครั้ง วางสะโพกนางไว้หมิ่นเหม่ ตาม
“ข้านะหรือ?” หรูซื่อชี้หน้าตัวเอง เห็นเขาพยักหน้ารับแล้วนางก็คิดตามแล้วพยักหน้าตาม“มิน่าเล่า ข้าเข้าครัวทำอาหารก็เกือบทำไฟไหม้ห้องครัวของท่านแล้ว แต่พอได้จับเข็มจับด้าย ข้ากลับรู้สึกทำได้คล่องแคล่ว เช่นนั้นข้าจะเย็บเสื้อให้ท่านเอง” “ข้าไม่อยากเห็นเจ้าเหนื่อย” เขาจับมือเรียวเล็กขึ้นมาลูบไล้นิ้วงามอย่างทะนุถนอม “ข้าอยากทำให้ท่านพี่” นางยิ้มเขินอาย เพราะตั้งใจหลบสายตาร้อนแรงของเขาจึงเสมองไปทางอื่น ทว่ากลับเห็นแผ่นที่กางอยู่บนโต๊ะ นางหลุบตาลงทันที แต่กระนั้น ทุกกิริยาของนางอยู่ในสายตาของซุนหลวนคุน “ไม่ใช่ความลับอะไร เจ้าดูได้” เขาเชยคางนางขึ้น “หากเจ้าอยากรู้อะไรก็ถาม เพียงแต่เรื่องพวกนี้อาจจะทำให้เจ้าหมดสนุก ข้าจึงไม่ได้ให้เจ้าดู” “ข้าดูได้หรือ?” แววตาวาววับจ้องมองกลับ และเมื่อเขาพยักหน้ายืนยัน นางจึงหันไปมองที่กระดาษแผ่นนั้น “นี่คือแผนที่หรือเจ้าคะ” “ใช่” เขาตอบแล้วจับเอวนางให้นางตัวตรง แผ่นหลังของนางแนบอกแกร่ง วงแขนกว้างโอบร่างเล็กแล้วชี้ให้นางดูตำแหน่งต่างๆ “นี่คือค่ายทหาร ตรงนี้เป็นกำแพงเมือง แนวเขานี้เป็นเสมือ
หรูซื่องอแงราวเด็กน้อย พลันในหัวของนางปรากฏภาพเลือนลางเป็นตัวนางที่ถูกอบรมสั่งสอน จากหญิงผู้หญิงใบหน้าละม้ายคล้ายบุรุษตรงหน้าอยู่หลายส่วน ‘สตรีต้องใช้ชีวิตเพื่อบุรุษ แม้ออกเรือนแล้วก็ตกเป็นของสามี สามีเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในครอบครัว ส่วนหน้าที่ของภรรยาก็คือต้องปรนนิบัติสามีและญาติพี่น้องของสามีด้วย พร้อมดูแลงานบ้านงานครัวไม่ให้ขาดตกบกพร่อง หรูซื่อ...เจ้าเกิดในตระกูลใหญ่ งานบ้านงานเรือนมีบ่าวรับใช้ทำให้ก็จริง แต่บางเรื่องก็ควรทำเป็นบ้าง และที่สำคัญ เจ้าแต่งงานมาหลายปีแต่ไร้บุตร อนาคตอาจต้องรับอนุเข้าเรือน เจ้าจะเป็นสตรีใจแคบไม่ได้ เข้าใจหรือไม่’“ไม่...ข้าไม่เข้าใจ” นางทุบแผ่นอกของเขา แต่รู้สึกเหมือนมือไม้หนักยกแทบไม่ขึ้นจึงได้แต่ขยุ้มสาบเสื้อของเขาไว้ “เจ้าพูดถึงเรื่องใด” เขาโน้นหน้าลงเอ่ยถาม ปล่อยให้ทางทุบเขาให้พอใจ อย่างไรเขาก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บ มีแต่มือน้อย ๆ ของนางจะเจ็บเสียเอง“ทำไม...ทำไมต้องให้ข้าใจกว้าง” นางช้อนตาขึ้นมอง “ทำไมข้าต้องยินยอมรับอนุ ข้า...ข้าไม่อยากให้สตรีอื่นมาแตะต้องสามีของข้า ทั้งที่...ทั้งที่ข้าเฝ้ารอมาหลายปี แต่ทำไมต้องให้ข้า...ข้ายินดีรับอนุเข้าเรือ
“ข้าจะดื่ม” “เจ้าดื่มมากไปแล้ว” “เหล้านี้หวานดี ข้าชอบ เราขอซื้อเอากลับไปด้วยได้ไหม” “ได้ๆ ฮูหยินอยากได้ลูกแพะข้าก็ประลองมาให้ ฮูหยินอยากได้สุราผลไม้ของเปียนเจียง ข้าก็จะนำกลับไปให้” หรูซื่อหัวเราะคิกคักแล้วยื่นหน้าไปกระซิบ “สามีของข้าดีที่สุดเลย” กลิ่นลมหายใจเจือสุราผลไม้หอมหวาน ชวนให้คนมึนเมาเสียเหลือเกิน ซุนหลวนคุนได้แต่อ่อนใจที่ทำตัวเหลวไหลตามใจนางขนาดนี้ แต่คงมีเวลานี้เท่านั้นที่ได้ใช้ชีวิตเช่นสามีภรรยาทั่วไป ได้ใกล้ชิดเอาใจใส่ตามใจ นางหลังจากที่เขาห่างเหินกับนางไปเกือบห้าปี การตีดาบเสร็จสิ้นลง หนึ่งในบุรุษที่ตีดาบถือดาบสั้นเล่มนั้นตรงมาหานางแล้วยื่นให้ หรูซื่อทำหน้าไม่ถูกหันไปทางซุนหลวนคุน เขาเอียงหน้าแล้วกระซิบบอกนาง “พวกเขาต้องการมอบให้เจ้าเป็นของที่ระลึก” “ให้ข้า?” นางแปลกใจและดีใจไปพร้อมกัน นางยื่นมือมามีดสั้นน้ำหนักพอดีมือ “ข้าชอบมาก ขอบคุณทุกท่านมาก” หรูซื่อไม่รู้จะเอ่ยถ้อยคำใดได้อีก นางรับมือถือไว้อย่างทะนุถนอม ซุนหลวนคุนยื่นมือมารับมีดสั้นแล้วเก็บไว้
“ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีภาระใดแล้ว เราเดินทางท่องเที่ยวด้วยกันดีไหม ค่ำไหนก็นอนนั้น ข้าตัวเล็กกินไม่จุ คงไม่ลำบากท่านพี่กระมัง”“ถ้าเจ้าไม่กลัวลำบาก ข้าก็ไม่มีอะไรให้กลัว ขอเพียงมีเจ้าอยู่เคียงข้าง ข้าก็พอใจแล้ว” “ข้าก็เช่นกัน ท่านห้ามลืมคำพูดตนเองนะ”“ข้าสัญญา”‘ไม่ว่าจะผ่านความเจ็บปวดมากี่ครั้งกี่ครา ข้าจะไม่มีวันลืมเจ้าเด็ดขาด’ ซุนหลวนคุนบังคับม้าพากลับมาที่ลานประลองเพื่อส่งม้าคืน ทว่าเมื่อกลับมาถึง ทั้งสองต้องประหลาดใจเมื่อเห็นลานประลองกลายเป็นลานเลี้ยงฉลองเรียบร้อยแล้ว ทั้งที่ทั้งสองตั้งใจมาลากลับ หรือว่าจะมีผู้อื่นมาอีก ปาปังเห็นสีหน้างุนงงของทั้งสองก็หัวเราะออกมาแล้วเดินตรงมาตบไหล่แม่ทัพหนุ่ม “วันนี้กลับไม่ทันแล้ว ประเดี๋ยวก็พลบค่ำเดินทางค่ำมืดมันอันตราย พวกท่านค้างคืนที่นี่สักคืนเถิด พวกเราจัดเตรียมกระโจมที่พักไว้ให้แล้ว ท่านพ่อของข้าก็อยากเลี้ยงอาหารเย็นแม่ทัพและฮูหยิน รวมทั้งผู้ติดตามของท่านด้วย” หรูซื่อเงยหน้ามองสามีแล้วพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม เห็นทีว่าจะเดินทางกลับไม่ได้แล้วจริงๆ ซุนหลวนคุนได้แต่กล่าวขอบคุณน้ำใจที่เปียนเจียงมอบให้ ปาปัง
เสียงของลี่หย่าเรียกสติของหรูซื่อ นางพยักหน้ารับ ครู่ต่อมาเสียงแตรเขาสัตว์ดังขึ้นตามด้วยเสียงโฮ่ร้องของคนในเผ่า ม้ากว่าสิบตัวในลานประลองวิ่งห้อทะยานไปด้านหน้าเผื่อไปให้ถึงจุดที่สามารถยิงธนูได้ ทว่าก็มีม้าตัวอื่นเข้ามาเบียดกระแทก หรูซื่อหลุดเสียงร้องตกใจแล้วหันไปทางหวงอี้ “ไม่ใช่แค่การยิงธนูให้เข้าเป้าหรอกหรือ? เหตุใดเหมือนต่อสู้บนหลังม้าเช่นนี้” “เผ่าเปียนเจียงมีการแข่งขันไม่เหมือนผู้ใด นี่ไม่ใช่แค่การยิงธนู แต่ทุกคนต้องต่อสู้บนหลังม้า ถ้าตกจากม้าก่อนก็ถือว่าแพ้เช่นกัน” หรูซื่อถึงกับหน้าซีด นางคิดว่าแข่งยิงธนูก็คือประลองความแม่นยำเท่านั้น ไม่คิดว่าจะเป็นการต่อสู้กันเช่นนี้ ในลานประลองผู้อื่นล้วนเป็นคนในเผ่าเดียวกัน มีเพียงซุนหลวนคุนที่เป็นคนนอก แน่นอนว่าทุกคนบังคับม้าสกัดมิให้เขาสามารถตั้งหลักยิงธนูได้ ปาปังอาศัยจังหวะที่แม่ทัพหนุ่มไม่อาจหลบหลีกผู้อื่นได้ ยกคันธนูขึ้นเล็งยิงทันทีแม้ใช้หางตามองก็ยังรับรู้ทุกอย่าง ซุนหลวนคุนบังคับม้วนตัวหลบผู้อื่นที่พุงเข้ามา ยิงธนูไปสกัดมิให้ธนูของปาปังเข้าเป้าได้สำเร็จ ปาปังตวัดสายตามองอ
หรูซื่ออยู่ในชุดกระโปรงสีสันสดใสปักลวดลายเป็นเรื่องราวการเลี้ยงสัตว์ของคนในเผ่า แต่รองเท้านั้นเป็นรองเท้าหนังกวางสูงถึงหน้าแข้งเหมาะสำหรับการขี่ม้า บนศีรษะประดับเครื่องประดับผมที่ทำจากลูกปัดหลากสีและขนนก และเพราะนางผิวขาวดุจหิมะต่างจากสตรีในทุ่งหญ้า ยามนี้นางจึงงดงามราวเทพธิดาสะกดสายตาบุรุษที่เผลอมองมา “ท่านพี่” หรูซื่อเห็นเขาตะลึงงันไปก็เรียกเบาๆ ทำให้ชายหนุ่มได้สติแล้วกระแอมไอออกมาแก้เก้อ “ผิวนางเหมาะกับเสื้อผ้าสีแดงมากจริง ๆ” ลี่หย่าอดเย้าไม่ได้ “นี่ๆ เจ้าเคยกินชานมแพะหรือไม่ ลองชิมดูก่อนสิ” ลี่หย่าดึงมือหรูซื่อให้นั่งลงข้างกายนาง แล้วจัดแจงรินชานมแพะส่งให้ “ไม่เหม็นหรอก ลองชิมดู” หรูซื่อรับมาจิบที่ละนิด รสชาติแปลกไม่คุ้นลิ้น แต่พอได้ชิมก็ติดใจ “อร่อย แปลกดี ข้าเพิ่งเคยกินเป็นครั้งแรก” “นมแพะทำได้หลายอย่าง ถ้าเจ้าได้แพะไปก็เลี้ยงมันดี ๆ จะได้เอาน้ำนมมันมากิน” “ต้องได้อยู่แล้ว” หรูซื่อพูดด้วยความมั่นใจแล้วหลิวตามองสามีของตน นางฝากความหวังที่จะได้ลูกแพะกลับไปจวนแม่ทัพ ซุนหลวนคุนอ่อนใจกับภรรยาตัวน้อ
“ท่าน!” นางหน้าแดงขึ้นมาทันทีแล้วยกมือขึ้นทุบแผ่นอกไปหลายที เรียกเสียงหัวเราะจนแม่ทัพโหดจนดังไปนอกรถม้า นางรู้ว่าทุบไปก็ไร้ประโยชน์ไม่สะเทือนเขาเลยสักนิด จึงฮึดฮัดแสร้งไม่สนใจเขาอีก รถม้าหยุดนิ่งก่อนเข้าหมู่บ้านที่ส่วนมากเป็นกระโจมขนาดใหญ่ ซุนหลวนคุนช่วยจับแต่งเสื้อผ้าของหรูซื่อให้เรียบร้อยก่อนจะก้าวลงจากรถม้าไปก่อนแล้วจึงยื่นมือไปประคองนางลงตามมา ท่าทางเอาใจใส่นี้ทำให้ลี่หย่ากำแส้ม้าในมือแน่นแต่ยังคงฝืนยิ้มออกมา “ดีใจที่เห็นพวกท่านมาเยือนถึงที่นี่” ลี่หย่าเอ่ยออกมาแต่อดกวาดตามองหญิงสาวข้างกายแม่ทัพหนุ่มไม่ได้ ซุนหลวนคุนคิดจะใช้ร่างกายตัวเองบดบังสายตาของลี่หย่า แต่หรูซื่อกลับก้าวเท้าออกมาด้านหน้าพร้อมรอยยิ้มและยื่นถุงผ้าใบน้อยให้ “เดินทางมากะทันหัน ไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรมามอบให้ เมื่อคืนข้าเย็บถุงเงินตั้งใจมอบให้แม่นางลี่หย่า ของเล็กน้อยนี้ หวังว่าแม่นางจะรับไว้” “ถุงเงินหรือ? ข้าชอบ” ลี่หย่ายื่นมือไปรับอย่างไม่เกรงมารยาทและไม่สนใจสายตาดุดันของแม่ทัพซุน นางคว้ามือของหรูซื่อแล้วใช้ร่างแทรกกลางระหว่างสองสามีภรรยา พาหรูซื่
“ท่านพี่...ท่านกอดข้าแน่นเช่นนี้ กระดูกข้าจะแหลกเหลวแล้วนะ” หรูซื่อแสร้งร้องโอดครวญเบา ๆ ทว่าเสียงของนางชวนให้คนฟังใจเตลิดไปเรื่องอื่น“หรือท่านยังคิดเรื่องรับอนุอีก” นางดิ้นขลุกขลักพลางผลักไสมือใหญ่ที่เลื่อนมาเกาะกุมบัวคู่งาม“ข้าสาบานว่าจะมีเจ้าเพียงคนเดียว” เขาฝืนยิ้มออกมา สลัดความขุ่นมัวในใจแล้วสนใจกับเรือนร่างหอมกรุ่นที่ปลุกเร้าแก่นกายบุรุษเพศให้แข็งขัน “ลำบากฮูหยินแล้ว” ยังไม่ทันเอ่ยถามว่าเขาพูดถึงเรื่องใด หรูซื่อก็เข้าใจได้เมื่อรู้สึกถึงบางอย่างที่แข็งขันดุนดันก้นของนางอยู่ ใบหน้าหวานร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีพร้อมกับผ้าคาดเอวที่ถูกปลดออก เสื้อตัวนอกเลื่อนหล่นเผยผิวกายขาวผ่องที่โผล่พ้นเอี๊ยมบังทรงตัวน้อย ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววับ“ท่านพี่! เหลวไหลใหญ่แล้วนะ” นางเขินอายจนใบหน้าแดงจัดพยายามดึงเสื้อผ้าของตนเองขึ้นปกปิด แต่ต้องหลุดเสียงครางหวิวเมื่อมือซุกซนบีบเคล้นทรวงอกของนาง ร่างกายอ่อนยวบลงไปไร้แรงขัดขืน นางเอนหลังผิงแผ่นอกกว้างอย่างจำนนต่อความรัญจวนที่เขามอบให้ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยอย่างน่าอับอาย ลิ้นร้อนตวัดไล้เลียใบหู จุดอ่อนไหวที่ถูกค้นพบทำให้หญิงสาวได้แต่ครางเสียงหวา
“อีกสองวันข้าจะไปพบเจ้า” “อย่าลืมฮูหยินของท่านด้วยสิ” ลี่หย่าย้ำ “แน่นอน ข้าต้องไปอยู่แล้ว” หรูซื่อยิ้มกว้าง สีหน้าไร้เดียงสาของนางทำให้ซุนหลวนคุนอ่อนใจ ในจังหวะเดียวกัน เขารับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองอยู่จึงวาดแขนโอบไหล่ร่างบางเข้ามาใกล้ “มีอะไรรึ” นางถาม จู่ ๆ เขาก็โอบนางเช่นนี้ “กลัวเจ้าจะร้อน” “หากข้าไม่เห็นด้วยตาตนเอง ย่อมไม่มีวันเชื่อว่าแม่ทัพปีศาจอย่างท่าน จะอ่อนโยนใส่ใจกับสตรีถึงเพียงนี้”ลี่หย่าหัวเราะเสียงใส แต่แววตาที่จ้องมองกลับตรงข้าม ซุนหลวนคุนเหมือนม้าป่างามสง่า ไม่น่าเชื่อว่า ผู้ที่ปราบม้าพยศได้นั้นเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ ท่าทางไร้เดียงสาคนหนึ่งเท่านั้น... หญิงสาวเดินเข้ามาพร้อมจานผลไม้ที่ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ สายตาจับจ้องไปยังบุรุษหนุ่มที่นั่งก้มหน้าอ่านอะไรสักอย่างอย่างตั้งใจ คล้ายไม่รับรู้ว่ามีคนเดินเข้ามา นางเผลอขบริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว ผู้มีวรยุทธ์สูงส่งเช่นเขาจะไม่รู้ว่านางเดินเข้ามา หรูซื่อจึงเปลี่ยนใจหมุนตัวเดินกลับออกมา ทว่าเดินได้เพียงไม่กี่ก้าว คนที่ฝืนทำใจแข็ง
“ข้านะหรือ?” หรูซื่อชี้หน้าตัวเอง เห็นเขาพยักหน้ารับแล้วนางก็คิดตามแล้วพยักหน้าตาม“มิน่าเล่า ข้าเข้าครัวทำอาหารก็เกือบทำไฟไหม้ห้องครัวของท่านแล้ว แต่พอได้จับเข็มจับด้าย ข้ากลับรู้สึกทำได้คล่องแคล่ว เช่นนั้นข้าจะเย็บเสื้อให้ท่านเอง” “ข้าไม่อยากเห็นเจ้าเหนื่อย” เขาจับมือเรียวเล็กขึ้นมาลูบไล้นิ้วงามอย่างทะนุถนอม “ข้าอยากทำให้ท่านพี่” นางยิ้มเขินอาย เพราะตั้งใจหลบสายตาร้อนแรงของเขาจึงเสมองไปทางอื่น ทว่ากลับเห็นแผ่นที่กางอยู่บนโต๊ะ นางหลุบตาลงทันที แต่กระนั้น ทุกกิริยาของนางอยู่ในสายตาของซุนหลวนคุน “ไม่ใช่ความลับอะไร เจ้าดูได้” เขาเชยคางนางขึ้น “หากเจ้าอยากรู้อะไรก็ถาม เพียงแต่เรื่องพวกนี้อาจจะทำให้เจ้าหมดสนุก ข้าจึงไม่ได้ให้เจ้าดู” “ข้าดูได้หรือ?” แววตาวาววับจ้องมองกลับ และเมื่อเขาพยักหน้ายืนยัน นางจึงหันไปมองที่กระดาษแผ่นนั้น “นี่คือแผนที่หรือเจ้าคะ” “ใช่” เขาตอบแล้วจับเอวนางให้นางตัวตรง แผ่นหลังของนางแนบอกแกร่ง วงแขนกว้างโอบร่างเล็กแล้วชี้ให้นางดูตำแหน่งต่างๆ “นี่คือค่ายทหาร ตรงนี้เป็นกำแพงเมือง แนวเขานี้เป็นเสมือ