เซียวป๋อฉิงถลึงตาจ้องนางด้วยความโมโห ครู่ก่อนยังเรียกเขาว่าชายชั่ว ตอนนี้พอจะลงโทษคนก็เปลี่ยนมาเรียกเขาว่าท่านแม่ทัพช่างเป็นสตรีที่เจ้าเล่ห์กลับกลอกนัก!“เหลียนเอ๋อร์อบรมบ่าวไพร่ไม่เข้มงวด ลงโทษกักบริเวณก็แล้วกัน เอาละ พวกเจ้าล้วนได้รับบาดเจ็บ กลับไปรักษาตัวเถอะ”เขาเอ่ยอย่างขุ่นเคืองไป๋หว่านเหลียนมีสีหน้าไม่ยินยอมพร้อมใจ แม้จะไม่พอใจแต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้านางจดจำความแค้นนี้ไว้แล้วสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของดอกบัวขาว ไป๋ซือหวงไม่แยแสแม้แต่น้อย อีกฝ่ายอาจเป็นปีศาจร้ายในสายตาเจ้าของร่างเดิม แต่ในสายตานางก็แค่ปลาซิวปลาสร้อย ไม่น่ากลัวเลยสักนิดแม้จะไม่พอใจกับการจัดการของชายชั่ว ถ้าอิงตามนิสัยของนางจะต้องหย่าขาดตีจากชายชั่วคนนี้ทันที แต่เจ้าของร่างเดิมยังมีลูกน้อยคนหนึ่งจึงยังรีบร้อนไม่ได้ไป๋ซือหวงข่มความไม่พอใจเอาไว้ กลอกตาใส่เซียวป๋อฉิงหนึ่งที แล้วจึงหมุนตัวจากไปเซียวป๋อฉิงกำหมัดแน่น เส้นเลือดตรงขมับปูดโปนหากไม่ใช่เพราะนี่เป็นสมรสพระราชทาน เขาคงปลดนางไปนานแล้วกลางดึก ไป๋ซือหวงตัวสั่นสะท้านเดินกลับไปยังเรือนชีอู๋ของเจ้าของร่างเดิมอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมา นางอาบน้ำเย็นชำระล
เวลานั้น ไป๋ซือหวงอยู่ในห้องที่กว้างขวางใหญ่โตห้องหนึ่ง ฝั่งซ้ายคือห้องผ่าตัดแบบสมัยใหม่ที่เย็นยะเยือก ฝั่งขวาคือคลินิกแพทย์แผนจีนแฝงกลิ่นอายโบราณ โดยมีโต๊ะดิจิทัลตั้งอยู่ตรงกลางเห็นสิ่งของที่คุ้นเคยตรงหน้า ไป๋ซือหวงพลันดวงตารื้นน้ำฝั่งซ้ายคือห้องผ่าตัดของแม่ของเธอฝั่งขวาคือคลินิกแพทย์แผนจีนของพ่อของเธอไป๋ซือหวงยังไม่ทันได้ตกตะลึง ตัวอักษรสีชมพูแสดงกฎเกณฑ์ในมิติก็แสดงขึ้นมาที่นี่คือ ‘มิติแพทย์อ้ายซิน’ สิ่งของจำเป็นทุกอย่างจะต้องใช้แต้มอ้ายซินมาแลก จำนวนแต้มที่ใช้แลกสิ่งของแต่ละอย่างมีระบุไว้อย่างชัดเจนใน ‘ศูนย์ควบคุม’ ของมิติ แต้มอ้ายซินจะได้รับผ่านการช่วยเหลือสัตว์และมนุษย์ ระดับความรุนแรงของอาการบาดเจ็บของผู้ป่วยจะเป็นตัวกำหนดจำนวนแต้มอ้ายซินเนื่องจากชาติก่อนท่านมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือสัตว์ไว้จำนวนมาก มิติจึงมอบแต้มอ้ายซินให้ท่านจำนวนหนึ่งพันแต้มเมื่อแต้มอ้ายซินถูกใช้งานไปจนถึงระดับหนึ่งก็จะสามารถอัปเกรดโดยคงมิติเดิมเอาไว้ได้ประเภทของมิติอัปเกรด ได้แก่ มิติยาพิษมหัศจรรย์ มิติอาวุธนานาชนิด มิติสุ่มจับรางวัล มิติพิเศษสำหรับคู่รัก มิติของวิเศษบำเพ็ญเซียน เป
รัตติกาลนอกหน้าต่างมืดมิดดุจน้ำหมึกความหนาวเย็นแทรกผ่านรอยแตกบนหน้าต่างเข้ามาข้างในไป๋ซือหวงรีบอุ้มเสี่ยวหลางไปที่เตียง แล้วห่มผ้าห่มผืนบางที่มีอยู่เพียงผืนเดียวให้มองดูใบหน้ายามนอนหลับที่น่ารักของเขาแล้ว นางก็ค่อยๆ นอนหลับไปเมื่อยาหมดฤทธิ์ลง เจ้าก้อนน้อยบนเตียงก็หนาวจนตื่นขึ้นมาเขาลืมดวงตาสีฟ้ามองผู้เป็นแม่ที่นอนหลับอยู่ข้างกายอย่างทำอะไรไม่ถูกก่อนหน้านี้เขาเจ็บเหมือนกำลังจะตาย แต่พอท่านแม่ร่ายคาถา เขาก็หลับไป ตอนนี้ร่างกายไม่เจ็บปวดอีกแล้วท่านแม่เป็นเทพเซียนจริงๆ งั้นหรือ?งั้นเขา...ก็ไม่ใช่ปีศาจน่ะสิ?เขายังไม่รู้เลยว่าควรอยู่ร่วมกับท่านแม่ที่เป็นเทพเซียนอย่างไรดีคิดไปคิดมา เขาก็ยื่นมือออกมากอดแขนมารดาอย่างระมัดระวัง แล้วนอนหลับไปด้วยความง่วงงุนอีกครั้งไป๋ซือหวงถูกลมหนาวพัดโกรกจนตื่นขึ้นมา นางพลิกตัวลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบ มองดูสภาพแวดล้อมที่ทรุดโทรมนั่นแล้วก็ถอนหายใจออกมานางเดินมาถึงหน้ากระจก มองดูใบหน้าชวนสะพรึงบนนั้นแล้วก็ผลักกระจกออกไปเบาๆอัปลักษณ์เกินไป นางทนดูต่อไปไม่ไหวพอคิดถึงว่าชาติที่แล้วนางเป็นถึงอัจฉริยะโฉมงาม พอมาอยู่โลกนี้กลับตกต่ำจนไม่อาจต่
ไป๋ซือหวงอดไม่ได้ที่จะขยี้ผมของเขาอย่างแรง นุ่มดีจริงๆ “ลูกรัก แม่กลับมาแล้ว ต่อไปก็ไม่มีผู้ใดกล้ารังแกเจ้าได้อีกแล้ว” “เจ้าจำเอาไว้ว่าผู้ใดกล้ารังแกเจ้า เจ้าก็รังแกกลับไป แม่จะคอยหนุนหลังเจ้าเอง!” เสี่ยวหลางได้ยินแล้วก็รู้สึกแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หันหัวไปอีกทาง แล้วตอบเสียงอู้อี้ออกไป “อื้อ” “ร้องไห้หรือ?” ไป๋ซือหวงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตาจิ้งจอกทรงโค้งจ้องมองดวงตาประกายแก้วที่มีน้ำตาคลอ ทั้งที่เป็นเด็กผู้ชาย แต่เหตุใดเวลาเขาร้องไห้ถึงดูน่าสงสารนัก? “เปล่าเสียหน่อย!” เสี่ยวหลางหันกลับไปอย่างรวดเร็ว “ร้อง!” “ไม่ได้ร้อง!” แม่ลูกเถียงกันไปเถียงกันมา จนเวลาล่วงเลยมาถึงรุ่งสาง ไป๋ซือหวงหยิบเสื้อผ้าใหม่ที่ตัดเย็บเสร็จแล้วออกมา เพื่อจะเปลี่ยนให้เสี่ยวหลาง “นี่คือเสื้อที่แม่ใช้เสื้อเก่ามาดัดแปลง เจ้าอย่าได้รังเกียจไป” นางค้นหาไปทั่วทั้งห้อง จนเจอผ้าเก่าหลายชิ้น จึงเอามาดัดแปลงโดยการเย็บรวมกันใหม่ เสี่ยวหลางมองเสื้อผ้าที่สวยงามสะอาดสะอ้าน ดวงตาสีฟ้าดูมีความกังวลปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย “ท่านแม่ วันนี้เป็นวันเทศกาลอะไรหรือไม่?” เขาถามอย่างลังเล “เหตุใดจึงถามแบบนี้
ไป๋ซือหวงหัวเราะเสียงเย็นสองที ยกมือขึ้นแล้วโยนกล่องอาหารไปที่แม่ครัวที่ผัดอาหาร “ในเมื่อเป็นของดี งั้นข้าก็จะให้สุนัขรับใช้อย่างเจ้ากิน!” อาหารเหลือดังกล่าวลอยกระจัดกระจายไปทั่ว แม่ครัวตกใจจนอ้าปากค้าง ทำให้เศษอาหารตกใส่ปากไปทันที กลิ่นเหม็นเน่าของน้ำจากเศษอาหารทำให้นางรู้สึกอยากอาเจียน ทั้งยังถูกกล่องอาหารครอบหัว ล้มลงกับพื้นแล้วพยายามอาเจียนออกมาอย่างสุดชีวิต “ช่วยด้วย! ฮูหยินทำร้ายคนแล้ว!” ข้ารับใช้วิ่งวุ่นกันจ้าละหวั่น ไป๋ซือหวงจับคนที่โยนใบผักใส่นางและแม่ครัวที่ล้มอยู่ขึ้นมาเหมือนจับลูกเจี๊ยบก็ไม่ปาน “ข้าคงจะให้เกียรติพวกเจ้าเกินไปแล้วสินะ ถึงได้กล้าดูหมิ่นเจ้านายเช่นนี้!” ทั้งสองรู้สึกถึงแรงบีบที่รุนแรง พยายามดิ้นรนแต่กลับไร้ประโยชน์ ไป๋ซือหวงลากพวกเขาไปถึงถังขยะที่เก็บเศษอาหาร และน้ำของเศษอาหารที่เหลือ ด้านบนยังมีน้ำแข็งสีดำเทาเกาะอยู่ ทั้งสองคนดูเหมือนรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ตะโกนออกมาด้วยความกลัว “ฮูหยิน บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ! บ่าวผิดไปแล้วจริงๆ!” “ฮูหยิน...” เสียงของพวกนางยังไม่ทันจบ หัวก็ถูกกดลงในถังเศษอาหาร น้ำแข็งถูกหัวของพวกนางโขกลงไปจนแตก กลิ่นเหม
“ทรยศ พวกเจ้ารนหาที่ตายหรือ?” เซียงซิ่งไม่คิดว่าพวกเขาจะกล้าลงมือกับนาง ตะโกนออกมาเสียงดังอย่างสุดชีวิต เพราะนี่คือเสื้อตัวใหม่ของนาง! “อนุเหลียนช่วยด้วย มีคนรังแกบ่าวเจ้าค่ะ!” นางตะโกนจนเสียงแหบ แต่กลับหยุดเสื้อคลุมที่ถูกถอดออกไปไม่ได้ ตอนนี้ เซียงซิ่งเหลือแค่เสื้อตัวบางตัวเดียว หนาวจนสั่นเทา ภายในห้อง ไป๋หว่านเหลียนได้ยินเสียงนั้นตั้งนานแล้ว แต่นางจะลุกขึ้นได้อย่างไร ครั้งก่อนโดนทำร้ายจนบาดเจ็บยังไม่หาย เพียงขยับตัวก็รู้สึกเจ็บแล้ว นางกัดฟันมองสิ่งที่เกิดขึ้นนอกห้อง ดวงตางดงามสดเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าหิมะข้างนอก ข้ารับใช้ถอดเสื้อเสร็จ ก็รีบแยกตัวหนีหายไป ไป๋ซือหวงก้าวเข้าหาเซียงซิ่งทีละก้าว พูดด้วยเสียงที่เยือกเย็น “คุกเข่า” “ถือสิทธิ์ใดกัน!” เซียงซิ่งมีสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความไม่ยอม นางไม่คุกเข่าเสียอย่าง วินาทีต่อมา ไป๋ซือหวงได้เดินอ้อมไปด้านหลังของนาง แล้วกระแทกเข้าที่เข่านางอย่างแรง “กรี๊ด!” เซียงซิ่งร้องเสียงดัง ความเจ็บทำให้นางคุกเข่าลงทันที หัวเข่ากระแทกพื้นหิมะที่เย็นยะเยือก ทั้งชาและเจ็บจนบวม นางอยากลุกก็ลุกไม่ขึ้น “เชื่อฟังดีเสียจริง” ไป๋ซือหว
ไป๋ซือหวงมองพลางเลิกคิ้ว พูดถึงสุนัข สุนัขก็มา “ท่านแม่ทัพยังไม่บ้วนปากตอนเช้าหรือไร ปากถึงได้เหม็นเช่นนี้ ท่านใช้ตาข้างไหนเห็นว่าข้ารังแกข้ารับใช้?” ไป๋ซือหวงตอบโต้กลับอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ชายชั่วเช่นนี้ด่าหนึ่งประโยคก็สะใจหนึ่งประโยค เซียวป๋อฉิงกำหมัดแน่น เส้นเลือดนูนขึ้นมาบนหน้าผากปูด “บังอาจ ใครก็ได้ ใช้กฎตระกูล แม่ทัพอย่างข้าจะสั่งสอนหญิงเจ้าเล่ห์นางนี้เอง!” ไป๋หว่านเหลียนแสร้งทำเป็นเข้าไปห้าม “ท่านแม่ทัพ อย่าโกรธไปเลยเจ้าค่ะ พี่หญิงนางไม่ได้ตั้งใจ” “น้องหญิงพูดถูก อย่าโกรธไปเลย ไม่อย่างนั้นหากเหมือนน้องหญิงที่ยังสาวแต่กลับมีริ้วรอยก็คงไม่ดี” ไป๋ซือหวงยิ้มที่ปากแต่ไปไม่ถึงตา ไป๋หว่านเหลียนตกใจจนรีบส่องกระจก จะมีริ้วรอยจริง ๆ หรือ? ซึ่งในตอนนี้ คนสนิทของไป๋หว่านเหลียนจำนวนหนึ่งรีบเอาไม้มา อยากให้แม่ทัพตีไป๋ซือหวงให้ตายไปเสียโดยเร็ว เซียวป๋อฉิงรับท่อนไม้ดังกล่าวมา ยกมือขึ้นหมายจะตีไป๋ซือหวง ไป๋ซือหวงก็ไม่หลบ ในตอนนั้นเอง ข้ารับใช้คนหนึ่งพลันวิ่งมา รายงานอย่างเร่งด่วน “แย่แล้วขอรับท่านแม่ทัพ! องครักษ์กว่าสลบไปแล้ว ท่านรีบไปดูเถิดขอรับ” เซียวป๋อฉิงมองใบหน้าท้าท
“พี่หญิง องครักษ์กว่ายังสลบอยู่ ท่านทำเช่นนี้จะเป็นการฆ่าเขา!” ใบหน้าของนางแสดงความกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด เซียวป๋อฉิงที่เห็นว่าไป๋ซือหวงใช้แรงกดหน้าอกของกว่าอีราวกับจะทำให้เขาตายให้ได้ ก็โกรธเป็นอย่างยิ่ง เขาเดินไปจับข้อมือนาง แรงที่ใช้ทำให้ผิวขาวซีดพลันกลายเป็นสีเขียวทันที “ปล่อยมือของเจ้าซะ! ถ้ากว่าอีเป็นอะไรไป ข้าจะหั่นร่างเจ้านับหมื่นชิ้น!” ดวงตาคู่นั้นของเขาแดงเหมือนสัตว์ป่าที่บ้าคลั่ง เมื่อไป๋หว่านเหลียนเห็นภาพนั้นก็รู้สึกดีใจขึ้นมา นังแพศยาคนนี้ ช่างทำให้แม่ทัพเกลียดได้เก่งจริงๆ ไป๋ซือหวงเจ็บจนสูดลมหายใจเข้าลึก “ชายชั่ว หากไม่ปล่อยมือสกปรกของเจ้า ข้าจะจัดการเจ้าเสีย!” นางไม่กล้าหยุดมือตัวเอง ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หากช่วยไว้ไม่ทันก็อาจจะตายได้ ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของกว่าอีในตอนนี้กลายเป็นสีม่วง ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น กล้ามเนื้อของเขามากเกินไป ไป๋ซือหวงต้องใช้แรงมากกว่าปกติหลายเท่าถึงจะกดไว้ได้ ตอนนี้ยิ่งมือถูกจับ ก็ยิ่งทำให้นางทำงานลำบากกว่าเดิม เซียวป๋อฉิงโดนด่าต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ จึงรู้สึกอับอายขึ้นมา เขากำลังจะออกแรง แต่กลับได้ยินเสียงที่แผ