วันที่สิบสองเดือนสิบสอง ลมหนาวเย็นยะเยือกในพงหญ้าแห่งหนึ่งข้างคูเมือง ใยแมงมุมหนาแน่น หนูวิ่งขวักไขว่ไป๋ซือหวงเลือดอาบหน้า บนร่างเต็มไปด้วยคราบเลือด นอนหายใจรวยรินอยู่ในพงหญ้าแต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ชายถือกระบองสามคนก็ยังคงล้อมวงหวดตีโดยไม่ยั้งมือพลั่ก!พลั่ก!พลั่ก!กระบองฟาดลงมาอย่างหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ไป๋ซือหวงที่สลบไสลรู้สึกตัวขึ้นมาเพราะความเจ็บ แต่กลับไม่มีแม้แต่แรงจะส่งเสียงร้องสติรับรู้ของนางเลือนราง เพียงรู้สึกว่าตนเองถูกคนกระชากผม ลากถูลู่ถูกังไปจนถึงคูเมืองผิวน้ำแข็งเย็นเสียดกระดูกรวมกับความเจ็บปวดสุดขั้วค่อยๆ ซึมซาบเข้ามาในสมองนางเงาร่างที่งดงามสายหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง“พี่สาวคนดี ตั้งแต่วันที่ท่านแต่งงานกับท่านแม่ทัพ ท่านก็สมควรตายแล้ว แต่เพราะข้าจิตใจดีงามถึงได้ปล่อยให้ท่านมีชีวิตต่อมาอีกหลายปี”ไป๋หว่านเหลียนเลิกคิ้วเรียวบาง ไอเย็นที่พ่นออกมาทำให้แววตาชั่วร้ายของนางแลดูเลือนรางสี่ปีก่อน ไป๋ซือหวงพี่สาวผู้โง่งมที่เป็นฝาแฝดร่วมอุทรกับนางถูกฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้เป็นภรรยาเอกของแม่ทัพฝู่กั๋ว เซียวป๋อฉิง ส่วนนางกลับต้องเป็นอนุเหลียนผู้มี
ยามนี้ หน้าประตูปราศจากเวรยามอารักขา มีเพียงอักขระยันต์สีแดงเข้มที่ดูเหมือนใช้เลือดไก่วาดไว้เท่านั้นวัวสันหลังหวะ นี่คงกลัวว่าวิญญาณของนางจะตามมาแก้แค้นสินะ?ไป๋ซือหวงเดินเข้าไปในจวนอย่างเงียบเชียบ เห็นว่าตามหน้าต่างและบนเสาล้วนเต็มไปด้วยดอกไม้ขาว ลมหนาวหอบหนึ่งพัดมา เงินกระดาษปลิวว่อนเต็มท้องฟ้าระฆังทองแดงส่งเสียงดังก้องกังวานวิเวกวังเวง แปลกวิกลจนถึงที่สุดภายในเรือน โต๊ะตัวหนึ่งปูผ้าเหลือง วางธูปหอม ตุ๊กตากระดาษ รวมถึงหมั่นโถวที่แต้มจุดแดงและน้ำสะอาดข้ารับใช้หลายคนกำลังจัดการเก็บกวาดทำราวกับว่านางตายไปแล้วจริงๆดวงตาจิ้งจอกของไป๋ซือหวงสาดประกายเย็นชา เดินอ้อมสิ่งของเหล่านี้ไปก็เจอเรือนเหลียนฮวาอันเป็นที่พักของดอกบัวขาวอย่างรวดเร็วข้างในนั้น แสงโคมไฟมัวสลัว ไป๋หว่านเหลียนส่องกระจกทองแดงพลางลูบไล้ใบหน้าอย่างหลงตัวเอง “เซียงชุน ข้างามหรือไม่?”“งามเจ้าค่ะ อนุเหลียนงดงามที่สุดแล้ว รอจนท่านได้เป็นฮูหยินก็จะยิ่งงามกว่านี้อีก”“คนชั้นต่ำนั่นตายไปแล้ว พิธีก็ทำเสร็จแล้ว ต่อไปท่านก็คือสตรีเพียงคนเดียวข้างกายท่านแม่ทัพ”เซียงชุนปากหวานยิ่งนักไป๋หว่านเหลียนแย้มยิ้มมีเสน่ห์ “รอ
เขามือสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง โยนของสิ่งนั้นลงบนพื้น“ท่านแม่ทัพ...ข้าเองเจ้าค่ะ...”ไป๋หว่านเหลียนร่วงลงบนพื้น ทั่วร่างเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ลมหายใจรวยริน ยื่นมือสั่นระริกออกมาแสงคบเพลิงสาดส่อง เซียวป๋อฉิงถึงเพิ่งเห็นว่าเจ้าสิ่งของน่ากลัวนั้นคืออนุคนโปรดของเขา!เขารีบอุ้มคนขึ้นมาด้วยความปวดใจ “เหลียนเอ๋อร์ เจ้ากลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เป็นฝีมือผีร้ายใช่หรือไม่!”“ท่านแม่ทัพ ข้าตายตาไม่หลับ...ท่านต้องคืนความเป็นธรรมให้ข้านะเจ้าคะ”น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้น เซียวป๋อฉิงตวัดสายตามองไปก็เห็นผีชุดแดงตนหนึ่งลอยอยู่ใต้ต้นไม้ทั้งยังยิ้มอยู่ ใต้ดวงตามีรอยเลือดไหลเป็นสายนอกจากเขากับนักพรตชรา คนที่เหลือล้วนกรีดร้องวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทางเซียวป๋อฉิงยืนนิ่งอยู่กับที่ไป๋ซือหวงตายไปแล้วไม่ใช่หรือ?ยังไม่ครบเจ็ดวัน เหตุใดวิญญาณจึงกลับมาแล้ว?เขาถามคาดคั้นนักพรตชรา “ท่านบอกว่าท่านวางอาคมไว้แล้วไม่ใช่รึ? ทำไมนางยังบุกเข้ามาได้อีก!”นักพรตชราหน้าแดงวาบ “นี่... นี่...”เขาควรแต่งเรื่องอย่างไรดีนะ?ไป๋ซือหวงยิ้มเย็น คลายเชือกที่เอวให้หลวม เพราะรัดแน่นจนนางอึดอัด“ข้าก็ไม่ได้อยากกลับมา
หลังจากนั้น เซียวป๋อฉิงก็ไม่สนใจคำทัดทานของไป๋หว่านเหลียน หักใจดึงนางคุกเข่าลงต่อหน้าไป๋ซือหวงอย่างเด็ดขาดนักพรตชราเอ่ยขึ้นจากข้างๆ “โขกศีรษะสามครั้ง คำนับเก้าครา จะขาดไปแม้แต่ครั้งเดียวก็ไม่ได้”เซียวป๋อฉิงใบหน้าแดงก่ำ กดศีรษะไป๋หว่านเหลียนลง โขกศีรษะสามครั้งแล้วคำนับอีกเก้าครั้งไป๋หว่านเหลียนร้องไห้สะอึกสะอื้น ในใจภาวนาให้ไป๋ซือหวงรีบจากไปเร็วๆอย่ามาทรมานนางแบบนี้อีกเลยไป๋ซือหวงรับการแสดงความเคารพนั้นด้วยท่าทีจริงจังยิ่งยวดเสร็จก็หัวเราะเสียงดังอย่างอดไม่ไหว“คนโง่อย่างพวกเจ้าสองคนยังมีหน้ามาพูดว่าข้าเป็นคนปัญญาอ่อน พวกเจ้าแยกแยะไม่ออกว่าเป็นคนหรือผี นั่นไม่โง่ยิ่งกว่าหรอกรึ?”“บอกพวกเจ้าก็ได้ ข้ายังไม่ตาย ถ้าข้าตายไปจริงๆ ก็คงไม่แค่อัดพวกเจ้าไม่กี่ทีแล้ว”ได้ยินคำพูดเหล่านั้น ในหัวเซียวป๋อฉิงมีเสียงดังวิ้งเขา...เขาถูกหลอก!เขาหันหน้าไปด้วยโทสะจากความอับอาย หมายจะคาดคั้นถามนักพรตชราว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่แต่ยังมีเงาคนอยู่เสียที่ไหน แม้แต่เงินที่เขาวางไว้บนโต๊ะก็อันตรธานหายไปแล้ว!พอคิดถึงการกระทำโง่เง่าของตัวเอง เขาก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาถามด้วยใบหน้าแดงก่ำ “หน็อยแน่น
เซียวป๋อฉิงถลึงตาจ้องนางด้วยความโมโห ครู่ก่อนยังเรียกเขาว่าชายชั่ว ตอนนี้พอจะลงโทษคนก็เปลี่ยนมาเรียกเขาว่าท่านแม่ทัพช่างเป็นสตรีที่เจ้าเล่ห์กลับกลอกนัก!“เหลียนเอ๋อร์อบรมบ่าวไพร่ไม่เข้มงวด ลงโทษกักบริเวณก็แล้วกัน เอาละ พวกเจ้าล้วนได้รับบาดเจ็บ กลับไปรักษาตัวเถอะ”เขาเอ่ยอย่างขุ่นเคืองไป๋หว่านเหลียนมีสีหน้าไม่ยินยอมพร้อมใจ แม้จะไม่พอใจแต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้านางจดจำความแค้นนี้ไว้แล้วสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของดอกบัวขาว ไป๋ซือหวงไม่แยแสแม้แต่น้อย อีกฝ่ายอาจเป็นปีศาจร้ายในสายตาเจ้าของร่างเดิม แต่ในสายตานางก็แค่ปลาซิวปลาสร้อย ไม่น่ากลัวเลยสักนิดแม้จะไม่พอใจกับการจัดการของชายชั่ว ถ้าอิงตามนิสัยของนางจะต้องหย่าขาดตีจากชายชั่วคนนี้ทันที แต่เจ้าของร่างเดิมยังมีลูกน้อยคนหนึ่งจึงยังรีบร้อนไม่ได้ไป๋ซือหวงข่มความไม่พอใจเอาไว้ กลอกตาใส่เซียวป๋อฉิงหนึ่งที แล้วจึงหมุนตัวจากไปเซียวป๋อฉิงกำหมัดแน่น เส้นเลือดตรงขมับปูดโปนหากไม่ใช่เพราะนี่เป็นสมรสพระราชทาน เขาคงปลดนางไปนานแล้วกลางดึก ไป๋ซือหวงตัวสั่นสะท้านเดินกลับไปยังเรือนชีอู๋ของเจ้าของร่างเดิมอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมา นางอาบน้ำเย็นชำระล
เวลานั้น ไป๋ซือหวงอยู่ในห้องที่กว้างขวางใหญ่โตห้องหนึ่ง ฝั่งซ้ายคือห้องผ่าตัดแบบสมัยใหม่ที่เย็นยะเยือก ฝั่งขวาคือคลินิกแพทย์แผนจีนแฝงกลิ่นอายโบราณ โดยมีโต๊ะดิจิทัลตั้งอยู่ตรงกลางเห็นสิ่งของที่คุ้นเคยตรงหน้า ไป๋ซือหวงพลันดวงตารื้นน้ำฝั่งซ้ายคือห้องผ่าตัดของแม่ของเธอฝั่งขวาคือคลินิกแพทย์แผนจีนของพ่อของเธอไป๋ซือหวงยังไม่ทันได้ตกตะลึง ตัวอักษรสีชมพูแสดงกฎเกณฑ์ในมิติก็แสดงขึ้นมาที่นี่คือ ‘มิติแพทย์อ้ายซิน’ สิ่งของจำเป็นทุกอย่างจะต้องใช้แต้มอ้ายซินมาแลก จำนวนแต้มที่ใช้แลกสิ่งของแต่ละอย่างมีระบุไว้อย่างชัดเจนใน ‘ศูนย์ควบคุม’ ของมิติ แต้มอ้ายซินจะได้รับผ่านการช่วยเหลือสัตว์และมนุษย์ ระดับความรุนแรงของอาการบาดเจ็บของผู้ป่วยจะเป็นตัวกำหนดจำนวนแต้มอ้ายซินเนื่องจากชาติก่อนท่านมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือสัตว์ไว้จำนวนมาก มิติจึงมอบแต้มอ้ายซินให้ท่านจำนวนหนึ่งพันแต้มเมื่อแต้มอ้ายซินถูกใช้งานไปจนถึงระดับหนึ่งก็จะสามารถอัปเกรดโดยคงมิติเดิมเอาไว้ได้ประเภทของมิติอัปเกรด ได้แก่ มิติยาพิษมหัศจรรย์ มิติอาวุธนานาชนิด มิติสุ่มจับรางวัล มิติพิเศษสำหรับคู่รัก มิติของวิเศษบำเพ็ญเซียน เป
รัตติกาลนอกหน้าต่างมืดมิดดุจน้ำหมึกความหนาวเย็นแทรกผ่านรอยแตกบนหน้าต่างเข้ามาข้างในไป๋ซือหวงรีบอุ้มเสี่ยวหลางไปที่เตียง แล้วห่มผ้าห่มผืนบางที่มีอยู่เพียงผืนเดียวให้มองดูใบหน้ายามนอนหลับที่น่ารักของเขาแล้ว นางก็ค่อยๆ นอนหลับไปเมื่อยาหมดฤทธิ์ลง เจ้าก้อนน้อยบนเตียงก็หนาวจนตื่นขึ้นมาเขาลืมดวงตาสีฟ้ามองผู้เป็นแม่ที่นอนหลับอยู่ข้างกายอย่างทำอะไรไม่ถูกก่อนหน้านี้เขาเจ็บเหมือนกำลังจะตาย แต่พอท่านแม่ร่ายคาถา เขาก็หลับไป ตอนนี้ร่างกายไม่เจ็บปวดอีกแล้วท่านแม่เป็นเทพเซียนจริงๆ งั้นหรือ?งั้นเขา...ก็ไม่ใช่ปีศาจน่ะสิ?เขายังไม่รู้เลยว่าควรอยู่ร่วมกับท่านแม่ที่เป็นเทพเซียนอย่างไรดีคิดไปคิดมา เขาก็ยื่นมือออกมากอดแขนมารดาอย่างระมัดระวัง แล้วนอนหลับไปด้วยความง่วงงุนอีกครั้งไป๋ซือหวงถูกลมหนาวพัดโกรกจนตื่นขึ้นมา นางพลิกตัวลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบ มองดูสภาพแวดล้อมที่ทรุดโทรมนั่นแล้วก็ถอนหายใจออกมานางเดินมาถึงหน้ากระจก มองดูใบหน้าชวนสะพรึงบนนั้นแล้วก็ผลักกระจกออกไปเบาๆอัปลักษณ์เกินไป นางทนดูต่อไปไม่ไหวพอคิดถึงว่าชาติที่แล้วนางเป็นถึงอัจฉริยะโฉมงาม พอมาอยู่โลกนี้กลับตกต่ำจนไม่อาจต่
ไป๋ซือหวงอดไม่ได้ที่จะขยี้ผมของเขาอย่างแรง นุ่มดีจริงๆ “ลูกรัก แม่กลับมาแล้ว ต่อไปก็ไม่มีผู้ใดกล้ารังแกเจ้าได้อีกแล้ว” “เจ้าจำเอาไว้ว่าผู้ใดกล้ารังแกเจ้า เจ้าก็รังแกกลับไป แม่จะคอยหนุนหลังเจ้าเอง!” เสี่ยวหลางได้ยินแล้วก็รู้สึกแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หันหัวไปอีกทาง แล้วตอบเสียงอู้อี้ออกไป “อื้อ” “ร้องไห้หรือ?” ไป๋ซือหวงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตาจิ้งจอกทรงโค้งจ้องมองดวงตาประกายแก้วที่มีน้ำตาคลอ ทั้งที่เป็นเด็กผู้ชาย แต่เหตุใดเวลาเขาร้องไห้ถึงดูน่าสงสารนัก? “เปล่าเสียหน่อย!” เสี่ยวหลางหันกลับไปอย่างรวดเร็ว “ร้อง!” “ไม่ได้ร้อง!” แม่ลูกเถียงกันไปเถียงกันมา จนเวลาล่วงเลยมาถึงรุ่งสาง ไป๋ซือหวงหยิบเสื้อผ้าใหม่ที่ตัดเย็บเสร็จแล้วออกมา เพื่อจะเปลี่ยนให้เสี่ยวหลาง “นี่คือเสื้อที่แม่ใช้เสื้อเก่ามาดัดแปลง เจ้าอย่าได้รังเกียจไป” นางค้นหาไปทั่วทั้งห้อง จนเจอผ้าเก่าหลายชิ้น จึงเอามาดัดแปลงโดยการเย็บรวมกันใหม่ เสี่ยวหลางมองเสื้อผ้าที่สวยงามสะอาดสะอ้าน ดวงตาสีฟ้าดูมีความกังวลปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย “ท่านแม่ วันนี้เป็นวันเทศกาลอะไรหรือไม่?” เขาถามอย่างลังเล “เหตุใดจึงถามแบบนี้