หนึ่งบุรุษถูกหย่าเพราะหมดประโยชน์ หนึ่งสตรีถูกนอกใจและชอกช้ำ ทั้งคู่ต่างเยียวยาซึ่งกันและกันจนก่อเกิดเป็นความรักที่ต่างฝ่ายต่างไม่กล้าเปิดเผยใจ เผิงเหลียนเฉิงรู้ตัวดีว่าต่ำต้อยกว่า เขาไม่กล้าแสดงความรักเฉกเช่นหนุ่มสาว ตั้งใจจะชอบชิงตำแหน่งจอหงวนเพื่อที่จะแต่งงานกับนางอย่างภาคภูมิ ในขณะที่ลู่ซือหนานคอยให้กำลังใจอยู่ข้างกาย
View Moreสายลมเย็นยะเยือกในฤดูใบไม้ผลิพัดต้องกระดาษหน้าต่างบางเบา ส่งเสียงกรอบแกรบไม่ขาดสาย
ภายในเรือนพักอันเงียบสงัด เผิงเหยียนเฉิงลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาคู่คมที่เคยเปล่งประกายบัดนี้เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า มือข้างขวาของเขาขยับเพียงเล็กน้อยก็พลันรู้สึกชาดั่งไม่ใช่ร่างกายของตน
เสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกล แผ่วเบาแต่ชัดเจน
ไม่นานนัก ประตูเรือนก็ถูกผลักเปิดออกอย่างไม่เบามือนัก ร่างงามในชุดแพรไหมสีแดงลายดอกโบตั๋นเยื้องย่างเข้ามา ใบหน้าเรียวที่แต่งแต้มอย่างประณีตมีเพียงความเย็นชาปรากฏอยู่ในดวงตา
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” น้ำเสียงของโจวจิงหยูเยียบเย็นราวหยดน้ำค้างยามรุ่งสาง นางไม่ได้เอ่ยถามไถ่ ไม่ได้เอื้อมมือสัมผัสหน้าผากเขาเช่นภรรยาทั่วไป ทว่ากลับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาตรงหน้า
กระดาษบางเบาถูกประทับตราประจำตระกูลโจวเอาไว้อย่างชัดเจน
“หนังสือหย่า!” เผิงเหยียนเฉิงเบิกตากว้างขึ้นเพียงนิด ดวงตาที่ขุ่นมัวยิ่งหมองหม่นลง
“เพราะเหตุใดเล่าฮูหยิน” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว ทั้งที่แม้แต่เปล่งเสียงยังรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน โจวจิงหยูหัวเราะเบาๆ แต่แฝงด้วยความเยาะหยัน
“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมใช้ชีวิตอยู่กับบุรุษพิการเช่นเจ้าหรือ มือเจ้าจับพู่กันไม่ได้แล้ว จะสอบขุนนางได้อย่างไร แม้แต่เดินก็ยังต้องใช้ไม้เท้า สุนัขที่บ้านยังเห่าไล่โจรได้ แต่เจ้ามันไร้ประโยชน์”
นางไม่แม้แต่จะรอให้เขาตอบโต้ ซ้ำยังสั่งสาวใช้ข้างกายเสียงแข็ง
“เอาตำราทั้งหมดของเขา โยนทิ้งไปเสีย ข้าวของส่วนตัว เอาแต่สิ่งที่จำเป็น นอกนั้นไม่ต้อง”
เผิงเหยียนเฉิงกัดฟันแน่น แต่กำมือไม่ได้แน่นพอ ร่างกายอ่อนแรงจนแทบจะขยับมิได้ ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลซึมอยู่ในใจ ไม่หลั่งออกมาข้างนอก
“ลงนามในหนังสือหย่าเสีย” โจวจิงหยูวางพู่กันไว้ข้างมือเขา ราวกับเห็นเขาเป็นเพียงเศษผ้าเก่าๆ
“หรือเจ้าจะให้ข้าต้องลากเจ้าออกไปอย่างสุนัขจนตรอก”
เผิงเหยียนเฉิงหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก นานหลายอึดใจจึงค่อยๆ ขยับมือที่แทบไร้เรี่ยวแรง เขียนชื่อลงไปบนกระดาษนั้นอย่างเงียบงัน
เมื่อปลายพู่กันแตะกระดาษ เสียงแตกในใจของเขาก็ราวกับดังก้องไปทั่วทั้งเรือน โจวจิงหยูหัวเราะอีกครั้ง ทว่าคราวนี้มีเพียงความสะใจ
“ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้ากับข้า สิ้นสุดกัน”
นางทิ้งหนังสือหย่าลงพื้น หมุนกายออกจากเรือน โดยไม่เหลียวกลับมามองแม้แต่น้อย ทิ้งอดีตสามีไว้เพียงลำพังในความมืดสลัวกับหัวใจที่แตกสลาย.
เผิงเหยียนเฉิงยืนอยู่ใต้ชายคาเรือนเก่า ร่างบางโอนเอนอยู่ท่ามกลางสายลมเย็นเฉียบของฤดูใบไม้ผลิ
แผ่นกระดาษหย่าในมือเขาสั่นไหวตามแรงลม ใบหน้าอันซีดเซียวของเขาเงยขึ้นทอดตามองท้องฟ้าที่ไร้แสงอาทิตย์ ดวงตาคู่นั้นไร้ประกายดั่งคนตายทั้งเป็น
ภาพหนึ่งผุดวาบขึ้นในห้วงคำนึง
วันนั้น วันที่ประกาศผลสอบครั้งใหญ่ เสียงฆ้องกลองดังก้องไปทั่วถนนคนเดินกลางเมืองหลวง ใบประกาศแขวนหราอยู่บนกระดานสูงสุด
ชื่อ “เผิงเหยียนเฉิง” สลักไว้อย่างสง่างามเป็นบัณฑิตอันดับหนึ่ง ผู้มีสิทธิ์เข้าสอบเคอจวี่เบื้องหน้าพระที่นั่ง เป็นเกียรติที่ชนชั้นใดก็ต้องมองด้วยความเคารพ
เขาสวมชุดบัณฑิตใหม่ สีหน้าทะมัดทะแมง ขณะที่เดินผ่านตลาด ผู้คนพากันชี้ชวน ส่งเสียงชื่นชม และในยามนั้นเองโจวเสวี่ย ขุนนางใหญ่ผู้ทรงอำนาจแห่งแคว้นสือ เห็นเขาเข้าโดยบังเอิญ
หลังจากนั้น เขาแต่งเข้าจวนสกุลโจวด้วยเกียรติสูงส่งที่ตนเองไม่เคยแม้แต่ฝันถึง ถูกกล่าวขานว่าคือ บุตรเขยแห่งโชคชะตา
โจวจิงหยู ในยามนั้นงดงามราวเทพธิดา นางยิ้มให้เขาด้วยแววตาอ่อนหวาน ประคองถ้วยน้ำชาให้เขาอย่างอ่อนโยน เอ่ยถ้อยคำปลอบประโลม
“สามี ท่านเหนื่อยมามากแล้ว ข้ามิปล่อยให้ท่านโดดเดี่ยวอีกต่อไป”
เขายังจำได้แม่น คืนนั้นนางสวมชุดแต่งงานสีแดงสด ร่างกายหอมกรุ่นด้วยกลิ่นบุปผา ราวกับสิ่งมีชีวิตที่งดงามที่สุดในโลกใบนี้
เขาคิดว่าตนเองโชคดี คิดว่าตนเองพบรักแท้หากแต่ความสุขนั้นกลับสั้นนัก ราวภาพมายา
มืออ่อนแรงจากปกป้องภรรยาไว้โดยมิไตร่ตรองชีวิตตน เมื่อเรือล่มแล้วนางตกลงไปในแม่น้ำ เขาลงไปช่วยชีวิตนางแล้วศีรษะกระแทกเข้ากับกาบเรือจนล้มป่วย
ร่างกายเขาซีกขวาอ่อนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ โจวจิงหยูที่เคยยิ้มให้ กลับหันหลังอย่างไร้เยื่อใย
โจวเสวี่ยที่เคยยกย่อง กลับเย็นชาราวไม่เคยรู้จักเขาสุดท้าย เหลือเพียงหนังสือหย่าในมือ
เผิงเหยียนเฉิงก้มลงมองมือที่สั่นระริกของตน
ครั้งหนึ่ง เขาเคยเชื่อว่าความสามารถจะพาตนไปถึงตำแหน่งจอหงวนจากการสอบเคอจวี่ แต่ยามนี้ แม้แต่พื้นดินก็แทบยืนไม่ไหวเขาหันหลังให้เรือนสกุลโจว ด้วยไม้เท้าที่ค้ำอยู่ใต้แขนทั้งสองข้าง เดินฝ่าความว่างเปล่าและสายลมหนาวเหน็บ ไปยังหนทางที่ไร้ผู้คนเหลียวมอง
มีเพียงเสื้อผ้าเก่าและตำราไม่กี่เล่มที่หลงเหลืออยู่ติดตัวไป แต่ในใจกลับไม่สิ้นหวัง
“แม้อยู่ในสภาพนี้ ข้าก็จะต้องสอบเคอจวี่ ชิงตำแหน่งจอหงวนมาให้ได้” เขากล่าวให้กำลังใจตนเอง แม้หนทางจะริบหรี่จนแทบมองไม่เห็นอนาคตที่วาดฝัน
************************
หลังจากเผิงเหยียนเฉิงเล่าเรื่องราวอันขมขื่นของตนจนจบ ลู่หยวนฉีมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา ดวงตาลุ่มลึกปรากฏประกายหนักแน่นเขามองบุรุษหนุ่มตรงหน้าใจเขาปวดหนึบอย่างนึกไม่ถึง ชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ ครั้งหนึ่งเคยเปล่งประกายถึงเพียงนั้น แต่กลับถูกโลกโหดร้ายบดขยี้จนเกือบมอดดับ“เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ตราบที่ยังมีลมหายใจ วันหนึ่งเจ้าจะลุกขึ้นได้ใหม่ และในครั้งนี้ จะไม่มีผู้ใดพรากศักดิ์ศรีของเจ้าไปได้อีก” สายตาของลู่หยวนฉีอ่อนลง เขาตบไหล่เผิงเหยียนเฉิงเบาๆ ราวต้องการถ่ายทอดความอบอุ่นผ่านสัมผัสนั้นเผิงเหยียนเฉิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เคยหม่นหมองเหมือนจุดประกายเล็กๆ ขึ้นในความมืดมิด สบตากับชายตรงหน้า ในแววตานั้น ไม่มีความสมเพชเวทนา มีแต่ความนับถือและเชื่อมั่นในตัวของเขา“เหยียนเฉิง เจ้ามีบุญคุณกับตระกูลข้า” ลู่หยวนฉีเอ่ยเสียงทุ้มชัดเจน“ต่อให้ไม่มีเรื่องบุญคุณ เพียงแค่เจ้าตกอยู่ในสภาพนี้ ข้าก็ไม่มีวันปล่อยให้เจ้าร่อนเร่ไปเผชิญชะตากรรมเดียวดายอีก” เขาหยุดเว้นจังหวะครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวอย่างมั่นคง“ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนสกุลลู่ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย หรือเรื่องจะรบก
กลางดึกเงียบงัน พระจันทร์เสี้ยวลอยอยู่กลางฟ้า ทอแสงสีเงินเย็นเฉียบลงบนลานเรือนที่ไร้ผู้คนในห้องพักเงียบสงบ เผิงเหยียนเฉิงนอนอยู่บนเตียง ฟูกนุ่มและกลิ่นยาสมุนไพรหอมกรุ่นคล้ายจะช่วยปลอบประโลมทว่าในห้วงฝันของเขากลับเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บและความเจ็บปวดที่ไม่เคยเลือนหาย เป็นภาพฝันที่แสนอัปยศในชีวิตของบุรุษผู้หนึ่งเขาเห็นตัวเองในชุดบัณฑิตสีหม่น นั่งคุกเข่าอยู่กลางลานเรือนใหญ่ของสกุลโจว เบื้องหน้าคือโจวจิงหยูในชุดสีสด งามสง่าแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาและรังเกียจ“เผิงเหยียนเฉิง เจ้าไร้ประโยชน์แล้ว” เสียงของนางเย้ยหยัน ดังก้องในหู“สกุลโจวไม่ต้องการภาระอย่างเจ้า”จากนั้น หนังสือหย่าถูกโยนลงมาตรงหน้าอย่างไร้เยื่อใยพ่อแม่ของนางยืนอยู่ข้างๆ แม้ไม่เอ่ยวาจา แต่แววตาที่มองมาก็ชัดเจน รังเกียจระคนชิงชัง และดูแคลน ราวกับเขาไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้วมือที่เคยแข็งแรงของเขาสั่นเทา ลมหายใจขาดห้วง ดวงตาแดงก่ำ แต่ทำได้เพียงประคองหนังสือหย่าขึ้นมาอย่างเงียบงัน ไม่มีเสียงขอร้อง มีเพียงความอัปยศปกคลุมทั่วร่าง เสียงหัวเราะเย้ยหยันของโจวจิงหยูดังก้องขึ้นในหู “เจ้าก็แค่สุนัขที่เราไม่ต้องการแล้ว”“ไสหัวไป”“ไม่
ขณะที่รถม้าเคลื่อนตัว เสียงล้อกระทบพื้นหินดังกึกกักเบาๆ เป็นจังหวะ ภายในรถม้าคล้ายโลกอีกใบ เงียบสงบและอบอุ่นผิดกับเส้นทางขรุขระด้านนอกกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรในรถม้าขนาดกลางชวนให้เผิงเหยียนเฉิงรู้สึกผ่อนคลายอย่างแปลกประหลาด เขานั่งก้มหน้าต่ำ มือกำชายเสื้อแน่น ราวกับไม่กล้ามองสบตาลู่ซือหนานที่นั่งอยู่ตรงข้ามลู่ซือหนานนั่งมองเขาเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านจำข้าได้หรือไม่”เผิงเหยียนเฉิงชะงัก เงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาแดงเรื่อด้วยความเหนื่อยล้าและความซาบซึ้ง“ข้า...จำได้” เสียงเขาสั่นเครือเล็กน้อย“แม่นางลู่ ผู้เคยเป็นเหมือนน้องสาวในวัยเยาว์ของข้า” เขากล่าวต่อเสียงเบาคล้ายอับอายกับสภาพของตนในตอนนี้“เรียกข้าอย่างเดิมเถอะ ว่าแต่ท่านกำลังจะไปที่ใด” ลู่ซือหนานยิ้มบางๆ ดวงตาแฝงความอ่อนโยนเผิงเหยียนเฉิงเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “กลับเจียงเฉิน...ข้าจะกลับบ้านเกิด”“เช่นนั้นไปพักที่เรือนของข้าก่อน ดูท่านสิป่วยขนาดนี้ยังจะฝืนเดินทาง”“ข้า...ข้าไม่อาจรบกวนเจ้าได้” เผิงเหยียนเฉิงเบิกตากว้าง“ท่านลุงเผิงช่วยเหลือบิดาข้าไว้เมื่อหลายปีก่อน วันนี้ถึงตาข้าตอบแทนบ้าง” ลู่ซือห
เมืองหลวงของแคว้นสือในยามนี้ยังคงคลุมด้วยหมอกบางๆ ท้องฟ้าสีเทาซีดเย็นชา ราวกับมิได้ต้อนรับการจากไปของผู้ใดเผิงเหยียนเฉิงก้าวเท้าออกจากตรอกเล็กๆ ด้วยไม้เท้า เสียงกระทบพื้นหินดังกึกกักไปตามจังหวะฝีเท้าที่ไม่สม่ำเสมอผ้าคลุมเก่าๆ บนร่างเขาปลิวไหวตามแรงลม ร่างที่เคยยืดตรงอย่างองอาจ บัดนี้โค้งงอเดินไม่มั่นคงอย่างมิอาจขัดขืนทุกย่างก้าวช่างหนักอึ้ง ทุกลมหายใจเจือกลิ่นอับชื้นของความพ่ายแพ้ ไม่มีใครหันมามอง ไม่มีใครเอ่ยถาม ในเมืองหลวงแห่งนี้ ผู้ล้มลงย่อมไร้ค่าดั่งฝุ่นผงที่ถูกเหยียบย่ำบัณฑิตตกอับกำหมัดซ้ายแน่น ฝ่ามือทั้งสอง นั้นเต็มไปด้วยรอยแตกจากความหนาวเหน็บ เขาเดินผ่านจัตุรัสใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงขจรไกลเมื่อสอบได้ที่หนึ่ง วันนี้ผู้คนในจัตุรัสยังคงพลุกพล่านแต่ไม่มีใครจดจำเขาได้อีกแล้ว“ดูนั่นสิ ขอทานเร่ร่อนอีกคน” เสียงกระซิบดังมาจากกลุ่มคนในร้านชา เขาได้ยินแต่เลือกที่จะเมินเฉยที่ไหล่ขวาของเขา มีห่อผ้าผืนเล็กที่เก็บข้าวของเพียงน้อยนิด ไม่มีแม้แต่ของมีค่าชิ้นใด ทุกสิ่งที่เคยมี ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเช่นเดียวกับความศรัทธาของเขาในวันวานเมื่อเดินถึงประตูเมือง เสียงลั่นเอี๊ยดของประตูที่
สายลมเย็นยะเยือกในฤดูใบไม้ผลิพัดต้องกระดาษหน้าต่างบางเบา ส่งเสียงกรอบแกรบไม่ขาดสายภายในเรือนพักอันเงียบสงัด เผิงเหยียนเฉิงลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาคู่คมที่เคยเปล่งประกายบัดนี้เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า มือข้างขวาของเขาขยับเพียงเล็กน้อยก็พลันรู้สึกชาดั่งไม่ใช่ร่างกายของตนเสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกล แผ่วเบาแต่ชัดเจนไม่นานนัก ประตูเรือนก็ถูกผลักเปิดออกอย่างไม่เบามือนัก ร่างงามในชุดแพรไหมสีแดงลายดอกโบตั๋นเยื้องย่างเข้ามา ใบหน้าเรียวที่แต่งแต้มอย่างประณีตมีเพียงความเย็นชาปรากฏอยู่ในดวงตา“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” น้ำเสียงของโจวจิงหยูเยียบเย็นราวหยดน้ำค้างยามรุ่งสาง นางไม่ได้เอ่ยถามไถ่ ไม่ได้เอื้อมมือสัมผัสหน้าผากเขาเช่นภรรยาทั่วไป ทว่ากลับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาตรงหน้ากระดาษบางเบาถูกประทับตราประจำตระกูลโจวเอาไว้อย่างชัดเจน“หนังสือหย่า!” เผิงเหยียนเฉิงเบิกตากว้างขึ้นเพียงนิด ดวงตาที่ขุ่นมัวยิ่งหมองหม่นลง“เพราะเหตุใดเล่าฮูหยิน” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว ทั้งที่แม้แต่เปล่งเสียงยังรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน โจวจิงหยูหัวเราะเบาๆ แต่แฝงด้วยความเยาะหยัน“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมใช้ชีวิตอยู่กับบุรุษพิการเช่นเจ้าหรือ มื
Comments