ขณะที่รถม้าเคลื่อนตัว เสียงล้อกระทบพื้นหินดังกึกกักเบาๆ เป็นจังหวะ ภายในรถม้าคล้ายโลกอีกใบ เงียบสงบและอบอุ่นผิดกับเส้นทางขรุขระด้านนอก
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรในรถม้าขนาดกลางชวนให้เผิงเหยียนเฉิงรู้สึกผ่อนคลายอย่างแปลกประหลาด เขานั่งก้มหน้าต่ำ มือกำชายเสื้อแน่น ราวกับไม่กล้ามองสบตาลู่ซือหนานที่นั่งอยู่ตรงข้าม
ลู่ซือหนานนั่งมองเขาเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านจำข้าได้หรือไม่”
เผิงเหยียนเฉิงชะงัก เงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาแดงเรื่อด้วยความเหนื่อยล้าและความซาบซึ้ง
“ข้า...จำได้” เสียงเขาสั่นเครือเล็กน้อย
“แม่นางลู่ ผู้เคยเป็นเหมือนน้องสาวในวัยเยาว์ของข้า” เขากล่าวต่อเสียงเบาคล้ายอับอายกับสภาพของตนในตอนนี้
“เรียกข้าอย่างเดิมเถอะ ว่าแต่ท่านกำลังจะไปที่ใด” ลู่ซือหนานยิ้มบางๆ ดวงตาแฝงความอ่อนโยน
เผิงเหยียนเฉิงเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “กลับเจียงเฉิน...ข้าจะกลับบ้านเกิด”
“เช่นนั้นไปพักที่เรือนของข้าก่อน ดูท่านสิป่วยขนาดนี้ยังจะฝืนเดินทาง”
“ข้า...ข้าไม่อาจรบกวนเจ้าได้” เผิงเหยียนเฉิงเบิกตากว้าง
“ท่านลุงเผิงช่วยเหลือบิดาข้าไว้เมื่อหลายปีก่อน วันนี้ถึงตาข้าตอบแทนบ้าง” ลู่ซือหนานกล่าวเสียงนุ่ม แต่แน่วแน่
เผิงเหยียนเฉิงก้มหน้าลงอีกครั้ง คราวนี้น้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตาโดยไม่อาจหักห้าม ในโลกที่เย็นชาใบนี้ ยังมีคนที่ไม่ทอดทิ้งเขา ในขณะที่ภรรยาที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้ เขาเป็นแบบนี้จากการช่วยเหลือนาง นางกลับทรยศต่อเขาและผลักไสอย่างเลือดเย็น
สองวันหลังจากพบกันบนเส้นทางนอกเมืองหลวง ในยามเย็นวันนี้ขบวนรถม้าของสกุลลู่ก็มาถึงเมืองเจียงเฉิน เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมสายน้ำและทุ่งนาเขียวขจี
เรือนสกุลลู่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง
เรือนหลักกว้างขวางด้วยตัวเรือนไม้งดงาม บรรยากาศภายในเรือนสงบเรียบ แต่แฝงกลิ่นอายของความมั่งคั่งและบารมีรถม้าเคลื่อนตัวผ่านประตูใหญ่เข้าไปในลานหน้าบ้าน บ่าวไพร่ที่เฝ้าเรือนต่างพากันโค้งคำนับทันทีที่เห็นรถม้าของคุณหนูรองลู่กลับมาถึง บ่าวอีกคนทำหน้าที่เข้าไปรายงานแก่ประมุขของเรือน
เสี่ยวหลานกับบ่าวคนอื่นๆ ช่วยกันประคองเผิงเหยียนเฉิงที่ยังอ่อนแรงลงจากรถม้า ลู่ซือหนานเดินนำไปอย่างไม่ลังเล
“ไปที่เรือนรอง” นางสั่งเบาๆ
เรือนรองของสกุลลู่เป็นเรือนพักสำหรับแขกผู้มีเกียรติ สงบและแยกจากตัวเรือนหลัก เหมาะแก่การพักรักษาตัว
เมื่อถึงเรือนรอง เผิงเหยียนเฉิงถูกจัดให้นอนพักบนเตียงไม้ที่ปูด้วยฟูกผ้านุ่มสะอาด กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกำยานในห้องทำให้เขารู้สึกคล้ายหลับไปครึ่งหนึ่ง
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นจากทางเดิน
“ข้าได้ยินว่าเจ้าพาใครบางคนกลับมาด้วย” เสียงทุ้มต่ำแฝงความอบอุ่นเอ่ยขึ้น
ลู่หยวนฉี เดินเข้ามาพร้อมกับหวังเจิ้ง บ่าวคนสนิท บิดาของลู่ซือหนานเป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีบุคลิกสง่างาม คิ้วดกหนา ดวงตาคมลึก แววตาดูใจดีแต่ก็น่าเกรงขามในคราเดียวกัน
ลู่ซือหนานรีบลุกขึ้นโค้งคำนับเบาๆ แล้วเอ่ยรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ท่านพ่อ เขาคือเผิงเหยียนเฉิง บุตรชายของลุงเผิงที่อยู่ข้างบ้านเดิมของเรา ผู้ที่เคยช่วยชีวิตท่านเมื่อหลายปีก่อนเจ้าค่ะ บัดนี้เขาบาดเจ็บอ่อนแรง ข้าขอให้เขาได้พักรักษาตัวที่เรือนของเรา”
ลู่หยวนฉีได้ยินดังนั้น ใบหน้าที่เคร่งขรึมอยู่เป็นนิจ ก็คลี่รอยยิ้มบางๆ ออกมา เขาเดินเข้าไปใกล้ มองบุรุษที่นอนซูบเซาอยู่บนเตียงอย่างพินิจ เมื่อเห็นว่าบุรุษตรงหน้าคือบุตรชายของผู้มีพระคุณก็ถึงกับพ่นลมหายใจด้วยความเห็นใจ
“เหยียนเฉิง” เขาเอ่ยเรียกเบาๆ
ชายหนุ่มพยายามจะยันกายลุกขึ้นนั่ง แต่ลู่หยวนฉียกมือห้ามไว้ก่อน
“อย่าฝืนตัวเอง” เขากล่าวอย่างเมตตา
“ข้าเป็นหนี้บุญคุณบิดาเจ้ามาก ครั้งนั้นหากไม่ได้เขา ป่านนี้ข้าคงไม่อาจมีวันนี้” ลู่หยวนฉีถอนหายใจเบาๆ
“เจ้าพักรักษาตัวที่นี่เถอะ ไม่ต้องกังวลสิ่งใด ถือเสียว่าข้าทำหน้าที่ตอบแทนบุญคุณที่ค้างคามานาน”
“ข้าขอบคุณนายท่านลู่”
เผิงเหยียนเฉิงเบิกตากว้าง รู้สึกคล้ายก้อนหินหนักอึ้งในใจถูกยกออก น้ำเสียงแหบพร่าเปล่งออกมาอย่างยากลำบาก
“ข้าไม่ต้องการคำขอบคุณ แล้วหลังจากนี้อย่าเรียกห่างเหินเช่นนั้นอีก เรียกข้าลุงลู่อย่างเดิมเถอะ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ขอรับ ท่านลุงลู่” เขากล่าวเสียงอ่อนแล้วไอออกมาเล็กน้อย
“ต้มยาสมุนไพรให้คุณชายเผิง แล้วพรุ่งนี้ตามหมอมาดูแลเข้า ปฏิบัติคุณชายเผิงในฐานะแขกสำคัญของสกุลลู่” ลู่หยวนฉีประกาศลั่น ก่อนจะหันมาบอกบุตรีของตนด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น
“ซือหนานดูแลเหยียนเฉิงให้ดีล่ะ”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ” ลู่ซือหนานยิ้มบางๆ ขณะมองเผิงเหยียนเฉิงที่นอนนิ่งอยู่ด้วยสายตาอ่อนโยน
บ่าวไพร่รีบเข้ามาจัดการเปลี่ยนชุด เตรียมน้ำอุ่นและยาสมุนไพรตามคำสั่งของนายท่าน ท่ามกลางความวุ่นวาย เผิงเหยียนเฉิงหลับตาลงช้าๆ อย่างอ่อนแรง
อย่างน้อยในตอนนี้ชีวิตเขาก็ไม่ได้โชคร้ายไปเสียทีเดียว หากรักษาตัวจนหายดีแล้วเขาจะต้องตอบแทนบุญคุณนี้แน่ แม้อีกฝ่ายจะไม่ต้องการก็ตามที
************************
กลางดึกเงียบงัน พระจันทร์เสี้ยวลอยอยู่กลางฟ้า ทอแสงสีเงินเย็นเฉียบลงบนลานเรือนที่ไร้ผู้คนในห้องพักเงียบสงบ เผิงเหยียนเฉิงนอนอยู่บนเตียง ฟูกนุ่มและกลิ่นยาสมุนไพรหอมกรุ่นคล้ายจะช่วยปลอบประโลมทว่าในห้วงฝันของเขากลับเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บและความเจ็บปวดที่ไม่เคยเลือนหาย เป็นภาพฝันที่แสนอัปยศในชีวิตของบุรุษผู้หนึ่งเขาเห็นตัวเองในชุดบัณฑิตสีหม่น นั่งคุกเข่าอยู่กลางลานเรือนใหญ่ของสกุลโจว เบื้องหน้าคือโจวจิงหยูในชุดสีสด งามสง่าแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาและรังเกียจ“เผิงเหยียนเฉิง เจ้าไร้ประโยชน์แล้ว” เสียงของนางเย้ยหยัน ดังก้องในหู“สกุลโจวไม่ต้องการภาระอย่างเจ้า”จากนั้น หนังสือหย่าถูกโยนลงมาตรงหน้าอย่างไร้เยื่อใยพ่อแม่ของนางยืนอยู่ข้างๆ แม้ไม่เอ่ยวาจา แต่แววตาที่มองมาก็ชัดเจน รังเกียจระคนชิงชัง และดูแคลน ราวกับเขาไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้วมือที่เคยแข็งแรงของเขาสั่นเทา ลมหายใจขาดห้วง ดวงตาแดงก่ำ แต่ทำได้เพียงประคองหนังสือหย่าขึ้นมาอย่างเงียบงัน ไม่มีเสียงขอร้อง มีเพียงความอัปยศปกคลุมทั่วร่าง เสียงหัวเราะเย้ยหยันของโจวจิงหยูดังก้องขึ้นในหู “เจ้าก็แค่สุนัขที่เราไม่ต้องการแล้ว”“ไสหัวไป”“ไม่
หลังจากเผิงเหยียนเฉิงเล่าเรื่องราวอันขมขื่นของตนจนจบ ลู่หยวนฉีมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา ดวงตาลุ่มลึกปรากฏประกายหนักแน่นเขามองบุรุษหนุ่มตรงหน้าใจเขาปวดหนึบอย่างนึกไม่ถึง ชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ ครั้งหนึ่งเคยเปล่งประกายถึงเพียงนั้น แต่กลับถูกโลกโหดร้ายบดขยี้จนเกือบมอดดับ“เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ตราบที่ยังมีลมหายใจ วันหนึ่งเจ้าจะลุกขึ้นได้ใหม่ และในครั้งนี้ จะไม่มีผู้ใดพรากศักดิ์ศรีของเจ้าไปได้อีก” สายตาของลู่หยวนฉีอ่อนลง เขาตบไหล่เผิงเหยียนเฉิงเบาๆ ราวต้องการถ่ายทอดความอบอุ่นผ่านสัมผัสนั้นเผิงเหยียนเฉิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เคยหม่นหมองเหมือนจุดประกายเล็กๆ ขึ้นในความมืดมิด สบตากับชายตรงหน้า ในแววตานั้น ไม่มีความสมเพชเวทนา มีแต่ความนับถือและเชื่อมั่นในตัวของเขา“เหยียนเฉิง เจ้ามีบุญคุณกับตระกูลข้า” ลู่หยวนฉีเอ่ยเสียงทุ้มชัดเจน“ต่อให้ไม่มีเรื่องบุญคุณ เพียงแค่เจ้าตกอยู่ในสภาพนี้ ข้าก็ไม่มีวันปล่อยให้เจ้าร่อนเร่ไปเผชิญชะตากรรมเดียวดายอีก” เขาหยุดเว้นจังหวะครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวอย่างมั่นคง“ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนสกุลลู่ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย หรือเรื่องจะรบก
เช้าวันถัดมา อากาศแจ่มใส แสงแดดอ่อนโยนโปรยปรายลงบนพื้นเรือน ผ่านช่องหน้าต่างไม้ที่เปิดรับลมเข้ามาในห้องพักฟื้นของบัณฑิตหนุ่มที่กำลังนั่งดื่มยาจากชามกระเบื้องลู่ซือหนานเดินนำหน้าสาวใช้คนสนิทที่ถือถาดใบเล็กในมือ เดินเข้ามาในห้องของเผิงเหยียนเฉิงอย่างร่าเริง ในถาดมีทั้งผลไม้สดที่ปอกและจัดเรียงอย่างน่ากิน และขนมที่นางทำเอง“พี่เหยียนเฉิง วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”“ดีขึ้นมากแล้ว” เผิงเหยียนเฉิงที่เพิ่งดื่มยาเสร็จ เงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตาที่เคยหมองเศร้าก็ค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้น เมื่อได้เห็นลู่ซือหนานมาเยี่ยมเยือนเป็นประจำ ก่อนจะกล่าวต่อ“หมอหลินบอกว่าข้าควรจะเดินเหินบ้าง จะได้ฟื้นตัวเร็วๆ อีกหน่อยก็ว่าจะให้อาหมิงพาออกไปเดินเสียหน่อย” เขากล่าวถึงบ่าวหนุ่มวัยสิบหกที่ลู่หยวนฉียกให้รับใช้ข้างกายเขา“เช่นนั้นก็ดี” นางกล่าวเสียงใส“ข้านำของว่างมาให้ท่านลองชิมดู” นางกล่าวต่อแล้วยิ้มอย่างอ่อนหวาน“ลำบากคุณหนูอีกแล้ว” เขากล่าวเสียงแผ่วเบา ยังคงเรียกสรรพนามที่รักษาระยะห่างแก่ตนกับนางเอาไว้“ไม่ลำบากหรอก ข้าอยากทำเองต่างหาก” ลู่ซือหนานยิ้มกว้างขณะวางจานขนมลงบนโต๊ะไม่นานเสียงฝีเท้าจากบ่าวในเรื
ที่สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ท้องฟ้าสดใสปราศจากเมฆหมอก ลมอ่อนพัดโชยกลิ่นหอมของดอกเหมยกระจายไปทั่วบริเวณบัณฑิตหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น เขาใช้ไม้เท้าที่ถูกสั่งทำให้เป็นพิเศษในการช่วยพยุงเดิน โดยมีบ่าวข้างกายนามว่าอาหมิง ช่วยพาออกจากห้องไปรับลมที่สวนดอกไม้ขณะก้าวเดินอย่างเชื่องช้า มือจับไม้เท้าแน่น เขาสูดกลิ่นหอมของดอกไม้เข้าสู่ปอด รู้สึกว่าร่างกายที่อ่อนแรงเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นบ้างเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากศาลากลางสวน เรียกความสนใจจากบัณฑิตหนุ่ม ดวงตาเรียวคมของเขาเหลือบมองไปเห็นลู่ซือหนาน นางยืนเคียงข้างกับบุรุษผู้หนึ่ง ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุขเผิงเหยียนเฉิงยืนนิ่ง มองภาพนั้นเงียบๆ ใต้เงาไม้ ทันใดนั้นเอง ขณะที่ลู่ซือหนานก้มหน้าด้วยความเขินอาย ไป๋ซื่ออันที่นั่งอยู่กลับเลื่อนสายตาไปมองสาวใช้คนหนึ่งที่ถือป้านน้ำชาอยู่ใกล้ๆเพียงชั่วพริบตา เผิงเหยียนเฉิงก็เห็นได้ชัดเจนสายตาคู่นั้น เต็มไปด้วยความเจ้าชู้ ลึกซึ้งผิดวิสัยชายที่ควรเอาใจจดจ่ออยู่กับคู่หมายของตนเอง แม้ว่าสาวใช้คนนั้นจะหลบตาอย่างสุภาพ แต่ไป๋ซื่ออันกลับอมยิ้ม ส่งสายตาเชิงเกี้ยวพาอย่างไม่ปิดบังเผิงเหยียนเฉิงหลุบตาลงช้
ภายในห้องพักที่อบอวลด้วยกลิ่นยาสมุนไพรอ่อนๆ เผิงเหยียนเฉิงนั่งลงช้าๆ บนตั่งไม้ หันหน้าออกไปยังหน้าต่างที่เปิดรับลมเย็นสบายยังไม่ทันได้หลับตาพักผ่อน เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นหน้าห้อง“พี่เหยียนเฉิง” ลู่ซือหนานก้าวเข้ามาพร้อมถาดไม้ในมือ ในนั้นวางกาน้ำต้มยาอยู่“ข้าให้ห้องครัวเตรียมยาตามใบสั่งของหมอไว้ให้ท่านดื่ม ข้าอยากต้มด้วยตัวเอง จึงมาเองเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงนุ่ม ดวงตาใสบริสุทธิ์เปี่ยมไปด้วยความห่วงใยเผิงเหยียนเฉิงมองนางเงียบๆ แวบหนึ่งในดวงตาคมกริบมีแววอ่อนโยนผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ นางค่อยๆ รินน้ำยาอุ่นร้อนลงในถ้วย แล้วยื่นให้เขาด้วยมือของตนเอง“ยานี้แม้จะขมหน่อย แต่หมอบอกว่าดื่มเป็นประจำจะฟื้นฟูเส้นเอ็นได้เร็วขึ้นเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มให้กำลังใจเผิงเหยียนเฉิงยื่นมือไปรับถ้วยยามา ดวงมือที่สัมผัสกับปลายนิ้วของนางเพียงแผ่วเบา แต่กลับส่งผ่านความอบอุ่นที่ทำให้ใจเขาสั่นสะท้านเขารับยามาเงียบๆ ดื่มยาขมเฝื่อนนั้นจนหมดโดยไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย“เจ้าควรกลับไปพักผ่อนเถอะ” เขาเอ่ยเบาๆ หลบสายตาอ่อนโยนของนางอย่างระมัดระวังลู่ซือหนานพยักหน้า ยิ้มอ่อนหวาน “เช่นนั้นข้าจะไปดูหม้อยาอีกที ว่
เผิงเหยียนเฉิงในชุดผ้าแพรเนื้อดีสีฟ้า ถือถาดน้ำชาด้วยมือที่กลับมาแข็งแรงมั่นคง เดินเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของเรือนหลักอย่างสง่างามลู่หยวนฉีและอันเหม่ยฉินนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ท่าทางเรียบง่ายทว่ามีอำนาจอย่างสงบ เผิงเหยียนเฉิงหยุดอยู่หน้าโต๊ะ ประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม ก่อนยกถ้วยน้ำชาขึ้น“เผิงเหยียนเฉิง ขอคารวะท่านลุงลู่ ท่านป้าลู่ ขอขอบคุณท่านทั้งสองที่เมตตาช่วยเหลือ ให้ที่พักพิง และให้โอกาสข้าได้เริ่มต้นใหม่ ข้าจะจดจำพระคุณนี้ไปชั่วชีวิต”ลู่หยวนฉีหัวเราะเบาๆ รับถ้วยน้ำชา ยกขึ้นจิบเล็กน้อย จากนั้นก็วางลง“เป็นเรื่องที่ควรกระทำ เจ้าคือบุตรชายของผู้มีพระคุณเก่าแก่ของข้า” เขาหันไปมองภรรยาของตนอย่างอบอุ่นอันเหม่ยฉินยิ้มพลางพยักหน้า ก่อนเอ่ยขึ้นบ้าง“ตอนพวกเราเพิ่งย้ายมาเมืองเจียงเฉิน ยังเป็นครอบครัวเล็กๆ ไม่มีแม้กระทั่งเรือนใหญ่โตอย่างในตอนนี้” นางมองใบหน้าของเผิงเหยียนเฉิงด้วยสายตาเอ็นดู เหมือนมองเด็กคนหนึ่งที่เคยรู้จักมานาน“จำได้ว่าตอนนั้น...เจ้ามักจะตามพ่อเจ้ามาเรือนข้าอยู่เสมอ อยู่เป็นเพื่อนหนานเอ๋อร์ของข้า เล่นกันอยู่ใต้ต้นไม้หน้าเรือน” เสียงหัวเราะนุ่มนวลแฝงด้วยความคิดถึง“ข้าไม่เคยลืมเ
ขณะที่ภายในห้องโถงใหญ่ยังเต็มไปด้วยบรรยากาศของการพูดคุยอย่างดุเดือดด้วยความมุ่งหวังและความโกรธแทนเผิงเหยียนเฉิง เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นที่ประตูลู่ซือหนานในชุดผ้าแพรสีอ่อน เดินยิ้มแย้มเข้ามาอย่างร่าเริง นางก้มตัวคารวะอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยเสียงใส“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขออนุญาตออกไปเดินชมตลาดกับเสี่ยวหลานสักครู่เจ้าค่ะ วันนี้ตลาดกลางเมืองคึกคักนัก”ลู่หยวนฉีจึงปรับสีหน้าให้อารมณ์ดีขึ้นจากการพูดคุยกับเผิงเหยียนเฉิง เขาหัวเราะเสียงดัง ลูบเคราไปพลางกล่าว“ไปเถิดๆ แต่พาเหยียนเฉิงไปเดินผ่อนคลายด้วยกันเสียหน่อยสิ เห็นอยู่ว่าข้าสั่งให้พักฟื้นนานแล้ว ออกไปเดินสูดอากาศย่อมดีต่อร่างกาย”ลู่ซือหนานชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเผิงเหยียนเฉิงที่นั่งนิ่งอยู่ไม่ไกลนางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าอย่างสุภาพ“ท่านพ่อเจ้าคะ... ข้าว่าให้พี่เหยียนเฉิงพักผ่อนต่อเถิดเจ้าค่ะ เขาเพิ่งหายดี ยังเดินไม่สะดวก หากต้องฝืนเดินกลางตลาดอาจเหนื่อยเปล่าๆ อีกอย่างข้ากับเสี่ยวหลานก็เดินซื้อของตามประสาสตรี พี่เหยียนเฉิงอาจจะเบื่อเอาได้”“ใช่แล้ว ปล่อยให้เขาพักผ่อนเถอะ อีกสองสามวันร่างกายแข็งแรงกว่านี้ค่อยว่ากัน” อันเหม่ยฉ
ตลาดเมืองเจียงเฉินครึกครื้นไปด้วยเสียงผู้คน ร้านรวงเปิดเรียงราย กลิ่นขนมอบใหม่และเครื่องหอมลอยตลบไปทั่วลู่ซือหนานเดินทอดน่องไปตามถนนกลางตลาด ดวงตาเปล่งประกายสดใส นางเดินชมข้าวของอย่างเพลิดเพลิน โดยมีเสี่ยวหลานสาวใช้เดินอย่างใกล้ชิด และห่างออกไปเป็นบ่าวอีกสองคนที่ติดตามห่างๆ ตามคำสั่งของลู่ฮูหยินขณะกำลังมองดูร้านเครื่องหอมอยู่นั้น ดวงตาก็พลันเหลือบเห็นเงาคุ้นตาอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับ เขาสวมอาภรณ์สีดำทอง ท่าทางหรูหราโอ่อ่า นั่นคือไป๋ซื่ออัน คู่หมายของนางนั่นเองหัวใจของลู่ซือหนานพองโตทันที นางก้าวเท้าจะเข้าไปหา ทว่าในชั่วเวลาถัดมาฝีเท้าก็หยุดชะงักลงไป๋ซื่ออันกำลังยื่นมือเลือกปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งจากแผง สายตาของเขาเปล่งประกายราวกับมองของล้ำค่าอย่างหวงแหนเสี่ยวหลานที่เดินตามมา เห็นท่าทีผิดปกติของคุณหนู จึงเอียงคอถามเสียงเบา“คุณหนู เหตุใดไม่เข้าไปทักล่ะเจ้าคะ”“ไม่เป็นไร คุณชายไป๋คงกำลังเลือกของขวัญให้ข้า หากข้าเข้าไปตอนนี้ก็จะรู้ล่วงหน้าเสียก่อน จะไม่ตื่นเต้นเมื่อได้รับน่ะสิ” นางหัวเราะเบาๆ แล้วเดินอมยิ้มไปอีกทาง“อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นตอนได้รั
ยามค่ำคืน แสงจันทร์สาดทอผ่านหน้าต่างโปร่งบาง ลู่ซือหนานนั่งอยู่บนเตียงนอนหลังใหญ่ ผ้าห่มไหมสีอ่อนคลุมตักนางเอาไว้ ดวงหน้าเปล่งปลั่งยามไร้เครื่องประดับใดๆ กลับยิ่งดูอ่อนเยาว์น่ามองยิ่งกว่าเคยในมือนางกำลังถือหวีไม้สางผมช้าๆ ขณะปล่อยให้ความคิดล่องลอย“เสี่ยวหลาน” เสียงนุ่มนวลเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิทที่กำลังพับเสื้อผ้าอยู่อีกมุมหนึ่งเสี่ยวหลานรีบเดินเข้ามาหา “คุณหนูมีอะไรจะรับสั่งเจ้าคะ”ลู่ซือหนานยิ้มนิดๆ สายตาเหมือนมีแววฝันลอยอยู่ในนั้น“เจ้าจำได้หรือไม่ ตอนข้าเจอคุณชายไป๋ครั้งแรก” นางเอียงหน้าพิงเสาเตียง พลางมองไปยังหน้าต่างที่เปิดแง้มรับลมเย็นเบาๆเสี่ยวหลานยิ้มตาม ก่อนพยักหน้า “จำได้เจ้าค่ะ คุณหนูตกใจจนหน้าเผือดเชียว”ลู่ซือหนานหัวเราะคิก รอยยิ้มงดงามดุจดอกไม้แรกแย้ม“วันนั้น รถม้าคันใหญ่วิ่งมาอย่างรวดเร็ว ข้าคิดว่าคงไม่รอดเสียแล้ว” นางเล่า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเหมือนยังรู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นรัวในตอนนั้น“แต่ขาพุ่งเข้ามา ดึงข้าออกจากถนนไว้ทัน”ภาพในความทรงจำปรากฏชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ชายหนุ่มในชุดสีเข้ม ยื่นมือมาคว้าแขนนาง แล้วดึงเข้าหาตัว แววตาของเขาในยา
บริเวณศาลาชมสวน ไป๋ซื่ออันยืนรออยู่ด้วยท่าทีสง่าผ่าเผยเช่นเคย สวมชุดผ้าแพรสีเทาอ่อน ห้อยหยกแกะสลักที่เอว“ขออภัยที่ทำให้ท่านคอย” ลู่ซือหนานเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มกว้าง“ไม่เป็นไร ข้าเองเพิ่งมาไม่นาน” ไป๋ซื่ออันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะผายมือให้นางเดินไปพร้อมกันทั้งสองนั่งสนทนากันที่ศาลา ท่ามกลางเสียงใบไม้ไหวเบาๆ ลู่ซือหนานชำเลืองมองถุงผ้าที่ชายหนุ่มถือมาในมือ ใจเต้นระส่ำอย่างตื่นเต้น นางนึกถึงเครื่องประดับที่อีกฝ่ายเลือกซื้อในตลาดวันนั้น แต่รอแล้วรอเล่า ไป๋ซื่ออันกลับไม่ได้เอ่ยถึงเลยแม้แต่น้อยบทสนทนาไหลไปเรื่อยๆ ถึงแผนการส่งของหมั้นที่กำลังจะมาถึง ไม่มีคำพูดใดเกี่ยวกับปิ่นหยกชิ้นนั้นที่นางกำลังรอรับจากเขาแม้ในใจจะมีคำถามค้างคา แต่ลู่ซือหนานก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา นางเพียงยิ้มและหัวเราะอย่างสุภาพ ตอบโต้ด้วยถ้อยคำเรียบง่าย‘หรือเขาลืมพกติดตัวมาด้วย’ นางปลอบใจตัวเองในใจ แต่ก็ยังยิ้มแย้มพูดคุยกับเขาด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มอ่อนหวานอีกด้านหนึ่ง เผิงเหยียนเฉิงเดินอย่างไม่มั่นคงนักเพราะเพิ่งหัดเดินโดยไม่ใช้ไม้เท้าเป็นวันแรก เขาค่อยๆพาตัวเองมายืนอยู่หลังแนวไม้พุ่ม ชำเลืองสายตาไปยังร่างเล็กที่กำลังยืน
เช้าวันหนึ่ง ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย ริมลานเรือนรองมีการจัดโต๊ะยาวคลุมด้วยผ้าขาวสะอาด บนโต๊ะวางเครื่องเขียนอย่างพู่กัน กระดาษไผ่ และจานหมึกไว้อย่างเป็นระเบียบอาจารย์หวัง หัวหน้าผู้ทรงคุณวุฒิแห่งสำนักศึกษา สวมชุดผ้าแพรสีฟ้าอ่อน เดินเข้ามาในเรือนด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้ามีริ้วรอยบางเบาแต่ดวงตากลับยังคมกริบเผิงเหยียนเฉิงในชุดบัณฑิตสีคราม เดินด้วยท่าทางที่ไม่ถนัดนัก แม้ท่าเดินยังไม่มั่นคงแต่เขาก็มีความตั้งใจ เดินไปหยุดต่อหน้า ประสานมือคำนับด้วยความเคารพ“ข้าน้อยเผิงเหยียนเฉิง ขอคารวะอาจารย์”อาจารย์หวังพยักหน้าช้าๆ สีหน้าเคร่งขรึมอย่างนักปราชญ์ผู้มากประสบการณ์“นายท่านลู่ฝากฝังเจ้ากับข้า หวังว่าเจ้าจะตั้งใจเล่าเรียน เพื่อไม่ให้เสียชื่อผู้ที่เมตตาเจ้า”“ข้าน้อยย่อมเต็มกำลัง” เผิงเหยียนเฉิงตอบหนักแน่นหลังจากนั้นบทเรียนก็เริ่มขึ้น อาจารย์หวังเริ่มจากการทบทวนศาสตร์พื้นฐาน ทั้งวรรณคดี ปรัชญาขงจื๊อ เมิ่งจื้อ ตลอดจนข้อสอบแบบประเมินความรู้ในชั้นสูงเผิงเหยียนเฉิงแม้เพิ่งฟื้นตัวไม่นาน แต่สมาธิกลับแน่วแน่ พู่กันในมือเขาเขียนตัวอักษรได้มั่นคงและสวยงามกว่าที่อาจารย์หวังคาดคิดขณะที่เขาเขียน อาจารย์ห
อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เหลือเพียงแสงจันทร์สีเงินที่เริ่มสาดส่องลงมายังสวนกว้าง สายลมเย็นโชยพัดกลีบดอกไม้ปลิวไสว กลิ่นหอมบางเบาแผ่ซ่านในอากาศยามราตรีลู่ซือหนานเดินเคียงข้างบัณฑิตหนุ่มที่พยุงตัวด้วยไม้เท้าตรงไปที่ศาลา โดยมีบ่าวคนสนิทติดตามอยู่ด้านหลังลู่ซือหนานเหลือบมองเขาอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเผิงเหยียนเฉิงดูสดชื่นกว่าก่อนหน้านี้มาก สีหน้าซีดเซียวก็มีเลือดฝาดขึ้น“ท่านดูดีขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ พี่เหยียนเฉิง” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจแท้จริงเผิงเหยียนเฉิงหัวเราะเบาๆ เอียงหน้าหลบสายตาอ่อนโยนนั้น“ขอบคุณคุณหนูลู่ที่ดูแลข้ามาตลอด หากมิใช่เพราะครอบครัวของเจ้า ข้าคงมิอาจมีวันนี้”ลู่ซือหนานส่ายหน้าเบาๆ “อย่าได้เกรงใจเลยเจ้าค่ะ ข้า...ข้าเพียงแต่...อยากให้ท่านดีขึ้นเร็วๆ เท่านั้น”คำพูดของนางอ่อนหวานและจริงใจนัก จนเผิงเหยียนเฉิงรู้สึกใจอ่อนยวบเขาก้าวข้างกันไปช้าๆ กับนางโดยไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ปล่อยให้เสียงลมและกลิ่นหอมของดอกไม้ยามเย็นคลอเคล้าเป็นเพื่อนในใจของเขาได้แต่ภาวนาเงียบๆ ขอเพียงให้ช่วงเวลานี้ ยืดยาวออกไปอีกสักนิด ก็ยังดีเมื่อไปถึง เผิงเหยียนเฉิงนั่งอยู่บนศาลา
ตลาดเมืองเจียงเฉินครึกครื้นไปด้วยเสียงผู้คน ร้านรวงเปิดเรียงราย กลิ่นขนมอบใหม่และเครื่องหอมลอยตลบไปทั่วลู่ซือหนานเดินทอดน่องไปตามถนนกลางตลาด ดวงตาเปล่งประกายสดใส นางเดินชมข้าวของอย่างเพลิดเพลิน โดยมีเสี่ยวหลานสาวใช้เดินอย่างใกล้ชิด และห่างออกไปเป็นบ่าวอีกสองคนที่ติดตามห่างๆ ตามคำสั่งของลู่ฮูหยินขณะกำลังมองดูร้านเครื่องหอมอยู่นั้น ดวงตาก็พลันเหลือบเห็นเงาคุ้นตาอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับ เขาสวมอาภรณ์สีดำทอง ท่าทางหรูหราโอ่อ่า นั่นคือไป๋ซื่ออัน คู่หมายของนางนั่นเองหัวใจของลู่ซือหนานพองโตทันที นางก้าวเท้าจะเข้าไปหา ทว่าในชั่วเวลาถัดมาฝีเท้าก็หยุดชะงักลงไป๋ซื่ออันกำลังยื่นมือเลือกปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งจากแผง สายตาของเขาเปล่งประกายราวกับมองของล้ำค่าอย่างหวงแหนเสี่ยวหลานที่เดินตามมา เห็นท่าทีผิดปกติของคุณหนู จึงเอียงคอถามเสียงเบา“คุณหนู เหตุใดไม่เข้าไปทักล่ะเจ้าคะ”“ไม่เป็นไร คุณชายไป๋คงกำลังเลือกของขวัญให้ข้า หากข้าเข้าไปตอนนี้ก็จะรู้ล่วงหน้าเสียก่อน จะไม่ตื่นเต้นเมื่อได้รับน่ะสิ” นางหัวเราะเบาๆ แล้วเดินอมยิ้มไปอีกทาง“อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นตอนได้รั
ขณะที่ภายในห้องโถงใหญ่ยังเต็มไปด้วยบรรยากาศของการพูดคุยอย่างดุเดือดด้วยความมุ่งหวังและความโกรธแทนเผิงเหยียนเฉิง เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นที่ประตูลู่ซือหนานในชุดผ้าแพรสีอ่อน เดินยิ้มแย้มเข้ามาอย่างร่าเริง นางก้มตัวคารวะอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยเสียงใส“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขออนุญาตออกไปเดินชมตลาดกับเสี่ยวหลานสักครู่เจ้าค่ะ วันนี้ตลาดกลางเมืองคึกคักนัก”ลู่หยวนฉีจึงปรับสีหน้าให้อารมณ์ดีขึ้นจากการพูดคุยกับเผิงเหยียนเฉิง เขาหัวเราะเสียงดัง ลูบเคราไปพลางกล่าว“ไปเถิดๆ แต่พาเหยียนเฉิงไปเดินผ่อนคลายด้วยกันเสียหน่อยสิ เห็นอยู่ว่าข้าสั่งให้พักฟื้นนานแล้ว ออกไปเดินสูดอากาศย่อมดีต่อร่างกาย”ลู่ซือหนานชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเผิงเหยียนเฉิงที่นั่งนิ่งอยู่ไม่ไกลนางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าอย่างสุภาพ“ท่านพ่อเจ้าคะ... ข้าว่าให้พี่เหยียนเฉิงพักผ่อนต่อเถิดเจ้าค่ะ เขาเพิ่งหายดี ยังเดินไม่สะดวก หากต้องฝืนเดินกลางตลาดอาจเหนื่อยเปล่าๆ อีกอย่างข้ากับเสี่ยวหลานก็เดินซื้อของตามประสาสตรี พี่เหยียนเฉิงอาจจะเบื่อเอาได้”“ใช่แล้ว ปล่อยให้เขาพักผ่อนเถอะ อีกสองสามวันร่างกายแข็งแรงกว่านี้ค่อยว่ากัน” อันเหม่ยฉ
เผิงเหยียนเฉิงในชุดผ้าแพรเนื้อดีสีฟ้า ถือถาดน้ำชาด้วยมือที่กลับมาแข็งแรงมั่นคง เดินเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของเรือนหลักอย่างสง่างามลู่หยวนฉีและอันเหม่ยฉินนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ท่าทางเรียบง่ายทว่ามีอำนาจอย่างสงบ เผิงเหยียนเฉิงหยุดอยู่หน้าโต๊ะ ประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม ก่อนยกถ้วยน้ำชาขึ้น“เผิงเหยียนเฉิง ขอคารวะท่านลุงลู่ ท่านป้าลู่ ขอขอบคุณท่านทั้งสองที่เมตตาช่วยเหลือ ให้ที่พักพิง และให้โอกาสข้าได้เริ่มต้นใหม่ ข้าจะจดจำพระคุณนี้ไปชั่วชีวิต”ลู่หยวนฉีหัวเราะเบาๆ รับถ้วยน้ำชา ยกขึ้นจิบเล็กน้อย จากนั้นก็วางลง“เป็นเรื่องที่ควรกระทำ เจ้าคือบุตรชายของผู้มีพระคุณเก่าแก่ของข้า” เขาหันไปมองภรรยาของตนอย่างอบอุ่นอันเหม่ยฉินยิ้มพลางพยักหน้า ก่อนเอ่ยขึ้นบ้าง“ตอนพวกเราเพิ่งย้ายมาเมืองเจียงเฉิน ยังเป็นครอบครัวเล็กๆ ไม่มีแม้กระทั่งเรือนใหญ่โตอย่างในตอนนี้” นางมองใบหน้าของเผิงเหยียนเฉิงด้วยสายตาเอ็นดู เหมือนมองเด็กคนหนึ่งที่เคยรู้จักมานาน“จำได้ว่าตอนนั้น...เจ้ามักจะตามพ่อเจ้ามาเรือนข้าอยู่เสมอ อยู่เป็นเพื่อนหนานเอ๋อร์ของข้า เล่นกันอยู่ใต้ต้นไม้หน้าเรือน” เสียงหัวเราะนุ่มนวลแฝงด้วยความคิดถึง“ข้าไม่เคยลืมเ
ภายในห้องพักที่อบอวลด้วยกลิ่นยาสมุนไพรอ่อนๆ เผิงเหยียนเฉิงนั่งลงช้าๆ บนตั่งไม้ หันหน้าออกไปยังหน้าต่างที่เปิดรับลมเย็นสบายยังไม่ทันได้หลับตาพักผ่อน เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นหน้าห้อง“พี่เหยียนเฉิง” ลู่ซือหนานก้าวเข้ามาพร้อมถาดไม้ในมือ ในนั้นวางกาน้ำต้มยาอยู่“ข้าให้ห้องครัวเตรียมยาตามใบสั่งของหมอไว้ให้ท่านดื่ม ข้าอยากต้มด้วยตัวเอง จึงมาเองเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงนุ่ม ดวงตาใสบริสุทธิ์เปี่ยมไปด้วยความห่วงใยเผิงเหยียนเฉิงมองนางเงียบๆ แวบหนึ่งในดวงตาคมกริบมีแววอ่อนโยนผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ นางค่อยๆ รินน้ำยาอุ่นร้อนลงในถ้วย แล้วยื่นให้เขาด้วยมือของตนเอง“ยานี้แม้จะขมหน่อย แต่หมอบอกว่าดื่มเป็นประจำจะฟื้นฟูเส้นเอ็นได้เร็วขึ้นเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มให้กำลังใจเผิงเหยียนเฉิงยื่นมือไปรับถ้วยยามา ดวงมือที่สัมผัสกับปลายนิ้วของนางเพียงแผ่วเบา แต่กลับส่งผ่านความอบอุ่นที่ทำให้ใจเขาสั่นสะท้านเขารับยามาเงียบๆ ดื่มยาขมเฝื่อนนั้นจนหมดโดยไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย“เจ้าควรกลับไปพักผ่อนเถอะ” เขาเอ่ยเบาๆ หลบสายตาอ่อนโยนของนางอย่างระมัดระวังลู่ซือหนานพยักหน้า ยิ้มอ่อนหวาน “เช่นนั้นข้าจะไปดูหม้อยาอีกที ว่
ที่สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ท้องฟ้าสดใสปราศจากเมฆหมอก ลมอ่อนพัดโชยกลิ่นหอมของดอกเหมยกระจายไปทั่วบริเวณบัณฑิตหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น เขาใช้ไม้เท้าที่ถูกสั่งทำให้เป็นพิเศษในการช่วยพยุงเดิน โดยมีบ่าวข้างกายนามว่าอาหมิง ช่วยพาออกจากห้องไปรับลมที่สวนดอกไม้ขณะก้าวเดินอย่างเชื่องช้า มือจับไม้เท้าแน่น เขาสูดกลิ่นหอมของดอกไม้เข้าสู่ปอด รู้สึกว่าร่างกายที่อ่อนแรงเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นบ้างเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากศาลากลางสวน เรียกความสนใจจากบัณฑิตหนุ่ม ดวงตาเรียวคมของเขาเหลือบมองไปเห็นลู่ซือหนาน นางยืนเคียงข้างกับบุรุษผู้หนึ่ง ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุขเผิงเหยียนเฉิงยืนนิ่ง มองภาพนั้นเงียบๆ ใต้เงาไม้ ทันใดนั้นเอง ขณะที่ลู่ซือหนานก้มหน้าด้วยความเขินอาย ไป๋ซื่ออันที่นั่งอยู่กลับเลื่อนสายตาไปมองสาวใช้คนหนึ่งที่ถือป้านน้ำชาอยู่ใกล้ๆเพียงชั่วพริบตา เผิงเหยียนเฉิงก็เห็นได้ชัดเจนสายตาคู่นั้น เต็มไปด้วยความเจ้าชู้ ลึกซึ้งผิดวิสัยชายที่ควรเอาใจจดจ่ออยู่กับคู่หมายของตนเอง แม้ว่าสาวใช้คนนั้นจะหลบตาอย่างสุภาพ แต่ไป๋ซื่ออันกลับอมยิ้ม ส่งสายตาเชิงเกี้ยวพาอย่างไม่ปิดบังเผิงเหยียนเฉิงหลุบตาลงช้