ความรักวุ่นๆ ระหว่างปิติญาดาและคณิน ที่บิดามารดาของทั้งคู่ เล่นละครฉากใหญ่เพื่อที่จะจับบุตรสาวและบุตรชายของพวกเขาให้ได้แต่งงานกัน แต่การแต่งงานครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะราบรื่น เมื่อมีอุปสรรคจากถ่านไฟเก่าเข้ามาแทรกแซง
View Moreเมื่อท้องอิ่ม ปิติญาดาจึงขอตัวเข้าครัวช่วยป้าชื่นล้างจาน จากนั้นก็ปลีกตัวขึ้นไปบนห้องปล่อยให้สองหนุ่มคุยกันไปตามสบาย คณินและเขตไทยออกมานั่งคุยที่เก้าอี้ข้างสระว่ายน้ำ ชายหนุ่มชวนเพื่อนดื่มเหล้า ซึ่งเขตไทยก็ไม่ขัด เพราะรู้ว่าคนชวนเองก็มีเรื่องในใจ ป้าชื่นจัดแจงเตรียมของให้ ก่อนที่คณินจะบอกให้เข้าไปพักที่เหลือเขาจะจัดการเองทั้งสองหนุ่มพูดคุยเรื่องงานที่จริงจังเป็นอันดับแรก เพราะช่วงนี้มีออเดอร์จากต่างประเทศเข้ามามาก จึงต้องวางแผนเรื่องการผลิตให้รอบคอบ เมื่อจบเรื่องงานก็ต่อด้วยสัพเพเหระไปตามเรื่องตามราว ก่อนจะมาจบที่เรื่องหัวใจของคณิน“ฉันได้ข่าวว่าคุณบัวกำลังจะแต่งงาน” คณินชะงักมือกับคำถามนี้ไปนิดหน่อย ก่อนจะยกแก้วเหล้าที่จับอยู่ขึ้นดื่มรวดเดียวหมด แล้วเอ่ยตอบคำถามนั้นไป“อื้อ...หูไวนี่เอ็ง”“คนไม่ใช่หมา” พอได้ยินคำพูดเหมือนสบายหัวใจดีอยู่ของคณิน เขตไทยก็โล่งอกไปได้เปราะหนึ่ง แต่ดูท่าทุกอย่างจะไม่เป็นอย่างที่คิด พอพูดเรื่องนี้เหล้าในขวดที่มีอยู่เกือบเต็มก่อนจะชนแก้วแรก ตอนนี้ปริมาณของน้ำสีเหลืองได้หายไปเกินครึ่
“วันนี้ เขาแวะไปที่โรงงาน ก็เลยได้รู้จักกัน”“มิน่าล่ะ แกถึงได้ถ่อมาถึงที่นี่” คณินเหน็บเพื่อนไปหนึ่งดอก เพราะพักหลังๆ เขตไทยหายหัวเข้ากลีบเมฆ ได้ข่าวว่าติดหญิง นี่ก็พึ่งโผล่มาให้เขาเห็น คงเริ่มเบื่อผู้หญิงคนนั้นแล้วสิ ก็เป็นเสียแบบนี้ผู้หญิงที่ไหนเขาจะรักจริง คิดเรื่องนี้ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าให้เพื่อน “อย่าหวงไปหน่อยเลยไอ้คิงส์ ไม่ดีเหรอที่เอ็งจะได้ข้าเป็นน้องเขย”“ไม่” คนฟังตอบแบบไม่ต้องคิด ไม้ใช่เพราะเป็นห่วงปิติญาดา ต่อให้เป็นญาติคนอื่น เขาก็ปฏิเสธการเป็นเครือญาติกับเขตไทยอย่างสิ้นเชิง ขอเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นพอ อาจจะดูใจร้ายไปหน่อยก็เถอะ “อ้าวเฮ้ย! ไอ้เพื่อน ทำไมพูดแมวๆ ไม่ให้กำลังใจกันแบบนี้วะ”“เอ้า...ก็ข้าพูดตามความจริงนี่หว่า ลองคิดดู บ้านไหนได้ลูกเขยกะล่อน เจ้าชู้ไก่แจ้อย่างเอ็งไปเป็นเขย คงได้ปวดหัวตาย” “แต่ถ้าข้าได้เป็นเขยครอบครัวเอ็ง รับรองข้าจะเป็นคนดี้ดีที่สุด” เขตไทยเน้นย้ำคำว่าดีให้ได้ยินชัดๆ แต่คณินก็ไม่วายสบประมาทตามเคย “ดีแตกล่ะสิไม่ว่า” “อ้าวๆ อย่าดูถูกนะเว้ย คนอย่างข้าถ้าได้รักใคร รักจริงแน่นอน” เขตไทยยิ้มกริ่มให้ ยังดีที่เป็นเพื่อนกัน พอรู้นิสัยใจคอ เพราะถ้าไ
“อ้อ...ค่ะ น้ำมนต์กับ เอ่อ...พี่คิงส์เราเป็นญาติห่างๆ กัน” ไหนๆ ก็ไหนๆ ปิติญาดาก็ปล่อยเลยตามเลยลอยตามน้ำไปแล้วกัน แต่การเรียกชายหนุ่มว่าพี่อย่างสนิทสนมแบบนั้น สำหรับเธอไม่ชินปากเลยจริงๆ ต่อไปอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็คงต้องเรียกแบบนี้ละมั้ง “เหรอครับ ถ้ารู้ เราคงได้ทำความรู้จักกันเร็วกว่านี้ก็เป็นได้” เขตไทยรุกหนักแบบไม่ปกปิด ถึงจะพึ่งพบหน้ากันครั้งแรก แต่ชายหนุ่มนั้นขอปักธง หวังจีบปิติญาดาเต็มที่ เพราะหญิงสาวตรงสเปคเขาไปเสียทุกอย่าง หน้าตาน่ารักสวยเลยก็ว่าได้ ผิวก็สวย หุ่นยังดี เป็นนางแบบได้สบายๆ แถมตาคู่สวยของเธอ ยามที่เขาสบตามองด้วยก็ยิ่งมีเสน่ห์น่าค้นหา “ค่ะ” หญิงสาวเอ่ยรับสั้นๆ ก่อนจะส่งยิ้มแห้งๆ ให้ ถึงจะยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่ใช่ว่าเธอจะไม่เคยมีผู้ชายมาขายขนมจีบ ก็เลยพอจะมองท่าทางและแววตาของเขตไทยออก ส่วนจามรนั้นส่ายหน้าให้เพราะดูท่าเขตไทยจะเอาจริง“แล้วน้องน้ำมนต์มาทำอะไรที่นี่ครับ เที่ยวเหรอ” เขตไทยเอ่ยเรียกปิติญาดาอย่างสนิทสนม ซึ่งคนถูกเรียกก็เหมือนจะขัดอะไรไม่ได้เสียด้วย “เปล่าค่ะ น้ำมนต์มาเรียนรู้งานที่นี่ เผื่อมีอะไรน่าสนใจทำ” สถานการณ์ของเธอตอนนี้ เรื่องเที่ยวไม่มีในสมอ
“อ้าว! ป้าชื่น มาส่งปิ่นโตให้คุณคิงส์เหรอครับ” จามรผู้จัดการโรงงานเอ่ยทักป้าชื่นอย่างสนิทสนม เพราะรู้จักกันมานานหลายปี “เปล่าจ้ะ พอดีพาคุณน้ำมนต์มาดูโรงงาน”“ว่าอยู่ เพราะคุณคิงส์กลับออกไปแล้ว” คนถามเอ่ยรับ ก่อนจะเอ่ยต่อเพราะมีบางสิ่งสงสัย “แล้วคุณน้ำมนต์นี่ ใครกันป้า” ขณะพูดสายตาของจามรก็มองไปยังหญิงสาวหน้าตาสวยที่มาพร้อมกับป้าชื่น เห็นครั้งแรกเธอก็ออร่าออกซะขนาดนั้น มีใครบ้างไม่สนใจ “ญาติคุณคิงส์” ป้าชื่นเอ่ยบอกอย่างให้เกียรติหญิงสาว เพราะเมื่อเช้าได้ถามเจ้านายหนุ่มแล้วว่าปิติญาดาที่มาด้วยนั้นเป็นใคร ซึ่งได้คำตอบว่าเป็นญาติ แต่เหตุผลที่มาด้วยนั้นคณินไม่ได้บอก และป้าชื่นก็มองไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องถามให้มากความ “อ๋อ…” ผู้จัดการโรงงานเอ่ยรับเสียงสูง เขานั้นไม่ได้คิดอะไร ที่ถามเพราะแค่อยากรู้ ก่อนจะเดินไปหาหญิงสาวคนนั้นพร้อมกับป้าชื่น พออยู่ตรงหน้า ป้าชื่นก็แนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันอย่างเป็นทางการ “คุณน้ำมนต์ค่ะ นี่คุณจามร ผู้จัดการโรงงานค่ะ” “สวัสดีค่ะ” หญิงสาวเอ่ยทัก พร้อมส่งยิ้มให้ การมาของ ปิติญาดา ทำให้พนักงานหลายคนในโรงงานต่างพากันสงสัยว่าเธอเป็นใคร แต่ไม่นานก็ได้รู้ว่าหญ
“คิดจะทำอะไรต่อไป”“อืม…อย่างแรกที่อยากทำคือหาเงินมาใช้หนี้ให้พ่อนายให้เร็วที่สุด” แม้จะยาก เพราะเงินมากมายแบบนั้นเธอจะหามาได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่ปิติญาดาก็ยังหวัง เพราะไม่อยากให้คนอื่นมาดูแลบริษัท แม้คนอื่นที่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ของพ่อก็ตามที “วิธีหาเงินล่ะ ยังไง” คณินขมวดคิ้วยุ่งถามขึ้น พูดน่ะมันง่ายแต่ทำนะมันยาก ต้องวางแผนให้ดี หนึ่งสองสามสี่ จะเดินไปทางไหน แต่จะว่าไปพ่อแม่เขาไม่เห็นพูดเลยนี่น่าว่าอยากได้เงินคืน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้บอกปิติญาดาให้รู้เรื่องนี้ ปล่อยให้หญิงสาวทำตามที่ต้องการไปแล้วกัน “ตอนนี้ยังมึนๆ อยู่ ก็เลยยังคิดอะไรดีๆ ไม่ออก”“อืม” คนฟังเอ่ยรับสั้นๆ อย่างเข้าใจ เพราะถ้าเกิดเรื่องกับเขา พ่อเสียชีวิต เจ้าหนี้โผล่มาบอกว่าเป็นหนี้หลายร้อยล้าน ต้องแต่งงานใช้หนี้ แต่สุดท้ายเธอกับเขากลับต้องแต่งงานบังหน้า แต่ละเรื่องที่พบเจอ ถ้าไม่เกิดกับตัวเองใครจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง นั่งเงียบอยู่สักพัก ปิติญาดาก็เอ่ยขึ้น“อ้อ…ขอถามอะไรหน่อยสิ” “ว่ามา” ชายหนุ่มวางช้อนลงเพราะเขากินข้าวไข่เจียวหมดจานแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองปิติญาดา รอฟังว่าเธอจะถามอะไรอีก “ที่ลำปางขึ้นชื่อเรื่
เกือบเที่ยงคืน พ่อแม่ของปิติญาดาและคณินกำลังจะรอขึ้นเครื่องบินเพื่อไปท่องเที่ยวยุโรป ทั้งสี่คนมีสีหน้าของความเป็นสุขที่เต็มเปี่ยม ไม่ได้ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ได้วางแผนไว้แม้แต่น้อย กลับเออออห่อหมกบอกว่ากลับจากเที่ยวครั้งนี้อาจจะได้ข่าวดีเรื่องหลานก็เป็นได้ ทั้งสี่คนจึงพากันหัวเราะชอบใจ ผกามาศนั้นเตี้ยมกับคนที่บ้านไว้แล้วว่าถ้าปิติญาดาโทรถามถึงตนให้บอกไปแบบไม่ต้องคิดว่าออกไปวัดป่า บวชชีพราหมณ์ ส่วนเรื่องที่บริษัทศรชัยก็จัดการไว้อย่างเรียบร้อยเหมือนกัน ไม่ให้ทุกอย่างสะดุดและถึงหูของลูกสาวเป็นอันขาด ผิดกับคนเป็นลูกที่ถูกพ่อแม่รักแกซึ่งตอนนี้ยังคงนอนกระสับกระส่ายไปมาบนเตียง สลับกับถอนหายใจเฮือกๆ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้จนเต็มสมองไปหมด เธอจะอยู่ที่นี่ยังไง จะเดินหน้าถอยหลัง หาเงินมาใช้หนี้วิธีไหน คิดแล้วน้ำตาก็พานจะไหล“พ่อจ๋า แม่จ๋า น้ำมนต์จะเดินทางไหนดี” ปิติญาดาเพ้อถึงพ่อแม่ ความสงสารตัวเองเกิดขึ้นทันที คราวนี้น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลอาบแก้ม เธอปิดหน้าร้องไห้ ใจนั้นไม่อยากร้องออกมา เพราะนั่นแสดงว่าเธอกำลังอ่อนแอ แต่เวลานี้หญิงสาวกลับอยากร้องไห้กับตัวเองสักครั้ง ร้องให้สาแก่ใจ และต่อจากนี้เ
“ยายน้ำเน่า” คำเรียกครั้งที่สองของคณินที่ห้วนและดังกว่าเดิมทำเอาปิติญาดาสะดุ้งรู้สึกตัว นั่งตัวตรงแด่วกันเลยทีเดียว ก่อนจะกระพริบตาปริบๆ ไล่ความง่วง แต่ก็ยังมึนๆ อยู่ “หลับเป็นตาย จับส่งขายซะดีไหม” “ถึงแล้วเหรอ” คนขี้เซาถามก่อนจะมองไปมารอบๆ อย่างสำรวจ สมองส่วนการตอบโต้ของปิติญาดายังทำงานไม่เต็มที่นัก เธอจึงไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับเขาให้สาสม “อืม...ตื่นได้แล้ว” พูดจบเขาก็เดินนำหน้าเธอเข้าไปในบ้าน แต่จังหวะที่ปิติญาดากำลังจะก้าวลงจากรถ ลมแรงๆ มาจากไหนก็ไม่รู้พัดไปมาอยู่รอบๆ ตัวเธอจนต้องหลับหูหลับตา ข้าวของในรถที่น้ำหนักเบาก็ปลิวเต็มไปหมด สักพักก็หยุด ทำเอาคนแปลกถิ่นออกแนวขนลุก เพราะคิดว่าถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ เข้าแล้ว จึงรีบขยับตามคณินเข้าไปในบ้าน แต่เท้าของเธอกลับเหยียบการ์ดสีชมพูที่หล่นอยู่บนพื้นเข้าแบบไม่ตั้งใจ“อะไร” ปิติญาดาก้มไปหยิบขึ้นมาถือไว้ ที่หน้าการ์ดมีคำว่า ‘เรียนเชิญ คุณคณิน ภูมิภักดีเกียรติ’ ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าคือการ์ดแต่งงาน ไม่รู้ปลิวมาจากที่ไหน เธอจึงหยิบติดมือเพื่อจะเอาไปคืนให้เจ้าของ ขณะที่เดินเข้าบ้านปิติญาดาก็ขอสำรวจไปด้วย บ้านทั้งหลังถูกออกแบบไว้อย่างสวยงาม ม
“เอ่อ…” ผกามาศนิ่งเพราะกำลังใช้ความคิด หันมองหน้าสามีอย่างขอความช่วยเหลือ ก่อนจะนึกอะไรออก “แม่จะไปบวชชีพราหมณ์กับอาเพ็ญแขที่ต่างจังหวัด อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พ่อสักสองสามเดือน ลูกไม่ต้องห่วงแม่หรอกนะจ๊ะน้ำมนต์” “เหรอคะ” ปิติญาดาทำเสียงเศร้า แต่ทางผู้ใหญ่ทั้งสี่กลับหายใจหายคอเหมือนกับโล่งอกที่ประเด็นนี้สามารถจบได้อย่างสวยงาม ไม่มีอะไรให้ปลายสายสงสัย แต่ก็ไม่วายที่คนเป็นลูกจะถามอีกประเด็นที่เป็นห่วง “แล้วที่บริษัทละคะแม่ โอเคหรือเปล่า?”“โอเคจ้ะ ลุงมงคลจะเข้าไปดูแลให้ในช่วงนี้ ถ้าเรื่องทุกอย่างคลี่คลาย แม่จะบอกให้หนูกลับมาสานต่องานของพ่อนะน้ำมนต์” ข่าวนี้ทำให้ปิติญาดายิ้มออกมาได้แม้จะนิดหน่อยก็ตามที อย่างน้อยพนักงานที่บริษัทก็ยังไม่ตกงาน “หนูจะรอวันนั้นค่ะแม่” “จ้ะลูก ไปอยู่บ้านพี่เขาช่วยอะไรได้ก็ช่วยนะน้ำมนต์” “ค่ะแม่” คนเป็นลูกเอ่ยรับอย่างจำยอม เธอจะค้านความตั้งใจของแม่ได้ยังไง ในเมื่อท่านจะไปถือศีลให้พ่อแบบนี้ จะกลับบ้านก็ไม่ได้เพราะคนพวกนั้นดักซุ่มอยู่ เธอคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ เรื่องบริษัทก็วางใจได้ในส่วนหนึ่ง แม้จะไม่มากเพราะเกรงใจที่ต้องให้คนอื่นไปดูแลแทน ถึงจะไว้ใจแล
“จะว่าไปเธอก็ไม่เห็นมีอะไรให้ฉันแตะต้องได้ เสน่ห์รึก็มองไม่เห็น ตัวแห้งๆ ยังกับกุ้งเสียบ นิสัยก็บ้าๆบอๆ เอาเถอะ ไหนๆ ฉันก็หลวมตัวแต่งงานกับเจ้าสาวกำมะลออย่างเธอแล้วนี่ หวังพันธะข้อนี้ของเราจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ” คำพูดดูถูกของคณินทำให้ปิติญาดาควันออกหู เขาหาว่าเธอไม่มีเสน่ห์อย่างนั้นเหรอ ทีตัวเองล่ะมีเสน่ห์ตายเลย สิ่งที่เธอคิดก่อนหน้าขอถอนคำพูดให้หมด ผู้ชายแบบนี้ต่อให้เหลือคนเดียวบนโลก เธอก็ไม่แล “คนอย่างฉันมีเสน่ห์มากพอที่คนอย่างนายจะมองไม่เห็น ชิ จ๊อกกกก” การสนทนาจบลงอีกครั้ง เมื่อเสียงท้องร้องของปิติญาดาดังขึ้น คณินหัวเราะออกมาแบบไม่เก็บไว้อย่างเช่นครั้งแรกที่ได้ยิน คนหิวข้าวหน้าแดงก่ำ ทั้งอาย ทั้งโกรธที่ถูกคนหัวเราะเยาะ ชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้าตัวเมืองนครสวรรค์ ก่อนจะไปหยุดลงหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่เขาเคยแวะมาบ้าง ไกด์จำเป็นพาเธอไปยังร้านอาหารประจำ ขณะนั่งกินข้าวทั้งคู่ก็ตกอยู่ในสายตาหลายสิบคู่ ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าใครดึงดูดสายตาคนพวกนั้นถ้าไม่ใช่ปิติญาดา ก็เธอเล่นอยู่ในชุดแต่งงานนี่นา เมื่อกินข้าวอิ่ม คณินก็พาเจ้าสาวกำมะลอไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้เรียบร้อย พร้อมทั้งให้เธอเ
รถยุโรปคันสวย แล่นไปตามถนนยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานคร ความที่บรรยากาศรอบข้างช่างเงียบเชียบจนน่าวังเวงชวนขนหัวลุก มือน้อยๆ ซึ่งตอนนี้ทำหน้าที่จับพวงมาลัยรถอยู่นั้นจึงเอื้อมไปเปิดวิทยุ นิ้วเรียวสวยจิ้มเลือกสถานีมาสักหนึ่งสถานีเพื่อฟังเพลงไปเรื่อยเปื่อยอย่างไม่เจาะจง สายตาก็ไม่ได้ละไปจากท้องถนนตรงหน้า ก่อนที่หูจะสะดุดกับเพลงที่กำลังดังขึ้น จนหัวทุยๆ ที่จัดแต่งทรงผมมาอย่างสวยงาม แทบจะทิ่มไปกับพวงมาลัยรถ ‘งานแต่งที่ใด เป็นได้แค่แขกรับเชิญ อยากแต่งกับเขาเหลือเกิน ขัดเขินที่ยังไร้คู่…’ ปิติญาดาอยากจะหักพวงมาลัยในมือชนต้นไม้ข้างทางให้รู้แล้วรู้รอด เพลงอะไรช่างเปิดได้ประจวบเหมาะกับชีวิตเธอตอนนี้เสียเหลือเกิน หญิงสาวละมือจากวิทยุมากำพวงมาลัยทั้งสองข้าง ไม่ได้เปลี่ยนสถานีหนีเพลงที่ดังขึ้นแต่เสียดแทงใจดำคนโสดแต่อย่างใด นั่งฟังไปอย่างนั้น ตอกย้ำคนโสดไร้คู่อย่างเธอให้ถึงที่สุดกันไปข้าง อายุอานามก็จะแตะเลขสามเข้าไปทุกขณะ ก็ยิ่งกลัวว่าคานทองนิเวศที่ไม่ต้องการจะหล่นตุ๊บลงมาบนตัก “เฮ้อ!!” เสียงถอนหายใจของคนโสดดังออกมาอย่างอ่อนใจ ก่อนจะสำรวจตัวเองผ่านกระจกมองหลัง เธอไม่ใช่ผู้หญิงหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่เสี...
Comments