ปิติญาดานั่งทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง ด้วยตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อสินค้าต่างประเทศ หญิงสาวเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลอารายานนท์ ครอบครัวเธอประกอบธุรกิจด้านพลังงานพร้อมให้เข้าไปบริหารได้ทุกเมื่อ แต่หญิงสาวกลับมองว่าตัวเองยังขาดความสามารถที่จะแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ ทั้งเรื่องงานและเรื่องบุคลากรนั่นไว้บนบ่า
พอจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจึงขอบิดาออกมาทำงานหาประสบการณ์จากบริษัทภายนอกก่อน พร้อมๆ กับเรียนปริญญาโทด้านบริหารควบคู่กันไปด้วย ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างกำลังลงตัว ว่างจากงานบริษัทที่ทำงานอยู่ก็เข้าไปศึกษางานบริษัทของครอบครัว และเธอก็ได้เปรยกับบิดาแล้วว่าอีกสองสามเดือนข้างหน้าจะเข้าไปทำงานที่บริษัทให้เต็มตัว เสียงเคาะประตูห้องทำงานที่ดังขึ้นทำให้ปิติญาดาหยุดความคิดไว้ แล้วเหลือบหันไปมองนิดหน่อยก็เห็นเลขาถือแฟ้มเข้ามา แต่เธอยังไม่มีเวลาจะพูดด้วยเพราะติดสายลูกค้าคนสำคัญอยู่ อันที่จริงสร้อยสุดาจะวางแฟ้มไว้ แล้วกลับออกไปก็ยังได้ แต่หญิงสาวมีเรื่องจะพูดกับผู้จัดการที่เธอรักและเคารพคนนี้ เมื่อเห็นว่าปิติญาดาวางสายไปแล้ว เลขาสาวจึงเอ่ยขึ้น “เอกสารที่ต้องเซ็นค่ะพี่น้ำมนต์” แฟ้มสีดำถูกยื่นมาให้คือเอกสารสำคัญเรื่องการนำเข้าสินค้าที่ต้องให้ปิติญาดาเซ็นรับทราบ “ขอบใจจ้ะน้องสร้อย” เสียงอบอุ่นเอ่ยบอก ปิติญาดาเป็นเจ้านายที่ไม่ดุเดือดแต่ไม่อ่อนไหว ยอมทุกอย่างเสมอไป หญิงสาวเรียนรู้จากการทำงานที่นี่ว่าพนักงานแต่ละคนนิสัยเป็นอย่างไร บางคนต้องให้คอยบอก คอยสอน คอยจับจ้องถึงจะทำงาน แต่บางคนแทบไม่ต้องพูดก็เข้าใจหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง หนึ่งในกลุ่มคนอย่างหลังนั่นคือเลขาของเธอคนนี้ ความที่เธอเป็นหญิงสาวรุ่นใหม่ไฟแรง การก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการแผนกทั้งๆ ที่อายุไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ ทำให้พนักงานเก่าบางคนก็เขม่นไม่ชอบขี้หน้าที่อยู่ๆ เธอก็กลายมาเป็นเจ้านายพวกเขา ดีมาจากไหนคนเหล่านั้นก็ไม่เปิดใจ แรกๆ หญิงสาวก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน แต่เธอก็ค่อยๆ ปรับตัว จนในที่สุดสถานการณ์อึมครึมก็ผ่านไปได้ “พี่น้ำมนต์จะลาออกจริงๆ เหรอคะ” คำถามของสร้อยสุดา ทำให้ปิติญาดาสะดุดนิดหน่อย เพราะเรื่องนี้เธอกำชับกับฝ่ายบุคคลไปแล้วว่าอย่าพึ่งบอกใครจนกว่าจะถึงเวลา ตอนนี้จึงเฉไฉไปก่อน “เปล่านี่...สร้อยรู้เรื่องนี้มาจากไหน” “ก็...เพื่อนสร้อยที่ฝ่ายบุคคลบอก” ได้ยินแบบนี้ปิติญาดาถึงกับส่ายหน้าให้ทันที ก่อนจะวางมือจากงานที่ทำพร้อมถอนหายใจออกมาดังเฮือก แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาเลขาของเธอ “เฮ้อ! คนที่นี่ บอกให้ปิดเป็นความลับแท้ๆ แต่กลับปิดไม่ได้ซะอย่างนั้น” เรื่องที่สร้อยสุดารู้เรื่องนี้นั้น ปิติญาดาเดาเอาไว้แล้วว่าต้องมีสักวันที่ความลับจะรั่วไหลถึงหูเลขาคนสนิท เพราะในแผนกบุคคลมีเพื่อนของสร้อยสุดาอยู่ทั้งคนนี่นา แต่ไม่คิดว่าจะเร็วถึงขนาดนี้เท่านั้นเอง “ตกลงนี่คือเรื่องจริงเหรอคะ” ขณะพูดสร้อยสุดาก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ “อื้อ...จริง” “แล้วพี่น้ำมนต์จะไปทำงานที่ไหน เขาซื้อตัวพี่ไปเหรอ” “เปล่า...พี่จะกลับไปทำงานกับที่บ้าน” หญิงสาวเอ่ยบอกเสียงเรียบ “ให้สร้อยไปด้วยนะ ถ้าพี่ไม่อยู่ที่นี่ หนูก็ไม่อยากอยู่” เหตุผลที่สร้อยสุดาพูดออกไปแบบนี้ เพราะคนที่รับเธอเข้ามาทำงานทั้งๆ ที่เป็นนักศึกษาพึ่งจบไม่มีประสบการณ์พ่วงท้ายสวยๆ เหมือนคนอื่นคือหญิงสาวคนตรงหน้านี้ ทำให้สร้อยสุดาฝากผีฝากไข้ไปด้วยตลอดนั่นเอง เรียกได้ว่าปิติญาดาไปไหน เธอก็จะขอไปด้วย แต่คนฟังออกแนวอ่อนใจ เพราะบางครั้งสร้อยสุดาก็ดูโตขึ้น แต่บางครั้งก็ยังงอแงเหมือนเด็ก อย่างเช่นตอนนี้เป็นต้น “สร้อย! อย่าพูดแบบนี้สิ” “ก็จริงนี่นา พี่น้ำมนต์เป็นคนรับหนูเข้ามาทำงานเอง แล้วอยู่ๆ จะไม่อยู่ที่นี่แล้วก็พลอยทำให้รู้สึกหวิวๆ” เลขาสาวสวยก้มหน้าก้มตา ออกแนวสะอื้นในอก “คนเราก็มีเส้นทางเดินของตัวเองซึ่งตอนนี้ถึงคิวของพี่แล้ว สร้อยเองก็เหมือนกัน อยู่ที่นี่พี่ก็เห็นว่าเรามีความสุข สนุกกับงานมากไม่ใช่เหรอ” “นั่นเพราะมีพี่น้ำมนต์อยู่ด้วย” ปิติญาดาพอจะเข้าใจความรู้สึกของสร้อยสุดา แต่การที่เราจะเอาชีวิตไปผูกไว้กับอีกคนก็เหมือนจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว คนเราก็ต้องยืนได้ด้วยล้ำแข็งสิ “อีกอย่างสร้อยกลัวว่าเจ้านายใหม่ที่จะมาแทนที่พี่น้ำมนต์ เขาจะไม่ดีเท่าพี่” “คนเราไม่เหมือนกันนะสร้อย ลองคิดดูนะคนที่มาใหม่อาจจะดีกว่าพี่ก็ได้ มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ อย่าพึ่งไปตั้งแง่กันตั้งแต่ยังไม่ได้เจอหน้าหรือรู้ว่าเขาเป็นคนยังไงสิ” คำพูดแบบพี่สอนน้องของ ปิติญาดานั้น สร้อยสุดาเข้าใจจึงพยักหน้าให้ ทำเอาคนพูดพลอยโล่งอก “ค่ะ...สร้อยจะจำไว้ แต่ถึงยังไงสร้อยก็อยากไปทำงานกับพี่น้ำมนต์อยู่ดี” โล่งใจยังไม่ถึงนาที ปิติญาดาก็ตีหน้ายุ่งเป็นยุงตีกันกับบทดื้อรันของสร้อยสุดา “เอางี้นะ ถ้าสร้อยมีปัญหาเรื่องงานหรือเจ้านายใหม่ โทรหาพี่ได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้ามางี่เง่าใส่น้องพี่มากนัก เดี๋ยวพี่จัดการให้หมอบเลย” คำพูดพร้อมสีหน้าขึงขัง บ่งบอกว่าเอาจริงของปิติญาดาทำให้สร้อยสุดายิ้มออกในที่สุด แต่น้ำตาก็พาลร่วง เมื่อคิดว่าอีกไม่กี่เดือน เธอจะไม่ได้ทำงานร่วมเจ้านายคนนี้อีกแล้ว อาการร้องไห้เป็นหนักเข้าจนร่างบางไหวโยนไปมาตามแรงสะอื้อไห้ที่มีอย่างต่อเนื่อง ปิติญาดาจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวใหญ่ เดินไปกอดแล้วปลอบเบาๆ “พี่ไม่ได้ไปไหนไกลสักหน่อยสร้อย ถ้าคิดถึงก็นัดเจอกันได้นี่ ใช่ไหม” “ค่ะ” สร้อยสุดาขานรับเสียงสั่น เพราะเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้นว่าต่อให้เธอรั้นจะตามปิติญาดาไปทำงานด้วยมากแค่ไหนก็คงทำไม่ได้แน่ สู้เธอตั้งใจทำงานอยู่ที่นี่ เลื่อนตำแหน่งให้มั่นคงขึ้น ถึงตอนนั้นคนแรกที่รับเธอเข้ามาทำงานต้องดีใจเป็นแน่เมื่อเห็นลูกน้องร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ทำเอาต่อมน้ำตาของเจ้านายก็แทบไหลพรากตามไปอีกคน แต่ปิติญาดาก็อดกลั้นไว้สุดกำลัง ขืนร้องไห้เอาตอนนี้ก็เสียชื่อเธอหมดสิ เมื่อปลอบเลขาเรียบร้อย ทั้งสองคนก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองต่อ ปิติญาดานั้นย้ำให้สร้อยสุดาเก็บเรื่องที่รู้เป็นความลับไว้ก่อน เพราะอีกไม่นานเธอจะเป็นคนพูดเอง ซึ่งเลขาสาวก็พยักหน้ารับขณะที่กำลังเปิดอินเตอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูลของคู่ค้ารายหนึ่ง ซึ่งเธอสนใจจะนำเข้าสินค้าบางตัวมาขายในประเทศ แต่มือเจ้ากรรมดันไปคลิ๊กเปิดหน้าโฮมเพจโฆษณาหน้าหนึ่งเข้าอย่างไม่ตั้งใจ“อะไรหว่า” หญิงสาวคิ้วขมวดกับหน้าจอโฆษณาที่เห็น อ่านคร่าวๆ คือบริการจัดหาคู่ให้หนุ่มสาวที่ยังโสด อ่านไปอ่านมารู้สึกจี๊ดหัวใจ เพราะเธอเป็นหนึ่งในคนไร้คู่ที่ว่านั่นแน่นอน หญิงสาวไม่ได้แอนตี้เรื่องพวกนี้ แต่ก็ยังมีความคิดว่าเรื่องคู่ครองมาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แต่มือกลับสวนทางกับความคิด เพราะเธอเลื่อนไปเปิดอ่านรายละเอียดการสมัครสมาชิกเสียได้ ตั้งใจไว้ว่าจะแค่อ่าน แต่ไปๆ มาๆ ปิติญาดาก็เล่นโทรศัพท์เข้าไปสอบถามข้อมูลกันถึงบริษัทกันเลยทีเดียว หลังจากที่ได้ฟังข้อมูลจากปากของพนักงาน นับว่าเ
ยิ่งใกล้เวลานัด ปิติญาดาก็ออกอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด อยู่ๆจะให้เธอไปออกเดทกับผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยได้ยินเสียง มีเพียงข้อมูลของเขาเท่านั้น ความตื่นเต้นจึงเข้ามาเยือนเป็นระลอก หลังเลิกงานหญิงสาวจึงขับรถตรงไปยังร้านอาหาร ก่อนจะลงจากรถก็แอบสำรวจตัวเองอยู่พักใหญ่ เธอจงใจเข้าไปช้าแต่ไม่มากแค่สองสามนาทีเท่านั้น“โต๊ะคุณโอมค่ะ”“เชิญทางนี้ค่ะ” พนักงานต้อนรับเอ่ยขึ้น ก่อนจะผายมือให้เพื่อพาแขกไปยังโต๊ะดังกล่าว “เอ่อ...คุณโอมมาหรือยังคะ”“มาแล้วค่ะ” ได้ยินแบบนั้น ปิติญาดาก็แอบเป่าลมออกปากหนักๆ รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยเขาก็มาตรงเวลา เมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่จองไว้ เธอก็มองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เขาสวมสูทสีเข้มดูภูมิฐาน ใบหน้าคมสัน โดยเฉพาะคิ้วเข้มๆนั่นรับกับจมูกโด่งได้เป็นอย่างดี เนี๊ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อเห็นเธอเดินมาเขาก็ลุกขึ้น “สวัสดีครับคุณน้ำมนต์” ชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยทักอย่างเป็นกันเอง ขณะที่เธอสำรวจรูปลักษณ์ภายนอกของเขาอยู่นั้น ทินกฤตเองก็แอบสำรวจหญิงสาวตรงหน้าไปด้วย เธอเป็นคนสวยมากทีเดียว มีเสน่ห์ คิดไม่ผิดจริงๆที่ขอนัดพบวันนี้ “ขอโทษนะคะ ท
“ว่าอะไรนะครับ” แก้วน้ำในมือของทินกฤตแทบร่วงลงพื้น เขาทำอะไรพลาดไปอย่างนั้นเหรอ ทั้งๆที่พยายามเก๊กหล่อเต็มกำลังแล้วแท้ๆ “น้ำมนต์ว่าคุณโอมเป็นเกย์ ชัดไหมคะ” ปิติญาดาเอ่ยอย่างมั่นใจว่าเธอคิดถูก ทินกฤตชะงักไป ก่อนจะพยายามปั้นหน้าให้เหมือนกับว่าเรื่องที่ได้ยินเป็นแค่เรื่องอำเล่น “ทำไมถึงคิดแบบนั้น ผมเนี่ยนะเป็นเกย์” ทินกฤตหัวเราะกลบเกลื่อน ไม่ค่อยกล้าสบตาคู่เดทของวันนี้สักเท่าไหร่นัก “ค่ะ...คุณโอมฟังไม่ผิดหรอก ผู้ชายที่ไหนจะจีบปากจีบคอเรียกผู้หญิงว่านังชะนี” คำตอบของปิติญาดาทำเอาทินกฤตหน้าซีด เธอได้ยินเขาคุยโทรศัพท์เมื่อครู่แน่ๆ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า “คุณน้ำมนต์!”“หรือเมื่อครู่คือการแสดง เอ้...หรือว่าคุณโอมตั้งกล้องแอบถ่ายไว้ เก็บรายละเอียดทุกอย่างจะรอเซอร์ไพรส์น้ำมนต์อยู่หรือเปล่า กล้องอยู่ไหนเอ่ยน้ำมนต์จะได้โบกมือให้” ขณะพูดหญิงสาวก็ทำท่าท่างสอดส่ายสายตามองหากล้องที่ว่านั่นไปในตัว“ไม่มีของแบบนั้นหรอกครับ”“ของจริงล้วนๆ อย่างนั้นสินะคะ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณสำหรับความกระจ่างนี้และขอความกรุณาเหล่าคุณเก้งกวางทั้งหลายว่าอย่าเข้าใจพวกผู้หญิงอย่างเราๆ ผิดไป คิดว่าทุกคนจะโง่ให้หลอก
ขาทั้งสองข้างของปิติญาดาสั่นเท้าขณะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน เธอต้องจับราวบันไดเพื่อพยุงร่างกายของตัวเองไม่ให้ล้มลงไปเสียก่อน เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสองก็เห็นบุรุษพยาบาลกับพยาบาลยืนอยู่หน้าห้องนอนพ่อและแม่ บุรุษพยาบาลเหมือนจะรู้งาน เพราะพอเห็นเธอเดินขึ้นมา ชายคนนั้นก็เปิดประตูให้ เสียงร้องไห้ของแม่จึงดังมาเข้าหูสร้างความเจ็บปวดให้เธอไม่น้อยปิติญาดาค่อยๆ ก้าวเข้าไปภายในห้อง เห็นบิดานอนสงบอยู่บนเตียงเหมือนท่านแค่พักผ่อนธรรมดา ไม่ได้จากเธอไปอย่างที่ได้รับรู้อยู่ตอนนี้ คนที่ยืนอยู่ในมุมห้องอีกคนคือลุงหมอที่ดูแลรักษาครอบครัวเธอมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จึงสนิทสนมเหมือนญาติคนหนึ่งก็ว่าได้ “น้ำมนต์” คำเอ่ยเรียกของแม่ ทำให้หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง มองหน้าบิดาอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะกุมมือท่านไว้ ยังรู้สึกอุ่นอยู่เลย“พ่อค่ะ อย่าล้อน้ำมนต์เล่นแบบนี้สิ ลืมตาหน่อยสิคะ นะ...” น้ำเสียงปนสะอื้นเฝ้าร้องขอทั้งน้ำตา ปิติญาดาร้องไห้ออกมาอย่างหนัก หัวใจเธอบอบช้ำกับการสูญเสียที่ไม่ทันตั้งตัวนี้ ก่อนจะกลั้นใจถามแม่ออกไป “แม่ค่ะ...นี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมพ่อถึงเสียกะทันหันแบบนี้”“อยู่ๆ โรคหัวใจพ่อก็กำเริบ แม่โทรเรียกร
“เดี๋ยวสิ เดี๋ยว พวกนายอย่าพึ่งไป” เสียงเรียกของหญิงสาวดูไร้ความหมาย ปิติญาดากำกระดาษในมือแน่น เธอจะไม่แต่งงานใช้หนี้บ้าๆ นี่แน่นอน ไม่มีทางเกิดเรื่องบ้าๆ นี่กับเธอ แค่พ่อเสียชีวิตไปก็เสียใจมากพอแล้ว แต่นี่กลับต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายเพราะต้องแต่งงานกับใครก็ไม่รู้แต่พอชายชุดแรกกลับออกไป นอกบ้านตอนนี้กลับมีชายชุดดำสี่ห้าคนมายืนป้วนเปี้ยนเต็มไปหมด จอยเห็นคนแรกก่อนจะวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงานเจ้านายของเธอ “แย่แล้วค่ะ แย่แล้ว”“เกิดอะไรขึ้นจอย” ผกามาศเอ่ยถาม เพราะไม่รู้จอยจะตกใจอะไรหนักหนา “ที่หน้าบ้านมีใครก็ไม่รู้ยืนอยู่เต็มไปหมดเลยค่ะคุณผู้หญิง คุณหนู” สิ่งที่ได้ยินทำให้ปิติญาดาปรี่ออกไปยืนดูที่หน้าประตู ก็เห็นอย่างที่จอยบอก ต้องเป็นคนของเจ้าหนี้เธอแน่ๆ ที่ส่งคนมาเฝ้า คงกลัวว่าเธอจะคิดหนีล่ะสินะ ทุเรศที่สุด!“ไอ้พวกบ้าเอ้ย!!” ปิติญาดาสบถออกมาอย่างหัวเสีย เธอยกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะเดินกลับไปทรุดตัวลงบนโซฟาอย่างหมดทางไป ผกามาศบีบหัวไหล่ของลูกไปมาก่อนจะเอ่ยขึ้น “เราแอบหนีกันไปตอนกลางคืนดีไหมลูก”“แต่ถ้าจับได้ พวกมันจะฆ่าเราไหมคะ” คำพูดโต้งๆ อย่างไม่คิดของจอยที่นั่งอยู่ไม่ห่าง ยิ่งทำให้ปิต
วันเวลาผ่านไปแต่ละวันอย่างหดหู่และอับจนหนทาง น้ำตาที่เคยไหลรินตอนนี้กลับแห้ง มาถึงตอนนี้พึ่งรู้ว่าครอบครัวอารายานนท์นั้นไร้ซึ่งผู้คนให้ขอความช่วยเหลือ หันหน้าไปพึ่งใครก็มีแต่คนปฏิเสธ จนใกล้วันกำหนดใช้หนี้เข้าไปทุกขณะ ปิติญาดานั้นยังมืดแปดด้าน เงินที่จะเอาไปใช้หนี้ตอนนี้ยังไม่มีสักบาท เมื่อไม่มีทางออก เธอก็วิ่งชนปัญหามันเลยแล้วกัน ปิติญาดาตัดสินใจได้แน่วแน่แล้วว่าจะทำอะไรต่อไป จึงเดินไปหาคนส่งสารที่ยืนล้อมรอบๆ บ้านเธออยู่ เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ ทำให้ชายชุดดำที่ทำหน้าที่เฝ้ารั้วบ้านของหญิงสาวหันมามอง ก็เห็นว่าเป็นใครก็โค้งศีรษะทักทายให้ “ฉันอยากพบเจ้านายของพวกคุณ นัดให้หน่อย”“ครับผมจะแจ้งให้ท่านทราบ” ชายคนนั้นรับปาก“อืม” หญิงสาวเอ่ยรับสั้นๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ไม่นานข่าวที่ปิติญาดาต้องการพบเจ้าหนี้ก็ไปถึงหูของศรชัย ซึ่งเรื่องนี้เขาก็ได้จัดแจงเตรียมบุคคลเล่นฉากนี้ไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ไม่ถึงชั่วโมงปิติญาดาก็ได้วันเวลาที่จะออกไปพบกับเจ้าหนี้ของเธอ เหมือนจะรู้ว่าหญิงสาวใจร้อน เพราะนัดที่ว่าคือเย็นวันนี้ตอนหนึ่งทุ่มที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งปิติญาดาไปตามนัด หญิงสาวอยากเห็นเ
ก่อนกลับเข้าบ้านปิติญาดาแอบร้องไห้อย่างหนัก เธอไม่เข้าใจโชคชะตาของตัวเองเลย ว่าทำไมต้องมาพบเจอเรื่องแบบนี้ด้วย หญิงสาวอยากหาที่ระบาย อยากพูดกับใครก็ได้ แต่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกภคมณก็กระไรอยู่ เพื่อนเธอกำลังมีความสุขกับการฮันนีมูนอยู่ที่ยุโรป ขนาดงานศพของพ่อเธอปิติญาดายังไม่ยอมบอกเพื่อนให้รู้ เธอจึงต้องเก็บเงียบไว้คนเดียว อึดอัดจนแทบระเบิด ทางเดียวที่จะระบายความอัดอั้นนั้นคือน้ำตา ขณะที่นั่งร้องไห้อยู่ข้างสวนสาธารณะใกล้บ้าน ชายคนหนึ่งกลับยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เธอจากทางด้านหลัง “เช็ดซะ”“ขอบคุณ” ปิติญาดารับผ้าเช็ดหน้านั่นไว้ รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดกับน้ำเสียงที่ได้ยิน ชายคนนั้นลงไปนั่งหันหลังให้เธอบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งวางไว้ชนกัน เขากำลังเดินคิดอะไรเพลินๆ แต่เสียงร้องไห้ที่ได้ยินก็ทำเอาขนลุกจนต้องตามมาพิสูจน์ว่าผีหรือคน สุดท้ายก็ได้รู้ “เสียงร้องไห้ของคุณ ทำเอาผมหลอน” คำพูดของชายคนนั้นทำให้ปิติญาดาหัวเราะทั้งน้ำตาแบบไม่รู้ตัว ดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังลอยตามลมมา เป็นเธอก็คงหลอนอยู่หรอก “โทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจ” น้ำเสียงของปิติญาดาฟังดูอ่อนลง ทำไมเธอถึงไม
ร้านที่ทั้งสองคนนัดหมายเป็นร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ร้านแห่งนี้เป็นร้านในความทรงจำของทั้งสองคน เพราะเป็นสถานที่ที่คณินได้พบกับกิ่งดาวเป็นครั้งแรกและขอเธอเป็นคนรักที่นี่ หลังจากวางโทรศัพท์ไปไม่นาน ชายหนุ่มก็มาถึงที่นัดหมาย ซึ่งเห็นหญิงสาวนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เขาถอนหายใจออกมานิดหน่อยก่อนจะส่งยิ้มให้เธอแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม“ทานอะไรมาหรือยังคะคิงส์” เสียงหวานๆ ของกิ่งดาวเอ่ยถามเหมือนปกติที่ทั้งคู่เจอกัน คณินไม่ตอบคำถามของเธอ แต่กลับมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างลงตัวตรงหน้า ไล่มาจนถึงลำคอ ผิวขาวเนียนสวยที่เห็นนี่ก็ด้วย กิ่งดาวเป็นหญิงสาวที่สวยคนหนึ่ง คณินเพ่งพินิจมองเหมือนกับพวกเขาทั้งสองคนไม่ใช่คนรู้จักกันมาก่อน จนคนถูกมองที่คบหากันมาหลายปีต้องถามขึ้น“คิงส์...จ้องบัวยังกับไม่ใช่บัวแบบนั้นแหละ” “ขอโทษที อาจเป็นเพราะพักนี้เราไม่ค่อยได้เจอกันก็ได้มั้งครับ ผมก็เลยอยากมองหน้าบัวให้นานๆหน่อย” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ ซึ่งกิ่งดาวก็ยิ้มตอบให้เช่นกัน คณินมอบเวลาเกือบทั้งหมดให้งานที่รับผิดชอบ แต่ในเวลางานเขามักจะมีกิ่งดาวอยู่ด้วยเสมอ พยายามหาเวลาว่างเพื่อจะออกมาเจอกันตามปร
“จริงครับ จริง” เสียงขาดๆ หายๆ ของคณินเอ่ยตอบกลับไป ก่อนจะครางออกมาเมื่อปิติญาดายกสะโพกขึ้นสูงก่อนจะทิ้งตัวลงมาหนักๆ ชายหนุ่มกดสะโพกเธอค้างไว้แบบนั้นก่อน ไม่นานเธอก็ค่อยๆ ขยับอีกครั้ง คงพอใจที่ได้ฟังคำตอบ แต่สำหรับคณินเขามีแผนจะทำให้ปิติญาดาสารภาพรักเขาเช่นเดียวกัน แต่แผนนั้นคงต้องเก็บไปใช้วันอื่นชายหนุ่มออกแรงพลิกตัวปิติญาดาให้ลงไปนอนบนเตียง ก่อนจะเป็นฝ่ายขึ้นทาบทับและพาเธอไปส่งยังจุดหมายปลายทางของความสุขในรักอีกครั้ง จากนั้นจึงตามเธอขึ้นไปสัมผัสความสุขเช่นเดียวกันบ้าง คืนนั้นทั้งคืนกว่าที่ปิติญาดาจะได้ก้าวลงจากเตียงก็ผ่านไปหลายชั่วโมง ตอนเช้าเธอก็ยังได้รับการปลุกด้วยวิธีพิเศษของคณินอีกต่างหาก เรียกได้ว่าแข้งขาอ่อนไปตามๆ กัน พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเธอก็มายืนส่งค้อนให้เขา“คนบ้าเซ็กส์” พูดจบก็ทุบแผงอกชายหนุ่มไปหลายครั้งอย่างเหลืออด ส่วนคณินได้แต่หัวเราะหึหึในลำคอเท่านั้น ไม่เถียงที่ ปิติญาดาพูดสักคำ ก็เซ็กส์ดีๆ แบบนี้เขาไม่ต้องการก็คงกลายเป็นคนเซ็กส์เสื่อมน่ะสิ แต่ก่อนจะออกจากห้องไป ปิติญาดาก็หันมามองคณินหน้า
“กลัวพี่เข้ามาในห้องขนาดนั้นเลยหรือน้ำมนต์”“ปะ...เปล่าสักหน่อย ก็นี่เป็นบ้านพี่คิงส์ น้ำมนต์จะทำแบบนั้นกับเจ้าของบ้านได้ยังไงกัน” น้ำเสียงของปิติญาดาแผ่วเบาลงไปเรื่อยๆ ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวลีบลงไปทุกขณะ หญิงสาวกระชับผ้าขนหนูแน่น หัวใจดวงน้อยสั่นไหวรุนแรง เต้นไม่เป็นส่ำชวนให้เป็นลมเสียเหลือเกิน“แล้วนี่อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ”“เสร็จแล้วค่ะ”“แน่ใจ พี่ยังเห็นคราบสบู่ ติดอยู่บนแก้มน้ำมนต์อยู่เลยนะ”“เอ่อ...งั้นน้ำมนต์ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” พูดจบก็ทำท่าจะตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ ขอให้เข้าไปในนั้นได้ทีเถอะ เธอจะนอนในนั้นเลยคืนนี้ แต่คณินกลับดีดตัวขึ้นจากเตียง เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็เข้าไปขวางหน้าปิติญาดาเรียบร้อยพร้อมรั้งเธอเข้ามากอดแน่น เนื้อสาวนุ่มนิ่มที่ได้สัมผัส ทำเอาคนหนุ่มหัวใจพองโต“พี่ก็ยังไม่ได้อาบ เอาเป็นว่าเราอาบพร้อมกันดีไหม”“เอ๋...” คนถูกชวนอุทานเสียงสูง ก่อนจะส่ายหน
ส่วนคู่ฮันนีมูนหวานอย่างภคมณและวศินนั้น หลังจากสิ้นสุดโปรแกรมบนเรือสำราญสุดหรูแล้ว ทั้งคู่ก็ยังไม่มีกำหนดกลับเมืองไทยแต่อย่างใด ขณะเดินลงจากเรือภคมณก็ขอเก็บภาพความประทับใจไว้เสียหน่อย เธอพยายามถ่ายภาพเรือสำราญให้ได้ทั้งลำ ซูมเข้าซูมออกอยู่หลายครั้ง ก่อนจะร้องอุทานออกมาเมื่อพบคนใบหน้าคุ้นๆ ผ่านกล้องถ่ายรูปในมือ“เอ๊ะ...นั่นคุณลุง คุณป้าหรือเปล่า” ไม่พูดเปล่าหญิงสาวยังถ่ายรูปท่านทั้งสองคนไว้ด้วย ทำไมถึงเห็นพ่อและแม่ของปิติญาดาที่นี่ หรือจะมาเที่ยวเติมความหวานให้กันแบบสองต่อสองเพราะไม่เห็นเงาเพื่อนสักนิด คิดแล้วก็อิจฉา ถ้าแก่ตัวไปเธอยังมีวศินคอยจับมืออย่างห่วงใยแบบนั้นก็คงดีเหมือนกัน“ถ่ายอะไรอยู่ครับ”“อ้อ...ความประทับใจน่ะค่ะ ไว้เรามาล่องเรือกันอีกได้ไหมคะ”“ได้...ถ้าหนูจ๋าท้องเมื่อไหร่ พี่จะพามา” ภคมณส่งค้อนให้สามีไปวงใหญ่ ก่อนจะกลับมาตั้งใจถ่ายรูปอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่เห็นพ่อและแม่ของปิติญาดาอยู่ในเฟรมเสียแล้ว อยู่บนเรือลำเดียวกันมาตั้งหลายวัน แต่กลับไม่เจอกันเลย ส
“นี่น้ำมนต์ฟังนะ” คำเรียกของชายหนุ่มเหมือนมนต์สะกดให้ปิติญาดานิ่ง“เธอ…ไม่ใช่ของเล่น ไม่ใช่ตัวสำรอง แต่เธอคือคนที่ทำให้ฉันรู้สิ่งไหนควรปล่อยวางและสิ่งไหนควรไขว่คว้าต่างหาก”“พูดอะไรของนาย ฉันไม่เข้าใจ”“ก็จริงที่พี่จงใจพาน้ำมนต์ไปงานแต่งงานของบัว ยอมรับว่าพี่เห็นแก่ตัวที่ทำแบบนั้น แต่วันนี้น้ำมนต์ทำให้พี่ได้คำตอบอะไรบางอย่าง”“คำตอบอะไร”“ไม่รู้เหรอ” คณินเลิกคิ้วสูงถาม แต่ปิตญาดาก็ยังจับต้นชนปลายไม่ได้“ถ้าไม่พูดแล้วจะรู้ไหม”“ให้ตายสิ อุตส่าห์ทำไปเป็นชั่วโมงๆ จนน้ำมนต์ร้องครางเป็นลูกแมวยังไม่รู้อีกเหรอ” คำแซวของคณินทำให้ปิติญาดาหน้าแดงซ่าน ก่อนจะทุบอกเขาไปแรงๆ“หยุดพูดแบบนั้นนะคนบ้า”“พี่คิดว่า พี่ชอบน้ำมนต์ได้ยินไหม”“อะ…อะไรนะ ชอบฉัน” คนฟังตาโตเพราะ
ปิติญาดาทำอะไรไม่ได้เลย หญิงสาวบิดเร้าร่างกายไปมา ยื่นมือไปสัมผัสศีรษะของคณินหวังผลักให้ชายหนุ่มออกห่างส่วนที่หวงแทนแต่การกระทำกลับตรงกันข้าม คณินกลายเป็นคนใจร้านเพราะเขาเฝ้าปรนเปรอจนปิติญาดาต้องเผลอร้องออกมาว่าไม่ไหวแล้วชายหนุ่มยิ้มที่มุมปาก มั่นใจว่าเธอนั้นพร้อมสำหรับเขาจึงขยับตัวขึ้นไปนอนทาบทับ แต่ความคิดยังไม่อยากรุกล้ำเข้าไปในตัวเธอตอนนี้ แม้ใจจะอยากทำแบบนั้นก็ตามที ดวงตาของปิติญาดาหยาดเยิ้มด้วยไฟปรารถนา ที่เขาเป็นคนจุดให้เธอ หญิงสาวละลายคล้ายน้ำผึ้ง คณินจับมือเธอมาสัมผัสส่วนที่พองขยายของตัวเองบ้าง ให้รู้ว่าเขาเองก็ทรมานไม่แพ้เธอในตอนนี้นักหญิงสาวถึงกับตาโต อ้าปากค้าง ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะให้เธอสัมผัสส่วนนั้นของเขา สิ่งที่อยู่ในมือเธอตอนนี้เต้นตุบๆ ร้อนผ่าว กุมแทบไม่มิด ปิติญาดาเขินอายจะดึงมือกลับแต่คณินกลับรั้งมือเธอไว้ ก่อนจะขยับมือบางที่กุมความเป็นชายของตนขึ้นลง ชายหนุ่มนิ่วหน้าเหมือนคนกำลังเจ็บปวด จนปิติญาดาอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอทำให้เขาเจ็บหรือเปล่า“จะ...เจ็บเหรอ” คำถามแบบซื่อๆ ของหญิงสาวทำให้&nb
“ปล่อยฉันนะ นายจะทำอะไร อย่านะ” คนกลัวร้องโวยวาย เพราะสถานการณ์ช่างล่อแหลมเสียเหลือเกิน หัวใจดวงน้อยเต้นรัวไม่รู้จะหลุดพ้นจากตรงนี้ไปได้ยังไง แต่ปิติญาดายิ่งกลัวเมื่อคณินโน้มตัวลงมาจูบเธออีกครั้ง เสียงร้องห้ามหายเข้าไปในลำคอความหอบหวานที่ได้รับจากหญิงสาวช่างยากที่คณินจะหยุดการกระทำได้ เพราะชอบเป็นทุนเดิมจึงอยากสัมผัสเธอไปเสียทุกส่วน เขาชอบเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ ชอบผู้หญิงบ้าๆ คนนี้ตั้งแต่ตอนไหนก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แต่มารู้ใจก็ตอนที่อยู่ในงานแต่งงานของกิ่งดาวนี่เอง ปิติญาดาออกแรงเท่าที่มีผลักชายหนุ่มหวังให้เขาออกห่าง แต่กลับไม่เป็นผลอย่างที่คิดความรู้สึกวาบหวามเกิดขึ้นภายในร่างกายอย่างยากที่จะควบคุม ทั้งสับสนและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน ยิ่งได้สัมผัสคณินก็ยิ่งพอใจ ชายหนุ่มยอมตัดใจถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะเปลี่ยนไปสัมผัสจุดอื่นบนร่างกายของปิติญาดาบ้าง หญิงสาวถึงกับห่อไหล่หลบสัมผัสนั้น“อย่านะ” เสียงห้ามอันสั่นเครือของคนในอ้อมกอดดังขึ้น แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเสียแล้ว คณินซุกไซ้ไปตามซอกคอหอมกรุ่นของปิติญาดา เขาช
“เป็นอะไร” เมื่อเข้ามานั่งในรถได้ชายหนุ่มก็เอ่ยถามเสียงห้วน แต่เธอกลับไม่ตอบอะไรกลับมา คณินสตาร์ทรถแล้วขับออกไปทันที เขาเองก็ไม่ได้สนใจงานแต่งงานนี่สักเท่าไหร่ มาแค่เป็นพิธีเท่านั้น ชายหนุ่มมุ่งหน้าไปยังบ้านของเขา โดยที่ปิติญาดาเอาแต่นั่งกอดอกมองออกไปนอกรถอย่างเดียว แต่พอเห็นประตูรั้วที่ไม่คุ้นตา เธอจึงยอมพูดขึ้น“มาทำอะไรที่นี่”“บ้านฉันไง” ขณะรอให้ประตูอัตโนมัติค่อยๆ เปิดออกคณินก็หันมาตอบ แต่ปิติญาดากลับตีหน้าบึ้งใส่“ไปส่งฉันที่บ้าน ไม่ใช่มาบ้านนาย”“ดึกแล้ว ขี้เกียจขับรถอ้อมไปอ้อมมา เหนื่อย! นอนที่นี่สักคืนจะเป็นไรไป ไหนๆ เราก็แต่งงานกันแล้วนี่” ชายหนุ่มเปลี่ยนแผน หลังจากที่จะกลับลำปางทันทีหลังจากไปงานแต่งงานของกิ่งดาวเสร็จ คงต้องขอพักเอาแรงสักคืน พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทาง“ก็แค่ในนาม” ปิติญาดาอยากจะกรี๊ดให้ดังลั่นรถ อยู่ๆ คณินก็อ้างสิทธิ์บ้านั่นขึ้นมา แต่ดูเหมือนเธอจะขัดอะไรไม่ได้เสียแล้ว เมื่อรถชายหนุ่มค่อยๆ
“คิงส์...ขอบคุณนะคะที่มา” เสียงที่คุ้นหู ซึ่งดังอยู่ข้างหลังทำให้คณินหันไปมอง วันนี้กิ่งดาวสวยในชุดเจ้าสาวสีหวาน เธอเห็นชายหนุ่มตั้งแต่เข้ามาในงานแล้ว ไม่ชอบใจที่เขาควงผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้มาด้วย หรือผู้หญิงคนนั้นจะมาดามใจเขา ถึงไม่พอใจแค่ไหน แต่ก็ยังต้องทำเป็นแม่พระไว้ก่อน ทั้งๆ ที่กิ่งดาวตัวจริงไม่ได้เรียบร้อย อ่อนหวานเหมือนท่าทางที่แสดงออกในตอนนี้สักนิด เธอร้ายกาจกว่าที่ใครๆ คิด“ยินดีครับ”“คุณเป็นไงบ้าง ยังโกรธบัวอยู่หรือเปล่า” สีหน้าและแววตาที่กิ่งดาวแสดงออกบ่งบอกว่าเธอยังคงห่วงใยต่อความรู้สึกเขา เรียกได้ว่าตีสองหน้าชัดๆ คณินมองหน้าอดีตคนรักให้เต็มๆ ตา ทำไมการพบกันครั้งนี้เขาถึงไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดทรมานหัวใจอย่างเช่นก่อนหน้าก็ไม่รู้ได้ คงเป็นเพราะได้เห็นเธอมีความสุขในวันที่ต้องการ ซึ่งเขาไม่มีโอกาสได้ทำให้“วันนี้ผมมาแสดงความยินดี คงไม่เหมาะที่จะพูดถึงอดีต” คณินเอ่ยตัดบท เพราะไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาอีก แต่กิ่งดาวก็ยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ เพราะจะทำให้คณินเสียดายที่เขาไม่ค
คืนนั้นร่างสูงใหญ่ของคณินนอนกระสับกระส่ายไปมาบนเตียงกว้าง ชายหนุ่มยกมือขึ้นก่ายหน้าผากอย่างคนคิดไม่ตก พรุ่งนี้คือวันแต่งงานของกิ่งดาว เขากำลังคิดว่าจะไปงานนี้ดีหรือไม่ คำพูดของเขตไทยในตอนนั้นย้อนเข้ามา เขาทำใจได้แล้วในระดับหนึ่งแต่ใช่ว่าจะทั้งหมด ผู้ชายเมื่อผิดหวังเรื่องความรักแบบไม่ทันตั้งตัว ก็เจ็บฝังใจไม่ต่างไปจากผู้หญิงแต่อีกหนึ่งใจก็อยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง เขากำลังสับสนในรักครั้งเก่าและความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับปิติญาดา แต่เสียงเคาะประตูห้องนอนที่ดังติดกันหลายครั้งก็ช่วงดึงให้สติชายหนุ่มกลับมาก๊อก! ก๊อก!!ก๊อก! ก๊อก!! ก๊อก!!คณินลุกจากเตียง เดินตรงไปยังประตู พอเปิดออกก็เห็น ปิติญาดายืนยิ้มอยู่ ท่าทางมีความสุขมากถึงมากที่สุด“มีออเดอร์เข้ามาอีกแล้ว” น้ำเสียงดีใจดังขึ้น พร้อมรอยยิ้มที่มีบนใบหน้าสวยที่ไม่ได้แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางใดๆ“หืม...” คนฟังอุทาน ดูท่าออเดอร์ครั้งนี้จะเป็นของจริง เก่งเหมือนกันนี่นา&