รถยุโรปคันสวย แล่นไปตามถนนยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานคร ความที่บรรยากาศรอบข้างช่างเงียบเชียบจนน่าวังเวงชวนขนหัวลุก มือน้อยๆ ซึ่งตอนนี้ทำหน้าที่จับพวงมาลัยรถอยู่นั้นจึงเอื้อมไปเปิดวิทยุ นิ้วเรียวสวยจิ้มเลือกสถานีมาสักหนึ่งสถานีเพื่อฟังเพลงไปเรื่อยเปื่อยอย่างไม่เจาะจง สายตาก็ไม่ได้ละไปจากท้องถนนตรงหน้า ก่อนที่หูจะสะดุดกับเพลงที่กำลังดังขึ้น จนหัวทุยๆ ที่จัดแต่งทรงผมมาอย่างสวยงาม แทบจะทิ่มไปกับพวงมาลัยรถ
‘งานแต่งที่ใด เป็นได้แค่แขกรับเชิญ อยากแต่งกับเขาเหลือเกิน ขัดเขินที่ยังไร้คู่…’ ปิติญาดาอยากจะหักพวงมาลัยในมือชนต้นไม้ข้างทางให้รู้แล้วรู้รอด เพลงอะไรช่างเปิดได้ประจวบเหมาะกับชีวิตเธอตอนนี้เสียเหลือเกิน หญิงสาวละมือจากวิทยุมากำพวงมาลัยทั้งสองข้าง ไม่ได้เปลี่ยนสถานีหนีเพลงที่ดังขึ้นแต่เสียดแทงใจดำคนโสดแต่อย่างใด นั่งฟังไปอย่างนั้น ตอกย้ำคนโสดไร้คู่อย่างเธอให้ถึงที่สุดกันไปข้าง อายุอานามก็จะแตะเลขสามเข้าไปทุกขณะ ก็ยิ่งกลัวว่าคานทองนิเวศที่ไม่ต้องการจะหล่นตุ๊บลงมาบนตัก “เฮ้อ!!” เสียงถอนหายใจของคนโสดดังออกมาอย่างอ่อนใจ ก่อนจะสำรวจตัวเองผ่านกระจกมองหลัง เธอไม่ใช่ผู้หญิงหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่เสียหน่อย สมัยเรียนเป็นถึงอดีตดาวมหาวิทยาลัยเชียวนะ ฐานะทางบ้านก็ดีในระดับหนึ่ง เป็นลูกสาวคนเดียวเสียด้วย แต่ทำไมถึงไร้คู่ก็ไม่รู้ได้ หรือเธอจะต้องห้อยโหนบนคานทองจริงๆ หรือนี่ คิดแบบนั้นคนสวยถึงกับแยกเขี้ยวให้ตัวเองผ่านกระจก ขณะที่คิดเรื่องนี้ สายตาก็เหลือบมองไปเห็นของชำร่วยชิ้นน่ารักกับช่อดอกไม้ของเจ้าสาวที่วางไว้ตรงกระจกหน้ารถ สองชิ้นนี้เธอพึ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ เมื่อไม่ถึงสามชั่วโมงก่อน ในงานแต่งงานของภคมณเพื่อนสนิทกันมาเป็นสิบๆ ปี แต่ชิ่งตัดหน้า แซงทางโค้ง แต่งงานไปก่อนเธอ ทั้งๆ สมัยละอ่อนเคยสัญญากันไว้เสียดิบดี ว่าจะอยู่โสดๆ ในแบบฉบับสาวสวยๆ รวยๆ เริ่ดๆ ไปจนแก่ แถมงานแต่งงานคราวนี้เธอได้รับช่อดอกไม้จากเจ้าสาวแบบไม่ตั้งตัว ในงานจึงถูกแซวว่าจะได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไป ซึ่งปิติญาดานั้นได้แต่ส่ายหน้าให้ เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าไม่ทางเป็นแบบนั้นได้แน่นอน พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ชวนให้ย้อนคิดถึงอดีต “เราสองคนจะอยู่กันแบบนี้ ถึงไม่มีผู้ชายก็ไม่แคร์” คำพูดและภาพในอดีตตอนที่ภคมณเอ่ยปฏิญาณด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาก็จริงจังประหนึ่งจะไปออกรบฉายเข้ามาในความคิดของปิติญาดา ก่อนที่ทั้งสองคนจะเกี่ยวก้อยสัญญา แต่ภาพต่อมาคือภาพที่ภคมณสวมชุดเจ้าสาวซะอย่างนั้น “คุณเพื่อนขี้จุ๊ ชิชิ” ปิติญาดาทำปากยื่นปากยาวให้ภคมณ วันนี้ที่สวยเปล่งปลั่งสมเป็นเจ้าสาว ถึงจะหวิวๆ แต่ภาพนั้นก็ทำเอาเธอน้ำตาคลอ ปลื้มใจแทนเพื่อนรักที่ต่อไปนี้มีชายหนุ่มผู้แสนดีมาคอยดูแลไปตลอดชีวิต ส่วนเธอต่อไปนี้ก็คงใช้ชีวิตตามประสาคนโสดต่อไป แต่พอคิดแบบนั้นลูกศรของความโสดก็แล่นมาปักอกดังฉึก! ‘ตกลงสาวสวยอย่างเธอคือคนสุดท้ายของกลุ่มที่ยังไม่แต่งงานใช่ไหม’ คิดแล้วแค้นใจ มือสวยบีบพวงมาลัยรถจนแน่นริมฝีปากบางอวบอิ่มเม้มเข้าหากัน ก่อนที่จะตั้งสติขับรถกลับบ้านอย่างปลอดภัย แต่ใจนั้นเปลี่ยวเหงา ปีนี้ปิติญาดานั้นอายุย่างเข้ายี่สิบแปดแล้ว เป็นบุตรสาวคนเดียวของครอบครัวอารายานนท์ ซึ่งมีบิดาที่ชื่อศรชัยเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่หัวหน้าครอบครัวที่แท้จริงดูเหมือนจะเป็นภรรยาที่ชื่อผกามาศมากกว่า ผู้ซึ่งมีตำแหน่งมารดาของเธอพ่วงมาด้วย เพราะดูเหมือนคุณนายผกามาศจะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของบ้าน เพราะสามีของคุณนายผกามาศหรือพ่อของปิติญาดานั้นอยู่สมาคมกลัวเมียมาตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน ครอบครัวของปิติญาดาประกอบอาชีพด้านพลังงาน มีปั๊มน้ำมันอยู่หลายแห่งทั่วประเทศไทยเรียกได้ว่าเป็นเศรษฐีคนหนึ่งก็ว่าได้ แม้จะไม่ใช่เศรษฐีเก่า แต่เรื่องเงินทองทรัพย์สมบัติเชิดหน้าชูตาก็มีไม่น้อยหน้าใคร การมีลูกสาวคนเดียวแถมยังไม่ได้แต่งงานแต่งการหรือไม่มีข่าวเรื่องคบหาใครเป็นพิเศษ ทำให้ผู้เป็นพ่อและแม่กลัดกลุ้มไม่น้อย จนต้องปรึกษาหารือเรื่องนี้กันอยู่เนืองๆ อย่างเช่นตอนนี้เป็นต้น สองสามีภรรยานั่งจับเข่าคุยคล้ายปรับทุกข์กันในห้องนอน ต่างมองหน้าและถอนหายใจออกมาเฮือกๆ พวกเขามีแผนไว้ในใจแล้วว่าจะทำยังไงให้ปิติญาดาได้ลงจากคาน เป็นแผนอันบ้าดีเดือดที่ทุกคนคิดไม่ถึงแน่นอน แต่ถ้าแผนไม่สำเร็จ ต่างก็กลัวว่าจะสูญเสียลูกสาวคนเดียวคนนี้ไปเพราะความโกรธเกรี้ยว ถึงจะเสี่ยงก็ต้องยอมเสี่ยงกันสักครั้ง “แน่ใจนะคะคุณว่าจะได้ผล” น้ำเสียงของผกามาศดูหวาดหวั่นชอบกล ชักไม่แน่ใจว่าแผนคลุมถุงชนครั้งนี้จะได้ผลจริงๆ ถ้าพลาดขึ้นมาเธอแทบไม่อยากจะคิด “ได้ผลสิ ถ้ายายน้ำมนต์ของเราได้แต่งงานนะ ไม่เกินปี เราตายายจะได้อุ้มหลานน่ารักน่าชังแน่นอน คุณไม่อยากอุ้มเหรอ” คำพูดของสามีทำเอาผกามาศปฏิเสธไม่ออกแต่ก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี “อยากน่ะมันอยากอยู่แล้ว แต่…” “ไม่มีแต่แล้วคุณอ้อย เราต้องเดินหน้าลุยอย่างเดียว” ศรชัยเอ่ยอย่างมั่นใจ งานนี้มีแต่ลุยคำเดียวเท่านั้น สองสามีภรรยาพยักหน้าให้กันและกันอย่างแน่วแน่พร้อมเดินหน้าต่อเต็มกำลัง มั่นใจว่าสายตาผู้ใหญ่สี่คู่มองไม่ผิด ว่าหญิงสาวที่ชื่อปิติญาดาและชายหนุ่มที่ชื่อคณินนั้นต้องมีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แบบอย่างไม่มีที่ติเป็นแน่ แม้ตอนเริ่มต้นจะเศร้าสร้อยและไม่ค่อยสวยงามเหมือนในนิยายก็ตามที ศรชัยและผกามาศมีนัดกับมงคลและเพ็ญแข ซึ่งทั้งสี่คนนั้นเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันตั้งแต่สมัยเรียนในวันรุ่งขึ้นเพื่อพูดคุยถึงเรื่องงานแต่งงานของลูกๆ พวกเขาให้เสร็จสิ้นในพรุ่งนี้ ต่างฝ่ายก็ต่างมีแผนไว้จัดการกับคนของตัวเอง เรียกได้ว่าไร้ซึ่งหนทางปฏิเสธได้แน่นอน ใช่ว่าพวกเขาอยากจะใช้วิธีนี้ แต่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เพราะพยายามนัดให้ลูกสาวลูกชายออกมาเจอกัน แต่ก็คลาดกันเสียทุกครั้งไป เหตุที่พวกเขาต้องรีบจัดแจงคลุมถุงชนให้เกิดขึ้นเร็วๆ เพราะวันก่อนคณินเข้ามาเปรยๆ กับเพ็ญแข ถามเรื่องแหวนแต่งงานอะไรทำนองนี้ คนเป็นแม่จึงพอจะเดาได้ว่าลูกชายมีความคิดจะสร้างครอบครัวเสียแล้ว และถ้าเดาไม่ผิดอีกอย่าง หญิงสาวที่ลูกชายเธอจะแต่งงานด้วยนั้นต้องเป็นกิ่งดาวแน่นอน ซึ่งงานนี้เพ็ญแขไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น เพราะสะใภ้ตระกูลภูมิภักดีเกียรติต้องเป็นปิติญาดาคนเดียวเท่านั้นก๊อก! ก๊อก!! ก๊อก!!!“พ่อ แม่คะ นอนกันหรือยังคะ?” เสียงเคาะประตูและน้ำเสียงของลูกสาวที่ดังขึ้น ทำให้ศรชัยและผกามาศยุติการสนทนาจับคู่เอาไว้ก่อน ปิติญาดาเห็นไฟในห้องนอนพ่อและแม่ยังเปิดอยู่จึงอยากจะคุยด้วย จะได้เล่าเรื่องงานแต่งงานของภคมณให้ฟัง “เข้ามาสิน้ำมนต์” เสียงอบอุ่นของผู้เป็นแม่ดังขึ้น ไม่นานประตูห้องบานใหญ่ก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของปิติญาดาแทรกเข้ามา วันนี้หญิงสาวแต่งตัวสวยสมเป็นเพื่อนเจ้าสาวด้วยชุดโทนสีหวานที่เจ้าสาวของงานสั่งมาให้โดยเฉพาะ รูปแบบของชุดก็สวยสมวัย“ไปงานแต่งหนูเต้ยมาเป็นยังไงบ้าง ชื่นมื่นไหม” คนเป็นพ่อเอ่ยถามขึ้นก่อน ส่วนผกามาศก็แอบสังเกตท่าทางของลูกสาวที่ยิ้มแก้มแทบปริ ทำยังกับเป็นเจ้าสาวเสียเองอย่างนั้นแหละ “บ่าวสาวเขาหว้านหวานใส่กัน ตั้งแต่งานยังไม่ได้เริ่ม กระทั่งอัพเตอร์ปาร์ตี้ค่ะ” เสียงใสๆ เอ่ยบอก อันที่จริงภคมณนั้นส่งการ์ดเชิญมาให้เธอทั้งบ้าน แต่พ่อติดประชุมกับลูกค้าสำคัญจึงไม่ได้ไปด้วย ส่วนแม่ถ้าพ่อไม่ไปมีหรือจะยอมไป มีแต่ใส่ซองฝากเธอไปปึกใหญ่เท่านั้นเอง เพราะทั้งคู่ก็เอ็นดูเพื่อนของเธอคนนี้ไม่น้อย “นี่ค่ะของชำร่วย”“น่ารักเชียว” ผกามาศรับของชำร่วยมาจ
“หืม…ว่าไงจ๊ะ” เสียงอบอุ่นของแม่ขานรับคำเรียกนั้น “ถ้าหนูต้องขึ้นคาน แม่จะอายเขาหรือเปล่า?”“อายทำไม ลูกคนเดียว แม่เลี้ยงได้” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ปิติญาดาไม่มีวันขึ้นคานอย่างที่พูดออกมาอย่างแน่นอน ใครจะยอมให้ลูกสาวเธอครองตัวเป็นโสดได้ สวยๆ แบบนี้ต้องมีคู่แท้สิ “ได้ยินแบบนี้แล้วค่อยรู้สึกดีกับการจะขึ้นคานหน่อย” คนเป็นลูกส่งยิ้มให้ สงสัยวันนี้เธอจะจิตตกเข้าขั้นโคม่าเป็นแน่แท้ พอเห็นภคมณแต่งงานไปก็เก็บมากดดันตัวเองซะอย่างนั้น ใช่เรื่องไหมเนี่ย “เด็กโง่ นี่อย่าบอกนะว่ากลัวพ่อกับแม่โกรธที่ลูกยังไม่มีแฟนหรือจะแต่งงานในเร็ววันนี้น่ะ” ศรชัยเอ่ยอย่างรู้ทันความคิดของลูกสาว จะว่าไปเขานั้นไม่เคยเห็นปิติญาดาพูดเรื่องแบบนี้มาก่อน “ก็มันกดดันนี่ค่ะพ่อ บางอารมณ์น้ำมนต์เองก็อยากมีคนรัก อยากมีครอบครัวเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ บ้างอะไรบ้าง เพื่อนๆ ในกลุ่ม นอกกลุ่มก็แต่งงานมีลูกกันเกือบหมดแล้วด้วย พอมองตัวเองก็ เฮ้อ…ปลง!”“เนื้อคู่คนเราบางครั้งก็อาจมาเร็วมาช้า เจอกันวันนี้พรุ่งนี้แต่งงานก็มีให้เห็น” คนเป็นลูกพยักหน้าให้กับคำพูดของแม่ ก่อนจะเอ่ยเสริมเป็นตุเป็นตะ “นั่นน่ะสิคะ แต่สงสัยเนื้อคู่ของน้ำมนต์จะนั
“อ้อ...แล้วคราวนี้จะไปกี่วัน ตามรอยซีรี่ย์เรื่องไรอีกยะคุณเพื่อน” “เบื่อคนรู้ทันจริงๆ สงสัยต้องเลิกคบซะแล้วละมั้ง” ต้องหทัยเอ่ยประชดแบบไม่จริงจังนัก ก่อนจะยักไหล่ให้เพื่อนที่รู้ใจไปเสียทุกเรื่อง จะว่าไปอิทธิพลที่ทำให้เธอชอบประเทศเกาหลีจนต้องบินไปกลับมากกว่าประเทศบรรพบุรุษอย่างเมืองจีน เริ่มแรกก็มาจากการดูซีรี่ย์นี่แหละ จากนั้นก็บ้าเข้าขั้นแบบถอนตัวไม่ขึ้น ไปกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ เธอนี่แหละแฟนพันธุ์แท้เกาหลีตัวยง! “ตกลงจะไปกี่วัน” น้ำเสียงคนกึ่งเปลือยเอ่ยถามย้ำ ในคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบ “เดือนเดียว” ปลายสายเอ่ยเหมือนแค่ช่วงสั้นๆ “ตั้งเดือน!” ปิติญาดาอุทานจนต้องทหัยยื่นโทรศัพท์ให้ห่างจากหูแทบไม่ทัน ถึงอย่างนั้นก็ยังได้ยินประโยคต่อมา “งานการแกไม่คิดจะทำเลยใช่ไหมเนี่ย ป๊ากับม๊าแกไม่ปวดหัวกับลูกสาวที่บ้าเกาหลีเข้าขั้นโคม่าอย่างแกหรือไง หา ยายหมวย!”“บ่นจริงแม่นางน้ำมนต์” ถึงจะพูดแบบนั้นต้องทหัยก็ยังนั่งยิ้มจินตนาการไปถึงเกาหลีเรียบร้อยโรงเรียนกิมจิ แต่คำทักท้วงของเพื่อนก็ทำเอาฝันแทบสลาย “เดี๋ยวๆ คราวนี้ไปตั้งเดือน แกจะไปงัดดั้งโด่งมาด้วยหรือเปล่า” คนถามทำหน้ายุ่ง เพราะไม่อยากให้เพื่อน
ปิติญาดานั่งทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง ด้วยตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อสินค้าต่างประเทศ หญิงสาวเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลอารายานนท์ ครอบครัวเธอประกอบธุรกิจด้านพลังงานพร้อมให้เข้าไปบริหารได้ทุกเมื่อ แต่หญิงสาวกลับมองว่าตัวเองยังขาดความสามารถที่จะแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ ทั้งเรื่องงานและเรื่องบุคลากรนั่นไว้บนบ่า พอจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจึงขอบิดาออกมาทำงานหาประสบการณ์จากบริษัทภายนอกก่อน พร้อมๆ กับเรียนปริญญาโทด้านบริหารควบคู่กันไปด้วย ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างกำลังลงตัว ว่างจากงานบริษัทที่ทำงานอยู่ก็เข้าไปศึกษางานบริษัทของครอบครัว และเธอก็ได้เปรยกับบิดาแล้วว่าอีกสองสามเดือนข้างหน้าจะเข้าไปทำงานที่บริษัทให้เต็มตัวเสียงเคาะประตูห้องทำงานที่ดังขึ้นทำให้ปิติญาดาหยุดความคิดไว้ แล้วเหลือบหันไปมองนิดหน่อยก็เห็นเลขาถือแฟ้มเข้ามา แต่เธอยังไม่มีเวลาจะพูดด้วยเพราะติดสายลูกค้าคนสำคัญอยู่ อันที่จริงสร้อยสุดาจะวางแฟ้มไว้ แล้วกลับออกไปก็ยังได้ แต่หญิงสาวมีเรื่องจะพูดกับผู้จัดการที่เธอรักและเคารพคนนี้ เมื่อเห็นว่าปิติญาดาวางสายไปแล้ว เลขาสาวจึงเอ่ยขึ้น “เอกสารที่ต้องเซ็นค่ะพี่น้ำมนต์” แฟ้มสีดำถูกยื่นมาให้คือเอกสาร
เมื่อเห็นลูกน้องร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ทำเอาต่อมน้ำตาของเจ้านายก็แทบไหลพรากตามไปอีกคน แต่ปิติญาดาก็อดกลั้นไว้สุดกำลัง ขืนร้องไห้เอาตอนนี้ก็เสียชื่อเธอหมดสิ เมื่อปลอบเลขาเรียบร้อย ทั้งสองคนก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองต่อ ปิติญาดานั้นย้ำให้สร้อยสุดาเก็บเรื่องที่รู้เป็นความลับไว้ก่อน เพราะอีกไม่นานเธอจะเป็นคนพูดเอง ซึ่งเลขาสาวก็พยักหน้ารับขณะที่กำลังเปิดอินเตอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูลของคู่ค้ารายหนึ่ง ซึ่งเธอสนใจจะนำเข้าสินค้าบางตัวมาขายในประเทศ แต่มือเจ้ากรรมดันไปคลิ๊กเปิดหน้าโฮมเพจโฆษณาหน้าหนึ่งเข้าอย่างไม่ตั้งใจ“อะไรหว่า” หญิงสาวคิ้วขมวดกับหน้าจอโฆษณาที่เห็น อ่านคร่าวๆ คือบริการจัดหาคู่ให้หนุ่มสาวที่ยังโสด อ่านไปอ่านมารู้สึกจี๊ดหัวใจ เพราะเธอเป็นหนึ่งในคนไร้คู่ที่ว่านั่นแน่นอน หญิงสาวไม่ได้แอนตี้เรื่องพวกนี้ แต่ก็ยังมีความคิดว่าเรื่องคู่ครองมาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แต่มือกลับสวนทางกับความคิด เพราะเธอเลื่อนไปเปิดอ่านรายละเอียดการสมัครสมาชิกเสียได้ ตั้งใจไว้ว่าจะแค่อ่าน แต่ไปๆ มาๆ ปิติญาดาก็เล่นโทรศัพท์เข้าไปสอบถามข้อมูลกันถึงบริษัทกันเลยทีเดียว หลังจากที่ได้ฟังข้อมูลจากปากของพนักงาน นับว่าเ
ยิ่งใกล้เวลานัด ปิติญาดาก็ออกอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด อยู่ๆจะให้เธอไปออกเดทกับผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยได้ยินเสียง มีเพียงข้อมูลของเขาเท่านั้น ความตื่นเต้นจึงเข้ามาเยือนเป็นระลอก หลังเลิกงานหญิงสาวจึงขับรถตรงไปยังร้านอาหาร ก่อนจะลงจากรถก็แอบสำรวจตัวเองอยู่พักใหญ่ เธอจงใจเข้าไปช้าแต่ไม่มากแค่สองสามนาทีเท่านั้น“โต๊ะคุณโอมค่ะ”“เชิญทางนี้ค่ะ” พนักงานต้อนรับเอ่ยขึ้น ก่อนจะผายมือให้เพื่อพาแขกไปยังโต๊ะดังกล่าว “เอ่อ...คุณโอมมาหรือยังคะ”“มาแล้วค่ะ” ได้ยินแบบนั้น ปิติญาดาก็แอบเป่าลมออกปากหนักๆ รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยเขาก็มาตรงเวลา เมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่จองไว้ เธอก็มองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เขาสวมสูทสีเข้มดูภูมิฐาน ใบหน้าคมสัน โดยเฉพาะคิ้วเข้มๆนั่นรับกับจมูกโด่งได้เป็นอย่างดี เนี๊ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อเห็นเธอเดินมาเขาก็ลุกขึ้น “สวัสดีครับคุณน้ำมนต์” ชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยทักอย่างเป็นกันเอง ขณะที่เธอสำรวจรูปลักษณ์ภายนอกของเขาอยู่นั้น ทินกฤตเองก็แอบสำรวจหญิงสาวตรงหน้าไปด้วย เธอเป็นคนสวยมากทีเดียว มีเสน่ห์ คิดไม่ผิดจริงๆที่ขอนัดพบวันนี้ “ขอโทษนะคะ ท
“ว่าอะไรนะครับ” แก้วน้ำในมือของทินกฤตแทบร่วงลงพื้น เขาทำอะไรพลาดไปอย่างนั้นเหรอ ทั้งๆที่พยายามเก๊กหล่อเต็มกำลังแล้วแท้ๆ “น้ำมนต์ว่าคุณโอมเป็นเกย์ ชัดไหมคะ” ปิติญาดาเอ่ยอย่างมั่นใจว่าเธอคิดถูก ทินกฤตชะงักไป ก่อนจะพยายามปั้นหน้าให้เหมือนกับว่าเรื่องที่ได้ยินเป็นแค่เรื่องอำเล่น “ทำไมถึงคิดแบบนั้น ผมเนี่ยนะเป็นเกย์” ทินกฤตหัวเราะกลบเกลื่อน ไม่ค่อยกล้าสบตาคู่เดทของวันนี้สักเท่าไหร่นัก “ค่ะ...คุณโอมฟังไม่ผิดหรอก ผู้ชายที่ไหนจะจีบปากจีบคอเรียกผู้หญิงว่านังชะนี” คำตอบของปิติญาดาทำเอาทินกฤตหน้าซีด เธอได้ยินเขาคุยโทรศัพท์เมื่อครู่แน่ๆ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า “คุณน้ำมนต์!”“หรือเมื่อครู่คือการแสดง เอ้...หรือว่าคุณโอมตั้งกล้องแอบถ่ายไว้ เก็บรายละเอียดทุกอย่างจะรอเซอร์ไพรส์น้ำมนต์อยู่หรือเปล่า กล้องอยู่ไหนเอ่ยน้ำมนต์จะได้โบกมือให้” ขณะพูดหญิงสาวก็ทำท่าท่างสอดส่ายสายตามองหากล้องที่ว่านั่นไปในตัว“ไม่มีของแบบนั้นหรอกครับ”“ของจริงล้วนๆ อย่างนั้นสินะคะ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณสำหรับความกระจ่างนี้และขอความกรุณาเหล่าคุณเก้งกวางทั้งหลายว่าอย่าเข้าใจพวกผู้หญิงอย่างเราๆ ผิดไป คิดว่าทุกคนจะโง่ให้หลอก
ขาทั้งสองข้างของปิติญาดาสั่นเท้าขณะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน เธอต้องจับราวบันไดเพื่อพยุงร่างกายของตัวเองไม่ให้ล้มลงไปเสียก่อน เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสองก็เห็นบุรุษพยาบาลกับพยาบาลยืนอยู่หน้าห้องนอนพ่อและแม่ บุรุษพยาบาลเหมือนจะรู้งาน เพราะพอเห็นเธอเดินขึ้นมา ชายคนนั้นก็เปิดประตูให้ เสียงร้องไห้ของแม่จึงดังมาเข้าหูสร้างความเจ็บปวดให้เธอไม่น้อยปิติญาดาค่อยๆ ก้าวเข้าไปภายในห้อง เห็นบิดานอนสงบอยู่บนเตียงเหมือนท่านแค่พักผ่อนธรรมดา ไม่ได้จากเธอไปอย่างที่ได้รับรู้อยู่ตอนนี้ คนที่ยืนอยู่ในมุมห้องอีกคนคือลุงหมอที่ดูแลรักษาครอบครัวเธอมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จึงสนิทสนมเหมือนญาติคนหนึ่งก็ว่าได้ “น้ำมนต์” คำเอ่ยเรียกของแม่ ทำให้หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง มองหน้าบิดาอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะกุมมือท่านไว้ ยังรู้สึกอุ่นอยู่เลย“พ่อค่ะ อย่าล้อน้ำมนต์เล่นแบบนี้สิ ลืมตาหน่อยสิคะ นะ...” น้ำเสียงปนสะอื้นเฝ้าร้องขอทั้งน้ำตา ปิติญาดาร้องไห้ออกมาอย่างหนัก หัวใจเธอบอบช้ำกับการสูญเสียที่ไม่ทันตั้งตัวนี้ ก่อนจะกลั้นใจถามแม่ออกไป “แม่ค่ะ...นี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมพ่อถึงเสียกะทันหันแบบนี้”“อยู่ๆ โรคหัวใจพ่อก็กำเริบ แม่โทรเรียกร
“ตกลงคิดออกหรือยังว่าจะทำอะไรที่นี่” ขณะถามชายหนุ่มก็มองหน้าปิติญาดาไปตรงๆ พร้อมทำหน้าตาสงสัยว่าทำไมใบหน้าของหญิงสาวถึงได้แดงก่ำแบบนั้น ส่วนคนถูกมองแม้จะพยายามข่มความอายแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ ใบหน้าถึงได้ร้อนๆ แบบนี้“ขะ…คิดออก”“แล้วนี่เป็นอะไรของเธอ ตอบตะกุกตะกัก หน้าก็แดงแจ๋ไม่สบายหรือเปล่า” ในที่สุดคนที่สงสัยอยู่นานก็ถามขึ้น ปิติญาดาทำตัวไม่ถูกเผลอสบตากับเขาตรงๆ คราวนี้ใบหน้าที่ว่าแดงอยู่แล้ว ก็ยิ่งแดงมากขึ้น ก่อนจะรีบปฏิเสธเสียงสั่น“ปะ…เปล่านี่”“ช่างเถอะ แล้วที่ว่าคิดออกคืออะไร ว่ามาสิ” คณินเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง เพราะเวลานี้เขาปวดศีรษะมาก จนไม่อยากคิดอะไรให้รกสมองไปกว่านี้แล้วเท่านั้นเอง ชายหนุ่มหลับตาขณะรอฟังว่าปิติญาดาจะพูดอะไร แต่หารู้ไม่ว่าตอนนั้นสายตาหญิงสาวจับจ้องตรงริมฝีปากหยักของเขาอย่างไม่สามารถละสายตาไปมองที่อื่นได้ แต่คำพูดของคณินก็เรียกสติเธอให้กลับมา“หื้อ… ว่าไงพูดมาสิ รอฟังอยู่&rd
ปิติญาดาแทบกรี๊ดเมื่อริมฝีปากร้อนๆ ของคณินได้ครอบครองยอดบัวงามที่กำลังแข็งเป็นไต ชายหนุ่มดูดกลืนความหอมหวานอย่างหิวกระหายจนหญิงสาวสั่นสะท้านครั้งแล้วครั้งเล่า ตาปรือด้วยอารมณ์ปรารถนาตามธรรมชาติที่กำลังลุกโชนอย่างยากที่จะต้านทาน มืออีกข้างของคณินก็เคล้าคลึงฟ้อนเฟ้นหน้าอกอีกข้างของเธออย่างไม่น้อยหน้าริมฝีปากหยักอันร้ายกาจนั่นแม้แต่น้อย ดวงตาของปิติญาดาเบิกกว้างก่อนจะหลับลงเพราะอารมณ์รัญจวน“ปะ...ปล่อยนะ” เสียงห้ามปรามอันแผ่วเบาดังมาจากริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้บวมเจ่ออย่างเห็นได้ชัด แรงขัดขืนมีอยู่แต่ก็ไม่มากมายจนพอจะทำให้ร่างกายเป็นอิสระจากการครอบครองของคณิน ความรู้สึกวาบหวิวถาโถมเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า หัวใจดวงน้อยเหมือนจะขาดรอนๆ เพราะไฟปราถนาที่ไม่เคยได้สัมผัสกำลังแผดเผา“บัว...คุณหอมไปทั้งตัวเลยที่รัก” คำเอ่ยเรียกอย่างลืมตัวของคณินที่ได้ยินข้างหู ทำให้ปิติญาดาได้สติ หญิงสาวหยุดนิ่งสมองกลับมาทำงานอีกครั้ง น้ำตาของความน้อยใจกำลังเอ่อล้นเล่นงานคนเข้มแข็งที่ตอนนี้กลายเป็นคนอ่อนแอให้พ่ายแพ้ปิติญาดา
“ก็เอาแต่พอดีๆ สิคะ ไม่มากและน้อยไป”“ไอ้ความพอดีของคนเรานี่ใช้ไม้บรรทัดวัดได้ก็ดีสิครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเปรียบเปรยก่อนจะส่ายหน้าให้ ปิติญาดาพลอยถอนหายใจออกมาอีกคน “นี่ก็ดึกแล้วพี่กลับก่อนดีกว่า ยังไงฝากน้องน้ำมนต์ช่วยเช็ดตัวไอ้คิงส์มันอีกสักรอบนะครับ จะได้หลับสบายขึ้น”“ได้ค่ะ” หญิงสาวรับปาก ก่อนจะทำท่าเดินไปยังประตูห้อง เขตไทยจึงชิงพูดขึ้นเพราะเดาท่าทางหญิงสาวออก“ไม่ต้องลงไปส่งหรอก พี่กลับเองได้ น้องน้ำมนต์อยู่ดูแลไอ้คิงส์แล้วกัน” คำพูดนี้ทำเอาคนหวังดีชะงักเท้า เขตไทยหันมามองหน้าคณินพร้อมส่ายหน้าให้ ก่อนจะลงจากชั้นบนแล้วขับรถกลับบ้านของตนส่วนปิติญาดาก็ทำตามที่เขตไทยบอก หญิงสาวหยิบผ้าขนหนูผืนเดิม ก่อนจะนำไปล้างและชุบน้ำออกมาเช็ดตามเนื้อตามตัวให้คณินอีกครั้งแต่หญิงสาวกลับดูเก้ๆ กังๆ มากกว่าตอนที่เขตไทยทำเสียอีก เพราะตอนนี้เสื้อตัวที่คณินสวมอยู่ถูกปลดกระดุมออกเสียทุกเม็ดเผยให้เห็นสัดส่วนน่ามองของผู้ชายที่พึ่งเคยเห็นกับตาเป็นครั้งแรก กล้ามเป็นมัดๆ แถมไรขนที่หายลับเข้าไปยังขอบกางเกงนั
เมื่อท้องอิ่ม ปิติญาดาจึงขอตัวเข้าครัวช่วยป้าชื่นล้างจาน จากนั้นก็ปลีกตัวขึ้นไปบนห้องปล่อยให้สองหนุ่มคุยกันไปตามสบาย คณินและเขตไทยออกมานั่งคุยที่เก้าอี้ข้างสระว่ายน้ำ ชายหนุ่มชวนเพื่อนดื่มเหล้า ซึ่งเขตไทยก็ไม่ขัด เพราะรู้ว่าคนชวนเองก็มีเรื่องในใจ ป้าชื่นจัดแจงเตรียมของให้ ก่อนที่คณินจะบอกให้เข้าไปพักที่เหลือเขาจะจัดการเองทั้งสองหนุ่มพูดคุยเรื่องงานที่จริงจังเป็นอันดับแรก เพราะช่วงนี้มีออเดอร์จากต่างประเทศเข้ามามาก จึงต้องวางแผนเรื่องการผลิตให้รอบคอบ เมื่อจบเรื่องงานก็ต่อด้วยสัพเพเหระไปตามเรื่องตามราว ก่อนจะมาจบที่เรื่องหัวใจของคณิน“ฉันได้ข่าวว่าคุณบัวกำลังจะแต่งงาน” คณินชะงักมือกับคำถามนี้ไปนิดหน่อย ก่อนจะยกแก้วเหล้าที่จับอยู่ขึ้นดื่มรวดเดียวหมด แล้วเอ่ยตอบคำถามนั้นไป“อื้อ...หูไวนี่เอ็ง”“คนไม่ใช่หมา” พอได้ยินคำพูดเหมือนสบายหัวใจดีอยู่ของคณิน เขตไทยก็โล่งอกไปได้เปราะหนึ่ง แต่ดูท่าทุกอย่างจะไม่เป็นอย่างที่คิด พอพูดเรื่องนี้เหล้าในขวดที่มีอยู่เกือบเต็มก่อนจะชนแก้วแรก ตอนนี้ปริมาณของน้ำสีเหลืองได้หายไปเกินครึ่
“วันนี้ เขาแวะไปที่โรงงาน ก็เลยได้รู้จักกัน”“มิน่าล่ะ แกถึงได้ถ่อมาถึงที่นี่” คณินเหน็บเพื่อนไปหนึ่งดอก เพราะพักหลังๆ เขตไทยหายหัวเข้ากลีบเมฆ ได้ข่าวว่าติดหญิง นี่ก็พึ่งโผล่มาให้เขาเห็น คงเริ่มเบื่อผู้หญิงคนนั้นแล้วสิ ก็เป็นเสียแบบนี้ผู้หญิงที่ไหนเขาจะรักจริง คิดเรื่องนี้ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าให้เพื่อน “อย่าหวงไปหน่อยเลยไอ้คิงส์ ไม่ดีเหรอที่เอ็งจะได้ข้าเป็นน้องเขย”“ไม่” คนฟังตอบแบบไม่ต้องคิด ไม้ใช่เพราะเป็นห่วงปิติญาดา ต่อให้เป็นญาติคนอื่น เขาก็ปฏิเสธการเป็นเครือญาติกับเขตไทยอย่างสิ้นเชิง ขอเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นพอ อาจจะดูใจร้ายไปหน่อยก็เถอะ “อ้าวเฮ้ย! ไอ้เพื่อน ทำไมพูดแมวๆ ไม่ให้กำลังใจกันแบบนี้วะ”“เอ้า...ก็ข้าพูดตามความจริงนี่หว่า ลองคิดดู บ้านไหนได้ลูกเขยกะล่อน เจ้าชู้ไก่แจ้อย่างเอ็งไปเป็นเขย คงได้ปวดหัวตาย” “แต่ถ้าข้าได้เป็นเขยครอบครัวเอ็ง รับรองข้าจะเป็นคนดี้ดีที่สุด” เขตไทยเน้นย้ำคำว่าดีให้ได้ยินชัดๆ แต่คณินก็ไม่วายสบประมาทตามเคย “ดีแตกล่ะสิไม่ว่า” “อ้าวๆ อย่าดูถูกนะเว้ย คนอย่างข้าถ้าได้รักใคร รักจริงแน่นอน” เขตไทยยิ้มกริ่มให้ ยังดีที่เป็นเพื่อนกัน พอรู้นิสัยใจคอ เพราะถ้าไ
“อ้อ...ค่ะ น้ำมนต์กับ เอ่อ...พี่คิงส์เราเป็นญาติห่างๆ กัน” ไหนๆ ก็ไหนๆ ปิติญาดาก็ปล่อยเลยตามเลยลอยตามน้ำไปแล้วกัน แต่การเรียกชายหนุ่มว่าพี่อย่างสนิทสนมแบบนั้น สำหรับเธอไม่ชินปากเลยจริงๆ ต่อไปอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็คงต้องเรียกแบบนี้ละมั้ง “เหรอครับ ถ้ารู้ เราคงได้ทำความรู้จักกันเร็วกว่านี้ก็เป็นได้” เขตไทยรุกหนักแบบไม่ปกปิด ถึงจะพึ่งพบหน้ากันครั้งแรก แต่ชายหนุ่มนั้นขอปักธง หวังจีบปิติญาดาเต็มที่ เพราะหญิงสาวตรงสเปคเขาไปเสียทุกอย่าง หน้าตาน่ารักสวยเลยก็ว่าได้ ผิวก็สวย หุ่นยังดี เป็นนางแบบได้สบายๆ แถมตาคู่สวยของเธอ ยามที่เขาสบตามองด้วยก็ยิ่งมีเสน่ห์น่าค้นหา “ค่ะ” หญิงสาวเอ่ยรับสั้นๆ ก่อนจะส่งยิ้มแห้งๆ ให้ ถึงจะยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่ใช่ว่าเธอจะไม่เคยมีผู้ชายมาขายขนมจีบ ก็เลยพอจะมองท่าทางและแววตาของเขตไทยออก ส่วนจามรนั้นส่ายหน้าให้เพราะดูท่าเขตไทยจะเอาจริง“แล้วน้องน้ำมนต์มาทำอะไรที่นี่ครับ เที่ยวเหรอ” เขตไทยเอ่ยเรียกปิติญาดาอย่างสนิทสนม ซึ่งคนถูกเรียกก็เหมือนจะขัดอะไรไม่ได้เสียด้วย “เปล่าค่ะ น้ำมนต์มาเรียนรู้งานที่นี่ เผื่อมีอะไรน่าสนใจทำ” สถานการณ์ของเธอตอนนี้ เรื่องเที่ยวไม่มีในสมอ
“อ้าว! ป้าชื่น มาส่งปิ่นโตให้คุณคิงส์เหรอครับ” จามรผู้จัดการโรงงานเอ่ยทักป้าชื่นอย่างสนิทสนม เพราะรู้จักกันมานานหลายปี “เปล่าจ้ะ พอดีพาคุณน้ำมนต์มาดูโรงงาน”“ว่าอยู่ เพราะคุณคิงส์กลับออกไปแล้ว” คนถามเอ่ยรับ ก่อนจะเอ่ยต่อเพราะมีบางสิ่งสงสัย “แล้วคุณน้ำมนต์นี่ ใครกันป้า” ขณะพูดสายตาของจามรก็มองไปยังหญิงสาวหน้าตาสวยที่มาพร้อมกับป้าชื่น เห็นครั้งแรกเธอก็ออร่าออกซะขนาดนั้น มีใครบ้างไม่สนใจ “ญาติคุณคิงส์” ป้าชื่นเอ่ยบอกอย่างให้เกียรติหญิงสาว เพราะเมื่อเช้าได้ถามเจ้านายหนุ่มแล้วว่าปิติญาดาที่มาด้วยนั้นเป็นใคร ซึ่งได้คำตอบว่าเป็นญาติ แต่เหตุผลที่มาด้วยนั้นคณินไม่ได้บอก และป้าชื่นก็มองไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องถามให้มากความ “อ๋อ…” ผู้จัดการโรงงานเอ่ยรับเสียงสูง เขานั้นไม่ได้คิดอะไร ที่ถามเพราะแค่อยากรู้ ก่อนจะเดินไปหาหญิงสาวคนนั้นพร้อมกับป้าชื่น พออยู่ตรงหน้า ป้าชื่นก็แนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันอย่างเป็นทางการ “คุณน้ำมนต์ค่ะ นี่คุณจามร ผู้จัดการโรงงานค่ะ” “สวัสดีค่ะ” หญิงสาวเอ่ยทัก พร้อมส่งยิ้มให้ การมาของ ปิติญาดา ทำให้พนักงานหลายคนในโรงงานต่างพากันสงสัยว่าเธอเป็นใคร แต่ไม่นานก็ได้รู้ว่าหญ
“คิดจะทำอะไรต่อไป”“อืม…อย่างแรกที่อยากทำคือหาเงินมาใช้หนี้ให้พ่อนายให้เร็วที่สุด” แม้จะยาก เพราะเงินมากมายแบบนั้นเธอจะหามาได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่ปิติญาดาก็ยังหวัง เพราะไม่อยากให้คนอื่นมาดูแลบริษัท แม้คนอื่นที่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ของพ่อก็ตามที “วิธีหาเงินล่ะ ยังไง” คณินขมวดคิ้วยุ่งถามขึ้น พูดน่ะมันง่ายแต่ทำนะมันยาก ต้องวางแผนให้ดี หนึ่งสองสามสี่ จะเดินไปทางไหน แต่จะว่าไปพ่อแม่เขาไม่เห็นพูดเลยนี่น่าว่าอยากได้เงินคืน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้บอกปิติญาดาให้รู้เรื่องนี้ ปล่อยให้หญิงสาวทำตามที่ต้องการไปแล้วกัน “ตอนนี้ยังมึนๆ อยู่ ก็เลยยังคิดอะไรดีๆ ไม่ออก”“อืม” คนฟังเอ่ยรับสั้นๆ อย่างเข้าใจ เพราะถ้าเกิดเรื่องกับเขา พ่อเสียชีวิต เจ้าหนี้โผล่มาบอกว่าเป็นหนี้หลายร้อยล้าน ต้องแต่งงานใช้หนี้ แต่สุดท้ายเธอกับเขากลับต้องแต่งงานบังหน้า แต่ละเรื่องที่พบเจอ ถ้าไม่เกิดกับตัวเองใครจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง นั่งเงียบอยู่สักพัก ปิติญาดาก็เอ่ยขึ้น“อ้อ…ขอถามอะไรหน่อยสิ” “ว่ามา” ชายหนุ่มวางช้อนลงเพราะเขากินข้าวไข่เจียวหมดจานแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองปิติญาดา รอฟังว่าเธอจะถามอะไรอีก “ที่ลำปางขึ้นชื่อเรื่
เกือบเที่ยงคืน พ่อแม่ของปิติญาดาและคณินกำลังจะรอขึ้นเครื่องบินเพื่อไปท่องเที่ยวยุโรป ทั้งสี่คนมีสีหน้าของความเป็นสุขที่เต็มเปี่ยม ไม่ได้ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ได้วางแผนไว้แม้แต่น้อย กลับเออออห่อหมกบอกว่ากลับจากเที่ยวครั้งนี้อาจจะได้ข่าวดีเรื่องหลานก็เป็นได้ ทั้งสี่คนจึงพากันหัวเราะชอบใจ ผกามาศนั้นเตี้ยมกับคนที่บ้านไว้แล้วว่าถ้าปิติญาดาโทรถามถึงตนให้บอกไปแบบไม่ต้องคิดว่าออกไปวัดป่า บวชชีพราหมณ์ ส่วนเรื่องที่บริษัทศรชัยก็จัดการไว้อย่างเรียบร้อยเหมือนกัน ไม่ให้ทุกอย่างสะดุดและถึงหูของลูกสาวเป็นอันขาด ผิดกับคนเป็นลูกที่ถูกพ่อแม่รักแกซึ่งตอนนี้ยังคงนอนกระสับกระส่ายไปมาบนเตียง สลับกับถอนหายใจเฮือกๆ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้จนเต็มสมองไปหมด เธอจะอยู่ที่นี่ยังไง จะเดินหน้าถอยหลัง หาเงินมาใช้หนี้วิธีไหน คิดแล้วน้ำตาก็พานจะไหล“พ่อจ๋า แม่จ๋า น้ำมนต์จะเดินทางไหนดี” ปิติญาดาเพ้อถึงพ่อแม่ ความสงสารตัวเองเกิดขึ้นทันที คราวนี้น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลอาบแก้ม เธอปิดหน้าร้องไห้ ใจนั้นไม่อยากร้องออกมา เพราะนั่นแสดงว่าเธอกำลังอ่อนแอ แต่เวลานี้หญิงสาวกลับอยากร้องไห้กับตัวเองสักครั้ง ร้องให้สาแก่ใจ และต่อจากนี้เ