“หืม…ว่าไงจ๊ะ” เสียงอบอุ่นของแม่ขานรับคำเรียกนั้น
“ถ้าหนูต้องขึ้นคาน แม่จะอายเขาหรือเปล่า?” “อายทำไม ลูกคนเดียว แม่เลี้ยงได้” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ปิติญาดาไม่มีวันขึ้นคานอย่างที่พูดออกมาอย่างแน่นอน ใครจะยอมให้ลูกสาวเธอครองตัวเป็นโสดได้ สวยๆ แบบนี้ต้องมีคู่แท้สิ “ได้ยินแบบนี้แล้วค่อยรู้สึกดีกับการจะขึ้นคานหน่อย” คนเป็นลูกส่งยิ้มให้ สงสัยวันนี้เธอจะจิตตกเข้าขั้นโคม่าเป็นแน่แท้ พอเห็นภคมณแต่งงานไปก็เก็บมากดดันตัวเองซะอย่างนั้น ใช่เรื่องไหมเนี่ย “เด็กโง่ นี่อย่าบอกนะว่ากลัวพ่อกับแม่โกรธที่ลูกยังไม่มีแฟนหรือจะแต่งงานในเร็ววันนี้น่ะ” ศรชัยเอ่ยอย่างรู้ทันความคิดของลูกสาว จะว่าไปเขานั้นไม่เคยเห็นปิติญาดาพูดเรื่องแบบนี้มาก่อน “ก็มันกดดันนี่ค่ะพ่อ บางอารมณ์น้ำมนต์เองก็อยากมีคนรัก อยากมีครอบครัวเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ บ้างอะไรบ้าง เพื่อนๆ ในกลุ่ม นอกกลุ่มก็แต่งงานมีลูกกันเกือบหมดแล้วด้วย พอมองตัวเองก็ เฮ้อ…ปลง!” “เนื้อคู่คนเราบางครั้งก็อาจมาเร็วมาช้า เจอกันวันนี้พรุ่งนี้แต่งงานก็มีให้เห็น” คนเป็นลูกพยักหน้าให้กับคำพูดของแม่ ก่อนจะเอ่ยเสริมเป็นตุเป็นตะ “นั่นน่ะสิคะ แต่สงสัยเนื้อคู่ของน้ำมนต์จะนั่งรถหวานเย็นมาอย่างแน่นอน ป่านนี้ยังไม่เห็นเงาเลย” “เรื่องแบบนี้เดี๋ยวก็มาเอง ถึงวันนั้น ลูกนั่นแหละอย่าวิ่งหนีเชียว” ขณะพูดผกามาศก็สัมผัสหัวไหล่กลมกลึงของลูกสาวไปมาอย่างเอ็นดู พอไปงานแต่งงานเพื่อนกลับมาทีไร ปิติญาดามักจะจิตตกมาพูดแบบนี้จนเธอจับทางได้ ส่วนสามีอาจจะงง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาอยู่ฟังด้วย “ใครบอก ถ้าเจอคนที่ใช่ขึ้นมา น้ำมนต์จะวิ่งเข้าใส่เขาต่างหากละคะ” ปิติญาดาเอ่ยให้ติดตลก เพราะรู้ว่าเรื่องแบบนี้เปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดขึ้นแทบไม่มี แต่ถ้ามี พอเอาเข้าจริง เธอทำไม่ได้แน่นอน วิ่งหนีคนแรกล่ะสิไม่ว่า “เรื่องครอบครัว พ่อกับแม่สิต้องกลัว” “กลัวอะไรคะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะมองหน้าพ่อ ไม่เข้าใจกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ “อ้าว! ก็กลัวว่าถ้าลูกมีคนรักแล้วจะลืมแม่กับพ่อนะสิ” ศรชัยแกล้งทำหน้าเศร้า ทำเอาภรรยาส่ายหน้าให้กับการแสดงอันสมบทบาทที่ได้เห็น “ไม่มีทาง ถึงจะเป็นคนรัก แต่น้ำมนต์ก็ไม่รักเขาจนตาบอดแล้วลืมแม่กับพ่อได้หรอก สัญญาเลย” นิ้วก้อยเรียวสวยของปิติญาดาส่งมายังแม่เพื่อทำตามที่บอก “จ้าสัญญา” สองแม่ลูกเกี่ยวก้อยกัน ก่อนที่หญิงสาวจะหันไปเกี่ยวก้อยกับคนเป็นพ่อด้วยอีกคน ศรชัยส่งยิ้มให้ลูกสาวที่เขารักอย่างไม่มีเงื่อนไขตรงหน้า “ดึกแล้วน้ำมนต์ไปนอนดีกว่า ฝันดีนะคะแม่ ฝันดีนะคะพ่อ” ว่าแล้วก็โน้มตัวไปหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ ตามด้วยพ่ออีกคนก่อนจะเดินกลับห้อง ผกามาศมองตามลูกสาวไปจนประตูห้องนอนเธอปิดลง แล้วจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ถ้าลูกรู้เรื่องแผนของเรา จนถึงเรื่องคลุมถุงชนนั่นละก็ ฉันไม่อยากคิดเลยว่าแกจะร้องไห้เสียใจมากแค่ไหน” ถึงจะตกลงได้แล้วว่าจะเดินหน้าทำตามแผนต่อ แต่ผกามาศก็ยังหวั่นใจ กลัวว่าลูกสาวจะเสียใจหนัก ศรชัยขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ ก่อนจะรั้งร่างของภรรยาเข้าไปโอบหลวมๆ “ที่เราทำไปเพราะรักลูก น้ำมนต์ต้องเข้าใจว่าพ่อกับแม่พยายามหาสิ่งที่ดีให้แกแล้ว” ผกามาศซบศีรษะลงไปบนหัวไหล่ของสามี ถอนหายใจออกมาเบาๆ หลายครั้ง เธอเฝ้าบอกตัวเองว่าต้องเดินหน้าต่อเท่านั้น คณินนั้นเป็นผู้ชายที่ดีสามารถอยู่ดูแลลูกสาวของเธอไปจนแก่เฒ่าได้อย่างแน่นอน แม้จะไม่มีอะไรเป็นหลักประกัน แต่ความรู้สึกบางอย่างของผกามาศบอกแบบนั้นจริงๆ และเธอก็เชื่อเสียด้วย! เมื่อกลับเข้าห้องนอนตัวเอง ขณะที่กำลังถอดชุดซึ่งใส่ไปงานแต่งงานของภคมณอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์รุ่นใหม่กิ๊กของปิติญาดาก็ดังขึ้น หญิงสาวจึงเอื้อมมือไปรับแต่ก็ถอดชุดไปในตัวด้วย ไม่นานบนร่างสมส่วนของวัยสาวที่เหมือนดอกไม้กำลังบานสะพรั่งไร้มลทินของหมู่ภมร ก็เหลือเพียงบราลูกไม้สีหวานกับบิกีนี่สวมเข้าชุดกันเพียงสองชิ้น “ว่าไงแก โทรมาซะดึก” น้ำเสียงที่เอ่ยถามคล้ายจะแปลกใจ เพราะเธอพึ่งแยกกับเพื่อนไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เอง “ตอนอยู่ในงานแต่งของหนูจ๋า ฉันลืมบอกแกไป” ปลายสายเอ่ยบอกเสียงใสเพราะนี่คือเรื่องสำคัญในชีวิตสาวหมวยหน้าจีนแสนเก๋อย่างเธอ “อะไร แกจะตัดหน้าแต่งงานก่อนฉันงั้นเหรอ” คำถามของ ปิติญาดาทำเอาต้องหทัยหัวเราะร่วนออกมา เพราะพักนี้หัวข้อในการสนทนาของพวกเธอหนีไม่พ้นเรื่องแต่งงาน ก่อนจะปฏิเสธตามหลัง “บ้า...แค่จะโทรมาบอก ว่าพรุ่งนี้ฉันจะบินไปเกาหลี เอาอะไรไหม” “เกาหลีอีกละ ที่นั่นมีอะไรแกถึงไปได้ไปดี ไปทุกเดือนเลยมั้งเนี่ย” ขณะถามปิติญาดาก็ยืนหมุนตัวไปมา สำรวจร่างกายของตัวเองผ่านกระจกใบใหญ่ รูปร่างก็ถือว่าดีใช้ได้ ไม่มีไขมันส่วนเกินให้น่าหงุดหงิด ฟิตแอนด์เฟิมส์พร้อมแก่การเป็นแม่คน แต่กว่าจะถึงตอนนั้นจริงๆ คงต้องหาเชื้อของลูกให้ได้เสียก่อน คิดเรื่องนี้หญิงสาวก็หน้ายู่ “ตั้งเยอะแยะ” “แล้วนี่ไปกันกี่คน” “ทริปนี้ฉันมีแค่สามสี่คน ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นสาวกเกาหลีกันทั้งนั้น แต่ไปแบบแบคแพคนะ ไม่ได้ไปกับทัวร์” คนกำลังบินไปเกาหลียิ้มกว้าง ต้องหทัยนั้นชื่นชอบประเทศนี้มาก มากเสียจนถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากซื้อบ้านไว้ที่นั่นสักหลังเลยด้วยซ้ำ เพื่อนที่ไปครั้งนี้ก็เจอกันตอนไปครั้งแรกกับคณะทัวร์ ติดต่อกันมาเรื่อยๆ เป็นกลุ่มเพื่อนอีกกลุ่มก็ว่าได้“อ้อ...แล้วคราวนี้จะไปกี่วัน ตามรอยซีรี่ย์เรื่องไรอีกยะคุณเพื่อน” “เบื่อคนรู้ทันจริงๆ สงสัยต้องเลิกคบซะแล้วละมั้ง” ต้องหทัยเอ่ยประชดแบบไม่จริงจังนัก ก่อนจะยักไหล่ให้เพื่อนที่รู้ใจไปเสียทุกเรื่อง จะว่าไปอิทธิพลที่ทำให้เธอชอบประเทศเกาหลีจนต้องบินไปกลับมากกว่าประเทศบรรพบุรุษอย่างเมืองจีน เริ่มแรกก็มาจากการดูซีรี่ย์นี่แหละ จากนั้นก็บ้าเข้าขั้นแบบถอนตัวไม่ขึ้น ไปกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ เธอนี่แหละแฟนพันธุ์แท้เกาหลีตัวยง! “ตกลงจะไปกี่วัน” น้ำเสียงคนกึ่งเปลือยเอ่ยถามย้ำ ในคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบ “เดือนเดียว” ปลายสายเอ่ยเหมือนแค่ช่วงสั้นๆ “ตั้งเดือน!” ปิติญาดาอุทานจนต้องทหัยยื่นโทรศัพท์ให้ห่างจากหูแทบไม่ทัน ถึงอย่างนั้นก็ยังได้ยินประโยคต่อมา “งานการแกไม่คิดจะทำเลยใช่ไหมเนี่ย ป๊ากับม๊าแกไม่ปวดหัวกับลูกสาวที่บ้าเกาหลีเข้าขั้นโคม่าอย่างแกหรือไง หา ยายหมวย!”“บ่นจริงแม่นางน้ำมนต์” ถึงจะพูดแบบนั้นต้องทหัยก็ยังนั่งยิ้มจินตนาการไปถึงเกาหลีเรียบร้อยโรงเรียนกิมจิ แต่คำทักท้วงของเพื่อนก็ทำเอาฝันแทบสลาย “เดี๋ยวๆ คราวนี้ไปตั้งเดือน แกจะไปงัดดั้งโด่งมาด้วยหรือเปล่า” คนถามทำหน้ายุ่ง เพราะไม่อยากให้เพื่อน
ปิติญาดานั่งทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง ด้วยตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อสินค้าต่างประเทศ หญิงสาวเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลอารายานนท์ ครอบครัวเธอประกอบธุรกิจด้านพลังงานพร้อมให้เข้าไปบริหารได้ทุกเมื่อ แต่หญิงสาวกลับมองว่าตัวเองยังขาดความสามารถที่จะแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ ทั้งเรื่องงานและเรื่องบุคลากรนั่นไว้บนบ่า พอจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจึงขอบิดาออกมาทำงานหาประสบการณ์จากบริษัทภายนอกก่อน พร้อมๆ กับเรียนปริญญาโทด้านบริหารควบคู่กันไปด้วย ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างกำลังลงตัว ว่างจากงานบริษัทที่ทำงานอยู่ก็เข้าไปศึกษางานบริษัทของครอบครัว และเธอก็ได้เปรยกับบิดาแล้วว่าอีกสองสามเดือนข้างหน้าจะเข้าไปทำงานที่บริษัทให้เต็มตัวเสียงเคาะประตูห้องทำงานที่ดังขึ้นทำให้ปิติญาดาหยุดความคิดไว้ แล้วเหลือบหันไปมองนิดหน่อยก็เห็นเลขาถือแฟ้มเข้ามา แต่เธอยังไม่มีเวลาจะพูดด้วยเพราะติดสายลูกค้าคนสำคัญอยู่ อันที่จริงสร้อยสุดาจะวางแฟ้มไว้ แล้วกลับออกไปก็ยังได้ แต่หญิงสาวมีเรื่องจะพูดกับผู้จัดการที่เธอรักและเคารพคนนี้ เมื่อเห็นว่าปิติญาดาวางสายไปแล้ว เลขาสาวจึงเอ่ยขึ้น “เอกสารที่ต้องเซ็นค่ะพี่น้ำมนต์” แฟ้มสีดำถูกยื่นมาให้คือเอกสาร
เมื่อเห็นลูกน้องร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ทำเอาต่อมน้ำตาของเจ้านายก็แทบไหลพรากตามไปอีกคน แต่ปิติญาดาก็อดกลั้นไว้สุดกำลัง ขืนร้องไห้เอาตอนนี้ก็เสียชื่อเธอหมดสิ เมื่อปลอบเลขาเรียบร้อย ทั้งสองคนก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองต่อ ปิติญาดานั้นย้ำให้สร้อยสุดาเก็บเรื่องที่รู้เป็นความลับไว้ก่อน เพราะอีกไม่นานเธอจะเป็นคนพูดเอง ซึ่งเลขาสาวก็พยักหน้ารับขณะที่กำลังเปิดอินเตอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูลของคู่ค้ารายหนึ่ง ซึ่งเธอสนใจจะนำเข้าสินค้าบางตัวมาขายในประเทศ แต่มือเจ้ากรรมดันไปคลิ๊กเปิดหน้าโฮมเพจโฆษณาหน้าหนึ่งเข้าอย่างไม่ตั้งใจ“อะไรหว่า” หญิงสาวคิ้วขมวดกับหน้าจอโฆษณาที่เห็น อ่านคร่าวๆ คือบริการจัดหาคู่ให้หนุ่มสาวที่ยังโสด อ่านไปอ่านมารู้สึกจี๊ดหัวใจ เพราะเธอเป็นหนึ่งในคนไร้คู่ที่ว่านั่นแน่นอน หญิงสาวไม่ได้แอนตี้เรื่องพวกนี้ แต่ก็ยังมีความคิดว่าเรื่องคู่ครองมาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แต่มือกลับสวนทางกับความคิด เพราะเธอเลื่อนไปเปิดอ่านรายละเอียดการสมัครสมาชิกเสียได้ ตั้งใจไว้ว่าจะแค่อ่าน แต่ไปๆ มาๆ ปิติญาดาก็เล่นโทรศัพท์เข้าไปสอบถามข้อมูลกันถึงบริษัทกันเลยทีเดียว หลังจากที่ได้ฟังข้อมูลจากปากของพนักงาน นับว่าเ
ยิ่งใกล้เวลานัด ปิติญาดาก็ออกอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด อยู่ๆจะให้เธอไปออกเดทกับผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยได้ยินเสียง มีเพียงข้อมูลของเขาเท่านั้น ความตื่นเต้นจึงเข้ามาเยือนเป็นระลอก หลังเลิกงานหญิงสาวจึงขับรถตรงไปยังร้านอาหาร ก่อนจะลงจากรถก็แอบสำรวจตัวเองอยู่พักใหญ่ เธอจงใจเข้าไปช้าแต่ไม่มากแค่สองสามนาทีเท่านั้น“โต๊ะคุณโอมค่ะ”“เชิญทางนี้ค่ะ” พนักงานต้อนรับเอ่ยขึ้น ก่อนจะผายมือให้เพื่อพาแขกไปยังโต๊ะดังกล่าว “เอ่อ...คุณโอมมาหรือยังคะ”“มาแล้วค่ะ” ได้ยินแบบนั้น ปิติญาดาก็แอบเป่าลมออกปากหนักๆ รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยเขาก็มาตรงเวลา เมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่จองไว้ เธอก็มองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เขาสวมสูทสีเข้มดูภูมิฐาน ใบหน้าคมสัน โดยเฉพาะคิ้วเข้มๆนั่นรับกับจมูกโด่งได้เป็นอย่างดี เนี๊ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อเห็นเธอเดินมาเขาก็ลุกขึ้น “สวัสดีครับคุณน้ำมนต์” ชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยทักอย่างเป็นกันเอง ขณะที่เธอสำรวจรูปลักษณ์ภายนอกของเขาอยู่นั้น ทินกฤตเองก็แอบสำรวจหญิงสาวตรงหน้าไปด้วย เธอเป็นคนสวยมากทีเดียว มีเสน่ห์ คิดไม่ผิดจริงๆที่ขอนัดพบวันนี้ “ขอโทษนะคะ ท
“ว่าอะไรนะครับ” แก้วน้ำในมือของทินกฤตแทบร่วงลงพื้น เขาทำอะไรพลาดไปอย่างนั้นเหรอ ทั้งๆที่พยายามเก๊กหล่อเต็มกำลังแล้วแท้ๆ “น้ำมนต์ว่าคุณโอมเป็นเกย์ ชัดไหมคะ” ปิติญาดาเอ่ยอย่างมั่นใจว่าเธอคิดถูก ทินกฤตชะงักไป ก่อนจะพยายามปั้นหน้าให้เหมือนกับว่าเรื่องที่ได้ยินเป็นแค่เรื่องอำเล่น “ทำไมถึงคิดแบบนั้น ผมเนี่ยนะเป็นเกย์” ทินกฤตหัวเราะกลบเกลื่อน ไม่ค่อยกล้าสบตาคู่เดทของวันนี้สักเท่าไหร่นัก “ค่ะ...คุณโอมฟังไม่ผิดหรอก ผู้ชายที่ไหนจะจีบปากจีบคอเรียกผู้หญิงว่านังชะนี” คำตอบของปิติญาดาทำเอาทินกฤตหน้าซีด เธอได้ยินเขาคุยโทรศัพท์เมื่อครู่แน่ๆ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า “คุณน้ำมนต์!”“หรือเมื่อครู่คือการแสดง เอ้...หรือว่าคุณโอมตั้งกล้องแอบถ่ายไว้ เก็บรายละเอียดทุกอย่างจะรอเซอร์ไพรส์น้ำมนต์อยู่หรือเปล่า กล้องอยู่ไหนเอ่ยน้ำมนต์จะได้โบกมือให้” ขณะพูดหญิงสาวก็ทำท่าท่างสอดส่ายสายตามองหากล้องที่ว่านั่นไปในตัว“ไม่มีของแบบนั้นหรอกครับ”“ของจริงล้วนๆ อย่างนั้นสินะคะ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณสำหรับความกระจ่างนี้และขอความกรุณาเหล่าคุณเก้งกวางทั้งหลายว่าอย่าเข้าใจพวกผู้หญิงอย่างเราๆ ผิดไป คิดว่าทุกคนจะโง่ให้หลอก
ขาทั้งสองข้างของปิติญาดาสั่นเท้าขณะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน เธอต้องจับราวบันไดเพื่อพยุงร่างกายของตัวเองไม่ให้ล้มลงไปเสียก่อน เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสองก็เห็นบุรุษพยาบาลกับพยาบาลยืนอยู่หน้าห้องนอนพ่อและแม่ บุรุษพยาบาลเหมือนจะรู้งาน เพราะพอเห็นเธอเดินขึ้นมา ชายคนนั้นก็เปิดประตูให้ เสียงร้องไห้ของแม่จึงดังมาเข้าหูสร้างความเจ็บปวดให้เธอไม่น้อยปิติญาดาค่อยๆ ก้าวเข้าไปภายในห้อง เห็นบิดานอนสงบอยู่บนเตียงเหมือนท่านแค่พักผ่อนธรรมดา ไม่ได้จากเธอไปอย่างที่ได้รับรู้อยู่ตอนนี้ คนที่ยืนอยู่ในมุมห้องอีกคนคือลุงหมอที่ดูแลรักษาครอบครัวเธอมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จึงสนิทสนมเหมือนญาติคนหนึ่งก็ว่าได้ “น้ำมนต์” คำเอ่ยเรียกของแม่ ทำให้หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง มองหน้าบิดาอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะกุมมือท่านไว้ ยังรู้สึกอุ่นอยู่เลย“พ่อค่ะ อย่าล้อน้ำมนต์เล่นแบบนี้สิ ลืมตาหน่อยสิคะ นะ...” น้ำเสียงปนสะอื้นเฝ้าร้องขอทั้งน้ำตา ปิติญาดาร้องไห้ออกมาอย่างหนัก หัวใจเธอบอบช้ำกับการสูญเสียที่ไม่ทันตั้งตัวนี้ ก่อนจะกลั้นใจถามแม่ออกไป “แม่ค่ะ...นี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมพ่อถึงเสียกะทันหันแบบนี้”“อยู่ๆ โรคหัวใจพ่อก็กำเริบ แม่โทรเรียกร
“เดี๋ยวสิ เดี๋ยว พวกนายอย่าพึ่งไป” เสียงเรียกของหญิงสาวดูไร้ความหมาย ปิติญาดากำกระดาษในมือแน่น เธอจะไม่แต่งงานใช้หนี้บ้าๆ นี่แน่นอน ไม่มีทางเกิดเรื่องบ้าๆ นี่กับเธอ แค่พ่อเสียชีวิตไปก็เสียใจมากพอแล้ว แต่นี่กลับต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายเพราะต้องแต่งงานกับใครก็ไม่รู้แต่พอชายชุดแรกกลับออกไป นอกบ้านตอนนี้กลับมีชายชุดดำสี่ห้าคนมายืนป้วนเปี้ยนเต็มไปหมด จอยเห็นคนแรกก่อนจะวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงานเจ้านายของเธอ “แย่แล้วค่ะ แย่แล้ว”“เกิดอะไรขึ้นจอย” ผกามาศเอ่ยถาม เพราะไม่รู้จอยจะตกใจอะไรหนักหนา “ที่หน้าบ้านมีใครก็ไม่รู้ยืนอยู่เต็มไปหมดเลยค่ะคุณผู้หญิง คุณหนู” สิ่งที่ได้ยินทำให้ปิติญาดาปรี่ออกไปยืนดูที่หน้าประตู ก็เห็นอย่างที่จอยบอก ต้องเป็นคนของเจ้าหนี้เธอแน่ๆ ที่ส่งคนมาเฝ้า คงกลัวว่าเธอจะคิดหนีล่ะสินะ ทุเรศที่สุด!“ไอ้พวกบ้าเอ้ย!!” ปิติญาดาสบถออกมาอย่างหัวเสีย เธอยกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะเดินกลับไปทรุดตัวลงบนโซฟาอย่างหมดทางไป ผกามาศบีบหัวไหล่ของลูกไปมาก่อนจะเอ่ยขึ้น “เราแอบหนีกันไปตอนกลางคืนดีไหมลูก”“แต่ถ้าจับได้ พวกมันจะฆ่าเราไหมคะ” คำพูดโต้งๆ อย่างไม่คิดของจอยที่นั่งอยู่ไม่ห่าง ยิ่งทำให้ปิต
วันเวลาผ่านไปแต่ละวันอย่างหดหู่และอับจนหนทาง น้ำตาที่เคยไหลรินตอนนี้กลับแห้ง มาถึงตอนนี้พึ่งรู้ว่าครอบครัวอารายานนท์นั้นไร้ซึ่งผู้คนให้ขอความช่วยเหลือ หันหน้าไปพึ่งใครก็มีแต่คนปฏิเสธ จนใกล้วันกำหนดใช้หนี้เข้าไปทุกขณะ ปิติญาดานั้นยังมืดแปดด้าน เงินที่จะเอาไปใช้หนี้ตอนนี้ยังไม่มีสักบาท เมื่อไม่มีทางออก เธอก็วิ่งชนปัญหามันเลยแล้วกัน ปิติญาดาตัดสินใจได้แน่วแน่แล้วว่าจะทำอะไรต่อไป จึงเดินไปหาคนส่งสารที่ยืนล้อมรอบๆ บ้านเธออยู่ เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ ทำให้ชายชุดดำที่ทำหน้าที่เฝ้ารั้วบ้านของหญิงสาวหันมามอง ก็เห็นว่าเป็นใครก็โค้งศีรษะทักทายให้ “ฉันอยากพบเจ้านายของพวกคุณ นัดให้หน่อย”“ครับผมจะแจ้งให้ท่านทราบ” ชายคนนั้นรับปาก“อืม” หญิงสาวเอ่ยรับสั้นๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ไม่นานข่าวที่ปิติญาดาต้องการพบเจ้าหนี้ก็ไปถึงหูของศรชัย ซึ่งเรื่องนี้เขาก็ได้จัดแจงเตรียมบุคคลเล่นฉากนี้ไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ไม่ถึงชั่วโมงปิติญาดาก็ได้วันเวลาที่จะออกไปพบกับเจ้าหนี้ของเธอ เหมือนจะรู้ว่าหญิงสาวใจร้อน เพราะนัดที่ว่าคือเย็นวันนี้ตอนหนึ่งทุ่มที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งปิติญาดาไปตามนัด หญิงสาวอยากเห็นเ
“ตกลงคิดออกหรือยังว่าจะทำอะไรที่นี่” ขณะถามชายหนุ่มก็มองหน้าปิติญาดาไปตรงๆ พร้อมทำหน้าตาสงสัยว่าทำไมใบหน้าของหญิงสาวถึงได้แดงก่ำแบบนั้น ส่วนคนถูกมองแม้จะพยายามข่มความอายแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ ใบหน้าถึงได้ร้อนๆ แบบนี้“ขะ…คิดออก”“แล้วนี่เป็นอะไรของเธอ ตอบตะกุกตะกัก หน้าก็แดงแจ๋ไม่สบายหรือเปล่า” ในที่สุดคนที่สงสัยอยู่นานก็ถามขึ้น ปิติญาดาทำตัวไม่ถูกเผลอสบตากับเขาตรงๆ คราวนี้ใบหน้าที่ว่าแดงอยู่แล้ว ก็ยิ่งแดงมากขึ้น ก่อนจะรีบปฏิเสธเสียงสั่น“ปะ…เปล่านี่”“ช่างเถอะ แล้วที่ว่าคิดออกคืออะไร ว่ามาสิ” คณินเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง เพราะเวลานี้เขาปวดศีรษะมาก จนไม่อยากคิดอะไรให้รกสมองไปกว่านี้แล้วเท่านั้นเอง ชายหนุ่มหลับตาขณะรอฟังว่าปิติญาดาจะพูดอะไร แต่หารู้ไม่ว่าตอนนั้นสายตาหญิงสาวจับจ้องตรงริมฝีปากหยักของเขาอย่างไม่สามารถละสายตาไปมองที่อื่นได้ แต่คำพูดของคณินก็เรียกสติเธอให้กลับมา“หื้อ… ว่าไงพูดมาสิ รอฟังอยู่&rd
ปิติญาดาแทบกรี๊ดเมื่อริมฝีปากร้อนๆ ของคณินได้ครอบครองยอดบัวงามที่กำลังแข็งเป็นไต ชายหนุ่มดูดกลืนความหอมหวานอย่างหิวกระหายจนหญิงสาวสั่นสะท้านครั้งแล้วครั้งเล่า ตาปรือด้วยอารมณ์ปรารถนาตามธรรมชาติที่กำลังลุกโชนอย่างยากที่จะต้านทาน มืออีกข้างของคณินก็เคล้าคลึงฟ้อนเฟ้นหน้าอกอีกข้างของเธออย่างไม่น้อยหน้าริมฝีปากหยักอันร้ายกาจนั่นแม้แต่น้อย ดวงตาของปิติญาดาเบิกกว้างก่อนจะหลับลงเพราะอารมณ์รัญจวน“ปะ...ปล่อยนะ” เสียงห้ามปรามอันแผ่วเบาดังมาจากริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้บวมเจ่ออย่างเห็นได้ชัด แรงขัดขืนมีอยู่แต่ก็ไม่มากมายจนพอจะทำให้ร่างกายเป็นอิสระจากการครอบครองของคณิน ความรู้สึกวาบหวิวถาโถมเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า หัวใจดวงน้อยเหมือนจะขาดรอนๆ เพราะไฟปราถนาที่ไม่เคยได้สัมผัสกำลังแผดเผา“บัว...คุณหอมไปทั้งตัวเลยที่รัก” คำเอ่ยเรียกอย่างลืมตัวของคณินที่ได้ยินข้างหู ทำให้ปิติญาดาได้สติ หญิงสาวหยุดนิ่งสมองกลับมาทำงานอีกครั้ง น้ำตาของความน้อยใจกำลังเอ่อล้นเล่นงานคนเข้มแข็งที่ตอนนี้กลายเป็นคนอ่อนแอให้พ่ายแพ้ปิติญาดา
“ก็เอาแต่พอดีๆ สิคะ ไม่มากและน้อยไป”“ไอ้ความพอดีของคนเรานี่ใช้ไม้บรรทัดวัดได้ก็ดีสิครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเปรียบเปรยก่อนจะส่ายหน้าให้ ปิติญาดาพลอยถอนหายใจออกมาอีกคน “นี่ก็ดึกแล้วพี่กลับก่อนดีกว่า ยังไงฝากน้องน้ำมนต์ช่วยเช็ดตัวไอ้คิงส์มันอีกสักรอบนะครับ จะได้หลับสบายขึ้น”“ได้ค่ะ” หญิงสาวรับปาก ก่อนจะทำท่าเดินไปยังประตูห้อง เขตไทยจึงชิงพูดขึ้นเพราะเดาท่าทางหญิงสาวออก“ไม่ต้องลงไปส่งหรอก พี่กลับเองได้ น้องน้ำมนต์อยู่ดูแลไอ้คิงส์แล้วกัน” คำพูดนี้ทำเอาคนหวังดีชะงักเท้า เขตไทยหันมามองหน้าคณินพร้อมส่ายหน้าให้ ก่อนจะลงจากชั้นบนแล้วขับรถกลับบ้านของตนส่วนปิติญาดาก็ทำตามที่เขตไทยบอก หญิงสาวหยิบผ้าขนหนูผืนเดิม ก่อนจะนำไปล้างและชุบน้ำออกมาเช็ดตามเนื้อตามตัวให้คณินอีกครั้งแต่หญิงสาวกลับดูเก้ๆ กังๆ มากกว่าตอนที่เขตไทยทำเสียอีก เพราะตอนนี้เสื้อตัวที่คณินสวมอยู่ถูกปลดกระดุมออกเสียทุกเม็ดเผยให้เห็นสัดส่วนน่ามองของผู้ชายที่พึ่งเคยเห็นกับตาเป็นครั้งแรก กล้ามเป็นมัดๆ แถมไรขนที่หายลับเข้าไปยังขอบกางเกงนั
เมื่อท้องอิ่ม ปิติญาดาจึงขอตัวเข้าครัวช่วยป้าชื่นล้างจาน จากนั้นก็ปลีกตัวขึ้นไปบนห้องปล่อยให้สองหนุ่มคุยกันไปตามสบาย คณินและเขตไทยออกมานั่งคุยที่เก้าอี้ข้างสระว่ายน้ำ ชายหนุ่มชวนเพื่อนดื่มเหล้า ซึ่งเขตไทยก็ไม่ขัด เพราะรู้ว่าคนชวนเองก็มีเรื่องในใจ ป้าชื่นจัดแจงเตรียมของให้ ก่อนที่คณินจะบอกให้เข้าไปพักที่เหลือเขาจะจัดการเองทั้งสองหนุ่มพูดคุยเรื่องงานที่จริงจังเป็นอันดับแรก เพราะช่วงนี้มีออเดอร์จากต่างประเทศเข้ามามาก จึงต้องวางแผนเรื่องการผลิตให้รอบคอบ เมื่อจบเรื่องงานก็ต่อด้วยสัพเพเหระไปตามเรื่องตามราว ก่อนจะมาจบที่เรื่องหัวใจของคณิน“ฉันได้ข่าวว่าคุณบัวกำลังจะแต่งงาน” คณินชะงักมือกับคำถามนี้ไปนิดหน่อย ก่อนจะยกแก้วเหล้าที่จับอยู่ขึ้นดื่มรวดเดียวหมด แล้วเอ่ยตอบคำถามนั้นไป“อื้อ...หูไวนี่เอ็ง”“คนไม่ใช่หมา” พอได้ยินคำพูดเหมือนสบายหัวใจดีอยู่ของคณิน เขตไทยก็โล่งอกไปได้เปราะหนึ่ง แต่ดูท่าทุกอย่างจะไม่เป็นอย่างที่คิด พอพูดเรื่องนี้เหล้าในขวดที่มีอยู่เกือบเต็มก่อนจะชนแก้วแรก ตอนนี้ปริมาณของน้ำสีเหลืองได้หายไปเกินครึ่
“วันนี้ เขาแวะไปที่โรงงาน ก็เลยได้รู้จักกัน”“มิน่าล่ะ แกถึงได้ถ่อมาถึงที่นี่” คณินเหน็บเพื่อนไปหนึ่งดอก เพราะพักหลังๆ เขตไทยหายหัวเข้ากลีบเมฆ ได้ข่าวว่าติดหญิง นี่ก็พึ่งโผล่มาให้เขาเห็น คงเริ่มเบื่อผู้หญิงคนนั้นแล้วสิ ก็เป็นเสียแบบนี้ผู้หญิงที่ไหนเขาจะรักจริง คิดเรื่องนี้ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าให้เพื่อน “อย่าหวงไปหน่อยเลยไอ้คิงส์ ไม่ดีเหรอที่เอ็งจะได้ข้าเป็นน้องเขย”“ไม่” คนฟังตอบแบบไม่ต้องคิด ไม้ใช่เพราะเป็นห่วงปิติญาดา ต่อให้เป็นญาติคนอื่น เขาก็ปฏิเสธการเป็นเครือญาติกับเขตไทยอย่างสิ้นเชิง ขอเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นพอ อาจจะดูใจร้ายไปหน่อยก็เถอะ “อ้าวเฮ้ย! ไอ้เพื่อน ทำไมพูดแมวๆ ไม่ให้กำลังใจกันแบบนี้วะ”“เอ้า...ก็ข้าพูดตามความจริงนี่หว่า ลองคิดดู บ้านไหนได้ลูกเขยกะล่อน เจ้าชู้ไก่แจ้อย่างเอ็งไปเป็นเขย คงได้ปวดหัวตาย” “แต่ถ้าข้าได้เป็นเขยครอบครัวเอ็ง รับรองข้าจะเป็นคนดี้ดีที่สุด” เขตไทยเน้นย้ำคำว่าดีให้ได้ยินชัดๆ แต่คณินก็ไม่วายสบประมาทตามเคย “ดีแตกล่ะสิไม่ว่า” “อ้าวๆ อย่าดูถูกนะเว้ย คนอย่างข้าถ้าได้รักใคร รักจริงแน่นอน” เขตไทยยิ้มกริ่มให้ ยังดีที่เป็นเพื่อนกัน พอรู้นิสัยใจคอ เพราะถ้าไ
“อ้อ...ค่ะ น้ำมนต์กับ เอ่อ...พี่คิงส์เราเป็นญาติห่างๆ กัน” ไหนๆ ก็ไหนๆ ปิติญาดาก็ปล่อยเลยตามเลยลอยตามน้ำไปแล้วกัน แต่การเรียกชายหนุ่มว่าพี่อย่างสนิทสนมแบบนั้น สำหรับเธอไม่ชินปากเลยจริงๆ ต่อไปอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็คงต้องเรียกแบบนี้ละมั้ง “เหรอครับ ถ้ารู้ เราคงได้ทำความรู้จักกันเร็วกว่านี้ก็เป็นได้” เขตไทยรุกหนักแบบไม่ปกปิด ถึงจะพึ่งพบหน้ากันครั้งแรก แต่ชายหนุ่มนั้นขอปักธง หวังจีบปิติญาดาเต็มที่ เพราะหญิงสาวตรงสเปคเขาไปเสียทุกอย่าง หน้าตาน่ารักสวยเลยก็ว่าได้ ผิวก็สวย หุ่นยังดี เป็นนางแบบได้สบายๆ แถมตาคู่สวยของเธอ ยามที่เขาสบตามองด้วยก็ยิ่งมีเสน่ห์น่าค้นหา “ค่ะ” หญิงสาวเอ่ยรับสั้นๆ ก่อนจะส่งยิ้มแห้งๆ ให้ ถึงจะยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่ใช่ว่าเธอจะไม่เคยมีผู้ชายมาขายขนมจีบ ก็เลยพอจะมองท่าทางและแววตาของเขตไทยออก ส่วนจามรนั้นส่ายหน้าให้เพราะดูท่าเขตไทยจะเอาจริง“แล้วน้องน้ำมนต์มาทำอะไรที่นี่ครับ เที่ยวเหรอ” เขตไทยเอ่ยเรียกปิติญาดาอย่างสนิทสนม ซึ่งคนถูกเรียกก็เหมือนจะขัดอะไรไม่ได้เสียด้วย “เปล่าค่ะ น้ำมนต์มาเรียนรู้งานที่นี่ เผื่อมีอะไรน่าสนใจทำ” สถานการณ์ของเธอตอนนี้ เรื่องเที่ยวไม่มีในสมอ
“อ้าว! ป้าชื่น มาส่งปิ่นโตให้คุณคิงส์เหรอครับ” จามรผู้จัดการโรงงานเอ่ยทักป้าชื่นอย่างสนิทสนม เพราะรู้จักกันมานานหลายปี “เปล่าจ้ะ พอดีพาคุณน้ำมนต์มาดูโรงงาน”“ว่าอยู่ เพราะคุณคิงส์กลับออกไปแล้ว” คนถามเอ่ยรับ ก่อนจะเอ่ยต่อเพราะมีบางสิ่งสงสัย “แล้วคุณน้ำมนต์นี่ ใครกันป้า” ขณะพูดสายตาของจามรก็มองไปยังหญิงสาวหน้าตาสวยที่มาพร้อมกับป้าชื่น เห็นครั้งแรกเธอก็ออร่าออกซะขนาดนั้น มีใครบ้างไม่สนใจ “ญาติคุณคิงส์” ป้าชื่นเอ่ยบอกอย่างให้เกียรติหญิงสาว เพราะเมื่อเช้าได้ถามเจ้านายหนุ่มแล้วว่าปิติญาดาที่มาด้วยนั้นเป็นใคร ซึ่งได้คำตอบว่าเป็นญาติ แต่เหตุผลที่มาด้วยนั้นคณินไม่ได้บอก และป้าชื่นก็มองไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องถามให้มากความ “อ๋อ…” ผู้จัดการโรงงานเอ่ยรับเสียงสูง เขานั้นไม่ได้คิดอะไร ที่ถามเพราะแค่อยากรู้ ก่อนจะเดินไปหาหญิงสาวคนนั้นพร้อมกับป้าชื่น พออยู่ตรงหน้า ป้าชื่นก็แนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันอย่างเป็นทางการ “คุณน้ำมนต์ค่ะ นี่คุณจามร ผู้จัดการโรงงานค่ะ” “สวัสดีค่ะ” หญิงสาวเอ่ยทัก พร้อมส่งยิ้มให้ การมาของ ปิติญาดา ทำให้พนักงานหลายคนในโรงงานต่างพากันสงสัยว่าเธอเป็นใคร แต่ไม่นานก็ได้รู้ว่าหญ
“คิดจะทำอะไรต่อไป”“อืม…อย่างแรกที่อยากทำคือหาเงินมาใช้หนี้ให้พ่อนายให้เร็วที่สุด” แม้จะยาก เพราะเงินมากมายแบบนั้นเธอจะหามาได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่ปิติญาดาก็ยังหวัง เพราะไม่อยากให้คนอื่นมาดูแลบริษัท แม้คนอื่นที่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ของพ่อก็ตามที “วิธีหาเงินล่ะ ยังไง” คณินขมวดคิ้วยุ่งถามขึ้น พูดน่ะมันง่ายแต่ทำนะมันยาก ต้องวางแผนให้ดี หนึ่งสองสามสี่ จะเดินไปทางไหน แต่จะว่าไปพ่อแม่เขาไม่เห็นพูดเลยนี่น่าว่าอยากได้เงินคืน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้บอกปิติญาดาให้รู้เรื่องนี้ ปล่อยให้หญิงสาวทำตามที่ต้องการไปแล้วกัน “ตอนนี้ยังมึนๆ อยู่ ก็เลยยังคิดอะไรดีๆ ไม่ออก”“อืม” คนฟังเอ่ยรับสั้นๆ อย่างเข้าใจ เพราะถ้าเกิดเรื่องกับเขา พ่อเสียชีวิต เจ้าหนี้โผล่มาบอกว่าเป็นหนี้หลายร้อยล้าน ต้องแต่งงานใช้หนี้ แต่สุดท้ายเธอกับเขากลับต้องแต่งงานบังหน้า แต่ละเรื่องที่พบเจอ ถ้าไม่เกิดกับตัวเองใครจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง นั่งเงียบอยู่สักพัก ปิติญาดาก็เอ่ยขึ้น“อ้อ…ขอถามอะไรหน่อยสิ” “ว่ามา” ชายหนุ่มวางช้อนลงเพราะเขากินข้าวไข่เจียวหมดจานแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองปิติญาดา รอฟังว่าเธอจะถามอะไรอีก “ที่ลำปางขึ้นชื่อเรื่
เกือบเที่ยงคืน พ่อแม่ของปิติญาดาและคณินกำลังจะรอขึ้นเครื่องบินเพื่อไปท่องเที่ยวยุโรป ทั้งสี่คนมีสีหน้าของความเป็นสุขที่เต็มเปี่ยม ไม่ได้ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ได้วางแผนไว้แม้แต่น้อย กลับเออออห่อหมกบอกว่ากลับจากเที่ยวครั้งนี้อาจจะได้ข่าวดีเรื่องหลานก็เป็นได้ ทั้งสี่คนจึงพากันหัวเราะชอบใจ ผกามาศนั้นเตี้ยมกับคนที่บ้านไว้แล้วว่าถ้าปิติญาดาโทรถามถึงตนให้บอกไปแบบไม่ต้องคิดว่าออกไปวัดป่า บวชชีพราหมณ์ ส่วนเรื่องที่บริษัทศรชัยก็จัดการไว้อย่างเรียบร้อยเหมือนกัน ไม่ให้ทุกอย่างสะดุดและถึงหูของลูกสาวเป็นอันขาด ผิดกับคนเป็นลูกที่ถูกพ่อแม่รักแกซึ่งตอนนี้ยังคงนอนกระสับกระส่ายไปมาบนเตียง สลับกับถอนหายใจเฮือกๆ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้จนเต็มสมองไปหมด เธอจะอยู่ที่นี่ยังไง จะเดินหน้าถอยหลัง หาเงินมาใช้หนี้วิธีไหน คิดแล้วน้ำตาก็พานจะไหล“พ่อจ๋า แม่จ๋า น้ำมนต์จะเดินทางไหนดี” ปิติญาดาเพ้อถึงพ่อแม่ ความสงสารตัวเองเกิดขึ้นทันที คราวนี้น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลอาบแก้ม เธอปิดหน้าร้องไห้ ใจนั้นไม่อยากร้องออกมา เพราะนั่นแสดงว่าเธอกำลังอ่อนแอ แต่เวลานี้หญิงสาวกลับอยากร้องไห้กับตัวเองสักครั้ง ร้องให้สาแก่ใจ และต่อจากนี้เ