ยามสายของวันต่อมา
เริ่มมีชาวบ้านเจ็บป่วยเฉียบพลัน อีกหนึ่งวันต่อมาพบว่าหลายคนเริ่มมีอาการเดียวกันจนน่าตกใจ
สามวันให้หลังชาวบ้านเหล่านั้นก็พากันไปหาหมอประจำหมู่บ้านอย่างคับคั่งหนาตา ท่านหมอสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดโรคระบาดชนิดเฉียบพลัน ทว่าไม่อาจระบุได้ว่าเป็นโรคใด เพราะไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ล่วงเข้าวันที่สี่ ไม่ว่าท่านหมอจะจัดยาเทียบใดให้คนป่วย ก็ล้วนไร้ผล พวกเขาไม่ดีขึ้นเลย
เป็นเช่นนั้นกระทั่งล่วงเข้าวันที่เจ็ด พลันปรากฏว่ามีสตรีผู้หนึ่งปรากฏกาย นางสวมชุดสีขาวราวเทพเซียน สวมหมวกไผ่สานที่มีผ้าโปร่งคลุมทั้งศีรษะ ใบหน้าคาดผ้าขาวปกปิดเอาไว้มิดชิด เผยเพียงดวงตาดำสนิทที่แสนจะเย็นชา มองไม่ออกว่างดงามปานใด ท่วงท่ายามก้าวเดินพลิ้วไหวราวกับเทพธิดาจำแลง
นางเดินทางมาจากทิศใดมิอาจทราบ ทว่ากลับเสนอตัวว่าสามารถรักษาโรคประหลาดนี้ได้
แรกเริ่มชาวบ้านผิงเหยียนไม่มีใครเชื่อ แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ จึงมีผู้หนึ่งทนไม่ไหว เอ่ยปากว่าหากไม่หายก็ขอตายดีกว่า ถ้ารักษาได้ เขาพร้อมมอบเงินให้อย่างงาม
คนผู้นั้นเสนอตัวออกมารับเม็ดยาจากสตรีปริศนา กลืนกินเข้าไปเพียงเม็ดเดียว แค่ครึ่งก้านธูปก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง ริ้วรอยผดผื่นตามเนื้อหนังที่คันคะเยอถูกเกาจนเกือบเน่าก็หายดี
พริบตาเดียวพวกชาวบ้านพลันฮือฮา พากันมารวมตัวที่ลานกว้างกลางหมู่บ้านผิงเหยียน เข้าแถวซื้อยาจากสตรีปริศนากันอย่างล้นหลาม
ภายใต้หมวกไผ่สานที่มีผ้าโปร่งชั้นหนึ่งครอบศีรษะและมีผ้าขาวปิดกั้น ใบหน้าในนั้นกำลังเผยรอยยิ้มเยียบเย็นผุดขึ้นตรงมุมปาก ดวงตาของนางดำขลับนิ่งสงบสุดจะหยั่ง นางคือเทพธิดาชุดขาวที่ขายยาจากสวรรค์ ไม่ช้านางก็หอบเงินเป็นกอบเป็นกำเดินทางจากไปอย่างเงียบงัน
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครได้เห็นใบหน้าของหมอหญิงเทวดาเลยสักคน ยามนางจากไปเบื้องหลังยังมีบรรดาชาวบ้านที่หายป่วยพากันส่งเสียงฮือฮาสรรเสริญอย่างยินดี
ที่เป็นเช่นนี้ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการของซานซาน
นางเลือกทำพิษชนิดอ่อนไปวางยาชาวบ้าน ด้วยวิธีปล่อยลงต้นสายของแม่น้ำที่ทุกครัวเรือนผิงเหยียนใช้ดื่มกิน
จากนั้นก็ปรุงยาแก้พิษรอเอาไว้ ทิ้งระยะเวลาให้คนป่วยเพิ่มจำนวนมากหน่อย ก่อนจะปลอมตัวเป็นหมอเทวดา ไม่เปิดเผยโฉมหน้า แล้วนำยาแก้พิษไปขายให้พวกเขา เมื่อได้เงินจนพอใจก็จากลาไร้ร่องรอย
เหตุที่ซานซานต้องปิดบังใบหน้าปลอมตัวก็เพราะชิงหลินเป็นสตรีนางน้อยในห้องหอ ทั้งยังโง่เขลาเบาปัญญา เป็นบุคคลที่ชาวบ้านรู้จักมาเนิ่นนาน
การเสนอตัวช่วยเหลือด้วยใบหน้าแท้จริงย่อมมิอาจทำได้
นางจึงจำเป็นต้องอำพรางรูปโฉมขณะขายยา เพื่อความน่าเชื่อถือและป้องกันปัญหาที่อาจจะตามมาภายหลัง
ยามราตรีอันมืดมิด มีเพียงแสงตะเกียงลอดผ่านทางช่องลมของเรือนไม้ไผ่
จ้าวเหว่ยยืนกอดอกมองซานซานที่กำลังนั่งนับก้อนเงินอยู่ตรงโต๊ะมุมห้อง เห็นสายตานางทอประกายแวววาวราวดวงดาราพร่างพราวบนฟากฟ้า จึงเอ่ยเสียงเย็น
“เจ้าหาเงินได้มากมายภายในเวลาแค่ไม่กี่วัน เกรงว่าคงคิดทำลายบ้านเดิมของข้าแล้วสร้างคฤหาสน์ในไม่ช้านี้กระมัง”
น้ำเสียงนั้นฟังออกชัดเจนว่าไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น
หญิงสาวจึงชะงักเล็กน้อย ช้อนตามองผู้พูดแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบา
“ด้านนอกของตัวบ้านเราคงสภาพทรุดโทรมไว้เช่นเดิมก็แล้วกันนะ จะได้ไม่มีโจรผู้ร้ายมาปล้นชิง ส่วนด้านในก็ค่อยๆ เพิ่มเครื่องเรือนล้ำค่า”
“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?”
ชายหนุ่มถามเสียงขรึม รู้สึกไม่พอใจอยู่มาก หากภรรยาอยากได้สิ่งใด ไยไม่บอกเขาที่เป็นสามี
สำหรับจ้าวเหว่ย เรื่องเงินมิใช่ปัญหา วิธีการชั่วช้าก็มิใช่ประเด็น เขาเพียงเป็นห่วงความปลอดภัยของซานซานเท่านั้น ไยนางต้องเสี่ยงทำเรื่องอันตรายเช่นนี้
ชายหนุ่มนึกเคืองเรื่องนี้ไม่เบา
แต่ซานซานกลับเข้าใจผิดคิดไปว่าสามีกำลังโกรธตนเรื่องที่วางยาพิษคนทั้งหมู่บ้านแล้วหลอกขายยาจึงรีบกลบเกลื่อนความผิดโดยการหาวคราหนึ่ง ทำตาปรือพึมพำว่า
“ข้าง่วงแล้ว..ขอนอนก่อนนะ”
กล่าวจบก็รีบเก็บเงินใส่หีบแล้วปีนขึ้นเตียงทันที
ชายหนุ่มพลันชะงักก่อนถามเสียงเครียดอย่างไม่ยินยอม
“เราสองไยมิใช่ควรคุยกันก่อน”
“ไม่ไหวแล้ว ข้าเหนื่อยเหลือเกิน”
สิ้นเสียงอ่อนแรง ฝ่ายภรรยาก็หลับเป็นตาย นับเป็นการกระทำที่ปล่อยให้ชายผู้เป็นสามีต้องทนเดียวดายจนพ้นราตรี...
อีกแล้ว...
จ้าวเหว่ยหรี่ตามองซานซานเงียบงัน กดเก็บอารมณ์โดยธรรมชาติของบุรุษเอาไว้ ก่อนถอนหายใจเช่นคนปลงตก
หลายวันมานี้เขาเองก็ฝึกวิชายืดหดเส้นเอ็นอย่างหนัก นับว่าใช้เรี่ยวแรงไปไม่น้อย ควรพักผ่อนให้มากเช่นกัน
เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงขึ้นเตียงแล้วล้มตัวลงนอน เอื้อมมือสะกิดคนด้านข้าง เอ่ยสั่งเสียงต่ำ
“นอนดีๆ”
คำนี้ทำเอาสตรีที่นอนชิดกำแพงรีบพลิกตัวกลับมาหนุนท่อนแขนกำยำแล้วซุกซบอกอุ่นทันที
รอยยิ้มบางพลันปรากฏตรงมุมปากบุรุษ
มือหนึ่งของจ้าวเหว่ยโอบไหล่กลมมนของซานซาน อีกมือหนึ่งกระชับผ้าห่มปรกเนินอกให้อย่างเบามือ ก่อนยกขึ้นไปรองท้ายทอยของตนเอง
หมอนหนุนบุรุษอาจไม่ดีเท่าของสตรี แต่กระนั้นยังคงหลับได้สบายจนพ้นราตรีอย่างน่าแปลกใจในทุกค่ำคืน
จ้าวเหว่ยถอนหายใจหนักอก ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงช้าๆ ก่อนเข้าสู่นิทราในใจยังตรึกตรองโดยละเอียดว่า
สตรีนางนี้ไม่ควรปล่อยให้ไกลตาเลยจริงๆ
เช้าวันต่อมาซานซานแต่งกายด้วยชุดสีชมพูอ่อนหวาน เตรียมตัวออกนอกบ้านเพื่อไปตลาด เป้าหมายคือติดต่อช่างไม้ ให้ประกอบเครื่องเรือนตามต้องการ เงินที่ได้มาเมื่อวานยังเหลือไว้ซื้อเครื่องเงินบางอย่าง ที่มิใช่เครื่องประดับ แต่กลับนำมาทำเป็นอาวุธลับที่ทรงพลังยามครุ่นคิด ดวงตาหญิงสาวทอประกายชั่วร้ายแวบหนึ่งชั่วจังหวะนั้น พลันถูกนิ้วดีดหน้าผาก “อ่ะ!”“คิดจะทำอะไรอีก?” จ้าวเหว่ยถามเสียงเรียบ ลดมือตนที่เคาะหน้าผากมนของซานซานเมื่อครู่ลงมาบีบแก้มอีกหนึ่งที“อ๊ะ!” เจ้าของแก้มอุทานเล็กน้อย เอ่ยตอบอู้อี้ “ข้าจะไปสั่งทำเตียงอรหันต์ กับฉากไม้กั้นลม แล้วก็เดินซื้อของหลายอย่าง”ชายหนุ่มเลิกคิ้วหรี่ตามอง “เจ้าควรเว้นระยะสักหลายวัน ให้เรื่องหมอหญิงปริศนาซาลงก่อน แล้วค่อยไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย น่าจะปลอดภัยมากกว่า”เขาปล่อยนิ้วจากแก้มนวลแล้วสั่งเสียงเย็น“ระหว่างนี้ควรละลายยาแก้พิษทั้งหมดใส่ต้นน้ำอีกครั้ง เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดเกิดโดนพิษขึ้นมาอีก เข้าใจหรือไม่?”ซานซานได้ฟังถึงกับเบิกตาส่งยิ้มแห้ง “อ้อ...ข้าลืมไป”จ้าวเหว่ยทำเสียงดุ “นึกได้แล้วก็ไปจัดการเสียเดี๋ยวนี้”“รู้แล้ว...”ชายหนุ่มยังสั่ง “เสร็จแล้วก็มากิน
หลังจากกินข้าวจนอิ่มหนำ ซานซานที่นอนมาทั้งวันก็ตื่นตัวเต็มที่ ยิ่งดึกยิ่งสว่างกระจ่างตา ทำตัวราวกับค้างคาวออกหากินกลางคืนซานซานพาจ้าวเหว่ยมานั่งนับดาวอยู่ริมธาร บรรยากาศนับว่าดีไม่น้อย เหมาะสำหรับคู่สามีภรรยาให้พากันดื่มด่ำค่ำคืนแสนหวาน ร่วมชื่นชมจันทรางดงามภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีกาล มีเพียงแสงดาวพร่างพราว ดวงจันทร์กระจ่างกลางนภากว้าง สีเงินยวงสาดแสงลงมากระทบเรือนร่างบุรุษและสตรีที่นั่งเคียงข้างกัน เกิดเป็นเงาสองสายทอดยาวไปตามพื้นหญ้าพวกเขาต่างก็มีความลับซ่อนเร้น หากแต่การแสดงออกซึ่งหน้ากลับไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวตนที่แท้จริง ทั้งกิริยาวาจาล้วนเปิดเผยและจริงใจ นับเป็นสัมพันธ์ที่ดีที่สุดอีกรูปแบบหนึ่งซานซานนั่งมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย บนนั้นมีจันทร์เสี้ยวคล้ายดาบโค้ง หนึ่งในศาสตราวุธที่ทรงพลานุภาพของนางในชาติที่แล้ว“เหย่หนิวรู้จักดาบแสงจันทร์หรือไม่?” หญิงสาวพึมพำ“ดาบแสงจันทร์หรือ?”“อืม...ยังมีดาบวงเดือน แส้หนังโลหิต กระบี่สุริยา กำไลเข็มพิษ วงแหวนพิฆาต ง้าวเหล็กจันทร์เสี้ยว กระบี่สายรัดเอว”อันที่จริงยังมีอีกมาก ชาติก่อนซานซานสามารถเปลี่ยนสิ่งของรอบกายให้กลายเป็นอาวุธร้ายได้ไม่ยากเย
เพราะว่าวันนี้ทั้งวันยังมิได้ออกแรงทำอะไรเลย ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย ไม่ง่วงนอน และที่สำคัญครั้งก่อนคนที่เข้าหอกับสามี มิใช่นางที่เป็นซานซาน แต่เป็นชิงหลินก่อนตายต่างหาก“คิดอะไรอยู่?”เสียงแหบพร่านั้นคล้ายกับดังมาจากสวรรค์ ฟังแล้วให้รู้สึกทุ้มนุ่มน่าฟังอย่างประหลาดซานซานจึงตอบกลับอย่างเผลอไผล“ข้ากำลังคิดว่าอยากเข้าหอกับท่านอีกครั้งจะได้ไหม?”สิ้นคำถาม พลันได้ยินคล้ายเสียงหัวเราะในลำคอ“ที่แท้เจ้าก็คิดเช่นนี้”ซานซานพยักหน้าถี่ๆ ดั่งนกกระสา ฉับพลันก็รู้สึกว่าเอวถูกรัดแน่น เห็นดวงตาของสามีชัดเจนนักแม้ว่าใบหน้าเขาจักอัปลักษณ์ ทว่าดวงตากลับเรียวคมทรงพลัง แฝงไปด้วยเสน่ห์มนต์มารอันร้อนแรงที่แสนจะเย้ายวน ยามมองสบสายตายิ่งชวนประหวั่นพรั่นพรึงและหลงใหลได้ในเวลาเดียวกันโดยที่ไม่รู้ตัว กลีบปากนางพลันถูกแตะแต้มแผ่วเบา คล้ายภมรหยอกเย้ากลีบบุปผาอ่อนนุ่ม ซานซานเผลอไผลกระทั่งถูกเรียวปากเขาขบเม้มเนิ่นนานก็ยังไม่รู้ตัวสายลมราตรีพัดผ่าน ฝากความเย็นเยียบเอาไว้รอบทิศ ทว่ากายสาวกลับรู้สึกร้อนผะผ่าวยากระงับริมฝีปากที่ขยับแนบชิดยิ่งนานยิ่งดุดันและร้อนกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจรินรดยิ่งร้อนระอุไม่ต่างจากห
เดือนห้า หลังหยาดพิรุณร่วงโรย ท้องฟ้าก็สดใส บุปผายิ่งบานสะพรั่ง หยดน้ำบนยอดหญ้าล้วนพร่างพราว ดุจดวงดาวเฉิดฉายยามกลางวันถนนดินที่เคยแห้งแดงแตกระแหง บัดนี้คล้ายสีทองอร่าม โชยกลิ่นอายแห่งชนบทของหมู่บ้านผิงเหยียนเต็มเปี่ยมเรือนไม้ไผ่โดดเดี่ยวท้ายหมู่บ้าน ที่เคยแห้งกร้านขาดความสดชื่น ยามนี้มีสวนผักอยู่ด้านข้าง เติบโตอวบอ้วน ยิ่งช่วงหลังฝนซาฟ้าโปร่ง ยิ่งเผยความชุ่มฉ่ำคล้ายมีชีวิตชีวา ดึงดูดให้ผู้คนเก็บกินอีกฟากหนึ่งเป็นลำธารใสกระจ่าง ผิวน้ำดุจคันฉ่องต้องแสงตะวัน ส่องประกายระยิบระยับทอดยาวไปไกลลิบ หมู่ปลาหลากสีแหวกว่าย ล่อตาล่อใจ คล้ายภาพมายา ให้ผู้คนจ้องมองภายใต้บรรยากาศเรียบง่ายอันใสซื่อ ทันใดนั้น ไม้ไผ่ปลายแหลมพลันพุ่งพรวด รวดเดียวก็ปักทะลุลำตัวปลาได้นับสิบซานซานเดินลงน้ำมาหยิบไม้ท่อนนั้นแล้วยกขึ้นสูงเหนือศีรษะเพื่อโอ้อวดใครบางคนบนริมฝั่งพลางส่งยิ้มเบิกบานจ้าวเหว่ยยืนกอดอกมองอยู่ริมตลิ่ง เอ่ยเสียงเรียบอย่างไม่ถือสา “เจ้าใจร้อนเกินไป”หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น “ข้าเห็นท่านนั่งตกอยู่เป็นนาน ได้แค่ไม่กี่ตัวนี่” กล่าวพลางขึ้นจากน้ำยื่นไม้ให้อีกฝ่ายชายหนุ่มรับไม้จากมือนางมาถือไว้เอง ปากยังเอ่
คืนวันของสามีภรรยาผ่านพ้นไปอย่างสงบ มีชีวิตดั่งภาพฝันอันยาวนาน คล้ายไร้จุดสิ้นสุดแห่งความสุขหลังผ่านความเร่าร้อนมาครึ่งค่อนราตรี ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เสียงสตรีก็แหบแห้งเสียแล้ว ทว่าความร้อนแรงแห่งไฟพิศวาสในแววตากลับไม่ลดทอนลงเลย“อา...เหย่หนิว”ซานซานแหงนหน้าส่งเสียงหวิวแผ่ว ฝ่ามือเรียวเลื่อนจากเอวสอบขึ้นมาลูบไล้ที่แผ่นหลังกว้าง สัมผัสหยาดเหงื่อพราวพร่างที่กำลังสะท้อนแสงจันทร์ซึ่งลอดผ่านช่องลมเข้ามาในห้องนอน“หืม...” จ้าวเหว่ยพรมจูบดวงหน้าแดงเรื่ออย่างอ่อนโยน ขบเม้มลงต่ำไปเรื่อยๆ ที่ลำคอระหงและหน้าอกกลมกลึง ฝ่ามือยังกอบกุมที่เอวคอดกิ่วอย่างถนอม ขยับกลางลำตัวอย่างนุ่มนวล มิให้เสียจังหวะรัญจวนเลยแม้นิดเดียว“ไยท่านถึงมีเรี่ยวแรงเยอะนัก หายดีแล้วหรือไร?”บุรุษเหนือร่างไม่ตอบ เพียงถอนใบหน้าออกจากซอกคอขาวผ่อง ทอดมองนางด้วยแววตาชวนหวามไหว แล้วก้มลงจุมพิตกลีบปากอุ่นนุ่ม ตวัดปลายลิ้นร้อนชื้นหยุดวาจานางสตรีใต้ร่างทำได้เพียงพริ้มตา ตอบรับเพลิงปรารถนาที่สามีเป็นผู้มอบให้เสียงกดจูบของกลีบปากจึงดังผสานกับเสียงบดเบียดสอดประสานกลางลำตัว...ซานซานไม่คาดคิดเลยว่า ในชีวิตจะได้มีโอกาสสนิทสนมกับใครได้แนบ
ห่างจากเรือนไม้ไผ่ไกลลิบ อู๋เจี๋ยยืนก้มหน้านิ่งขึง เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงร้อนรน“องค์ชายโปรดพิจารณา หากพระองค์ยังยื้ออยู่เช่นนี้ พวกนักฆ่าตามมาจนเจอย่อมอันตรายถึงชีวิต การพานางไปด้วยยิ่งมิใช่ผลดี ชิงหลินผู้นี้มิได้มีค่าให้พระองค์ใส่ใจ นางคือตัวถ่วง”“องครักษ์อู๋...”น้ำเสียงเย็นเยียบพร้อมปราณสังหารหนาวสะท้านเช่นนี้ อู๋เจี๋ยไม่ค่อยได้พบเจอบ่อยนัก จึงสงบปากทันทีจ้าวเหว่ยยืนหันหลังให้องครักษ์คนสนิท เหม่อมองออกไปยังม่านมืดของราตรีอันไกลโพ้น นับหลายพันลี้จากจุดนี้คือวังหลวงอันวุ่นวายร้อนระอุ เป็นสถานที่ที่ไม่ควรก้าวย่างเข้าไป แต่จำต้องเหยียบย่ำมิอาจถอนเท้าหรือถอยหลังแม้ครึ่งก้าวเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธว่าหากกงหนิวผู้อัปลักษณ์ถูกค้นพบตัวตนที่แท้จริง การตามล่าย่อมมีมาอย่างช่วยมิได้ชายหนุ่มหลุบตาครุ่นคิด หลายวันมานี้ร่างกายอ่อนแอของเขาเริ่มแข็งแรงขึ้นมาก กำลังวังชายิ่งปรับสมดุลผสานลมปราณได้ดี อีกไม่นานย่อมฝึกฝนเพลงยุทธ์เหนือชั้นได้ไม่ยาก‘เหย่หนิว ท่านฝึกตามนี้นะ รับรองว่าร่างกายจะกลับมาหายดี พละกำลังแข็งแกร่งดุจเดิม แล้วเราค่อยมาเริ่มฝึกวิชากัน’เสียงของซานซานยังคงสะท้อนก้องให้ห้วงโสตจ้า
ฝนตกติดต่อกันนานหลายวัน ในที่สุดเช้านี้ท้องฟ้าก็ปลอดโปร่ง หมู่เมฆเร้นหาย ตะวันแผดแสงแรงกล้าขณะที่ซานซานกำลังนั่งสางผมอยู่หน้าคันฉ่อง พลันมีมือหนึ่งยื่นมาแย่งหวีแล้วสางผมให้อย่างเบามือหญิงสาวมองผ่านกระจกตรงหน้า เห็นชายหนุ่มผู้เป็นสามีกำลังม้วนผมแล้วปักปิ่นให้ ได้ยินเสียงเขากล่าวว่า“ปิ่นไม้นี้อาจไม่งาม แต่ข้าทำเองกับมือ เจ้าชอบหรือไม่?”ปิ่นสลักด้วยมือรูปดาราเร้นจันทร์ปีนเกลียว ซานซานเอียงหน้ามองปิ่นไม้ในกระจกพลางคลี่ยิ้มรับ “อืม...ชอบมาก”จ้าวเหว่ยเอ่ยอีก “วันหน้าข้าย่อมทำปิ่นหยกมอบให้เจ้า”ซานซานลุกขึ้นยืนแล้วยืดตัวหอมสันกรามสามีหนึ่งที พร้อมคลี่ยิ้มละมุนตา “ขอบคุณท่านพี่”เรียวตาคมวูบไหวบางเบายามมองภรรยา มุมปากใต้หนวดเครายกยิ้มเล็กน้อย ปลายนิ้วไล้เกลี่ยปอยผมที่ข้างแก้มให้ซานซานอย่างนุ่มนวล จ้าวเหว่ยอดใจไม่ไหวก้มหน้าจรดริมฝีปากกับหน้าผากมน แตะแต้มจุมพิตลงมาที่แก้มเนียนแล้วจูบนางตรงกลีบปากอุ่นนุ่มเนิ่นนาน ปรารถนาได้แนบชิดนางเช่นนี้ตลอดไปซานซานหลับตาพริ้มปล่อยให้สามีได้กระทำตามใจครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าริมฝีปากแดงฉ่ำจักได้รับอิสระ“ยามบ่ายวันนี้อากาศสดใสไม่เบา ข้าจะเข้าไปในหมู่บ้าน หาซ
กลางหมู่บ้านผิงเหยียนมีตลาดเพียงแห่งเดียวซานซานเดินเที่ยวอย่างใจเย็น ระหว่างทางเจอเพื่อนบ้านทักทายมาก็ส่งยิ้มนอบน้อมกล่าวทักทายกลับ ทำตัวกลมกลืนเยี่ยงชิงหลินได้ดีเยี่ยม เหตุนี้ท่านป้าท่านลุงจึงยื่นของกำนัลให้ตลอดทาง เห็นได้ชัดว่าชิงหลินได้รับความเอ็นดูหรือไม่ก็ถูกมองว่าน่าสมเพชเวทนาไม่น้อยจากผู้คนในหมู่บ้านแน่นอนว่าซานซานไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ นางยินดีรับสินน้ำใจทั้งหมดโดยไม่ต้องร้องขอ ไม่ต้องเสียเงิน เดิมทีในความคิดแรกเริ่มของหญิงสาวมีแต่เรื่องการฝึกฝนเคล็ดวิชาเฉกเช่นชาติปางก่อน ทว่านางรอเวลาอย่างใจเย็น ให้ร่างกายของเหย่หนิวแข็งแรงกว่านี้เสียก่อนเท่านั้น ส่วนตัวนางก็ค่อยๆ ฝึกกล้ามเนื้อพื้นฐานโดยการออกแรงทำงานต่างๆ เช่นนี้ ไม่กี่ปีหลังจากมีกำลังวังชาเพิ่มมากขึ้นค่อยท่องยุทธ์ก็ยังไม่สายไม่ต้องใช้คัมภีร์ ไม่ต้องแผ่ตำรา เพราะทุกสรรพวิชาล้วนถูกจดจำอยู่ในสมอง ขอเพียงได้หมั่นฝึกฝนซ้ำอีกครา ใต้หล้านี้จะไปไหนเสียเล่าเมื่อได้ผ้าที่ต้องการมาแล้วซานซานก็เดินเที่ยวตลาดอีกครู่ใหญ่เพื่อมองหาเครื่องประดับสักชิ้นสองชิ้น ระหว่างนั้นยังครุ่นคิดถึงสามีหลายวันมานี้ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ นางคิดสง
ซานซานปัดมืออีกฝ่ายออกจากไหล่ตนพลางเอ่ยเนิบช้า“ในเมื่อเจ้าล่วงรู้วิชาของข้า และข้าก็ล่วงรู้วิชาของเจ้า เกรงว่าสองเราคงเป็นศิษย์สำนักเดียวกันกระมัง”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ซานซานก็นิ่งคิดชั่วครู่ไม่ถูก! เคล็ดวิชานี้ เป็นนางที่คิดค้นไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว จะเป็นศิษย์สำนักเดียวกันได้อย่างไร นางควรเป็นอาจารย์ทวดของอีกฝ่ายถึงจะถูกต้อง!คิดเสร็จหญิงสาวก็โบกมือไม่ถือสา กล่าวเสียงเรียบว่า“เอาล่ะๆ นางมารเช่นเจ้ากล้าปลอมตัวเป็นนางรำเข้ามาในงานของวังหลวง คงถูกว่าจ้างมากระมัง จะสังหารใครรึ?”ประหนึ่งคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ หยุนผิงยิ่งอึ้งตะลึงงัน ปลายนิ้วสั่นเบาๆ เล็บแหลมคมเริ่มหดกลับเข้ามาในเนื้อ ผิวกายที่มีอักขระน่ากลัวค่อยๆ เลือนหาย ท้ายที่สุดนัยน์ตาสีแดงปานโลหิตก็ดำขลับเช่นเดิม เผยความงดงามหยาดเยิ้มดุจเดิมเพราะเคล็ดวิชาในตำนานมีเพียงอาจารย์ทวดต้นตำรับเท่านั้นที่สามารถล่วงรู้ได้ว่าวิชาที่ตกทอดเป็นเพียงหนึ่งในวิชาใดหยุนผิงคุกเข่ากระแทกพื้นเรียกซานซานเสียงสั่นเครือ “ท่านอาจารย์ทวด...”ถึงแม้จะทำใจเอาไว้แล้ว แต่หางคิ้วก็อดกระตุกมิได้ “เรียกเสียแก่เลยเชียว เรียกแค่อาจารย์หญิงก็พอกระมัง”หยุนผิงยืน
ค่ำคืนยาวนาน งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปจ้าวเหว่ยนั่งลงมองเพียงปลายนิ้วมือที่ไล้วนจอกเหล้าด้วยความเบื่อหน่ายอีกครั้ง รอเวลาอันเชื่องช้าเคลื่อนผ่านอย่างเงียบงัน ในใจคิดถึงแต่ใครบางคนอันเป็นรางวัลแห่งค่ำคืนและแล้วภายใต้ใบหน้าอันแสนจะเย็นชา รัชทายาทหนุ่มพลันได้แผนการใหม่ในการจัดการกับภรรยาในใจปรารถนาให้สิ้นสุดงานเลี้ยงโดยไวการเสวนาโต้ตอบระหว่างฮ่องเต้กับบรรดาขุนนางยังคงมีไม่ขาดสาย พร้อมเชื้อเชิญกึ่งท้าประชันฝีมือระหว่างตระกูลด้วยการนำเสนอความสามารถของบุคคลชั้นสูงคุณหนูแต่ละคนได้รับการสนับสนุนให้ออกมาแสดงฝีมือกลางลานกว้าง เปลี่ยนทุกการแสดงจากการมอบความสำราญเป็นแสดงความสามารถอันหาได้ยากยิ่งแทน มีทั้งการบรรเลงพิณ แต่งโคลงต่อกลอน และร่ายรำเมื่อการแสดงรอบนี้เป็นสตรีชั้นสูง กระทั่งการร่ายรำบิดเอวส่ายสะโพกจึงมิใช่เป็นการแสดงชั้นต่ำ อีกทั้งยังสูงส่งเทียมฟ้าทุกนางล้วนงดงามสะกดสายตา ยิ่งชาติตระกูลสูงศักดิ์ ยิ่งกลายร่างเป็นโฉมสะคราญหยาดฟ้าแต่ละนางอวดโฉมในด้านที่ดีที่สุดให้องค์รัชทายาทได้ยล พยายามดึงดูดเขาด้วยรูปโฉมและฝีมือในศาสตร์ทุกแขนงเวลาแห่งค่ำคืนค่อยๆ ดำเนินไปช้าๆ ระหว่างนั้นซานซานก็กล
บรรดาคุณหนูในงานต่างโล่งใจที่เป็นซานซาน เพราะสตรีผู้นี้ย่อมไม่อาจได้รับสิทธิ์ปีนเตียงรัชทายาท หรือต่อให้ร่วมวสันต์จริง ก็ยังต้องเป็นได้แค่สาวใช้อุ่นเตียงไร้ค่า บนแท่นประทับ โอรสสวรรค์ยังคงแย้มพระสรวลน้อยๆ พระองค์ตรัสแล้วย่อมไม่อาจคืนคำ ในเมื่อประกาศแล้วว่าจะมอบรางวัลให้บุตรชาย ก็ควรต้องเป็นไป “เช่นนั้น เจ้า...” ฮ่องเต้ชี้นิ้วไปทางซานซาน “รั้งอยู่...”เบื้องหน้าคือองค์จักรพรรดิผู้มีอำนาจล้นฟ้า ถัดมายังเป็นองค์รัชทายาทผู้สูงส่ง รอบด้านยังมีแต่ชนชั้นสูงศักดิ์ ซานซานที่เป็นสตรีผู้น้อยต้อยต่ำมีหรือจะปฏิเสธได้ หญิงสาวจึงยอบกายแนบพื้นน้อมรับเสียงเบา มิอาจเป็นอื่นสิ้นคำตรัสฮ่องเต้ จ้าวเหว่ยเพียงตอบรับเสียงเรียบ “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”ครานี้หลี่กุ้ยเฟยคลายหัวคิ้ว ยกยิ้มงาม เพราะเป็นซานซานย่อมดีกว่านางรำแปลกหน้า คนกันเองทั้งนั้น ไว้ใจได้เหตุที่หลี่ฮุ่ยเยี่ยนไว้ใจซานซานมิใช่เพียงแค่นั้น แต่เป็นเพราะซานซานชอบเพียงเงินทอง ไม่ฝักใฝ่อำนาจ ไม่เป็นอันตรายต่อตำแหน่งรัชทายาทของจ้าวเหว่ยแน่นอนปราศจากเสียงคัดค้าน มีเพียงสายตายอมรับได้ รอบด้านมิได้ริษยาซานซานเทียบเท่าหยุนผิงที่งามเลิศล้ำ สายตาคล้าย
บนแท่นประทับมังกร ฮ่องเต้ตรัสกับขันทีด้านหลัง“พาแม่นางฮวาไคไปพำนักในห้อง รอพาตัวเข้าวังบูรพา”ขันทีค้อมกายน้อมรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ”ถ้อยวาจาเหล่านี้ยังคงเรียกรอยยิ้มบางเบาให้ประดับบนใบหน้าหล่อเหลาของจ้าวเหว่ยเช่นเคย เขาลุกขึ้นยืนประสานมือแล้วเอ่ยกับพระบิดาทันที“ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพึงใจกับรางวัลในค่ำคืนนี้ เพียงแต่สตรีที่ปรบมือให้ หาใช่แม่นางผู้นั้นไม่ รางวัลก็ควรเปลี่ยนไป เป็นนางผู้นี้”ฮ่องเต้ขมวดพระขนง ปรายพระเนตรมองบุตรชาย “หืม?”โซวอ๋องชะงักนิ่ง หยุนผิงยอบกายแข็งค้างจ้าวเหว่ยเน้นอีกครั้งปรายสายตาไปทางซานซาน“เป็นนางพ่ะย่ะค่ะ”ยามนั้นทุกคนถึงได้สังเกตเห็นซานซานที่เดิมทีคล้ายวิญญาณ ประหนึ่งหมอกควันที่เห็นเพียงเลือนลางเวลาก่อนหน้านี้นับว่าเนิ่นนานทีเดียวที่หญิงสาวถูกความงามของหยุนผิงบดบังเอาไว้จนมิดชิดนางแค่อยู่ตามธรรมเนียมเพื่อรอรับรางวัล มิคาดฝันว่าจักกลายเป็นรางวัลเสียเอง...โซวอ๋องให้นึกกังขา จึงปรับสีหน้าตึงเครียดให้ราบเรียบดุจเดิมพลางเอ่ยด้วยเสียงทุ้มนุ่มเผยแววหยอกเอินว่า“การแสดงชุดใหญ่เพียงนี้ เหตุใดนางถึงได้รับความชอบเพียงผู้เดียวเล่า มีสิ่งใดพิเศษกระนั้
การตกอยู่ในภวังค์เช่นนี้ราวกับเป็นเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึก โดยมีซานซานทำตัวคล้ายหมอกมารไอปีศาจไร้ตัวตน นางคอยควบคุมบงการทุกคนได้อย่างเหนือชั้น ไร้ใครสังเกตและต้านทาน เครื่องมือคือหยุนผิงผู้โดดเด่นและนางรำทั้งหลายที่งดงามพร้อมครอบครองดลบันดาลเนิ่นนานผ่านไปเสียงพิณค่อยๆ แผ่วจาง แล้วหยุดลงในที่สุด ทุกคนพลันบังเกิดความรู้สึกนึกคะนึงหา มิอาจแยกจาก หากเพลงพิณรุนแรงกว่านี้เกรงว่าพวกเขาคงน้ำตาไหลพรากทว่าเมื่อได้สติกลับคืนปรากฏว่านางรำสิบกว่าคนกำลังพากันทยอยกรีดกรายจากไปคล้ายหมู่ภมรอิ่มน้ำหวานกลับถิ่น พริบตาคงเหลือเพียงมือพิณสองนางยอบกายแนบพื้นนอบน้อมตามธรรมเนียมปฏิบัติของแคว้นต้าถัง ผู้ดีดพิณย่อมอยู่ต่อเพื่อรอรับรางวัลจากผู้ชมชั่วขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในภวังค์ต้องมนต์จนเงียบงัน ยามนั้นองค์รัชทายาทพลันได้สติกลับมาคนแรกชายหนุ่มคล้ายหลุดจากท่าทีสุขุมนุ่มลึกอันเย็นชาถึงกับลุกขึ้นยืนแล้วปรบมืออย่างช้าๆ เผยสีหน้าชื่นชมอารมณ์ดี ท่าทางประหนึ่งถูกครอบงำตราตรึงจากบางสิ่งจ้าวเหว่ยผู้ไม่เคยให้ความสนใจในการแสดงครั้งใดกลับแสดงว่าชมชอบการแสดงชุดนี้จนออกนอกหน้า ทุกคนจึงได้รู้ตัวได้สติกลับคืนมา
ยิ่งคิดเรียวคิ้วบุรุษยิ่งขมวดมุ่นจนเป็นปมยากคลายตัว ขัดแย้งกับบรรยากาศอันแช่มชื่นรอบกายเต็มทีหากปล่อยให้ซานซานเข้าใจผิดเรื่องเหย่หนิวต่อไป บางทีอาจจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย อย่างน้อยนางย่อมไม่ถูกเพ่งเล็ง ทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากเสด็จแม่ต่อไปให้อู๋เจี๋ยได้รับผลกรรมเป็นเหย่หนิว ถูกซานซานเกลียดชัง ถูกคนรักเข้าใจผิดมหันต์ไปเช่นนั้น รอจนกว่าซานซานหายโกรธ เขาย่อมปล่อยอู๋เจี๋ยออกมาส่วนตัวเขาก็จะกลายเป็นชายหนุ่มคนใหม่ที่เข้าหานาง เป็นรัชทายาทสูงศักดิ์ผู้เพียบพร้อม เหนือชั้นกว่าเหย่หนิวทุกอย่างส่วนหลิ่งเอ๋อร์ก็เป็นองค์หญิงตัวน้อยช่วยกุมหัวใจของเสด็จแม่อยู่อีกทางให้เวลาบ่มเพาะความรักขึ้นมาใหม่แอบคบหากันไปก่อน รอกระทั่งเขาได้ขึ้นครองราชย์ มีอำนาจสิทธิ์ขาดค่อยว่ากันภายใต้สีหน้าราบเรียบเฉยชาไร้อารมณ์ รัชทายาทหนุ่มยิ่งคิดยิ่งร้อนรุ่มดังมีไฟสุมอยู่ในทรวงอก จนเลือดเดือดพล่าน เพราะเรื่องแรกที่เขาคิดการณ์ คือต้องจัดการซานซานให้ได้ก่อนดูเถิดว่าเขาจะเกี้ยวนางได้หรือไม่?ขณะที่จ้าวเหว่ยได้ข้อสรุปที่เรียกได้ว่าชั่วร้ายเพื่อภรรยา เสียงปรบมือเปิดงานด้วยการแสดงจากหอนางรำเลื่องชื่อก็เริ่มขึ้นสตรีงดงาม
งานเลี้ยงดำเนินไปด้วยบรรยากาศชื่นมื่นมีการสนทนาระหว่างฮ่องเต้ องค์ชาย องค์หญิง ขุนนางทั้งหลายฝ่ายบุรุษต่างมีสีหน้ารื่นรมย์เพราะถือเป็นโอกาสได้สำเริงสำราญเต็มที่ มีสตรีงดงามให้ได้ยล ทั้งยังสูงส่งมากความสามารถฝ่ายสตรียิ่งเบิกบานเพราะได้เปิดหูเปิดตาร่วมประชันโฉมและแสดงฝีมือหลังจากที่ต้องอดทนบ่มเพาะตัวตนแค่ในเรือนหัวข้อที่เสวนาล้วนแต่เป็นการสรรเสริญเยินยอประจบสอพลอ ยังมีต่อด้วยการโต้ตอบไปมาระหว่างอริที่เสแสร้งเป็นพันธมิตรนอกจากนั้นเรื่องที่คุยกันก็ไม่พ้นว่าบุตรชายหรือบุตรสาวบ้านใดเป็นใคร ยิ่งใหญ่แค่ไหน อายุเท่าไหร่มีความสามารถอันใด พร้อมออกเรือนหรือไม่ท่ามกลางถ้อยวาจาและเสียงหัวเราะที่แลกเปลี่ยนกัน มีเพียงบุรุษชุดม่วงขลิบทองยังคงเก็บอาการเบื่อหน่ายต่องานเช่นนี้เอาไว้ได้อย่างแนบเนียนด้วยท่าทางสุขุมนุ่มลึกใบหน้าหล่อเหลาซ่อนความเย็นชาในดวงตาคู่ดำด้วยการหลุบลงต่ำมองเพียงปลายนิ้วที่ไล้วนบนจอกเหล้าในมือขณะยกขึ้นจรดริมฝีปากเพื่อดื่มลงคอ ในใจของจ้าวเหว่ยที่เคยราบเรียบบัดนี้คล้ายมีระลอกคลื่นบางเบาเมื่อนึกถึงเรื่องราวบางประการภาพภายในห้องขังคุกหลวงอันมืดมิดปราศจากผู้อื่น ยามที่เจี้ยนจื้อห
หญิงสาวนางหนึ่งอายุราวยี่สิบปีค่อยๆ เผยโฉมออกมาจากกลุ่ม แล้วถามว่า “เจ้าคือคนของวังหลวงใช่หรือไม่? คิดใช้อำนาจข่มเหงพวกเราหรือไร?”ซานซานขมวดคิ้ววูบ “ข้ามิใช่คนของใครทั้งนั้น ไม่มีเหตุผลใดต้องข่มเหงเจ้า แค่มีวิธีดีๆ ให้ได้เงินง่ายๆ แบบทั่วถึงกัน”หญิงสาวคนเดิมจึงเดินมายืนประจันหน้ากับซานซาน นางมีผิวขาวราวหิมะ แต่งกายด้วยผ้าเนื้อบางเผยสัดส่วนชัดเจน ใบหน้ารูปไข่งดงามอ่อนหวานเย้ายวนอย่างที่สุด สะคราญโฉมพิลาศล้ำยิ่งกว่าองค์หญิงต้าถังด้วยซ้ำหญิงงามกล่าวกับซานซานด้วยน้ำเสียงแว่วหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า “ข้านามว่าหยุนผิง มือพิณ ทุกครั้งที่ขึ้นแสดงฝีมือ ข้าได้รับความโปรดปรานที่สุด เรียกเงินได้มากที่สุด แต่ก็เหน็ดเหนื่อยกับการเอาตัวรอดจากขุนนางบางคนที่คิดจะติดพันเพื่อซื้อตัวเข้าจวนที่สุดเช่นกัน หากเจ้าช่วยให้ข้าลดความเสี่ยงตรงนั้นได้ โดยที่ค่าตอบแทนไม่ลดลงจากที่เคยรับ ข้าก็ยินดีมอบหน้าที่ดูแลน้องสาวทุกคนในที่นี้ของข้าให้เจ้า”“พี่ผิง!” นางรำทุกคนอุทานอย่างตกใจหยุนผิงยกมือห้ามบรรดาน้องสาวมิให้โวยวาย แล้วกล่าวต่ออย่างใจเย็น “แต่หากเจ้าทำมิได้ ด้วยความงามของข้า รวมกับการได้รับเชิญขึ้นแสดงเพลงพิณ
ซึ่งแท้จริงแล้ว ใครสูงใครต่ำ ซานซานมิได้สนใจ เพียงแต่การถูกจัดลำดับให้ขึ้นแสดงต่างหาก ที่ทำให้หงุดหงิดเพราะนักแสดงมืออาชีพในห้องนี้ถูกสั่งให้แสดงหลังจากคุณหนูในงานแสดงจนหมดแล้วทุกคน และที่สำคัญ ลำดับของซานซานยังเป็นลำดับสุดท้ายต่อจากนางรำคนท้ายที่สุดอีกชั้นจะบ้าตาย...คุณหนูมากมายปานนั้น เวลาที่ใช้แสดงความสามารถก็นานเนิ่น ยังมีต่อกลอนหวานเลี่ยน โต้คารมไปมากว่านางจะได้ขึ้นแสดง ทุกคนคงเมาหลับหรือไม่ก็เริ่มทยอยกลับกันหมดซานซานขมวดคิ้วใคร่ครวญโดยละเอียด ในที่สุดก็ลุกขึ้นแล้วเดินมายืนกลางห้อง ยกมือขึ้นตบแรงๆ เพื่อเรียกความสนใจผลที่ได้คือนางรำหันมามองซานซานทุกคน“พี่น้องคนงามทั้งหลาย” เส้นเสียงกังวานที่เรียกขานทำเอาสาวงามขนลุกซู่ “การแสดงศาสตร์ศิลป์แต่ละครั้ง พวกท่านแยกกันแสดงตามลำดับก่อนหลังครั้งละสามสี่คนถูกต้องไหม?”เรื่องนี้ซานซานอ่านระเบียบการแสดงมาก่อนหน้า จึงรู้ได้“ถูกต้อง” นางรำคนหนึ่งตอบคำ “เจ้าสงสัยอันใดหรือ?”ซานซานมิได้ตอบคำถามนั้น แต่ถามกลับว่า “เช่นนั้น ค่าตอบแทนเล่า ได้อย่างไร?”นางรำอีกคนตอบบ้าง “ได้ไม่เท่ากันอยู่แล้ว แต่ละรอบที่ขึ้นแสดง ความโปรดปรานย่อมไม่เท่าเทียม คน