ยิ่งดึกลมราตรียิ่งพัดพลิ้ว ให้รู้สึกถึงความเย็นฉ่ำ
เนื่องจากวุ่นวายทั้งวัน ตกเย็นยังกินเนื้อเสียจนแน่นท้อง พอพลบค่ำมาหนังตาจึงหนักอึ้ง ซานซานยามนี้จึงหลับใหลประดุจตายไปแล้ว
บนเตียงเย็นเยียบที่มีผ้าห่มเพียงหนึ่งผืน กำลังมีสตรีนอนพริ้มตาคล้ายสิ้นสติ โดยมีบุรุษนอนขมวดคิ้วจ้องมอง
“เจ้าตัวยุ่ง!”
จ้าวเหว่ยบ่นออกมาคำหนึ่ง ก่อนเอื้อมมือดึงผ้าห่มขึ้นมาปรกเนินอกของซานซาน ปล่อยนางได้หนุนท่อนแขน ซุกซบอกอุ่นของเขาไปเช่นนั้น
บนเตียงไม่เล็กไม่ใหญ่จึงมีภรรยากำลังนอนกอดก่ายสามีแล้วหลับฝันดีที่สุดในใต้หล้า หญิงสาวไม่รู้หรอกว่า แววตาที่มองนาง กำลังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ชายผู้หนึ่งซึ่งสูงส่งตั้งแต่เกิด เป็นโอรสแห่งองค์จักรพรรดิ ไม่เพียงมีทรัพย์สมบัติ แต่ยังมีรูปโฉมที่ล้ำเลิศงดงามเป็นเอก แต่ไหนแต่ไรมา มีสตรีนับไม่ถ้วนอยากชิดใกล้ อยากสนิทสนม อยากแม้กระทั่งถูกครอบครอง
ทว่าเมื่อต้องปลอมตัวซ่อนกาย แปลงโฉมเป็นชายอัปลักษณ์ อย่าว่าแต่ตีสนิทเพื่อแนบชิดเลย แม้แต่หางตาพวกนางยังไม่เหลียวมอง
สำหรับคู่ชีวิตที่สามารถยืนหยัดประคับประคองกันไปตลอดรอดฝั่งกระทั่งแก่เฒ่า พวกเขาล้วนต้องยอมรับกันและกันได้หมดทุกสิ่ง ไม่ว่าด้านดีหรือเลว งดงามหรือน่าเกลียด ตกต่ำหรือสูงศักดิ์ มากฝีมือหรือไร้ความสามารถ
ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จักพบพาน ทว่ารัชทายาทหนุ่มรูปงามแห่งต้าถัง ที่จำต้องอำพรางตัวตนจนน่าเกลียดปราศจากเสน่ห์เลิศล้ำที่เคยมี กำลังพบเจอใครบางคนที่น่าสนใจ
ดวงตาเรียวคมของจ้าวเหว่ยพินิจแน่นิ่งที่สตรีตรงหน้า พลางนึกถึงคำรายงานจากองครักษ์คนสนิท
ถ้อยวาจาของอู่เจี๋ยที่เอ่ยออกมามีแต่ความสัตย์ซื่อจริงใจ
ทั้งยังเน้นย้ำว่าชิงหลินเป็นสตรีที่แย่ที่สุดบนแผ่นดิน ควรหลีกห่างปานใด เป็นหญิงที่ไร้เสน่ห์แค่ไหน ทั้งยังไม่น่าคบหาเลยแม้แต่น้อย เมื่อคิดไปคิดมา มุมปากใต้หนวดเคราเขียวครึ้มก็ยกยิ้มบางเบาอย่างนึกขัน ในใจใคร่ครวญลึกซึ้ง
ภรรยาของเขานางนี้...ช่างสมคำร่ำลือ...
ยามรุ่งสาง อากาศยังเย็นอยู่มาก
ซานซานจึงคร้านจะลืมตา เพียงเอื้อมฝ่ามือขึ้นควานหาไออุ่นของสามี ทว่ากลับไม่พบผู้ใด
หญิงสาวสะลึมสะลือปรือตาขึ้นมองไปทั่วเตียง ก่อนลุกขึ้นนั่ง จัดระเบียบเสื้อผ้าจนเรียบร้อย แล้วเดินไปทางโต๊ะมุมห้อง เห็นกระดาษที่เขียนค้างเอาไว้เมื่อวาน ก็คิดว่าควรเขียนทุกกระบวนท่าต่อให้เสร็จสิ้น จากนั้นก็ฝึกฝนวันละหกชั่วยาม...
ระหว่างที่คิด ยังมองไปทางเตียงที่แสนจะเย็นเยียบ กวาดสายตามองไปทั่วห้องที่โล่งโปร่ง ซึ่งมีลมเย็นแทรกซึมไปทั่ว ในใจฉุกคิดได้อีกหนึ่งประการ
หากจะฝึกวิชาให้สำเร็จเร็วๆ ลมปราณนับเป็นสิ่งสำคัญ
นางอยากได้เตียงอรหันต์กับแผ่นไม้กั้นลมมาช่วยฝึกฝน เช่นนั้นควรหาเงินให้มากสักหน่อย อืม...หาจากไหนดี
ซานซานเดินไปคิดไป กระทั่งออกมานอกเรือน เจอถังไม้ที่มีน้ำอยู่เต็ม จึงใช้กระบวยตักน้ำขึ้นมา ใส่อ่างเล็กด้านข้าง ประคองไปอีกฝั่ง เจอผ้าผืนน้อยพับอยู่บนชั้นไม้
หญิงสาวใช้ผ้าชุบน้ำแล้วบิดพอหมาด นำมาซับบนใบหน้า สายตาพลันเหลือบไปเห็นสามีกำลังนำน้ำในถังไม้เดียวกันไปต้มยังห้องครัวอีกด้าน
ซานซานกลอกตาตลบหนึ่ง คิดวิธีหาเงินได้ทันที
หญิงสาวรีบกลับเรือนอย่างเร็ว แล้วเขียนกระบวนท่ายืดหดเส้นเอ็นจนเสร็จ นำไปยื่นให้ชายหนุ่มในครัวพลางเอ่ยว่า “เหย่หนิว ท่านฝึกตามนี้นะ รับรองว่าร่างกายจะกลับมาหายดี พละกำลังแข็งแกร่งดุจเดิม แล้วเราค่อยมาเริ่มฝึกวิชาอื่นๆกัน”
ระหว่างที่พูดยังหมุนตัวหยิบตะกร้าไผ่สาน สั่งการเพิ่มว่า
“ท่านควรแบกน้ำตุนไว้ให้มากหน่อย หลายวันนี้งดอาบน้ำ ใช้แค่กินกับล้างหน้าพอ”
จบคำก็เดินจากไป ไม่เหลียวหลังกลับมา
จ้าวเหว่ยเพียงมองตามนิ่งๆ ไม่คิดถามไถ่อันใดทั้งสิ้น ในใจเพียงพร่ำบ่นอย่างเอือมระอาว่า
หากนางหยุดวุ่นวายในยามกลางวัน เลิกหลับเป็นตายในยามกลางคืน จักดีสักเพียงใด?
ซานซานมีเคล็ดวิชาอยู่เต็มสมอง ต้องลองเลือกสักอย่างออกมาฝึกปรือเพื่อหาเงิน
ฝ่ามือมรณะ ไอมารสะกดวิญญาณ ปราณเทพสังหาร นารีพิฆาต ล้วนต้องใช้เวลาบ่มเพาะร่างกายให้แข็งแรงกว่านี้ก่อน ทั้งยังต้องฝึกออกกระบวนท่า ฝึกพลังลมปราณ ยาวนานมิใช่น้อย
หญิงสาวจึงคิดถึงวิชาหมื่นพิษก่อน ตัดสินใจเดินขึ้นเขาเพื่อเฟ้นหาสมุนไพรมาทำยาพิษ
ทุกสิ่งในใต้หล้าล้วนแล้วแต่มีสองด้าน มีทั้งคุณและโทษ ทั้งประโยชน์และเภทภัย สมุนไพรแต่ละชนิดก็เช่นกัน หากนำมาสกัดแล้วปรุงอย่างชั่วช้า ย่อมให้ผลที่ต่ำทรามไม่ยากเย็น
เมื่อซานซานได้สมุนไพรบางอย่างมาไว้ในกำมือจนพอใจ ก็รีบลงเขานำยามาเคี่ยวจนข้น รอมันเย็นตัวแล้วผสมแป้งลงไป ขึ้นรูปเป็นเม็ดกลมเกลี้ยงรอไว้
ยามรุ่งเช้าอีกวันก็นำออกไปตากกลางแดดแรง เมื่อแห้งได้ที่ก็นำมาทุบจนแหลกเหลวกลายเป็นผุยผง
จากนั้นก็นำไปโรยลงต้นน้ำที่ไหลสู่ที่ต่ำไปยังทิศทางของหมู่บ้านผิงเหยียน
สายลมหอบหนึ่งพัดกิ่งไม้ไหว ดอกหญ้าทิ้งตัวโปรยปรายลงต่ำ ร่วงหล่นโรยราไปกับผิวน้ำที่รินไหล ริมตลิ่งต้นสายธารายามสายัณห์ พลันมีสตรีร่างระหงอ้อนแอ้นท่าทางไร้พิษสงผู้หนึ่ง กำลังยืนแสยะยิ้มเยือกเย็น...
ยามสายของวันต่อมา เริ่มมีชาวบ้านเจ็บป่วยเฉียบพลัน อีกหนึ่งวันต่อมาพบว่าหลายคนเริ่มมีอาการเดียวกันจนน่าตกใจ สามวันให้หลังชาวบ้านเหล่านั้นก็พากันไปหาหมอประจำหมู่บ้านอย่างคับคั่งหนาตา ท่านหมอสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดโรคระบาดชนิดเฉียบพลัน ทว่าไม่อาจระบุได้ว่าเป็นโรคใด เพราะไม่เคยพบเห็นมาก่อน ล่วงเข้าวันที่สี่ ไม่ว่าท่านหมอจะจัดยาเทียบใดให้คนป่วย ก็ล้วนไร้ผล พวกเขาไม่ดีขึ้นเลย เป็นเช่นนั้นกระทั่งล่วงเข้าวันที่เจ็ด พลันปรากฏว่ามีสตรีผู้หนึ่งปรากฏกาย นางสวมชุดสีขาวราวเทพเซียน สวมหมวกไผ่สานที่มีผ้าโปร่งคลุมทั้งศีรษะ ใบหน้าคาดผ้าขาวปกปิดเอาไว้มิดชิด เผยเพียงดวงตาดำสนิทที่แสนจะเย็นชา มองไม่ออกว่างดงามปานใด ท่วงท่ายามก้าวเดินพลิ้วไหวราวกับเทพธิดาจำแลง นางเดินทางมาจากทิศใดมิอาจทราบ ทว่ากลับเสนอตัวว่าสามารถรักษาโรคประหลาดนี้ได้ แรกเริ่มชาวบ้านผิงเหยียนไม่มีใครเชื่อ แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ จึงมีผู้หนึ่งทนไม่ไหว เอ่ยปากว่าหากไม่หายก็ขอตายดีกว่า ถ้ารักษาได้ เขาพร้อมมอบเงินให้อย่างงาม คนผู้นั้นเสนอตัวออกมารับเม็ดยาจากสตรีปริศนา กลืนกินเข้าไปเพียงเม็ดเดียว แค่ครึ่งก้านธูปก็หา
เช้าวันต่อมาซานซานแต่งกายด้วยชุดสีชมพูอ่อนหวาน เตรียมตัวออกนอกบ้านเพื่อไปตลาด เป้าหมายคือติดต่อช่างไม้ ให้ประกอบเครื่องเรือนตามต้องการ เงินที่ได้มาเมื่อวานยังเหลือไว้ซื้อเครื่องเงินบางอย่าง ที่มิใช่เครื่องประดับ แต่กลับนำมาทำเป็นอาวุธลับที่ทรงพลังยามครุ่นคิด ดวงตาหญิงสาวทอประกายชั่วร้ายแวบหนึ่งชั่วจังหวะนั้น พลันถูกนิ้วดีดหน้าผาก “อ่ะ!”“คิดจะทำอะไรอีก?” จ้าวเหว่ยถามเสียงเรียบ ลดมือตนที่เคาะหน้าผากมนของซานซานเมื่อครู่ลงมาบีบแก้มอีกหนึ่งที“อ๊ะ!” เจ้าของแก้มอุทานเล็กน้อย เอ่ยตอบอู้อี้ “ข้าจะไปสั่งทำเตียงอรหันต์ กับฉากไม้กั้นลม แล้วก็เดินซื้อของหลายอย่าง”ชายหนุ่มเลิกคิ้วหรี่ตามอง “เจ้าควรเว้นระยะสักหลายวัน ให้เรื่องหมอหญิงปริศนาซาลงก่อน แล้วค่อยไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย น่าจะปลอดภัยมากกว่า”เขาปล่อยนิ้วจากแก้มนวลแล้วสั่งเสียงเย็น“ระหว่างนี้ควรละลายยาแก้พิษทั้งหมดใส่ต้นน้ำอีกครั้ง เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดเกิดโดนพิษขึ้นมาอีก เข้าใจหรือไม่?”ซานซานได้ฟังถึงกับเบิกตาส่งยิ้มแห้ง “อ้อ...ข้าลืมไป”จ้าวเหว่ยทำเสียงดุ “นึกได้แล้วก็ไปจัดการเสียเดี๋ยวนี้”“รู้แล้ว...”ชายหนุ่มยังสั่ง “เสร็จแล้วก็มากิน
หลังจากกินข้าวจนอิ่มหนำ ซานซานที่นอนมาทั้งวันก็ตื่นตัวเต็มที่ ยิ่งดึกยิ่งสว่างกระจ่างตา ทำตัวราวกับค้างคาวออกหากินกลางคืนซานซานพาจ้าวเหว่ยมานั่งนับดาวอยู่ริมธาร บรรยากาศนับว่าดีไม่น้อย เหมาะสำหรับคู่สามีภรรยาให้พากันดื่มด่ำค่ำคืนแสนหวาน ร่วมชื่นชมจันทรางดงามภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีกาล มีเพียงแสงดาวพร่างพราว ดวงจันทร์กระจ่างกลางนภากว้าง สีเงินยวงสาดแสงลงมากระทบเรือนร่างบุรุษและสตรีที่นั่งเคียงข้างกัน เกิดเป็นเงาสองสายทอดยาวไปตามพื้นหญ้าพวกเขาต่างก็มีความลับซ่อนเร้น หากแต่การแสดงออกซึ่งหน้ากลับไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวตนที่แท้จริง ทั้งกิริยาวาจาล้วนเปิดเผยและจริงใจ นับเป็นสัมพันธ์ที่ดีที่สุดอีกรูปแบบหนึ่งซานซานนั่งมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย บนนั้นมีจันทร์เสี้ยวคล้ายดาบโค้ง หนึ่งในศาสตราวุธที่ทรงพลานุภาพของนางในชาติที่แล้ว“เหย่หนิวรู้จักดาบแสงจันทร์หรือไม่?” หญิงสาวพึมพำ“ดาบแสงจันทร์หรือ?”“อืม...ยังมีดาบวงเดือน แส้หนังโลหิต กระบี่สุริยา กำไลเข็มพิษ วงแหวนพิฆาต ง้าวเหล็กจันทร์เสี้ยว กระบี่สายรัดเอว”อันที่จริงยังมีอีกมาก ชาติก่อนซานซานสามารถเปลี่ยนสิ่งของรอบกายให้กลายเป็นอาวุธร้ายได้ไม่ยากเย
เพราะว่าวันนี้ทั้งวันยังมิได้ออกแรงทำอะไรเลย ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย ไม่ง่วงนอน และที่สำคัญครั้งก่อนคนที่เข้าหอกับสามี มิใช่นางที่เป็นซานซาน แต่เป็นชิงหลินก่อนตายต่างหาก“คิดอะไรอยู่?”เสียงแหบพร่านั้นคล้ายกับดังมาจากสวรรค์ ฟังแล้วให้รู้สึกทุ้มนุ่มน่าฟังอย่างประหลาดซานซานจึงตอบกลับอย่างเผลอไผล“ข้ากำลังคิดว่าอยากเข้าหอกับท่านอีกครั้งจะได้ไหม?”สิ้นคำถาม พลันได้ยินคล้ายเสียงหัวเราะในลำคอ“ที่แท้เจ้าก็คิดเช่นนี้”ซานซานพยักหน้าถี่ๆ ดั่งนกกระสา ฉับพลันก็รู้สึกว่าเอวถูกรัดแน่น เห็นดวงตาของสามีชัดเจนนักแม้ว่าใบหน้าเขาจักอัปลักษณ์ ทว่าดวงตากลับเรียวคมทรงพลัง แฝงไปด้วยเสน่ห์มนต์มารอันร้อนแรงที่แสนจะเย้ายวน ยามมองสบสายตายิ่งชวนประหวั่นพรั่นพรึงและหลงใหลได้ในเวลาเดียวกันโดยที่ไม่รู้ตัว กลีบปากนางพลันถูกแตะแต้มแผ่วเบา คล้ายภมรหยอกเย้ากลีบบุปผาอ่อนนุ่ม ซานซานเผลอไผลกระทั่งถูกเรียวปากเขาขบเม้มเนิ่นนานก็ยังไม่รู้ตัวสายลมราตรีพัดผ่าน ฝากความเย็นเยียบเอาไว้รอบทิศ ทว่ากายสาวกลับรู้สึกร้อนผะผ่าวยากระงับริมฝีปากที่ขยับแนบชิดยิ่งนานยิ่งดุดันและร้อนกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจรินรดยิ่งร้อนระอุไม่ต่างจากห
เดือนห้า หลังหยาดพิรุณร่วงโรย ท้องฟ้าก็สดใส บุปผายิ่งบานสะพรั่ง หยดน้ำบนยอดหญ้าล้วนพร่างพราว ดุจดวงดาวเฉิดฉายยามกลางวันถนนดินที่เคยแห้งแดงแตกระแหง บัดนี้คล้ายสีทองอร่าม โชยกลิ่นอายแห่งชนบทของหมู่บ้านผิงเหยียนเต็มเปี่ยมเรือนไม้ไผ่โดดเดี่ยวท้ายหมู่บ้าน ที่เคยแห้งกร้านขาดความสดชื่น ยามนี้มีสวนผักอยู่ด้านข้าง เติบโตอวบอ้วน ยิ่งช่วงหลังฝนซาฟ้าโปร่ง ยิ่งเผยความชุ่มฉ่ำคล้ายมีชีวิตชีวา ดึงดูดให้ผู้คนเก็บกินอีกฟากหนึ่งเป็นลำธารใสกระจ่าง ผิวน้ำดุจคันฉ่องต้องแสงตะวัน ส่องประกายระยิบระยับทอดยาวไปไกลลิบ หมู่ปลาหลากสีแหวกว่าย ล่อตาล่อใจ คล้ายภาพมายา ให้ผู้คนจ้องมองภายใต้บรรยากาศเรียบง่ายอันใสซื่อ ทันใดนั้น ไม้ไผ่ปลายแหลมพลันพุ่งพรวด รวดเดียวก็ปักทะลุลำตัวปลาได้นับสิบซานซานเดินลงน้ำมาหยิบไม้ท่อนนั้นแล้วยกขึ้นสูงเหนือศีรษะเพื่อโอ้อวดใครบางคนบนริมฝั่งพลางส่งยิ้มเบิกบานจ้าวเหว่ยยืนกอดอกมองอยู่ริมตลิ่ง เอ่ยเสียงเรียบอย่างไม่ถือสา “เจ้าใจร้อนเกินไป”หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น “ข้าเห็นท่านนั่งตกอยู่เป็นนาน ได้แค่ไม่กี่ตัวนี่” กล่าวพลางขึ้นจากน้ำยื่นไม้ให้อีกฝ่ายชายหนุ่มรับไม้จากมือนางมาถือไว้เอง ปากยังเอ่
คืนวันของสามีภรรยาผ่านพ้นไปอย่างสงบ มีชีวิตดั่งภาพฝันอันยาวนาน คล้ายไร้จุดสิ้นสุดแห่งความสุขหลังผ่านความเร่าร้อนมาครึ่งค่อนราตรี ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เสียงสตรีก็แหบแห้งเสียแล้ว ทว่าความร้อนแรงแห่งไฟพิศวาสในแววตากลับไม่ลดทอนลงเลย“อา...เหย่หนิว”ซานซานแหงนหน้าส่งเสียงหวิวแผ่ว ฝ่ามือเรียวเลื่อนจากเอวสอบขึ้นมาลูบไล้ที่แผ่นหลังกว้าง สัมผัสหยาดเหงื่อพราวพร่างที่กำลังสะท้อนแสงจันทร์ซึ่งลอดผ่านช่องลมเข้ามาในห้องนอน“หืม...” จ้าวเหว่ยพรมจูบดวงหน้าแดงเรื่ออย่างอ่อนโยน ขบเม้มลงต่ำไปเรื่อยๆ ที่ลำคอระหงและหน้าอกกลมกลึง ฝ่ามือยังกอบกุมที่เอวคอดกิ่วอย่างถนอม ขยับกลางลำตัวอย่างนุ่มนวล มิให้เสียจังหวะรัญจวนเลยแม้นิดเดียว“ไยท่านถึงมีเรี่ยวแรงเยอะนัก หายดีแล้วหรือไร?”บุรุษเหนือร่างไม่ตอบ เพียงถอนใบหน้าออกจากซอกคอขาวผ่อง ทอดมองนางด้วยแววตาชวนหวามไหว แล้วก้มลงจุมพิตกลีบปากอุ่นนุ่ม ตวัดปลายลิ้นร้อนชื้นหยุดวาจานางสตรีใต้ร่างทำได้เพียงพริ้มตา ตอบรับเพลิงปรารถนาที่สามีเป็นผู้มอบให้เสียงกดจูบของกลีบปากจึงดังผสานกับเสียงบดเบียดสอดประสานกลางลำตัว...ซานซานไม่คาดคิดเลยว่า ในชีวิตจะได้มีโอกาสสนิทสนมกับใครได้แนบ
ห่างจากเรือนไม้ไผ่ไกลลิบ อู๋เจี๋ยยืนก้มหน้านิ่งขึง เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงร้อนรน“องค์ชายโปรดพิจารณา หากพระองค์ยังยื้ออยู่เช่นนี้ พวกนักฆ่าตามมาจนเจอย่อมอันตรายถึงชีวิต การพานางไปด้วยยิ่งมิใช่ผลดี ชิงหลินผู้นี้มิได้มีค่าให้พระองค์ใส่ใจ นางคือตัวถ่วง”“องครักษ์อู๋...”น้ำเสียงเย็นเยียบพร้อมปราณสังหารหนาวสะท้านเช่นนี้ อู๋เจี๋ยไม่ค่อยได้พบเจอบ่อยนัก จึงสงบปากทันทีจ้าวเหว่ยยืนหันหลังให้องครักษ์คนสนิท เหม่อมองออกไปยังม่านมืดของราตรีอันไกลโพ้น นับหลายพันลี้จากจุดนี้คือวังหลวงอันวุ่นวายร้อนระอุ เป็นสถานที่ที่ไม่ควรก้าวย่างเข้าไป แต่จำต้องเหยียบย่ำมิอาจถอนเท้าหรือถอยหลังแม้ครึ่งก้าวเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธว่าหากกงหนิวผู้อัปลักษณ์ถูกค้นพบตัวตนที่แท้จริง การตามล่าย่อมมีมาอย่างช่วยมิได้ชายหนุ่มหลุบตาครุ่นคิด หลายวันมานี้ร่างกายอ่อนแอของเขาเริ่มแข็งแรงขึ้นมาก กำลังวังชายิ่งปรับสมดุลผสานลมปราณได้ดี อีกไม่นานย่อมฝึกฝนเพลงยุทธ์เหนือชั้นได้ไม่ยาก‘เหย่หนิว ท่านฝึกตามนี้นะ รับรองว่าร่างกายจะกลับมาหายดี พละกำลังแข็งแกร่งดุจเดิม แล้วเราค่อยมาเริ่มฝึกวิชากัน’เสียงของซานซานยังคงสะท้อนก้องให้ห้วงโสตจ้า
ฝนตกติดต่อกันนานหลายวัน ในที่สุดเช้านี้ท้องฟ้าก็ปลอดโปร่ง หมู่เมฆเร้นหาย ตะวันแผดแสงแรงกล้าขณะที่ซานซานกำลังนั่งสางผมอยู่หน้าคันฉ่อง พลันมีมือหนึ่งยื่นมาแย่งหวีแล้วสางผมให้อย่างเบามือหญิงสาวมองผ่านกระจกตรงหน้า เห็นชายหนุ่มผู้เป็นสามีกำลังม้วนผมแล้วปักปิ่นให้ ได้ยินเสียงเขากล่าวว่า“ปิ่นไม้นี้อาจไม่งาม แต่ข้าทำเองกับมือ เจ้าชอบหรือไม่?”ปิ่นสลักด้วยมือรูปดาราเร้นจันทร์ปีนเกลียว ซานซานเอียงหน้ามองปิ่นไม้ในกระจกพลางคลี่ยิ้มรับ “อืม...ชอบมาก”จ้าวเหว่ยเอ่ยอีก “วันหน้าข้าย่อมทำปิ่นหยกมอบให้เจ้า”ซานซานลุกขึ้นยืนแล้วยืดตัวหอมสันกรามสามีหนึ่งที พร้อมคลี่ยิ้มละมุนตา “ขอบคุณท่านพี่”เรียวตาคมวูบไหวบางเบายามมองภรรยา มุมปากใต้หนวดเครายกยิ้มเล็กน้อย ปลายนิ้วไล้เกลี่ยปอยผมที่ข้างแก้มให้ซานซานอย่างนุ่มนวล จ้าวเหว่ยอดใจไม่ไหวก้มหน้าจรดริมฝีปากกับหน้าผากมน แตะแต้มจุมพิตลงมาที่แก้มเนียนแล้วจูบนางตรงกลีบปากอุ่นนุ่มเนิ่นนาน ปรารถนาได้แนบชิดนางเช่นนี้ตลอดไปซานซานหลับตาพริ้มปล่อยให้สามีได้กระทำตามใจครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าริมฝีปากแดงฉ่ำจักได้รับอิสระ“ยามบ่ายวันนี้อากาศสดใสไม่เบา ข้าจะเข้าไปในหมู่บ้าน หาซ
ซานซานปัดมืออีกฝ่ายออกจากไหล่ตนพลางเอ่ยเนิบช้า“ในเมื่อเจ้าล่วงรู้วิชาของข้า และข้าก็ล่วงรู้วิชาของเจ้า เกรงว่าสองเราคงเป็นศิษย์สำนักเดียวกันกระมัง”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ซานซานก็นิ่งคิดชั่วครู่ไม่ถูก! เคล็ดวิชานี้ เป็นนางที่คิดค้นไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว จะเป็นศิษย์สำนักเดียวกันได้อย่างไร นางควรเป็นอาจารย์ทวดของอีกฝ่ายถึงจะถูกต้อง!คิดเสร็จหญิงสาวก็โบกมือไม่ถือสา กล่าวเสียงเรียบว่า“เอาล่ะๆ นางมารเช่นเจ้ากล้าปลอมตัวเป็นนางรำเข้ามาในงานของวังหลวง คงถูกว่าจ้างมากระมัง จะสังหารใครรึ?”ประหนึ่งคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ หยุนผิงยิ่งอึ้งตะลึงงัน ปลายนิ้วสั่นเบาๆ เล็บแหลมคมเริ่มหดกลับเข้ามาในเนื้อ ผิวกายที่มีอักขระน่ากลัวค่อยๆ เลือนหาย ท้ายที่สุดนัยน์ตาสีแดงปานโลหิตก็ดำขลับเช่นเดิม เผยความงดงามหยาดเยิ้มดุจเดิมเพราะเคล็ดวิชาในตำนานมีเพียงอาจารย์ทวดต้นตำรับเท่านั้นที่สามารถล่วงรู้ได้ว่าวิชาที่ตกทอดเป็นเพียงหนึ่งในวิชาใดหยุนผิงคุกเข่ากระแทกพื้นเรียกซานซานเสียงสั่นเครือ “ท่านอาจารย์ทวด...”ถึงแม้จะทำใจเอาไว้แล้ว แต่หางคิ้วก็อดกระตุกมิได้ “เรียกเสียแก่เลยเชียว เรียกแค่อาจารย์หญิงก็พอกระมัง”หยุนผิงยืน
ค่ำคืนยาวนาน งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปจ้าวเหว่ยนั่งลงมองเพียงปลายนิ้วมือที่ไล้วนจอกเหล้าด้วยความเบื่อหน่ายอีกครั้ง รอเวลาอันเชื่องช้าเคลื่อนผ่านอย่างเงียบงัน ในใจคิดถึงแต่ใครบางคนอันเป็นรางวัลแห่งค่ำคืนและแล้วภายใต้ใบหน้าอันแสนจะเย็นชา รัชทายาทหนุ่มพลันได้แผนการใหม่ในการจัดการกับภรรยาในใจปรารถนาให้สิ้นสุดงานเลี้ยงโดยไวการเสวนาโต้ตอบระหว่างฮ่องเต้กับบรรดาขุนนางยังคงมีไม่ขาดสาย พร้อมเชื้อเชิญกึ่งท้าประชันฝีมือระหว่างตระกูลด้วยการนำเสนอความสามารถของบุคคลชั้นสูงคุณหนูแต่ละคนได้รับการสนับสนุนให้ออกมาแสดงฝีมือกลางลานกว้าง เปลี่ยนทุกการแสดงจากการมอบความสำราญเป็นแสดงความสามารถอันหาได้ยากยิ่งแทน มีทั้งการบรรเลงพิณ แต่งโคลงต่อกลอน และร่ายรำเมื่อการแสดงรอบนี้เป็นสตรีชั้นสูง กระทั่งการร่ายรำบิดเอวส่ายสะโพกจึงมิใช่เป็นการแสดงชั้นต่ำ อีกทั้งยังสูงส่งเทียมฟ้าทุกนางล้วนงดงามสะกดสายตา ยิ่งชาติตระกูลสูงศักดิ์ ยิ่งกลายร่างเป็นโฉมสะคราญหยาดฟ้าแต่ละนางอวดโฉมในด้านที่ดีที่สุดให้องค์รัชทายาทได้ยล พยายามดึงดูดเขาด้วยรูปโฉมและฝีมือในศาสตร์ทุกแขนงเวลาแห่งค่ำคืนค่อยๆ ดำเนินไปช้าๆ ระหว่างนั้นซานซานก็กล
บรรดาคุณหนูในงานต่างโล่งใจที่เป็นซานซาน เพราะสตรีผู้นี้ย่อมไม่อาจได้รับสิทธิ์ปีนเตียงรัชทายาท หรือต่อให้ร่วมวสันต์จริง ก็ยังต้องเป็นได้แค่สาวใช้อุ่นเตียงไร้ค่า บนแท่นประทับ โอรสสวรรค์ยังคงแย้มพระสรวลน้อยๆ พระองค์ตรัสแล้วย่อมไม่อาจคืนคำ ในเมื่อประกาศแล้วว่าจะมอบรางวัลให้บุตรชาย ก็ควรต้องเป็นไป “เช่นนั้น เจ้า...” ฮ่องเต้ชี้นิ้วไปทางซานซาน “รั้งอยู่...”เบื้องหน้าคือองค์จักรพรรดิผู้มีอำนาจล้นฟ้า ถัดมายังเป็นองค์รัชทายาทผู้สูงส่ง รอบด้านยังมีแต่ชนชั้นสูงศักดิ์ ซานซานที่เป็นสตรีผู้น้อยต้อยต่ำมีหรือจะปฏิเสธได้ หญิงสาวจึงยอบกายแนบพื้นน้อมรับเสียงเบา มิอาจเป็นอื่นสิ้นคำตรัสฮ่องเต้ จ้าวเหว่ยเพียงตอบรับเสียงเรียบ “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”ครานี้หลี่กุ้ยเฟยคลายหัวคิ้ว ยกยิ้มงาม เพราะเป็นซานซานย่อมดีกว่านางรำแปลกหน้า คนกันเองทั้งนั้น ไว้ใจได้เหตุที่หลี่ฮุ่ยเยี่ยนไว้ใจซานซานมิใช่เพียงแค่นั้น แต่เป็นเพราะซานซานชอบเพียงเงินทอง ไม่ฝักใฝ่อำนาจ ไม่เป็นอันตรายต่อตำแหน่งรัชทายาทของจ้าวเหว่ยแน่นอนปราศจากเสียงคัดค้าน มีเพียงสายตายอมรับได้ รอบด้านมิได้ริษยาซานซานเทียบเท่าหยุนผิงที่งามเลิศล้ำ สายตาคล้าย
บนแท่นประทับมังกร ฮ่องเต้ตรัสกับขันทีด้านหลัง“พาแม่นางฮวาไคไปพำนักในห้อง รอพาตัวเข้าวังบูรพา”ขันทีค้อมกายน้อมรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ”ถ้อยวาจาเหล่านี้ยังคงเรียกรอยยิ้มบางเบาให้ประดับบนใบหน้าหล่อเหลาของจ้าวเหว่ยเช่นเคย เขาลุกขึ้นยืนประสานมือแล้วเอ่ยกับพระบิดาทันที“ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพึงใจกับรางวัลในค่ำคืนนี้ เพียงแต่สตรีที่ปรบมือให้ หาใช่แม่นางผู้นั้นไม่ รางวัลก็ควรเปลี่ยนไป เป็นนางผู้นี้”ฮ่องเต้ขมวดพระขนง ปรายพระเนตรมองบุตรชาย “หืม?”โซวอ๋องชะงักนิ่ง หยุนผิงยอบกายแข็งค้างจ้าวเหว่ยเน้นอีกครั้งปรายสายตาไปทางซานซาน“เป็นนางพ่ะย่ะค่ะ”ยามนั้นทุกคนถึงได้สังเกตเห็นซานซานที่เดิมทีคล้ายวิญญาณ ประหนึ่งหมอกควันที่เห็นเพียงเลือนลางเวลาก่อนหน้านี้นับว่าเนิ่นนานทีเดียวที่หญิงสาวถูกความงามของหยุนผิงบดบังเอาไว้จนมิดชิดนางแค่อยู่ตามธรรมเนียมเพื่อรอรับรางวัล มิคาดฝันว่าจักกลายเป็นรางวัลเสียเอง...โซวอ๋องให้นึกกังขา จึงปรับสีหน้าตึงเครียดให้ราบเรียบดุจเดิมพลางเอ่ยด้วยเสียงทุ้มนุ่มเผยแววหยอกเอินว่า“การแสดงชุดใหญ่เพียงนี้ เหตุใดนางถึงได้รับความชอบเพียงผู้เดียวเล่า มีสิ่งใดพิเศษกระนั้
การตกอยู่ในภวังค์เช่นนี้ราวกับเป็นเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึก โดยมีซานซานทำตัวคล้ายหมอกมารไอปีศาจไร้ตัวตน นางคอยควบคุมบงการทุกคนได้อย่างเหนือชั้น ไร้ใครสังเกตและต้านทาน เครื่องมือคือหยุนผิงผู้โดดเด่นและนางรำทั้งหลายที่งดงามพร้อมครอบครองดลบันดาลเนิ่นนานผ่านไปเสียงพิณค่อยๆ แผ่วจาง แล้วหยุดลงในที่สุด ทุกคนพลันบังเกิดความรู้สึกนึกคะนึงหา มิอาจแยกจาก หากเพลงพิณรุนแรงกว่านี้เกรงว่าพวกเขาคงน้ำตาไหลพรากทว่าเมื่อได้สติกลับคืนปรากฏว่านางรำสิบกว่าคนกำลังพากันทยอยกรีดกรายจากไปคล้ายหมู่ภมรอิ่มน้ำหวานกลับถิ่น พริบตาคงเหลือเพียงมือพิณสองนางยอบกายแนบพื้นนอบน้อมตามธรรมเนียมปฏิบัติของแคว้นต้าถัง ผู้ดีดพิณย่อมอยู่ต่อเพื่อรอรับรางวัลจากผู้ชมชั่วขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในภวังค์ต้องมนต์จนเงียบงัน ยามนั้นองค์รัชทายาทพลันได้สติกลับมาคนแรกชายหนุ่มคล้ายหลุดจากท่าทีสุขุมนุ่มลึกอันเย็นชาถึงกับลุกขึ้นยืนแล้วปรบมืออย่างช้าๆ เผยสีหน้าชื่นชมอารมณ์ดี ท่าทางประหนึ่งถูกครอบงำตราตรึงจากบางสิ่งจ้าวเหว่ยผู้ไม่เคยให้ความสนใจในการแสดงครั้งใดกลับแสดงว่าชมชอบการแสดงชุดนี้จนออกนอกหน้า ทุกคนจึงได้รู้ตัวได้สติกลับคืนมา
ยิ่งคิดเรียวคิ้วบุรุษยิ่งขมวดมุ่นจนเป็นปมยากคลายตัว ขัดแย้งกับบรรยากาศอันแช่มชื่นรอบกายเต็มทีหากปล่อยให้ซานซานเข้าใจผิดเรื่องเหย่หนิวต่อไป บางทีอาจจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย อย่างน้อยนางย่อมไม่ถูกเพ่งเล็ง ทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากเสด็จแม่ต่อไปให้อู๋เจี๋ยได้รับผลกรรมเป็นเหย่หนิว ถูกซานซานเกลียดชัง ถูกคนรักเข้าใจผิดมหันต์ไปเช่นนั้น รอจนกว่าซานซานหายโกรธ เขาย่อมปล่อยอู๋เจี๋ยออกมาส่วนตัวเขาก็จะกลายเป็นชายหนุ่มคนใหม่ที่เข้าหานาง เป็นรัชทายาทสูงศักดิ์ผู้เพียบพร้อม เหนือชั้นกว่าเหย่หนิวทุกอย่างส่วนหลิ่งเอ๋อร์ก็เป็นองค์หญิงตัวน้อยช่วยกุมหัวใจของเสด็จแม่อยู่อีกทางให้เวลาบ่มเพาะความรักขึ้นมาใหม่แอบคบหากันไปก่อน รอกระทั่งเขาได้ขึ้นครองราชย์ มีอำนาจสิทธิ์ขาดค่อยว่ากันภายใต้สีหน้าราบเรียบเฉยชาไร้อารมณ์ รัชทายาทหนุ่มยิ่งคิดยิ่งร้อนรุ่มดังมีไฟสุมอยู่ในทรวงอก จนเลือดเดือดพล่าน เพราะเรื่องแรกที่เขาคิดการณ์ คือต้องจัดการซานซานให้ได้ก่อนดูเถิดว่าเขาจะเกี้ยวนางได้หรือไม่?ขณะที่จ้าวเหว่ยได้ข้อสรุปที่เรียกได้ว่าชั่วร้ายเพื่อภรรยา เสียงปรบมือเปิดงานด้วยการแสดงจากหอนางรำเลื่องชื่อก็เริ่มขึ้นสตรีงดงาม
งานเลี้ยงดำเนินไปด้วยบรรยากาศชื่นมื่นมีการสนทนาระหว่างฮ่องเต้ องค์ชาย องค์หญิง ขุนนางทั้งหลายฝ่ายบุรุษต่างมีสีหน้ารื่นรมย์เพราะถือเป็นโอกาสได้สำเริงสำราญเต็มที่ มีสตรีงดงามให้ได้ยล ทั้งยังสูงส่งมากความสามารถฝ่ายสตรียิ่งเบิกบานเพราะได้เปิดหูเปิดตาร่วมประชันโฉมและแสดงฝีมือหลังจากที่ต้องอดทนบ่มเพาะตัวตนแค่ในเรือนหัวข้อที่เสวนาล้วนแต่เป็นการสรรเสริญเยินยอประจบสอพลอ ยังมีต่อด้วยการโต้ตอบไปมาระหว่างอริที่เสแสร้งเป็นพันธมิตรนอกจากนั้นเรื่องที่คุยกันก็ไม่พ้นว่าบุตรชายหรือบุตรสาวบ้านใดเป็นใคร ยิ่งใหญ่แค่ไหน อายุเท่าไหร่มีความสามารถอันใด พร้อมออกเรือนหรือไม่ท่ามกลางถ้อยวาจาและเสียงหัวเราะที่แลกเปลี่ยนกัน มีเพียงบุรุษชุดม่วงขลิบทองยังคงเก็บอาการเบื่อหน่ายต่องานเช่นนี้เอาไว้ได้อย่างแนบเนียนด้วยท่าทางสุขุมนุ่มลึกใบหน้าหล่อเหลาซ่อนความเย็นชาในดวงตาคู่ดำด้วยการหลุบลงต่ำมองเพียงปลายนิ้วที่ไล้วนบนจอกเหล้าในมือขณะยกขึ้นจรดริมฝีปากเพื่อดื่มลงคอ ในใจของจ้าวเหว่ยที่เคยราบเรียบบัดนี้คล้ายมีระลอกคลื่นบางเบาเมื่อนึกถึงเรื่องราวบางประการภาพภายในห้องขังคุกหลวงอันมืดมิดปราศจากผู้อื่น ยามที่เจี้ยนจื้อห
หญิงสาวนางหนึ่งอายุราวยี่สิบปีค่อยๆ เผยโฉมออกมาจากกลุ่ม แล้วถามว่า “เจ้าคือคนของวังหลวงใช่หรือไม่? คิดใช้อำนาจข่มเหงพวกเราหรือไร?”ซานซานขมวดคิ้ววูบ “ข้ามิใช่คนของใครทั้งนั้น ไม่มีเหตุผลใดต้องข่มเหงเจ้า แค่มีวิธีดีๆ ให้ได้เงินง่ายๆ แบบทั่วถึงกัน”หญิงสาวคนเดิมจึงเดินมายืนประจันหน้ากับซานซาน นางมีผิวขาวราวหิมะ แต่งกายด้วยผ้าเนื้อบางเผยสัดส่วนชัดเจน ใบหน้ารูปไข่งดงามอ่อนหวานเย้ายวนอย่างที่สุด สะคราญโฉมพิลาศล้ำยิ่งกว่าองค์หญิงต้าถังด้วยซ้ำหญิงงามกล่าวกับซานซานด้วยน้ำเสียงแว่วหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า “ข้านามว่าหยุนผิง มือพิณ ทุกครั้งที่ขึ้นแสดงฝีมือ ข้าได้รับความโปรดปรานที่สุด เรียกเงินได้มากที่สุด แต่ก็เหน็ดเหนื่อยกับการเอาตัวรอดจากขุนนางบางคนที่คิดจะติดพันเพื่อซื้อตัวเข้าจวนที่สุดเช่นกัน หากเจ้าช่วยให้ข้าลดความเสี่ยงตรงนั้นได้ โดยที่ค่าตอบแทนไม่ลดลงจากที่เคยรับ ข้าก็ยินดีมอบหน้าที่ดูแลน้องสาวทุกคนในที่นี้ของข้าให้เจ้า”“พี่ผิง!” นางรำทุกคนอุทานอย่างตกใจหยุนผิงยกมือห้ามบรรดาน้องสาวมิให้โวยวาย แล้วกล่าวต่ออย่างใจเย็น “แต่หากเจ้าทำมิได้ ด้วยความงามของข้า รวมกับการได้รับเชิญขึ้นแสดงเพลงพิณ
ซึ่งแท้จริงแล้ว ใครสูงใครต่ำ ซานซานมิได้สนใจ เพียงแต่การถูกจัดลำดับให้ขึ้นแสดงต่างหาก ที่ทำให้หงุดหงิดเพราะนักแสดงมืออาชีพในห้องนี้ถูกสั่งให้แสดงหลังจากคุณหนูในงานแสดงจนหมดแล้วทุกคน และที่สำคัญ ลำดับของซานซานยังเป็นลำดับสุดท้ายต่อจากนางรำคนท้ายที่สุดอีกชั้นจะบ้าตาย...คุณหนูมากมายปานนั้น เวลาที่ใช้แสดงความสามารถก็นานเนิ่น ยังมีต่อกลอนหวานเลี่ยน โต้คารมไปมากว่านางจะได้ขึ้นแสดง ทุกคนคงเมาหลับหรือไม่ก็เริ่มทยอยกลับกันหมดซานซานขมวดคิ้วใคร่ครวญโดยละเอียด ในที่สุดก็ลุกขึ้นแล้วเดินมายืนกลางห้อง ยกมือขึ้นตบแรงๆ เพื่อเรียกความสนใจผลที่ได้คือนางรำหันมามองซานซานทุกคน“พี่น้องคนงามทั้งหลาย” เส้นเสียงกังวานที่เรียกขานทำเอาสาวงามขนลุกซู่ “การแสดงศาสตร์ศิลป์แต่ละครั้ง พวกท่านแยกกันแสดงตามลำดับก่อนหลังครั้งละสามสี่คนถูกต้องไหม?”เรื่องนี้ซานซานอ่านระเบียบการแสดงมาก่อนหน้า จึงรู้ได้“ถูกต้อง” นางรำคนหนึ่งตอบคำ “เจ้าสงสัยอันใดหรือ?”ซานซานมิได้ตอบคำถามนั้น แต่ถามกลับว่า “เช่นนั้น ค่าตอบแทนเล่า ได้อย่างไร?”นางรำอีกคนตอบบ้าง “ได้ไม่เท่ากันอยู่แล้ว แต่ละรอบที่ขึ้นแสดง ความโปรดปรานย่อมไม่เท่าเทียม คน