เดือนห้า หลังหยาดพิรุณร่วงโรย ท้องฟ้าก็สดใส บุปผายิ่งบานสะพรั่ง หยดน้ำบนยอดหญ้าล้วนพร่างพราว ดุจดวงดาวเฉิดฉายยามกลางวัน
ถนนดินที่เคยแห้งแดงแตกระแหง บัดนี้คล้ายสีทองอร่าม โชยกลิ่นอายแห่งชนบทของหมู่บ้านผิงเหยียนเต็มเปี่ยม
เรือนไม้ไผ่โดดเดี่ยวท้ายหมู่บ้าน ที่เคยแห้งกร้านขาดความสดชื่น ยามนี้มีสวนผักอยู่ด้านข้าง เติบโตอวบอ้วน ยิ่งช่วงหลังฝนซาฟ้าโปร่ง ยิ่งเผยความชุ่มฉ่ำคล้ายมีชีวิตชีวา ดึงดูดให้ผู้คนเก็บกิน
อีกฟากหนึ่งเป็นลำธารใสกระจ่าง ผิวน้ำดุจคันฉ่องต้องแสงตะวัน ส่องประกายระยิบระยับทอดยาวไปไกลลิบ หมู่ปลาหลากสีแหวกว่าย ล่อตาล่อใจ คล้ายภาพมายา ให้ผู้คนจ้องมอง
ภายใต้บรรยากาศเรียบง่ายอันใสซื่อ ทันใดนั้น ไม้ไผ่ปลายแหลมพลันพุ่งพรวด รวดเดียวก็ปักทะลุลำตัวปลาได้นับสิบ
ซานซานเดินลงน้ำมาหยิบไม้ท่อนนั้นแล้วยกขึ้นสูงเหนือศีรษะเพื่อโอ้อวดใครบางคนบนริมฝั่งพลางส่งยิ้มเบิกบาน
จ้าวเหว่ยยืนกอดอกมองอยู่ริมตลิ่ง เอ่ยเสียงเรียบอย่างไม่ถือสา “เจ้าใจร้อนเกินไป”
หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น “ข้าเห็นท่านนั่งตกอยู่เป็นนาน ได้แค่ไม่กี่ตัวนี่” กล่าวพลางขึ้นจากน้ำยื่นไม้ให้อีกฝ่าย
ชายหนุ่มรับไม้จากมือนางมาถือไว้เอง ปากยังเอ่ยว่า “ข้ามิได้ตกปลาเพื่อคร่าชีวิต เพียงแค่อยากนั่งทำสมาธิก็เท่านั้น”
“อ้อ...” ซานซานพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเห็นด้วย ก่อนนั่งลงบนพื้นหญ้าแล้วเท้าคางมองสามี ดวงตาวาววับ
จ้าวเหว่ยเห็นสายตาทอประกายแวววาวของซานซานจึงนึกขันแต่แสร้งถามเสียงขรึม “มีอะไร?”
หญิงสาวคลี่ยิ้มสดใส ตอบว่า “ครั้งก่อนข้าขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรอยู่ครึ่งวัน กลับบ้านมาก็เจอเตียงอรหันต์ ไม้กั้นสามชั้นวางเอาไว้เรียบร้อย ยังมีรองเท้าปักลายและเสื้อผ้าชุดใหม่ของข้า แต่ไม่มีของท่าน ข้าจึงอยากได้ผ้าพับสักผืน คิดจะตัดเย็บแล้วปักให้ท่าน”
ชายหนุ่มหันหลังเดินเข้าบ้านพร้อมปลาเต็มไม้ด้วยท่าทางเรียบเฉย พลางคิดในใจว่าเสื้อผ้าของเขาใช่จะให้หญิงใดปักโดยง่าย แต่หากได้เห็นใครบางคนนั่งสงบนิ่งเพื่อปักผ้าใต้แสงเทียนคงจะดีไม่น้อย ภาพนั้นย่อมมิได้พบเห็นโดยง่ายเช่นกัน
ขณะคิดยังถามหญิงสาวที่เดินตามมา “ข้าอยากให้เจ้าปักลายมังกรคู่หงส์ ทำได้หรือไม่เล่า?”
ซานซานได้ยินพลันเบิกตาเอ่ยอย่างตกใจ “เกินไปแล้ว แค่งูกับไก่ก็พอกระมัง”
“...”
ยามบ่ายหลังอาหารมื้อกลางวันจบลง
จ้าวเหว่ยบังคับซานซานให้อยู่นิ่งๆ โดยการนั่งเล่นด้วยกันอยู่ริมลำธาร ร่างสูงของเขานั่งอิงต้นไม้ ตรงหน้าตักถูกภรรยาหนุนนอนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
สองแขนของซานซานกอดท่อนขาสามีเอาไว้แน่น หลับตาพริ้มซุกศีรษะกับตักอุ่น เหยียดกายไปกับพื้นหญ้าอ่อนนุ่ม รู้สึกสบายตัวเหลือเกิน
“ข้าชอบแบบนี้” นางเอ่ยเสียงใส
จ้าวเหว่ยเอ่ยเสียงเย็น “ชอบก็ดี จะได้อยู่อย่างสงบบ้าง”
หญิงสาวอมยิ้มอารมณ์ดี ใบหน้าฝังตรงท้องน้อยตึงแน่นกลิ้งขลุกขลักอย่างต้องการกลั่นแกล้งสามี จนอีกฝ่ายรู้สึกเสียวซ่านแล่นปราด เกรงว่าบางสิ่งจะตื่นผงาดจึงรีบเอื้อมมือขึ้นมาจับตรึงขมับนาง พลางเอ่ยเสียงเครียด “เจ้า...ทำอะไร?”
ซานซานยิ้มกริ่มทั้งที่ยังหลับตา “หามุมสบาย”
จ้าวเหว่ยเลิกคิ้วสูง “ขนาดนี้ยังไม่สบายอีกหรือ?”
“ยัง...”
หญิงสาวตอบพลางเอื้อมมือขึ้นล้วงเข้าไปในสาบเสื้อของชายหนุ่มแล้วลูบแผงอกไล้ปลายนิ้วหยอกเย้า
กล้ามเนื้อของจ้าวเหว่ยพลันกระตุก ใบหูแดงก่ำ บางสิ่งใต้ขอบกางเกงผ้าเริ่มแข็งขึงขึ้นมา
“ยังไม่สบายใช่หรือไม่?”
“หือ...”
ซานซานยังไม่ทันลืมตาก็รู้สึกว่าเรือนร่างลอยหวือก่อนถูกอุ้มเข้าเรือนรวดเร็ว
“อ๊ะ! ช้าก่อน ฟ้ายังไม่มืดเลยนะ”
จ้าวเหว่ยทาบทับลงมาไม่ปล่อยโอกาสให้นางโต้แย้ง
สุ้มเสียงชนิดหนึ่งจึงดังเล็ดลอดออกมาจากเรือนไม้ไผ่อย่างไม่มีออมแรง ไม่สนใจสักนิดว่าแสงแดดจักเสียดแทงปานใด
พลบค่ำสายลมเย็นฉ่ำกว่ายามกลางวัน
ซานซานจึงบังคับจ้าวเหว่ยให้นั่งดื่มด่ำกับชาที่นางชงอย่างบรรจงตรงโต๊ะมุมห้อง
“นี่คือชาดอกไม้ป่า ผสมน้ำผึ้งลงไป แรกเริ่มที่ดื่มจะรู้สึกขมฝาดสักนิด แต่ยามกลืน รสชาติจะหวานติดลิ้น กลิ่นยังติดจมูกเนิ่นนานค่อนราตรี”
ยามอธิบายยังกรีดเรียวนิ้วชงชาอย่างมีจริต หลุบตาลงก้มหน้าพองาม ท่วงท่าแช่มช้อยเชื่องช้า แลดูสง่างามใช่ย่อย
ท่ามกลางแสงเทียนสีทอง จ้าวเหว่ยนั่งอยู่อีกฝั่งมองนางอยู่เงียบๆ ได้ยินเสียงกังวานใสบรรยายเรียบเรื่อย
“น้ำชากานี้ข้าทำเพื่อท่าน สรรพคุณของมันจะช่วยรักษาลำคอที่บาดเจ็บให้ค่อยๆ กลับมาหายดี”
มุมปากบุรุษยกโค้งเกิดรอยยิ้มอบอุ่นมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่มีหนวดบดบังจึงมองไม่เห็น ทว่าดวงตากลับสื่อความนัยลึกล้ำ
“มีภรรยารู้ใจเช่นเจ้าเห็นทีคืนนี้คงต้อง ‘ปรนนิบัติอย่างดี’ เป็นการตอบแทน”
วาจาของสามีทำสตรีที่ไม่เคยเขินอายพลันหน้าแดงซ่าน ซานซานให้รู้สึกเลือดลมสูบฉีดพลุ่งพล่าน ขยับกลีบปากสีชมพูอ่อนนุ่มอย่างเดือดดาล
“พูดอะไรของท่าน?”
จ้าวเหว่ยแค่นเสียงหยอกเอิน “ทำเป็นไม่ชิน”
“ดื่มชาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ในลำคอพลางยกชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง
“เหย่หนิวของข้า ท่านควรดื่มด่ำกับกลิ่นกรุ่นก่อนประไร ไยรีบดื่มนักเล่า”
“ก็เจ้าบอกให้ข้าดื่ม”
“ท่านแกล้งข้าแล้ว”
เสียงหัวเราะแหบต่ำของบุรุษกับเสียงโวยวายของสตรีดังอยู่เช่นนั้นจนค่อนราตรี จากนั้นไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงหอบครางดังผสานของสองชายหญิง
คืนวันของสามีภรรยาผ่านพ้นไปอย่างสงบ มีชีวิตดั่งภาพฝันอันยาวนาน คล้ายไร้จุดสิ้นสุดแห่งความสุขหลังผ่านความเร่าร้อนมาครึ่งค่อนราตรี ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เสียงสตรีก็แหบแห้งเสียแล้ว ทว่าความร้อนแรงแห่งไฟพิศวาสในแววตากลับไม่ลดทอนลงเลย“อา...เหย่หนิว”ซานซานแหงนหน้าส่งเสียงหวิวแผ่ว ฝ่ามือเรียวเลื่อนจากเอวสอบขึ้นมาลูบไล้ที่แผ่นหลังกว้าง สัมผัสหยาดเหงื่อพราวพร่างที่กำลังสะท้อนแสงจันทร์ซึ่งลอดผ่านช่องลมเข้ามาในห้องนอน“หืม...” จ้าวเหว่ยพรมจูบดวงหน้าแดงเรื่ออย่างอ่อนโยน ขบเม้มลงต่ำไปเรื่อยๆ ที่ลำคอระหงและหน้าอกกลมกลึง ฝ่ามือยังกอบกุมที่เอวคอดกิ่วอย่างถนอม ขยับกลางลำตัวอย่างนุ่มนวล มิให้เสียจังหวะรัญจวนเลยแม้นิดเดียว“ไยท่านถึงมีเรี่ยวแรงเยอะนัก หายดีแล้วหรือไร?”บุรุษเหนือร่างไม่ตอบ เพียงถอนใบหน้าออกจากซอกคอขาวผ่อง ทอดมองนางด้วยแววตาชวนหวามไหว แล้วก้มลงจุมพิตกลีบปากอุ่นนุ่ม ตวัดปลายลิ้นร้อนชื้นหยุดวาจานางสตรีใต้ร่างทำได้เพียงพริ้มตา ตอบรับเพลิงปรารถนาที่สามีเป็นผู้มอบให้เสียงกดจูบของกลีบปากจึงดังผสานกับเสียงบดเบียดสอดประสานกลางลำตัว...ซานซานไม่คาดคิดเลยว่า ในชีวิตจะได้มีโอกาสสนิทสนมกับใครได้แนบ
ห่างจากเรือนไม้ไผ่ไกลลิบ อู๋เจี๋ยยืนก้มหน้านิ่งขึง เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงร้อนรน“องค์ชายโปรดพิจารณา หากพระองค์ยังยื้ออยู่เช่นนี้ พวกนักฆ่าตามมาจนเจอย่อมอันตรายถึงชีวิต การพานางไปด้วยยิ่งมิใช่ผลดี ชิงหลินผู้นี้มิได้มีค่าให้พระองค์ใส่ใจ นางคือตัวถ่วง”“องครักษ์อู๋...”น้ำเสียงเย็นเยียบพร้อมปราณสังหารหนาวสะท้านเช่นนี้ อู๋เจี๋ยไม่ค่อยได้พบเจอบ่อยนัก จึงสงบปากทันทีจ้าวเหว่ยยืนหันหลังให้องครักษ์คนสนิท เหม่อมองออกไปยังม่านมืดของราตรีอันไกลโพ้น นับหลายพันลี้จากจุดนี้คือวังหลวงอันวุ่นวายร้อนระอุ เป็นสถานที่ที่ไม่ควรก้าวย่างเข้าไป แต่จำต้องเหยียบย่ำมิอาจถอนเท้าหรือถอยหลังแม้ครึ่งก้าวเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธว่าหากกงหนิวผู้อัปลักษณ์ถูกค้นพบตัวตนที่แท้จริง การตามล่าย่อมมีมาอย่างช่วยมิได้ชายหนุ่มหลุบตาครุ่นคิด หลายวันมานี้ร่างกายอ่อนแอของเขาเริ่มแข็งแรงขึ้นมาก กำลังวังชายิ่งปรับสมดุลผสานลมปราณได้ดี อีกไม่นานย่อมฝึกฝนเพลงยุทธ์เหนือชั้นได้ไม่ยาก‘เหย่หนิว ท่านฝึกตามนี้นะ รับรองว่าร่างกายจะกลับมาหายดี พละกำลังแข็งแกร่งดุจเดิม แล้วเราค่อยมาเริ่มฝึกวิชากัน’เสียงของซานซานยังคงสะท้อนก้องให้ห้วงโสตจ้า
ฝนตกติดต่อกันนานหลายวัน ในที่สุดเช้านี้ท้องฟ้าก็ปลอดโปร่ง หมู่เมฆเร้นหาย ตะวันแผดแสงแรงกล้าขณะที่ซานซานกำลังนั่งสางผมอยู่หน้าคันฉ่อง พลันมีมือหนึ่งยื่นมาแย่งหวีแล้วสางผมให้อย่างเบามือหญิงสาวมองผ่านกระจกตรงหน้า เห็นชายหนุ่มผู้เป็นสามีกำลังม้วนผมแล้วปักปิ่นให้ ได้ยินเสียงเขากล่าวว่า“ปิ่นไม้นี้อาจไม่งาม แต่ข้าทำเองกับมือ เจ้าชอบหรือไม่?”ปิ่นสลักด้วยมือรูปดาราเร้นจันทร์ปีนเกลียว ซานซานเอียงหน้ามองปิ่นไม้ในกระจกพลางคลี่ยิ้มรับ “อืม...ชอบมาก”จ้าวเหว่ยเอ่ยอีก “วันหน้าข้าย่อมทำปิ่นหยกมอบให้เจ้า”ซานซานลุกขึ้นยืนแล้วยืดตัวหอมสันกรามสามีหนึ่งที พร้อมคลี่ยิ้มละมุนตา “ขอบคุณท่านพี่”เรียวตาคมวูบไหวบางเบายามมองภรรยา มุมปากใต้หนวดเครายกยิ้มเล็กน้อย ปลายนิ้วไล้เกลี่ยปอยผมที่ข้างแก้มให้ซานซานอย่างนุ่มนวล จ้าวเหว่ยอดใจไม่ไหวก้มหน้าจรดริมฝีปากกับหน้าผากมน แตะแต้มจุมพิตลงมาที่แก้มเนียนแล้วจูบนางตรงกลีบปากอุ่นนุ่มเนิ่นนาน ปรารถนาได้แนบชิดนางเช่นนี้ตลอดไปซานซานหลับตาพริ้มปล่อยให้สามีได้กระทำตามใจครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าริมฝีปากแดงฉ่ำจักได้รับอิสระ“ยามบ่ายวันนี้อากาศสดใสไม่เบา ข้าจะเข้าไปในหมู่บ้าน หาซ
กลางหมู่บ้านผิงเหยียนมีตลาดเพียงแห่งเดียวซานซานเดินเที่ยวอย่างใจเย็น ระหว่างทางเจอเพื่อนบ้านทักทายมาก็ส่งยิ้มนอบน้อมกล่าวทักทายกลับ ทำตัวกลมกลืนเยี่ยงชิงหลินได้ดีเยี่ยม เหตุนี้ท่านป้าท่านลุงจึงยื่นของกำนัลให้ตลอดทาง เห็นได้ชัดว่าชิงหลินได้รับความเอ็นดูหรือไม่ก็ถูกมองว่าน่าสมเพชเวทนาไม่น้อยจากผู้คนในหมู่บ้านแน่นอนว่าซานซานไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ นางยินดีรับสินน้ำใจทั้งหมดโดยไม่ต้องร้องขอ ไม่ต้องเสียเงิน เดิมทีในความคิดแรกเริ่มของหญิงสาวมีแต่เรื่องการฝึกฝนเคล็ดวิชาเฉกเช่นชาติปางก่อน ทว่านางรอเวลาอย่างใจเย็น ให้ร่างกายของเหย่หนิวแข็งแรงกว่านี้เสียก่อนเท่านั้น ส่วนตัวนางก็ค่อยๆ ฝึกกล้ามเนื้อพื้นฐานโดยการออกแรงทำงานต่างๆ เช่นนี้ ไม่กี่ปีหลังจากมีกำลังวังชาเพิ่มมากขึ้นค่อยท่องยุทธ์ก็ยังไม่สายไม่ต้องใช้คัมภีร์ ไม่ต้องแผ่ตำรา เพราะทุกสรรพวิชาล้วนถูกจดจำอยู่ในสมอง ขอเพียงได้หมั่นฝึกฝนซ้ำอีกครา ใต้หล้านี้จะไปไหนเสียเล่าเมื่อได้ผ้าที่ต้องการมาแล้วซานซานก็เดินเที่ยวตลาดอีกครู่ใหญ่เพื่อมองหาเครื่องประดับสักชิ้นสองชิ้น ระหว่างนั้นยังครุ่นคิดถึงสามีหลายวันมานี้ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ นางคิดสง
เรือนไม้ไผ่ท้ายหมู่บ้านท่ามกลางแสงแดดสว่างไสว กำลังมีควันพวยพุ่ง มีเปลวไฟลุกไหม้อย่างร้อนแรง พริบตานั้น ...ฟ้าดินพลันเปลี่ยนเป็นหมองหม่นน่าสะพรึง ซานซานวิ่งมาทันเห็นชาวบ้านต่างรีบร้อนช่วยกันดับไฟอย่างอลหม่านวุ่นวายพวกเขาแต่ละคนถือถังไม้วิ่งไปที่ลำธาร ตักน้ำขึ้นมา แบกขึ้นหน้า วิ่งปรี่เร็วรี่แล้วสาดโครมไปที่เปลวเพลิงร้อนฉ่าตั้งแต่ต้นทางเดินอันเล็กแคบไปถึงลานหน้าบ้านไม้ไผ่ล้วนมีไฟไหม้โหม ผู้คนตะโกนก้องดังลั่นให้เร่งมือดับไฟยกใหญ่ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแต่คล้ายชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึก ท้ายหมู่บ้านที่เคยมีเรือนไม้ไผ่ริมลำธารตั้งอยู่ บัดนี้เหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง รอบด้านเต็มไปด้วยเถ้าถ่านสีดำ ต้นไม้ดอกไม้และพืชผักราบคาบเป็นหน้ากลองท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านที่ช่วยกันดับไฟวุ่นวายก่อนหน้า บัดนี้กำลังยืนนิ่งมองศพของผู้หนึ่งด้วยสีหน้าตะลึงลาน แววตาเต็มไปด้วยความพรั่นพรึงชั่ววูบนั้น เหมือนฟ้าฟาดลงมากลางหน้าผากซานซานหญิงสาวเดินแหวกกลุ่มคนเข้ามาด้วยความหวาดหวั่นเบื้องหน้า บนเถ้าถ่านสีดำคลุมผืนดิน บุรุษหนุ่มตัวใหญ่ ใบหน้ามีแผล นอนทอดกายยาวเหยียด ไร้ลมหายใจ ในสภาพถูกไฟคลอกจนตายศพในซากเรือนไม้ย
คืนวันหมุนเวียนบรรจบ แสงแดดเจิดจ้า สะท้อนทุกสรรพสิ่งบนผืนดินสายลมยังคงไล้ผ่าน ทว่าซานซานกลับไร้การเคลื่อนไหว กระทั่งตะวันคล้อยต่ำบ่งบอกว่าใกล้ค่ำ นางยังนิ่งไม่เปลี่ยนกิริยาภายใต้ร่มสีแดงคันเดิม เรือนร่างในอาภรณ์สีขาวยังคงยืนหน้าหลุมศพอย่างสงบเงียบงัน ทั้งวังเวงและเวิ้งว้างสุดจะหยั่งแววตาหญิงสาวเหม่อลอย ดวงหน้าซีดขาวราวกระดาษ จ้องนิ่งเพียงจุดเดียว คือเนินดินตรงหน้าหลุมศพของเหย่หนิวหลายวันแล้วที่ซานซานรับรู้แค่ความเวิ้งว้างไร้จุดสิ้นสุด โดดเดี่ยวสุดแสน ไม่มีพลังแห่งชีวิตหลงเหลือนางอยู่เพียงลำพัง ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เห็นเพียงความเงียบเหงาวังเวงบนป้ายสุสาน เนิ่นนานก็ยังไม่เห็นสิ่งใด นอกจากความมืดมนในใจ ทั้งอับจนหนทางหญิงสาวหลับตาลง ปรับลมหายใจอีกครั้ง ก่อนลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วหมุนกายเดินเอื่อยเฉื่อยลงจากเขาริมลำธารยามนี้มีเพิงเล็กๆ แค่อาศัยซุกตัวนอนเท่านั้น ทั้งๆ ที่เรือนไม้ไผ่เหลือแต่ซากเป็นนานแล้ว แต่ซานซานก็ยังเฝ้าวนเวียนอยู่ที่แห่งนี้มิได้ไปไหน นางอยู่กับความหวังอันริบหรี่ว่าบางทีเหย่หนิวอาจกลับมาฉับพลันนั้น ซานซานบังเกิดความคิดนี้ขึ้นกะทันหันนางกำลังรอเขา กระนั้นหรือ?เมื่อคิดได
ทิศบูรพาห่างไกลจากหมู่บ้านผิงเหยียนหลายพันลี้ คือเมืองหลวงหมิงเวยอันเจริญรุ่งเรืองของแคว้นต้าถังเมืองกว้างใหญ่แห่งนี้ อุดมสมบูรณ์พร้อมพรั่ง มีทั้งจวนและคฤหาสน์ตั้งตระหง่านทั่วสารทิศ ชาวประชาร่ำรวยมั่งคั่งกลางเมืองคือพระราชวังหรูหราอลังการ ล้อมรอบด้วยกำแพงสีแดงสูงตระหง่าน ด้านหลังกำแพงมีวังรโหฐาน มีตำหนักมากมาย หนึ่งในนั้นคือตำหนักบูรพาที่เคยขาดรัชทายาทผู้เป็นเจ้าของ บัดนี้คนผู้นั้นได้กลับมาแล้ว ตำหนักวิจิตรขนาดใหญ่ ได้รับการตกแต่งพิถีพิถันงดงามตระการตา ในห้องประดับประดาสิ่งของมงคล เครื่องเรือนทุกชิ้นล้วนล้ำค่า บนเตียงหรูหราล้อมผ้าม่านโปร่งระย้า มีร่างสูงสง่านอนหลับใหลด้วยอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ถึงแม้จะนอนนิ่งเพราะเจ็บป่วย แต่กระนั้นกลับสง่างามหาใครเปรียบเพราะวิชาแปลงโฉมให้อัปลักษณ์มิให้ใครจำได้ถูกปลดออกแล้วจนสิ้น จึงเผยรูปโฉมแท้จริง เป็นบุรุษหนุ่มหล่อเหลา สันกรามเรียวคม ผิวหน้าเนียนละเอียด เรียวคิ้วดั่งหมึกวาด จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากได้รูปสีแดงสด ทุกส่วนสมบูรณ์แบบแม้เปลือกตาปิดสนิท แต่เครื่องหน้ากลับงดงามเป็นเอก โดดเด่นปานนั้น ริ้วรอยแผลเป็นล้วนอันตรธานหายไปจ้าวเหว่ยถูกพาตัว
อู๋เจี๋ยกัดปากขมวดคิ้ว ครุ่นคิดจนหน้าย่น ในที่สุดก็เอ่ย “แต่ข้าก็ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเผาเรือนเพื่อทำศพปลอม”ยิ่งพูดองครักษ์หนุ่มยิ่งแง่งอนแสดงอาการขันทีออกมาจื้อหย่วนย่อมคุ้นชินกับบ่าวคนสนิทของจ้าวเหว่ยที่ดูแลรับใช้ข้างกายจนถูกส่งให้ฝึกวรยุทธ์ด้วยกันกับองค์ชายตั้งแต่ยังเยาว์วัย เขาถอนหายใจก่อนเอ่ยตามตรงด้วยสุ้มเสียงเย็นชา“แท้จริงนั้น รับสั่งคือให้ฆ่าสตรี แล้วพาบุรุษกลับมา”“หา!” อู๋เจี๋ยตกใจ “ปานนั้นเลยรึ?”จื้อหย่วนปรายตามองอีกฝ่ายที่แตกตื่นเกินงามแวบหนึ่ง ก่อนดึงสายตากลับมามองจ้าวเหว่ยแล้วกล่าวอีกว่า“องค์ชายอายุยังน้อย ใต้หล้ากว้างใหญ่ หนทางยาวไกล ยังมีเรื่องราวอีกมากมายบนถนนแห่งชีวิตรอให้ประสบพบเจอ การคงอยู่ของนางอาจจะกลายเป็นขวากหนามขัดขวางหนทางเบื้องหน้าอันรุ่งโรจน์ของเขา ตำแหน่งรัชทายาทนี้ ข้ายังไม่เห็นผู้ใดเหมาะสมยิ่งกว่าเขา”จื้อหย่วนถอนหายใจหนักอก กล่าวอีกว่า“ข้ายอมรับว่าไม่อาจตัดใจฆ่าคนสำคัญของศิษย์ตนเอง จึงยอมเสี่ยงแบกรับความผิดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ศพปลอมทำขึ้นเพื่อตบตาศัตรูนั้นไม่ผิด แต่ประเด็นสำคัญคือสตรีขององค์ชาย ต้องเข้าใจว่าสามีตาย ตัดขาดจากกันชั่วนิรั
ฤดูร้อนผ่านพ้นจนล่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงอีกไม่นานย่อมเยียบย่างฤดูใบไม้ผลิหลายเดือนมาแล้วที่ซานซานตัดสินใจพาลู่หลิ่งออกจากถ้ำแล้วติดตามหลี่กุ้ยเฟยโดยเลือกเป็นเพียงนางกำนัลคนสนิทนางปล่อยอาหู่อยู่ในถ้ำ ไม่คิดพรากสัตว์ร้ายจากป่าใหญ่ ข่าวที่พระสนมคนโปรดถูกลอบทำร้าย ได้รับการสืบสาวไปตามขั้นตอนของวังหลวง ความจริงเป็นเช่นใดซานซานไม่รู้แม้แต่น้อยนางรู้แค่ว่าลู่หลิ่งเป็นเด็กฉลาด เรียนรู้เร็ว คุ้นชินกับชีวิตพระราชวัง ในเวลาอันสั้นก็พูดจากับคนชั้นสูงได้คล่องแคล่วน่าฟัง ได้ร่ำเรียนในสำนักศึกษาของพระราชวัง ได้กินอิ่มนอนหลับ ได้รับของมีค่า มีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ ได้เล่นสนุกซุกซนสมวัยและที่สำคัญ ตัวนางมียังเบี้ยหวัดเอาไว้ใช้จ่าย ชีวิตดูมีความหมายไม่น้อยซานซานในชาตินี้ทำตัวดีมีคุณค่ายิ่งนัก เพราะมีลูกแล้ว จะกระทำการใด ย่อมต้องคิดให้มาก รอบคอบเข้าไว้หากมารดาทำตัวไม่ดี ชีวิตบุตรสาวย่อมยากจะสงบสุขอีกอย่าง ชีวิตในวังหลวงแห่งนี้นับว่าดีมาก หลี่กุ้ยเฟยเอ็นดูลู่หลิ่งไม่น้อย ตัวนางเองก็มีสหายหลายคนที่พูดจาถูกคอ หนึ่งในนั้นมีนางกำนัลคนหนึ่ง นามว่าซูเหยา อายุราวสิบเก้าปี นิสัยสัตย์ซื่อ วาจานุ่มละมุน รับหน้าที่
เจ้าของวาจาน่าฟังนี้ทำท่าทางเอียงอาย “ขอพระองค์ทรงเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ เพราะนี่คือครั้งแรก”ยิ่งเอ่ยใบหน้างดงามนวลผ่องยิ่งแดงปลั่งดั่งผลอิงเถา“เจ้าเป็นใคร?”จ้าวเหว่ยถามเสียงขรึม หรี่ตาลงมองฝ่ามือที่บังอาจมาแตะต้องตัวเขาเจ้าของฝ่ามือเห็นสายตาปานมีดคมจับจ้องประหนึ่งกำลังกรีดเฉือนข้อมือตน จึงชะงักค้างนิ่งงัน ค่อยๆ ดึงมือกลับ แล้วถอยหลังมายืนสำรวมอยู่ห่างจากเตียงนอนราวห้าก้าว กล่าวพึมพำว่า “หม่อมฉันจิ่วเมย บุตรสาวคนเล็กของเจ้าเมืองจิ่ว ได้รับมอบหมายให้มาดูแลองค์รัชทายาทจนกว่าจะหายดีเพคะ”จ้าวเหว่ยโบกมือให้อีกฝ่ายหยุดพล่าม พลางเอ่ยเสียงต่ำ“ข้าหายดีแล้ว กลับไปเรียนบิดาเจ้าตามนั้น ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”แม่นางจิ่วเมยได้ฟังพลันแข็งค้างไปทั้งร่าง ความหวังที่จะได้ติดตามเข้าวังพังทลายไปสิ้น“แต่...แต่ท่านพ่อบอกว่า หากหม่อมฉันดูแลพระองค์จนหายดี หม่อมฉันจะได้...” นางละล่ำละลักทวงความดีความชอบจ้าวเหว่ยลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง เขาตัวโตมากกว่าเมื่อห้าปีก่อนยิ่งนัก เส้นเสียงที่เคยแหบพร่าเพราะลำคอถูกทำลายก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเปล่งวาจายามอารมณ์ดีจึงทุ้มต่ำน่าฟัง ทว่าหากอารมณ์ไม่ดีกลับทรงอำ
ยี่ซินคลี่ยิ้มเต็มวงหน้า เย้าอีกประโยคว่า “เจ้าช่างไร้ใจ”ซานซานตอบรับอย่างอารมณ์ดี “ผิดแล้วๆ ข้ามีหลายใจต่างหากเล่า สามีเก่าไม่ดี ข้าก็กำลังจะหาสามีใหม่ เพียงแต่ยังหาที่ถูกใจไม่เจอเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้ อย่าว่าแต่องค์รัชทายาทเลย เกรงว่าชายใดก็คงไม่คิดเข้าใกล้ข้าให้ต้องแปดเปื้อนแล้ว”ถ้อยวาจานี้เรียกเสียงหัวเราะให้บังเกิดได้ไม่ยาก ทั้งยี่ซินและซานซานสนทนาต่อคำกันได้ถูกคอยิ่งและนี่คือการผ่านบททดสอบขั้นพื้นฐานอย่างเรียบร้อย…เมื่อได้เห็นท่าทางเปิดเผยจริงใจ มิได้เสแสร้งแม้เพียงนิด ไม่ปรากฏความมักใหญ่ใฝ่สูงอันใดให้เห็น ทั้งแววตายังปราศจากความหลงใหลได้ปลื้มเช่นชู้สาวต่อบุตรชายของตน หลี่กุ้ยเฟยจึงรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย ท้ายที่สุดพระนางก็เอ่ยเสียงนุ่มน่าฟังว่า“หากเจ้าไม่รังเกียจ ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกัน ข้าต้องการตอบแทนเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”เสียงนี้ทำเอาซานซานกับยี่ซินต้องหยุดหัวเราะเพื่อรับฟังหลี่กุ้ยเฟยนิ่งเงียบชั่วครู่ ปรายตามองไปทางลู่หลิ่งแม่นางน้อยปล่อยผมสยายยามหลับฝัน พวงแก้มที่เคยนวลเนียนอมชมพูระเรื่อบัดนี้มีรอยแดงเพราะถูกคนร้ายตีหลายที ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสดที่ยกยิ้มได
ซานซานได้ฟังวาจาเชิญชวนยาวเหยียด เพียงเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ“แม้ว่าข้าจะเป็นชาวยุทธ ทว่าระบบเมืองหลวงมิใช่ไม่รู้ การเข้าเป็นองครักษ์หญิงในวังหลวง เงินเบี้ยหวัดได้มากกว่านางกำนัลเล็กๆ ก็จริง แต่ต้องผ่านการทดสอบอันหนักหน่วง”ซึ่งการทดสอบหาใช่ปัญหาสำหรับนางไม่ ที่เป็นปัญหาคือประวัติความเป็นมาต่างหาก นางมิใคร่ให้ใครล่วงรู้ตัวตนว่ามาจากไหนลูกใครสกุลใด เพราะนั่นอาจนำอันตรายที่มองไม่เห็นไปสู่ครอบครัวหาน ทั้งอาจมีปัญหายิบย่อยอันน่ารำคาญใจเพราะที่ผ่านมา ระหว่างทางที่ท่องยุทธ์ไปทั่ว นางบังเอิญได้ 'ฆ่าคน' ปะไร!หลังจากใคร่ครวญลึกซึ้งจึงโบกมือปฏิเสธ “ช่างเถิด...พวกท่านจ่ายเงินรางวัลที่ช่วยเหลือกันก็พอ ข้าไม่เข้าวังหรอก”ยี่ซินจับกระแสความคิดที่อีกฝ่ายแสดงออกว่าไม่ชอบเรื่องยิบย่อยอันน่ารำคาญ จึงรีบกล่าวอย่างเอาใจ หวังหยั่งเชิง“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่? เจ้าช่วยเหลือพระสนมซึ่งเป็นถึงพระมารดาขององค์รัชทายาท สามารถใช้เส้นสายตรงนี้โดยไม่ต้องเข้ารับการทดสอบ เพราะอำนาจรับคนเป็นสิทธิ์ของพระองค์อยู่แล้ว แค่เจ้าเข้าหาองค์รัชทายาทเท่านั้น”ยี่ซินขยับเข้าใกล้ซานซานเล็กน้อย พลางกระซิบอย่างกระตือรือร้นว่า “ไม่
ในถ้ำใต้แท่นหินได้ยินเสียงน้ำตกดังซู่ เย็นฉ่ำไปทั่วลู่หลิ่งถูกผลัดผ้าทายาป้อนเนื้อย่างจนอิ่มหนำแล้วปล่อยให้หลับใหลบนผ้าป่านไปนานแล้ว โดยมีอาหู่หมอบอยู่ข้างๆ คอยเลียแก้มเลียมือกล่อมนอนไม่ห่างไฟกองหนึ่งกำลังลุกโชนมอบความอบอุ่นให้ทุกคนในถ้ำ แสงเพลิงสีทองสาดส่องเสี้ยวใบหน้าของสตรีทั้งสามยามสนทนา เผยให้เห็นความจริงใจไร้กังขา ปราศจากการเสแสร้งใด“ที่แท้ท่านก็คือพระสนมหลี่กุ้ยเฟย”ซานซานอุทานอย่างตกใจไปทางสตรีงดงามตรงหน้านางจำได้ที่จางเหริน เสี่ยเฟิง และเว่ยลี่เคยเล่าเรื่องราวให้ฟังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในแคว้นหรือเรื่องในรั้วในวังทุกเรื่องที่ทั้งสามคนนั้นเล่าให้ฟังนั้น พวกเขายังทำท่าทางประกอบประหนึ่งเล่นงิ้ว เสมือนเป็นผู้ร่วมทุกเหตุการณ์ที่เล่ามา สมจริงยิ่ง เชื่อถือได้มารดาขององค์รัชทายาทแห่งต้าถังมีนามหลี่ฮุ่ยเยี่ยน หรือก็คือหลี่กุ้ยเฟยแน่นอนว่าสามัญชนไม่อาจเอ่ยพระนามของราชนิกุล ซานซานเพียงคิดในใจอย่างรู้กาลเทศะ นางเอ่ยต่อ“ในขณะที่รัชทายาททรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ทรงตรากตรำทำเพื่อบ้านเมือง แต่คนชั่วกลับลอบแทงข้างหลัง บั่นทอนกำลังด้วยการลอบทำร้ายพระมารดากระนั้นหรือ?”เรื่องราว
“ท่านแม่”ลู่หลิ่งเห็นคนชั่วตายหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ จึงลุกวิ่งตึกๆ โผหามารดา อ้าแขนออก กระโดดโถมทั้งตัวใส่ แล้วร้องไห้จ้าหญิงสาวเห็นลูกบาดเจ็บมีบาดแผลมีเลือดออก สองแก้มบวมแดง ร่ำไห้ฮักๆ จนตัวสั่น จึงใจอ่อนยวบ ความคิดจะตำหนิความซุกซนของลูกก่อนหน้าจึงตกไป นางดุไม่ออกแม้ครึ่งคำ“หลิ่งเอ๋อร์ ไม่เป็นไรแล้ว”ซานซานเอ่ยเสียงนุ่ม แววตาอ่อนโยน กอดลูกแนบอก ลูบหลังปลอบประโลมด้วยความรักใคร่สุดหัวใจ ภาพของสตรีอำมหิตโหดร้ายที่ฆ่าคนตายอย่างเลือดเย็นเมื่อครู่คล้ายไม่เคยเกิดขึ้นเดิมทีสตรีสองคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากลู่หลิ่งยังคงรู้สึกหวาดเกรงต่อซานซานอยู่มาก ความอำมหิตชนิดดาบเดียวปลิดชีพนับสิบชีวิต ทำพวกนางผวาเยือกไม่กล้ากระทั่งร้องอุทาน ทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายปลอบลูกอย่างอ่อนโยนเช่นนั้น ความหวาดหวั่นพลันตกไปสิ้น พวกนางค่อยๆ พยุงตัวกันยืนขึ้น แล้วเดินเข้ามาร่วมปลอบเด็กน้อยลู่หลิ่งด้วยมีเพียงอาหู่ที่หมอบอยู่ไม่ยอมขยับเพราะเจ็บแผลมากหนึ่งในสองสตรีแย้มยิ้มแล้วเอ่ยกับซานซาน “แม่นาง ขอบคุณเจ้ามาก บุญคุณช่วยชีวิตใหญ่หลวงนัก”ซานซานเหลือบตามองสตรีทั้งสอง เห็นคนหนึ่งใส่อาภรณ์หรูหรา ใบหน้าหมดจดงดงาม กิริยา
ชั่วอึดใจซานซานพลันดีดตัวขึ้นสูง ดึงร่มคันเล็กจากเอวด้านหลัง แล้วเหวี่ยงไปทางกลุ่มของบุตรสาวร่มคันนี้คือหนึ่งในอาวุธสังหารที่ซานซานออกแบบคร่าวๆ แล้วให้เสี่ยเฟิงเค้นสมองปรับเปลี่ยนเพิ่มประโยชน์จากกันแดดฝนร่มกางออกแล้วหมุนอยู่กลางอากาศ สาดกระจายเข็มพิษออกรอบทิศเป็นวงกว้าง เพื่อปกป้องสตรีสามคนและเสือดาว มิให้ใครย่างเท้าเข้ากล้ำกรายคนชุดดำที่ไม่ทันตั้งตัวย่อมหลบไม่ทัน ถูกพิษจากร่มไปอย่างช่วยไม่ได้ส่วนพวกที่เหลือ ซานซานเพียงพุ่งตัวอ้อมมาตลบหลังรอบในมีเข็มพิษพุ่งกระจายปลิดชีพผู้คนในพริบตา รอบนอกของเหล่าชายชุดดำมีซานซานลอบสังหารครอบคลุม เรียกได้ว่าหนึ่งล้อมสิบ นางพลิกกายปราดเปรียว สองแขนไขว้กัน สองมือกำดาบเสี้ยวจันทร์ดาบโค้งสองอันประกบเข้าด้วยกันกลับผสานเป็นหนึ่ง ร่างระหงหมุนตัวด้วยกระบวนท่าวายุคลั่ง แล้วสะบัดออกสุดแขน ตวัดดาบอย่างแรง ใบไม้แห้งรอบด้านยังกลายเป็นใบมีดคมกริบปลิวว่อน สังหารผู้คนจนทั่ว ดาบแยก กายแยก เลือดสาดกระจายซ่านเซ็นหญิงสาวทำเช่นนั้นฝ่ากลุ่มคนชุดดำตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย คนร้ายทั้งหลายออกกระบวนท่าแรกยังไม่ทันครบถ้วนก็ถูกกระบวนท่าเดียวของซานซานกลืนกินไปสิ้นร่มยังไ
ลู่หลิ่งถูกกระชากคอเสื้ออย่างแรง มิอาจหลบได้ทัน ทั้งตกใจและเจ็บแปลบ จึงร้องไห้จ้าทว่าพริบตาตรงคอเสื้อของเด็กน้อยคงเหลือแต่ฝ่ามือหยาบหนากับเลือดกระฉูดแดงฉานติดเสื้อ ส่วนลำตัวกลับหายไปเจ้าของฝ่ามือผู้นี้ถูกดึงกระชากขึ้นไปบนต้นไม้ ดิ้นพล่านขลุกขลักค้างเติ่งอยู่บนนั้น ที่ลำคอมันมีเชือกเถาวัลย์รั้งเอาไว้จนลิ้นจุกปากตาเหลือกแทบถลนออกนอกเบ้า รอความตายกลืนกินอย่างทรมานไม่นานก็ได้ยินเสียงลำคอของมันหักดังกร๊อบ เพราะขยับเหวี่ยงแขนที่ถูกตัดขาดด้วยความเจ็บปวดรุนแรงเกินไป ยังผลให้ตายเร็วอย่างที่สุดชายอีกสองคนยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกกระชากจากฝ่ามือปริศนาจนกระเด็นออกห่างจากลู่หลิ่งไปไกลหลายจั้ง ประหนึ่งถูกปีศาจรั้งกระตุกตรงจุดที่มันทั้งสองตกกระแทกพื้นดิน มีร่างระหงของซานซานรอรับอยู่แล้ว ด้วยดาบโค้งเงาจันทร์ที่เสี่ยเฟิงตีขึ้นมานางสะบัดดาบในมือทั้งสองข้างเพียงพรึบเดียว หัวของชายชุดดำทั้งด้านซ้ายและด้านขวาพลันสะบั้นในพริบตา พวกมันยังไม่ทันได้อ้าปากร้องด้วยซ้ำ“ท่านแม่!”ลู่หลิ่งร้องเรียกมารดา น้ำตาไหลนองเต็มสองแก้มอาหู่ที่ติดตามซานซานมารีบกระโจนเข้าหาเด็กน้อยทันทีคนชุดดำที่เหลืออีกห้าคนเบิกตาโพลงอย
เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในถ้ำพร้อมอาหารเต็มอ้อมแขนซานซานพลันขมวดคิ้วแน่น มองกวาดจนทั่วบริเวณถ้ำอยู่สองรอบก็ยังไม่พบตัวบุตรสาว กระทั่งเสือดาวหิมะก็ยังหายตัวไปแม้นางจะคิดว่าลู่หลิ่งคงให้อาหู่พาไปเที่ยวเล่นซุกซนด้านนอกไม่ไกล แต่สัญชาตญาณแห่งมารดาไม่เคยธรรมดา พริบตาต่อมาซานซานก็พลิกกายพุ่งทะยานด้วยหัวใจที่เต้นระรัววิชาตัวเบาเลิศล้ำทำให้ใช้เวลาแค่หนึ่งเค่อ หญิงสาวก็พบร่องรอยอันน่าสงสัย เบื้องหน้าในระยะสายตามีซากศพคนตาย ทั้งทหารอาภรณ์แดงและคนชุดดำนอนสิ้นชีพกระจายเกลื่อนไม่ไกลกันจึงได้เห็นขลุ่ยหยกหักสองท่อน ยังมีมีดสั้นของลู่หลิ่งตกอยู่ทั้งสองเล่ม และเสือดาวนอนจมกองเลือดสีแดงฉาน“อาหู่!”ซานซานตระหนกวูบ คล้ายหัวใจดิ่งลงเหวทันใดเสือดาวหิมะเห็นเจ้านายมาแล้วก็ส่งเสียงครางอย่างยินดี“หลิ่งเอ๋อร์เล่า?” ซานซานถามพลางโรยยาห้ามเลือดสมานแผลให้อาหู่กำลังวังชาของอาหู่คล้ายถูกเพิ่มฉับพลัน มันลุกขึ้นยืน ฝืนความเจ็บจนขาสั่น ก่อนจะพยายามกระโจนตัวตามกลิ่นไป ...กลางป่าอีกฝั่งหนึ่งห่างจากจุดเข่นฆ่าออกมาราวครึ่งลี้นักฆ่าเหลือพวกพ้องทั้งสิ้นแปดคน สี่คนถูกพิษจนไม่อาจเดินทางต่อแม้ครึ่งก้าว ได้แต่นอนครวญครา