เดือนห้า หลังหยาดพิรุณร่วงโรย ท้องฟ้าก็สดใส บุปผายิ่งบานสะพรั่ง หยดน้ำบนยอดหญ้าล้วนพร่างพราว ดุจดวงดาวเฉิดฉายยามกลางวัน
ถนนดินที่เคยแห้งแดงแตกระแหง บัดนี้คล้ายสีทองอร่าม โชยกลิ่นอายแห่งชนบทของหมู่บ้านผิงเหยียนเต็มเปี่ยม
เรือนไม้ไผ่โดดเดี่ยวท้ายหมู่บ้าน ที่เคยแห้งกร้านขาดความสดชื่น ยามนี้มีสวนผักอยู่ด้านข้าง เติบโตอวบอ้วน ยิ่งช่วงหลังฝนซาฟ้าโปร่ง ยิ่งเผยความชุ่มฉ่ำคล้ายมีชีวิตชีวา ดึงดูดให้ผู้คนเก็บกิน
อีกฟากหนึ่งเป็นลำธารใสกระจ่าง ผิวน้ำดุจคันฉ่องต้องแสงตะวัน ส่องประกายระยิบระยับทอดยาวไปไกลลิบ หมู่ปลาหลากสีแหวกว่าย ล่อตาล่อใจ คล้ายภาพมายา ให้ผู้คนจ้องมอง
ภายใต้บรรยากาศเรียบง่ายอันใสซื่อ ทันใดนั้น ไม้ไผ่ปลายแหลมพลันพุ่งพรวด รวดเดียวก็ปักทะลุลำตัวปลาได้นับสิบ
ซานซานเดินลงน้ำมาหยิบไม้ท่อนนั้นแล้วยกขึ้นสูงเหนือศีรษะเพื่อโอ้อวดใครบางคนบนริมฝั่งพลางส่งยิ้มเบิกบาน
จ้าวเหว่ยยืนกอดอกมองอยู่ริมตลิ่ง เอ่ยเสียงเรียบอย่างไม่ถือสา “เจ้าใจร้อนเกินไป”
หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น “ข้าเห็นท่านนั่งตกอยู่เป็นนาน ได้แค่ไม่กี่ตัวนี่” กล่าวพลางขึ้นจากน้ำยื่นไม้ให้อีกฝ่าย
ชายหนุ่มรับไม้จากมือนางมาถือไว้เอง ปากยังเอ่ยว่า “ข้ามิได้ตกปลาเพื่อคร่าชีวิต เพียงแค่อยากนั่งทำสมาธิก็เท่านั้น”
“อ้อ...” ซานซานพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเห็นด้วย ก่อนนั่งลงบนพื้นหญ้าแล้วเท้าคางมองสามี ดวงตาวาววับ
จ้าวเหว่ยเห็นสายตาทอประกายแวววาวของซานซานจึงนึกขันแต่แสร้งถามเสียงขรึม “มีอะไร?”
หญิงสาวคลี่ยิ้มสดใส ตอบว่า “ครั้งก่อนข้าขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรอยู่ครึ่งวัน กลับบ้านมาก็เจอเตียงอรหันต์ ไม้กั้นสามชั้นวางเอาไว้เรียบร้อย ยังมีรองเท้าปักลายและเสื้อผ้าชุดใหม่ของข้า แต่ไม่มีของท่าน ข้าจึงอยากได้ผ้าพับสักผืน คิดจะตัดเย็บแล้วปักให้ท่าน”
ชายหนุ่มหันหลังเดินเข้าบ้านพร้อมปลาเต็มไม้ด้วยท่าทางเรียบเฉย พลางคิดในใจว่าเสื้อผ้าของเขาใช่จะให้หญิงใดปักโดยง่าย แต่หากได้เห็นใครบางคนนั่งสงบนิ่งเพื่อปักผ้าใต้แสงเทียนคงจะดีไม่น้อย ภาพนั้นย่อมมิได้พบเห็นโดยง่ายเช่นกัน
ขณะคิดยังถามหญิงสาวที่เดินตามมา “ข้าอยากให้เจ้าปักลายมังกรคู่หงส์ ทำได้หรือไม่เล่า?”
ซานซานได้ยินพลันเบิกตาเอ่ยอย่างตกใจ “เกินไปแล้ว แค่งูกับไก่ก็พอกระมัง”
“...”
ยามบ่ายหลังอาหารมื้อกลางวันจบลง
จ้าวเหว่ยบังคับซานซานให้อยู่นิ่งๆ โดยการนั่งเล่นด้วยกันอยู่ริมลำธาร ร่างสูงของเขานั่งอิงต้นไม้ ตรงหน้าตักถูกภรรยาหนุนนอนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
สองแขนของซานซานกอดท่อนขาสามีเอาไว้แน่น หลับตาพริ้มซุกศีรษะกับตักอุ่น เหยียดกายไปกับพื้นหญ้าอ่อนนุ่ม รู้สึกสบายตัวเหลือเกิน
“ข้าชอบแบบนี้” นางเอ่ยเสียงใส
จ้าวเหว่ยเอ่ยเสียงเย็น “ชอบก็ดี จะได้อยู่อย่างสงบบ้าง”
หญิงสาวอมยิ้มอารมณ์ดี ใบหน้าฝังตรงท้องน้อยตึงแน่นกลิ้งขลุกขลักอย่างต้องการกลั่นแกล้งสามี จนอีกฝ่ายรู้สึกเสียวซ่านแล่นปราด เกรงว่าบางสิ่งจะตื่นผงาดจึงรีบเอื้อมมือขึ้นมาจับตรึงขมับนาง พลางเอ่ยเสียงเครียด “เจ้า...ทำอะไร?”
ซานซานยิ้มกริ่มทั้งที่ยังหลับตา “หามุมสบาย”
จ้าวเหว่ยเลิกคิ้วสูง “ขนาดนี้ยังไม่สบายอีกหรือ?”
“ยัง...”
หญิงสาวตอบพลางเอื้อมมือขึ้นล้วงเข้าไปในสาบเสื้อของชายหนุ่มแล้วลูบแผงอกไล้ปลายนิ้วหยอกเย้า
กล้ามเนื้อของจ้าวเหว่ยพลันกระตุก ใบหูแดงก่ำ บางสิ่งใต้ขอบกางเกงผ้าเริ่มแข็งขึงขึ้นมา
“ยังไม่สบายใช่หรือไม่?”
“หือ...”
ซานซานยังไม่ทันลืมตาก็รู้สึกว่าเรือนร่างลอยหวือก่อนถูกอุ้มเข้าเรือนรวดเร็ว
“อ๊ะ! ช้าก่อน ฟ้ายังไม่มืดเลยนะ”
จ้าวเหว่ยทาบทับลงมาไม่ปล่อยโอกาสให้นางโต้แย้ง
สุ้มเสียงชนิดหนึ่งจึงดังเล็ดลอดออกมาจากเรือนไม้ไผ่อย่างไม่มีออมแรง ไม่สนใจสักนิดว่าแสงแดดจักเสียดแทงปานใด
พลบค่ำสายลมเย็นฉ่ำกว่ายามกลางวัน
ซานซานจึงบังคับจ้าวเหว่ยให้นั่งดื่มด่ำกับชาที่นางชงอย่างบรรจงตรงโต๊ะมุมห้อง
“นี่คือชาดอกไม้ป่า ผสมน้ำผึ้งลงไป แรกเริ่มที่ดื่มจะรู้สึกขมฝาดสักนิด แต่ยามกลืน รสชาติจะหวานติดลิ้น กลิ่นยังติดจมูกเนิ่นนานค่อนราตรี”
ยามอธิบายยังกรีดเรียวนิ้วชงชาอย่างมีจริต หลุบตาลงก้มหน้าพองาม ท่วงท่าแช่มช้อยเชื่องช้า แลดูสง่างามใช่ย่อย
ท่ามกลางแสงเทียนสีทอง จ้าวเหว่ยนั่งอยู่อีกฝั่งมองนางอยู่เงียบๆ ได้ยินเสียงกังวานใสบรรยายเรียบเรื่อย
“น้ำชากานี้ข้าทำเพื่อท่าน สรรพคุณของมันจะช่วยรักษาลำคอที่บาดเจ็บให้ค่อยๆ กลับมาหายดี”
มุมปากบุรุษยกโค้งเกิดรอยยิ้มอบอุ่นมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่มีหนวดบดบังจึงมองไม่เห็น ทว่าดวงตากลับสื่อความนัยลึกล้ำ
“มีภรรยารู้ใจเช่นเจ้าเห็นทีคืนนี้คงต้อง ‘ปรนนิบัติอย่างดี’ เป็นการตอบแทน”
วาจาของสามีทำสตรีที่ไม่เคยเขินอายพลันหน้าแดงซ่าน ซานซานให้รู้สึกเลือดลมสูบฉีดพลุ่งพล่าน ขยับกลีบปากสีชมพูอ่อนนุ่มอย่างเดือดดาล
“พูดอะไรของท่าน?”
จ้าวเหว่ยแค่นเสียงหยอกเอิน “ทำเป็นไม่ชิน”
“ดื่มชาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ในลำคอพลางยกชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง
“เหย่หนิวของข้า ท่านควรดื่มด่ำกับกลิ่นกรุ่นก่อนประไร ไยรีบดื่มนักเล่า”
“ก็เจ้าบอกให้ข้าดื่ม”
“ท่านแกล้งข้าแล้ว”
เสียงหัวเราะแหบต่ำของบุรุษกับเสียงโวยวายของสตรีดังอยู่เช่นนั้นจนค่อนราตรี จากนั้นไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงหอบครางดังผสานของสองชายหญิง
คืนวันของสามีภรรยาผ่านพ้นไปอย่างสงบ มีชีวิตดั่งภาพฝันอันยาวนาน คล้ายไร้จุดสิ้นสุดแห่งความสุขหลังผ่านความเร่าร้อนมาครึ่งค่อนราตรี ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เสียงสตรีก็แหบแห้งเสียแล้ว ทว่าความร้อนแรงแห่งไฟพิศวาสในแววตากลับไม่ลดทอนลงเลย“อา...เหย่หนิว”ซานซานแหงนหน้าส่งเสียงหวิวแผ่ว ฝ่ามือเรียวเลื่อนจากเอวสอบขึ้นมาลูบไล้ที่แผ่นหลังกว้าง สัมผัสหยาดเหงื่อพราวพร่างที่กำลังสะท้อนแสงจันทร์ซึ่งลอดผ่านช่องลมเข้ามาในห้องนอน“หืม...” จ้าวเหว่ยพรมจูบดวงหน้าแดงเรื่ออย่างอ่อนโยน ขบเม้มลงต่ำไปเรื่อยๆ ที่ลำคอระหงและหน้าอกกลมกลึง ฝ่ามือยังกอบกุมที่เอวคอดกิ่วอย่างถนอม ขยับกลางลำตัวอย่างนุ่มนวล มิให้เสียจังหวะรัญจวนเลยแม้นิดเดียว“ไยท่านถึงมีเรี่ยวแรงเยอะนัก หายดีแล้วหรือไร?”บุรุษเหนือร่างไม่ตอบ เพียงถอนใบหน้าออกจากซอกคอขาวผ่อง ทอดมองนางด้วยแววตาชวนหวามไหว แล้วก้มลงจุมพิตกลีบปากอุ่นนุ่ม ตวัดปลายลิ้นร้อนชื้นหยุดวาจานางสตรีใต้ร่างทำได้เพียงพริ้มตา ตอบรับเพลิงปรารถนาที่สามีเป็นผู้มอบให้เสียงกดจูบของกลีบปากจึงดังผสานกับเสียงบดเบียดสอดประสานกลางลำตัว...ซานซานไม่คาดคิดเลยว่า ในชีวิตจะได้มีโอกาสสนิทสนมกับใครได้แนบ
ห่างจากเรือนไม้ไผ่ไกลลิบ อู๋เจี๋ยยืนก้มหน้านิ่งขึง เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงร้อนรน“องค์ชายโปรดพิจารณา หากพระองค์ยังยื้ออยู่เช่นนี้ พวกนักฆ่าตามมาจนเจอย่อมอันตรายถึงชีวิต การพานางไปด้วยยิ่งมิใช่ผลดี ชิงหลินผู้นี้มิได้มีค่าให้พระองค์ใส่ใจ นางคือตัวถ่วง”“องครักษ์อู๋...”น้ำเสียงเย็นเยียบพร้อมปราณสังหารหนาวสะท้านเช่นนี้ อู๋เจี๋ยไม่ค่อยได้พบเจอบ่อยนัก จึงสงบปากทันทีจ้าวเหว่ยยืนหันหลังให้องครักษ์คนสนิท เหม่อมองออกไปยังม่านมืดของราตรีอันไกลโพ้น นับหลายพันลี้จากจุดนี้คือวังหลวงอันวุ่นวายร้อนระอุ เป็นสถานที่ที่ไม่ควรก้าวย่างเข้าไป แต่จำต้องเหยียบย่ำมิอาจถอนเท้าหรือถอยหลังแม้ครึ่งก้าวเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธว่าหากกงหนิวผู้อัปลักษณ์ถูกค้นพบตัวตนที่แท้จริง การตามล่าย่อมมีมาอย่างช่วยมิได้ชายหนุ่มหลุบตาครุ่นคิด หลายวันมานี้ร่างกายอ่อนแอของเขาเริ่มแข็งแรงขึ้นมาก กำลังวังชายิ่งปรับสมดุลผสานลมปราณได้ดี อีกไม่นานย่อมฝึกฝนเพลงยุทธ์เหนือชั้นได้ไม่ยาก‘เหย่หนิว ท่านฝึกตามนี้นะ รับรองว่าร่างกายจะกลับมาหายดี พละกำลังแข็งแกร่งดุจเดิม แล้วเราค่อยมาเริ่มฝึกวิชากัน’เสียงของซานซานยังคงสะท้อนก้องให้ห้วงโสตจ้า
ฝนตกติดต่อกันนานหลายวัน ในที่สุดเช้านี้ท้องฟ้าก็ปลอดโปร่ง หมู่เมฆเร้นหาย ตะวันแผดแสงแรงกล้าขณะที่ซานซานกำลังนั่งสางผมอยู่หน้าคันฉ่อง พลันมีมือหนึ่งยื่นมาแย่งหวีแล้วสางผมให้อย่างเบามือหญิงสาวมองผ่านกระจกตรงหน้า เห็นชายหนุ่มผู้เป็นสามีกำลังม้วนผมแล้วปักปิ่นให้ ได้ยินเสียงเขากล่าวว่า“ปิ่นไม้นี้อาจไม่งาม แต่ข้าทำเองกับมือ เจ้าชอบหรือไม่?”ปิ่นสลักด้วยมือรูปดาราเร้นจันทร์ปีนเกลียว ซานซานเอียงหน้ามองปิ่นไม้ในกระจกพลางคลี่ยิ้มรับ “อืม...ชอบมาก”จ้าวเหว่ยเอ่ยอีก “วันหน้าข้าย่อมทำปิ่นหยกมอบให้เจ้า”ซานซานลุกขึ้นยืนแล้วยืดตัวหอมสันกรามสามีหนึ่งที พร้อมคลี่ยิ้มละมุนตา “ขอบคุณท่านพี่”เรียวตาคมวูบไหวบางเบายามมองภรรยา มุมปากใต้หนวดเครายกยิ้มเล็กน้อย ปลายนิ้วไล้เกลี่ยปอยผมที่ข้างแก้มให้ซานซานอย่างนุ่มนวล จ้าวเหว่ยอดใจไม่ไหวก้มหน้าจรดริมฝีปากกับหน้าผากมน แตะแต้มจุมพิตลงมาที่แก้มเนียนแล้วจูบนางตรงกลีบปากอุ่นนุ่มเนิ่นนาน ปรารถนาได้แนบชิดนางเช่นนี้ตลอดไปซานซานหลับตาพริ้มปล่อยให้สามีได้กระทำตามใจครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าริมฝีปากแดงฉ่ำจักได้รับอิสระ“ยามบ่ายวันนี้อากาศสดใสไม่เบา ข้าจะเข้าไปในหมู่บ้าน หาซ
กลางหมู่บ้านผิงเหยียนมีตลาดเพียงแห่งเดียวซานซานเดินเที่ยวอย่างใจเย็น ระหว่างทางเจอเพื่อนบ้านทักทายมาก็ส่งยิ้มนอบน้อมกล่าวทักทายกลับ ทำตัวกลมกลืนเยี่ยงชิงหลินได้ดีเยี่ยม เหตุนี้ท่านป้าท่านลุงจึงยื่นของกำนัลให้ตลอดทาง เห็นได้ชัดว่าชิงหลินได้รับความเอ็นดูหรือไม่ก็ถูกมองว่าน่าสมเพชเวทนาไม่น้อยจากผู้คนในหมู่บ้านแน่นอนว่าซานซานไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ นางยินดีรับสินน้ำใจทั้งหมดโดยไม่ต้องร้องขอ ไม่ต้องเสียเงิน เดิมทีในความคิดแรกเริ่มของหญิงสาวมีแต่เรื่องการฝึกฝนเคล็ดวิชาเฉกเช่นชาติปางก่อน ทว่านางรอเวลาอย่างใจเย็น ให้ร่างกายของเหย่หนิวแข็งแรงกว่านี้เสียก่อนเท่านั้น ส่วนตัวนางก็ค่อยๆ ฝึกกล้ามเนื้อพื้นฐานโดยการออกแรงทำงานต่างๆ เช่นนี้ ไม่กี่ปีหลังจากมีกำลังวังชาเพิ่มมากขึ้นค่อยท่องยุทธ์ก็ยังไม่สายไม่ต้องใช้คัมภีร์ ไม่ต้องแผ่ตำรา เพราะทุกสรรพวิชาล้วนถูกจดจำอยู่ในสมอง ขอเพียงได้หมั่นฝึกฝนซ้ำอีกครา ใต้หล้านี้จะไปไหนเสียเล่าเมื่อได้ผ้าที่ต้องการมาแล้วซานซานก็เดินเที่ยวตลาดอีกครู่ใหญ่เพื่อมองหาเครื่องประดับสักชิ้นสองชิ้น ระหว่างนั้นยังครุ่นคิดถึงสามีหลายวันมานี้ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ นางคิดสง
เรือนไม้ไผ่ท้ายหมู่บ้านท่ามกลางแสงแดดสว่างไสว กำลังมีควันพวยพุ่ง มีเปลวไฟลุกไหม้อย่างร้อนแรง พริบตานั้น ...ฟ้าดินพลันเปลี่ยนเป็นหมองหม่นน่าสะพรึง ซานซานวิ่งมาทันเห็นชาวบ้านต่างรีบร้อนช่วยกันดับไฟอย่างอลหม่านวุ่นวายพวกเขาแต่ละคนถือถังไม้วิ่งไปที่ลำธาร ตักน้ำขึ้นมา แบกขึ้นหน้า วิ่งปรี่เร็วรี่แล้วสาดโครมไปที่เปลวเพลิงร้อนฉ่าตั้งแต่ต้นทางเดินอันเล็กแคบไปถึงลานหน้าบ้านไม้ไผ่ล้วนมีไฟไหม้โหม ผู้คนตะโกนก้องดังลั่นให้เร่งมือดับไฟยกใหญ่ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแต่คล้ายชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึก ท้ายหมู่บ้านที่เคยมีเรือนไม้ไผ่ริมลำธารตั้งอยู่ บัดนี้เหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง รอบด้านเต็มไปด้วยเถ้าถ่านสีดำ ต้นไม้ดอกไม้และพืชผักราบคาบเป็นหน้ากลองท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านที่ช่วยกันดับไฟวุ่นวายก่อนหน้า บัดนี้กำลังยืนนิ่งมองศพของผู้หนึ่งด้วยสีหน้าตะลึงลาน แววตาเต็มไปด้วยความพรั่นพรึงชั่ววูบนั้น เหมือนฟ้าฟาดลงมากลางหน้าผากซานซานหญิงสาวเดินแหวกกลุ่มคนเข้ามาด้วยความหวาดหวั่นเบื้องหน้า บนเถ้าถ่านสีดำคลุมผืนดิน บุรุษหนุ่มตัวใหญ่ ใบหน้ามีแผล นอนทอดกายยาวเหยียด ไร้ลมหายใจ ในสภาพถูกไฟคลอกจนตายศพในซากเรือนไม้ย
คืนวันหมุนเวียนบรรจบ แสงแดดเจิดจ้า สะท้อนทุกสรรพสิ่งบนผืนดินสายลมยังคงไล้ผ่าน ทว่าซานซานกลับไร้การเคลื่อนไหว กระทั่งตะวันคล้อยต่ำบ่งบอกว่าใกล้ค่ำ นางยังนิ่งไม่เปลี่ยนกิริยาภายใต้ร่มสีแดงคันเดิม เรือนร่างในอาภรณ์สีขาวยังคงยืนหน้าหลุมศพอย่างสงบเงียบงัน ทั้งวังเวงและเวิ้งว้างสุดจะหยั่งแววตาหญิงสาวเหม่อลอย ดวงหน้าซีดขาวราวกระดาษ จ้องนิ่งเพียงจุดเดียว คือเนินดินตรงหน้าหลุมศพของเหย่หนิวหลายวันแล้วที่ซานซานรับรู้แค่ความเวิ้งว้างไร้จุดสิ้นสุด โดดเดี่ยวสุดแสน ไม่มีพลังแห่งชีวิตหลงเหลือนางอยู่เพียงลำพัง ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เห็นเพียงความเงียบเหงาวังเวงบนป้ายสุสาน เนิ่นนานก็ยังไม่เห็นสิ่งใด นอกจากความมืดมนในใจ ทั้งอับจนหนทางหญิงสาวหลับตาลง ปรับลมหายใจอีกครั้ง ก่อนลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วหมุนกายเดินเอื่อยเฉื่อยลงจากเขาริมลำธารยามนี้มีเพิงเล็กๆ แค่อาศัยซุกตัวนอนเท่านั้น ทั้งๆ ที่เรือนไม้ไผ่เหลือแต่ซากเป็นนานแล้ว แต่ซานซานก็ยังเฝ้าวนเวียนอยู่ที่แห่งนี้มิได้ไปไหน นางอยู่กับความหวังอันริบหรี่ว่าบางทีเหย่หนิวอาจกลับมาฉับพลันนั้น ซานซานบังเกิดความคิดนี้ขึ้นกะทันหันนางกำลังรอเขา กระนั้นหรือ?เมื่อคิดได
ทิศบูรพาห่างไกลจากหมู่บ้านผิงเหยียนหลายพันลี้ คือเมืองหลวงหมิงเวยอันเจริญรุ่งเรืองของแคว้นต้าถังเมืองกว้างใหญ่แห่งนี้ อุดมสมบูรณ์พร้อมพรั่ง มีทั้งจวนและคฤหาสน์ตั้งตระหง่านทั่วสารทิศ ชาวประชาร่ำรวยมั่งคั่งกลางเมืองคือพระราชวังหรูหราอลังการ ล้อมรอบด้วยกำแพงสีแดงสูงตระหง่าน ด้านหลังกำแพงมีวังรโหฐาน มีตำหนักมากมาย หนึ่งในนั้นคือตำหนักบูรพาที่เคยขาดรัชทายาทผู้เป็นเจ้าของ บัดนี้คนผู้นั้นได้กลับมาแล้ว ตำหนักวิจิตรขนาดใหญ่ ได้รับการตกแต่งพิถีพิถันงดงามตระการตา ในห้องประดับประดาสิ่งของมงคล เครื่องเรือนทุกชิ้นล้วนล้ำค่า บนเตียงหรูหราล้อมผ้าม่านโปร่งระย้า มีร่างสูงสง่านอนหลับใหลด้วยอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ถึงแม้จะนอนนิ่งเพราะเจ็บป่วย แต่กระนั้นกลับสง่างามหาใครเปรียบเพราะวิชาแปลงโฉมให้อัปลักษณ์มิให้ใครจำได้ถูกปลดออกแล้วจนสิ้น จึงเผยรูปโฉมแท้จริง เป็นบุรุษหนุ่มหล่อเหลา สันกรามเรียวคม ผิวหน้าเนียนละเอียด เรียวคิ้วดั่งหมึกวาด จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากได้รูปสีแดงสด ทุกส่วนสมบูรณ์แบบแม้เปลือกตาปิดสนิท แต่เครื่องหน้ากลับงดงามเป็นเอก โดดเด่นปานนั้น ริ้วรอยแผลเป็นล้วนอันตรธานหายไปจ้าวเหว่ยถูกพาตัว
อู๋เจี๋ยกัดปากขมวดคิ้ว ครุ่นคิดจนหน้าย่น ในที่สุดก็เอ่ย “แต่ข้าก็ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเผาเรือนเพื่อทำศพปลอม”ยิ่งพูดองครักษ์หนุ่มยิ่งแง่งอนแสดงอาการขันทีออกมาจื้อหย่วนย่อมคุ้นชินกับบ่าวคนสนิทของจ้าวเหว่ยที่ดูแลรับใช้ข้างกายจนถูกส่งให้ฝึกวรยุทธ์ด้วยกันกับองค์ชายตั้งแต่ยังเยาว์วัย เขาถอนหายใจก่อนเอ่ยตามตรงด้วยสุ้มเสียงเย็นชา“แท้จริงนั้น รับสั่งคือให้ฆ่าสตรี แล้วพาบุรุษกลับมา”“หา!” อู๋เจี๋ยตกใจ “ปานนั้นเลยรึ?”จื้อหย่วนปรายตามองอีกฝ่ายที่แตกตื่นเกินงามแวบหนึ่ง ก่อนดึงสายตากลับมามองจ้าวเหว่ยแล้วกล่าวอีกว่า“องค์ชายอายุยังน้อย ใต้หล้ากว้างใหญ่ หนทางยาวไกล ยังมีเรื่องราวอีกมากมายบนถนนแห่งชีวิตรอให้ประสบพบเจอ การคงอยู่ของนางอาจจะกลายเป็นขวากหนามขัดขวางหนทางเบื้องหน้าอันรุ่งโรจน์ของเขา ตำแหน่งรัชทายาทนี้ ข้ายังไม่เห็นผู้ใดเหมาะสมยิ่งกว่าเขา”จื้อหย่วนถอนหายใจหนักอก กล่าวอีกว่า“ข้ายอมรับว่าไม่อาจตัดใจฆ่าคนสำคัญของศิษย์ตนเอง จึงยอมเสี่ยงแบกรับความผิดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ศพปลอมทำขึ้นเพื่อตบตาศัตรูนั้นไม่ผิด แต่ประเด็นสำคัญคือสตรีขององค์ชาย ต้องเข้าใจว่าสามีตาย ตัดขาดจากกันชั่วนิรั
ซานซานปัดมืออีกฝ่ายออกจากไหล่ตนพลางเอ่ยเนิบช้า“ในเมื่อเจ้าล่วงรู้วิชาของข้า และข้าก็ล่วงรู้วิชาของเจ้า เกรงว่าสองเราคงเป็นศิษย์สำนักเดียวกันกระมัง”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ซานซานก็นิ่งคิดชั่วครู่ไม่ถูก! เคล็ดวิชานี้ เป็นนางที่คิดค้นไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว จะเป็นศิษย์สำนักเดียวกันได้อย่างไร นางควรเป็นอาจารย์ทวดของอีกฝ่ายถึงจะถูกต้อง!คิดเสร็จหญิงสาวก็โบกมือไม่ถือสา กล่าวเสียงเรียบว่า“เอาล่ะๆ นางมารเช่นเจ้ากล้าปลอมตัวเป็นนางรำเข้ามาในงานของวังหลวง คงถูกว่าจ้างมากระมัง จะสังหารใครรึ?”ประหนึ่งคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ หยุนผิงยิ่งอึ้งตะลึงงัน ปลายนิ้วสั่นเบาๆ เล็บแหลมคมเริ่มหดกลับเข้ามาในเนื้อ ผิวกายที่มีอักขระน่ากลัวค่อยๆ เลือนหาย ท้ายที่สุดนัยน์ตาสีแดงปานโลหิตก็ดำขลับเช่นเดิม เผยความงดงามหยาดเยิ้มดุจเดิมเพราะเคล็ดวิชาในตำนานมีเพียงอาจารย์ทวดต้นตำรับเท่านั้นที่สามารถล่วงรู้ได้ว่าวิชาที่ตกทอดเป็นเพียงหนึ่งในวิชาใดหยุนผิงคุกเข่ากระแทกพื้นเรียกซานซานเสียงสั่นเครือ “ท่านอาจารย์ทวด...”ถึงแม้จะทำใจเอาไว้แล้ว แต่หางคิ้วก็อดกระตุกมิได้ “เรียกเสียแก่เลยเชียว เรียกแค่อาจารย์หญิงก็พอกระมัง”หยุนผิงยืน
ค่ำคืนยาวนาน งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปจ้าวเหว่ยนั่งลงมองเพียงปลายนิ้วมือที่ไล้วนจอกเหล้าด้วยความเบื่อหน่ายอีกครั้ง รอเวลาอันเชื่องช้าเคลื่อนผ่านอย่างเงียบงัน ในใจคิดถึงแต่ใครบางคนอันเป็นรางวัลแห่งค่ำคืนและแล้วภายใต้ใบหน้าอันแสนจะเย็นชา รัชทายาทหนุ่มพลันได้แผนการใหม่ในการจัดการกับภรรยาในใจปรารถนาให้สิ้นสุดงานเลี้ยงโดยไวการเสวนาโต้ตอบระหว่างฮ่องเต้กับบรรดาขุนนางยังคงมีไม่ขาดสาย พร้อมเชื้อเชิญกึ่งท้าประชันฝีมือระหว่างตระกูลด้วยการนำเสนอความสามารถของบุคคลชั้นสูงคุณหนูแต่ละคนได้รับการสนับสนุนให้ออกมาแสดงฝีมือกลางลานกว้าง เปลี่ยนทุกการแสดงจากการมอบความสำราญเป็นแสดงความสามารถอันหาได้ยากยิ่งแทน มีทั้งการบรรเลงพิณ แต่งโคลงต่อกลอน และร่ายรำเมื่อการแสดงรอบนี้เป็นสตรีชั้นสูง กระทั่งการร่ายรำบิดเอวส่ายสะโพกจึงมิใช่เป็นการแสดงชั้นต่ำ อีกทั้งยังสูงส่งเทียมฟ้าทุกนางล้วนงดงามสะกดสายตา ยิ่งชาติตระกูลสูงศักดิ์ ยิ่งกลายร่างเป็นโฉมสะคราญหยาดฟ้าแต่ละนางอวดโฉมในด้านที่ดีที่สุดให้องค์รัชทายาทได้ยล พยายามดึงดูดเขาด้วยรูปโฉมและฝีมือในศาสตร์ทุกแขนงเวลาแห่งค่ำคืนค่อยๆ ดำเนินไปช้าๆ ระหว่างนั้นซานซานก็กล
บรรดาคุณหนูในงานต่างโล่งใจที่เป็นซานซาน เพราะสตรีผู้นี้ย่อมไม่อาจได้รับสิทธิ์ปีนเตียงรัชทายาท หรือต่อให้ร่วมวสันต์จริง ก็ยังต้องเป็นได้แค่สาวใช้อุ่นเตียงไร้ค่า บนแท่นประทับ โอรสสวรรค์ยังคงแย้มพระสรวลน้อยๆ พระองค์ตรัสแล้วย่อมไม่อาจคืนคำ ในเมื่อประกาศแล้วว่าจะมอบรางวัลให้บุตรชาย ก็ควรต้องเป็นไป “เช่นนั้น เจ้า...” ฮ่องเต้ชี้นิ้วไปทางซานซาน “รั้งอยู่...”เบื้องหน้าคือองค์จักรพรรดิผู้มีอำนาจล้นฟ้า ถัดมายังเป็นองค์รัชทายาทผู้สูงส่ง รอบด้านยังมีแต่ชนชั้นสูงศักดิ์ ซานซานที่เป็นสตรีผู้น้อยต้อยต่ำมีหรือจะปฏิเสธได้ หญิงสาวจึงยอบกายแนบพื้นน้อมรับเสียงเบา มิอาจเป็นอื่นสิ้นคำตรัสฮ่องเต้ จ้าวเหว่ยเพียงตอบรับเสียงเรียบ “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”ครานี้หลี่กุ้ยเฟยคลายหัวคิ้ว ยกยิ้มงาม เพราะเป็นซานซานย่อมดีกว่านางรำแปลกหน้า คนกันเองทั้งนั้น ไว้ใจได้เหตุที่หลี่ฮุ่ยเยี่ยนไว้ใจซานซานมิใช่เพียงแค่นั้น แต่เป็นเพราะซานซานชอบเพียงเงินทอง ไม่ฝักใฝ่อำนาจ ไม่เป็นอันตรายต่อตำแหน่งรัชทายาทของจ้าวเหว่ยแน่นอนปราศจากเสียงคัดค้าน มีเพียงสายตายอมรับได้ รอบด้านมิได้ริษยาซานซานเทียบเท่าหยุนผิงที่งามเลิศล้ำ สายตาคล้าย
บนแท่นประทับมังกร ฮ่องเต้ตรัสกับขันทีด้านหลัง“พาแม่นางฮวาไคไปพำนักในห้อง รอพาตัวเข้าวังบูรพา”ขันทีค้อมกายน้อมรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ”ถ้อยวาจาเหล่านี้ยังคงเรียกรอยยิ้มบางเบาให้ประดับบนใบหน้าหล่อเหลาของจ้าวเหว่ยเช่นเคย เขาลุกขึ้นยืนประสานมือแล้วเอ่ยกับพระบิดาทันที“ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพึงใจกับรางวัลในค่ำคืนนี้ เพียงแต่สตรีที่ปรบมือให้ หาใช่แม่นางผู้นั้นไม่ รางวัลก็ควรเปลี่ยนไป เป็นนางผู้นี้”ฮ่องเต้ขมวดพระขนง ปรายพระเนตรมองบุตรชาย “หืม?”โซวอ๋องชะงักนิ่ง หยุนผิงยอบกายแข็งค้างจ้าวเหว่ยเน้นอีกครั้งปรายสายตาไปทางซานซาน“เป็นนางพ่ะย่ะค่ะ”ยามนั้นทุกคนถึงได้สังเกตเห็นซานซานที่เดิมทีคล้ายวิญญาณ ประหนึ่งหมอกควันที่เห็นเพียงเลือนลางเวลาก่อนหน้านี้นับว่าเนิ่นนานทีเดียวที่หญิงสาวถูกความงามของหยุนผิงบดบังเอาไว้จนมิดชิดนางแค่อยู่ตามธรรมเนียมเพื่อรอรับรางวัล มิคาดฝันว่าจักกลายเป็นรางวัลเสียเอง...โซวอ๋องให้นึกกังขา จึงปรับสีหน้าตึงเครียดให้ราบเรียบดุจเดิมพลางเอ่ยด้วยเสียงทุ้มนุ่มเผยแววหยอกเอินว่า“การแสดงชุดใหญ่เพียงนี้ เหตุใดนางถึงได้รับความชอบเพียงผู้เดียวเล่า มีสิ่งใดพิเศษกระนั้
การตกอยู่ในภวังค์เช่นนี้ราวกับเป็นเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึก โดยมีซานซานทำตัวคล้ายหมอกมารไอปีศาจไร้ตัวตน นางคอยควบคุมบงการทุกคนได้อย่างเหนือชั้น ไร้ใครสังเกตและต้านทาน เครื่องมือคือหยุนผิงผู้โดดเด่นและนางรำทั้งหลายที่งดงามพร้อมครอบครองดลบันดาลเนิ่นนานผ่านไปเสียงพิณค่อยๆ แผ่วจาง แล้วหยุดลงในที่สุด ทุกคนพลันบังเกิดความรู้สึกนึกคะนึงหา มิอาจแยกจาก หากเพลงพิณรุนแรงกว่านี้เกรงว่าพวกเขาคงน้ำตาไหลพรากทว่าเมื่อได้สติกลับคืนปรากฏว่านางรำสิบกว่าคนกำลังพากันทยอยกรีดกรายจากไปคล้ายหมู่ภมรอิ่มน้ำหวานกลับถิ่น พริบตาคงเหลือเพียงมือพิณสองนางยอบกายแนบพื้นนอบน้อมตามธรรมเนียมปฏิบัติของแคว้นต้าถัง ผู้ดีดพิณย่อมอยู่ต่อเพื่อรอรับรางวัลจากผู้ชมชั่วขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในภวังค์ต้องมนต์จนเงียบงัน ยามนั้นองค์รัชทายาทพลันได้สติกลับมาคนแรกชายหนุ่มคล้ายหลุดจากท่าทีสุขุมนุ่มลึกอันเย็นชาถึงกับลุกขึ้นยืนแล้วปรบมืออย่างช้าๆ เผยสีหน้าชื่นชมอารมณ์ดี ท่าทางประหนึ่งถูกครอบงำตราตรึงจากบางสิ่งจ้าวเหว่ยผู้ไม่เคยให้ความสนใจในการแสดงครั้งใดกลับแสดงว่าชมชอบการแสดงชุดนี้จนออกนอกหน้า ทุกคนจึงได้รู้ตัวได้สติกลับคืนมา
ยิ่งคิดเรียวคิ้วบุรุษยิ่งขมวดมุ่นจนเป็นปมยากคลายตัว ขัดแย้งกับบรรยากาศอันแช่มชื่นรอบกายเต็มทีหากปล่อยให้ซานซานเข้าใจผิดเรื่องเหย่หนิวต่อไป บางทีอาจจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย อย่างน้อยนางย่อมไม่ถูกเพ่งเล็ง ทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากเสด็จแม่ต่อไปให้อู๋เจี๋ยได้รับผลกรรมเป็นเหย่หนิว ถูกซานซานเกลียดชัง ถูกคนรักเข้าใจผิดมหันต์ไปเช่นนั้น รอจนกว่าซานซานหายโกรธ เขาย่อมปล่อยอู๋เจี๋ยออกมาส่วนตัวเขาก็จะกลายเป็นชายหนุ่มคนใหม่ที่เข้าหานาง เป็นรัชทายาทสูงศักดิ์ผู้เพียบพร้อม เหนือชั้นกว่าเหย่หนิวทุกอย่างส่วนหลิ่งเอ๋อร์ก็เป็นองค์หญิงตัวน้อยช่วยกุมหัวใจของเสด็จแม่อยู่อีกทางให้เวลาบ่มเพาะความรักขึ้นมาใหม่แอบคบหากันไปก่อน รอกระทั่งเขาได้ขึ้นครองราชย์ มีอำนาจสิทธิ์ขาดค่อยว่ากันภายใต้สีหน้าราบเรียบเฉยชาไร้อารมณ์ รัชทายาทหนุ่มยิ่งคิดยิ่งร้อนรุ่มดังมีไฟสุมอยู่ในทรวงอก จนเลือดเดือดพล่าน เพราะเรื่องแรกที่เขาคิดการณ์ คือต้องจัดการซานซานให้ได้ก่อนดูเถิดว่าเขาจะเกี้ยวนางได้หรือไม่?ขณะที่จ้าวเหว่ยได้ข้อสรุปที่เรียกได้ว่าชั่วร้ายเพื่อภรรยา เสียงปรบมือเปิดงานด้วยการแสดงจากหอนางรำเลื่องชื่อก็เริ่มขึ้นสตรีงดงาม
งานเลี้ยงดำเนินไปด้วยบรรยากาศชื่นมื่นมีการสนทนาระหว่างฮ่องเต้ องค์ชาย องค์หญิง ขุนนางทั้งหลายฝ่ายบุรุษต่างมีสีหน้ารื่นรมย์เพราะถือเป็นโอกาสได้สำเริงสำราญเต็มที่ มีสตรีงดงามให้ได้ยล ทั้งยังสูงส่งมากความสามารถฝ่ายสตรียิ่งเบิกบานเพราะได้เปิดหูเปิดตาร่วมประชันโฉมและแสดงฝีมือหลังจากที่ต้องอดทนบ่มเพาะตัวตนแค่ในเรือนหัวข้อที่เสวนาล้วนแต่เป็นการสรรเสริญเยินยอประจบสอพลอ ยังมีต่อด้วยการโต้ตอบไปมาระหว่างอริที่เสแสร้งเป็นพันธมิตรนอกจากนั้นเรื่องที่คุยกันก็ไม่พ้นว่าบุตรชายหรือบุตรสาวบ้านใดเป็นใคร ยิ่งใหญ่แค่ไหน อายุเท่าไหร่มีความสามารถอันใด พร้อมออกเรือนหรือไม่ท่ามกลางถ้อยวาจาและเสียงหัวเราะที่แลกเปลี่ยนกัน มีเพียงบุรุษชุดม่วงขลิบทองยังคงเก็บอาการเบื่อหน่ายต่องานเช่นนี้เอาไว้ได้อย่างแนบเนียนด้วยท่าทางสุขุมนุ่มลึกใบหน้าหล่อเหลาซ่อนความเย็นชาในดวงตาคู่ดำด้วยการหลุบลงต่ำมองเพียงปลายนิ้วที่ไล้วนบนจอกเหล้าในมือขณะยกขึ้นจรดริมฝีปากเพื่อดื่มลงคอ ในใจของจ้าวเหว่ยที่เคยราบเรียบบัดนี้คล้ายมีระลอกคลื่นบางเบาเมื่อนึกถึงเรื่องราวบางประการภาพภายในห้องขังคุกหลวงอันมืดมิดปราศจากผู้อื่น ยามที่เจี้ยนจื้อห
หญิงสาวนางหนึ่งอายุราวยี่สิบปีค่อยๆ เผยโฉมออกมาจากกลุ่ม แล้วถามว่า “เจ้าคือคนของวังหลวงใช่หรือไม่? คิดใช้อำนาจข่มเหงพวกเราหรือไร?”ซานซานขมวดคิ้ววูบ “ข้ามิใช่คนของใครทั้งนั้น ไม่มีเหตุผลใดต้องข่มเหงเจ้า แค่มีวิธีดีๆ ให้ได้เงินง่ายๆ แบบทั่วถึงกัน”หญิงสาวคนเดิมจึงเดินมายืนประจันหน้ากับซานซาน นางมีผิวขาวราวหิมะ แต่งกายด้วยผ้าเนื้อบางเผยสัดส่วนชัดเจน ใบหน้ารูปไข่งดงามอ่อนหวานเย้ายวนอย่างที่สุด สะคราญโฉมพิลาศล้ำยิ่งกว่าองค์หญิงต้าถังด้วยซ้ำหญิงงามกล่าวกับซานซานด้วยน้ำเสียงแว่วหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า “ข้านามว่าหยุนผิง มือพิณ ทุกครั้งที่ขึ้นแสดงฝีมือ ข้าได้รับความโปรดปรานที่สุด เรียกเงินได้มากที่สุด แต่ก็เหน็ดเหนื่อยกับการเอาตัวรอดจากขุนนางบางคนที่คิดจะติดพันเพื่อซื้อตัวเข้าจวนที่สุดเช่นกัน หากเจ้าช่วยให้ข้าลดความเสี่ยงตรงนั้นได้ โดยที่ค่าตอบแทนไม่ลดลงจากที่เคยรับ ข้าก็ยินดีมอบหน้าที่ดูแลน้องสาวทุกคนในที่นี้ของข้าให้เจ้า”“พี่ผิง!” นางรำทุกคนอุทานอย่างตกใจหยุนผิงยกมือห้ามบรรดาน้องสาวมิให้โวยวาย แล้วกล่าวต่ออย่างใจเย็น “แต่หากเจ้าทำมิได้ ด้วยความงามของข้า รวมกับการได้รับเชิญขึ้นแสดงเพลงพิณ
ซึ่งแท้จริงแล้ว ใครสูงใครต่ำ ซานซานมิได้สนใจ เพียงแต่การถูกจัดลำดับให้ขึ้นแสดงต่างหาก ที่ทำให้หงุดหงิดเพราะนักแสดงมืออาชีพในห้องนี้ถูกสั่งให้แสดงหลังจากคุณหนูในงานแสดงจนหมดแล้วทุกคน และที่สำคัญ ลำดับของซานซานยังเป็นลำดับสุดท้ายต่อจากนางรำคนท้ายที่สุดอีกชั้นจะบ้าตาย...คุณหนูมากมายปานนั้น เวลาที่ใช้แสดงความสามารถก็นานเนิ่น ยังมีต่อกลอนหวานเลี่ยน โต้คารมไปมากว่านางจะได้ขึ้นแสดง ทุกคนคงเมาหลับหรือไม่ก็เริ่มทยอยกลับกันหมดซานซานขมวดคิ้วใคร่ครวญโดยละเอียด ในที่สุดก็ลุกขึ้นแล้วเดินมายืนกลางห้อง ยกมือขึ้นตบแรงๆ เพื่อเรียกความสนใจผลที่ได้คือนางรำหันมามองซานซานทุกคน“พี่น้องคนงามทั้งหลาย” เส้นเสียงกังวานที่เรียกขานทำเอาสาวงามขนลุกซู่ “การแสดงศาสตร์ศิลป์แต่ละครั้ง พวกท่านแยกกันแสดงตามลำดับก่อนหลังครั้งละสามสี่คนถูกต้องไหม?”เรื่องนี้ซานซานอ่านระเบียบการแสดงมาก่อนหน้า จึงรู้ได้“ถูกต้อง” นางรำคนหนึ่งตอบคำ “เจ้าสงสัยอันใดหรือ?”ซานซานมิได้ตอบคำถามนั้น แต่ถามกลับว่า “เช่นนั้น ค่าตอบแทนเล่า ได้อย่างไร?”นางรำอีกคนตอบบ้าง “ได้ไม่เท่ากันอยู่แล้ว แต่ละรอบที่ขึ้นแสดง ความโปรดปรานย่อมไม่เท่าเทียม คน