เรือนไม้ไผ่ท้ายหมู่บ้าน
ท่ามกลางแสงแดดสว่างไสว กำลังมีควันพวยพุ่ง มีเปลวไฟลุกไหม้อย่างร้อนแรง พริบตานั้น ...ฟ้าดินพลันเปลี่ยนเป็นหมองหม่นน่าสะพรึง ซานซานวิ่งมาทันเห็นชาวบ้านต่างรีบร้อนช่วยกันดับไฟอย่างอลหม่านวุ่นวาย
พวกเขาแต่ละคนถือถังไม้วิ่งไปที่ลำธาร ตักน้ำขึ้นมา แบกขึ้นหน้า วิ่งปรี่เร็วรี่แล้วสาดโครมไปที่เปลวเพลิงร้อนฉ่า
ตั้งแต่ต้นทางเดินอันเล็กแคบไปถึงลานหน้าบ้านไม้ไผ่ล้วนมีไฟไหม้โหม ผู้คนตะโกนก้องดังลั่นให้เร่งมือดับไฟยกใหญ่
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแต่คล้ายชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึก ท้ายหมู่บ้านที่เคยมีเรือนไม้ไผ่ริมลำธารตั้งอยู่ บัดนี้เหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง รอบด้านเต็มไปด้วยเถ้าถ่านสีดำ ต้นไม้ดอกไม้และพืชผักราบคาบเป็นหน้ากลอง
ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านที่ช่วยกันดับไฟวุ่นวายก่อนหน้า บัดนี้กำลังยืนนิ่งมองศพของผู้หนึ่งด้วยสีหน้าตะลึงลาน แววตาเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง
ชั่ววูบนั้น เหมือนฟ้าฟาดลงมากลางหน้าผากซานซาน
หญิงสาวเดินแหวกกลุ่มคนเข้ามาด้วยความหวาดหวั่น
เบื้องหน้า บนเถ้าถ่านสีดำคลุมผืนดิน บุรุษหนุ่มตัวใหญ่ ใบหน้ามีแผล นอนทอดกายยาวเหยียด ไร้ลมหายใจ ในสภาพถูกไฟคลอกจนตาย
ศพในซากเรือนไม้ยามนี้จักเป็นใครไปมิได้
“กงหนิว” เสียงชาวบ้านคนหนึ่งร้องดังลั่น “ไม่ผิดแน่!”
ทุกสายตาพากันมองมาที่ซานซาน สลับกับศพที่พื้นดิน
ถึงแม้ร่างกายผู้ตายจะถูกไฟเผาไหม้เสียหายหลายส่วน ทว่าใบหน้าและเสื้อผ้ายังคงชัดเจน
ทุกสิ่งยืนยันกระจ่างชัดโดยไม่ต้องสืบ
สายลมหวีดหวิว สองหูอื้ออึง ซานซานรู้สึกได้ว่าขอบตาของตนร้อนผ่าว สองแก้มขาวมีหยาดน้ำไหลรินเมื่อใดมิอาจทราบ
นั่นคือเหย่หนิวของนาง ไม่ผิดแน่!
ยามเที่ยงวัน หยาดฝนโปรย พื้นดินฉ่ำชื้น สายลมเย็นเยียบโชยผ่านข้างแก้ม เจ็บแปลบดุจมีดบาด
ทว่าผิวหน้าของสตรีนางหนึ่งกลับด้านชา ถึงแม้เรือนกายภายใต้ร่มสีแดงจะกำลังไหวสะท้านยามถูกละอองฝนโอบล้อม นางก็ยังยืนนิ่งอยู่หน้าหลุมฝังศพของสามี ไม่ใส่ใจต่ออากาศหนาวเย็นเสียดแทงกระดูก
บนดวงหน้าซีดขาว น้ำตาหญิงสาวเหือดแห้งไปนานแล้ว การร่ำไห้ฟูมฟายมิใช่นิสัยของซานซาน แต่ความอาลัยอาวรณ์กลับติดตรึงฝังแน่นอย่างช่วยไม่ได้
วันก่อนไฟไหม้บ้านจนเหลือแต่ซาก สามวันแล้วที่สามีตายจากไม่หวนกลับมา
ทว่าซานซานกลับไม่อาจเชื่อ
มันรวดเร็วเกินไป...
ในใจนางพลันครุ่นคิดลึกล้ำถึงโทษทัณฑ์ที่ได้รับ
ความทุกข์ของชายหญิงมิใช่การถูกแย่งชิงคนรัก แต่กลับเป็นการพลัดพรากต่างหากที่ทรมานแสนสาหัส
หากคู่รักถูกแทรกกลาง ทว่าฝ่ายชายยังคงอยู่ดุจเดิม ฝ่ายหญิงแม้ถูกแบ่งปันความรักจนบั่นทอนจิตใจ อย่างน้อยก็ยังได้เห็นหน้าชายคนรักเช่นเดิม
ทว่านางในชาติก่อนมิได้คิดจะแทรกกลางคู่รักอย่างเดียว แต่กลับทำทุกวิถีทางให้ภรรยาเข้าใจสามีผิดมหันต์ กระทั่งจับตัวบุรุษมากักขัง และคิดสังหารสตรีให้ตายตก ให้ทั้งสองต้องแยกจากมิอาจพานพบ ต้องทุกข์ทนเดียวดายตลอดกาล
เช่นนั้นความเจ็บปวดชนิดนี้ซานซานจึงได้รู้ซึ้งแล้ว
หญิงสาวหลับตาลงช้าๆ ปรับลมหายใจที่อ่อนแรง รับรู้สิ่งที่เรียกได้ว่าเจ็บลึกถึงหัวใจ เย็นเยียบเฉียดใกล้จุดเยือกแข็ง
ความทรมานนี้มิใช่ผ่านห้วงคำนึงของชิงหลิน แต่ล้วนเป็นซานซาน...
ผ่านไปเนิ่นนาน นางจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง แหงนหน้ามองเบื้องบน ท้องฟ้ายามนี้มืดลงอีกแล้ว
ลมบนเขายามค่ำคืนหนาวเหน็บยิ่ง ซานซานนำศพของเหย่หนิวมาฝังบนภูเขาเพราะอยากให้เขาได้มองผู้คนจากเบื้องสูง
เนื่องจากอีกฝ่ายไม่มีญาติ ชาวบ้านและคนสกุลหานจึงแสดงน้ำใจช่วยทำพิธีฝังศพให้เป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง
มุมปากพลันยกยิ้มบางเบา นางทำให้สามีได้เท่านี้จริงๆ
สายฝนซาไปนานแล้ว เหลือเพียงลมเย็นโชยวูบผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า ซานซานรู้สึกหนาวสะท้าน จึงวางร่มลงกับพื้นดิน ยอบกายนั่งลงกอดเข่าตนเอง แนบแผ่นหลังอิงแอบกับป้ายสุสาน ทอดสายตาฝ่าความมืดสลัวอันอ้างว้างเย็นชืด มองออกไปไกลแสนไกล ในใจยังครุ่นคิดลึกซึ้งอย่างสงสัย
อาจารย์ลงโทษศิษย์หนักเกินไปหรือไม่ ศิษย์แค่ทำชั่วทางความคิดเรื่องพรากสามีภรรยา ทว่ายังไม่ทันสำเร็จด้วยซ้ำ แต่อาจารย์กลับส่งศิษย์มาเข้าร่างหญิงอ่อนแอ ถูกแย่งชายคู่หมั้น ถูกเหยียดหยันสารพัด กระทั่งแต่งงานกับชายอัปลักษณ์
และทั้งๆ ที่ยอมรับชะตากรรมแล้วทุกสิ่ง หลงรักสามีแล้วจากใจจริง มอบให้ไม่คำนึงถูกผิด ยิ้มสู้ชีวิตไปเช่นนั้น[1]
แต่เหตุใดถึงต้องให้ข้าเป็นม่าย สามีตายเช่นนี้ด้วยเล่า!
ท่ามกลางลมภูเขา ซานซานนั่งเงียบงัน แหงนหน้าซ่อนเร้นหยาดน้ำที่เกาะพราวขอบตา
ผืนป่าเงียบสงัด ยินเสียงต้นไผ่เสียดสีพลิ้วแผ่วคลอเคล้าคล้ายท่วงทำนองแห่งดนตรี เพียงครู่หญิงสาวก็ลุกขึ้นยืน เริ่มขยับปลายเท้า ยกเรียวแขนสะบัดชายผ้าพลิ้ว นางหลับตา กรีดนิ้วไปกลางอากาศ เริ่มร่ายรำทอดอาลัย มีเพียงผืนไพรที่รับฟัง
พระจันทร์กลมสวย ผ่านคืนหนาวเหน็บ
เวียนพบแสงตะวัน มวลบุปผาสะพรั่ง
กระทั่งจันทร์เด่นอีกครั้ง ทว่าเขาก็ยังไม่กลับมา...
แม้เอื้อมสุดมือ แต่ไกลสุดฟ้า มิอาจคว้าไว้
หวนไห้คะนึง อ้อมกอดรัดรึง หยอกเย้าออดอ้อน
มองยอดไผ่อ่อน คล้ายเงาสะท้อน ทับซ้อนห้วงฝัน
เสมือนเขายังอยู่ตรงนั้น ทว่าตรงนี้ข้ายังคงเดียวดาย...
********
[1] แปลงบางท่อนของเพลง 等待的沉默
*****
คืนวันหมุนเวียนบรรจบ แสงแดดเจิดจ้า สะท้อนทุกสรรพสิ่งบนผืนดินสายลมยังคงไล้ผ่าน ทว่าซานซานกลับไร้การเคลื่อนไหว กระทั่งตะวันคล้อยต่ำบ่งบอกว่าใกล้ค่ำ นางยังนิ่งไม่เปลี่ยนกิริยาภายใต้ร่มสีแดงคันเดิม เรือนร่างในอาภรณ์สีขาวยังคงยืนหน้าหลุมศพอย่างสงบเงียบงัน ทั้งวังเวงและเวิ้งว้างสุดจะหยั่งแววตาหญิงสาวเหม่อลอย ดวงหน้าซีดขาวราวกระดาษ จ้องนิ่งเพียงจุดเดียว คือเนินดินตรงหน้าหลุมศพของเหย่หนิวหลายวันแล้วที่ซานซานรับรู้แค่ความเวิ้งว้างไร้จุดสิ้นสุด โดดเดี่ยวสุดแสน ไม่มีพลังแห่งชีวิตหลงเหลือนางอยู่เพียงลำพัง ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เห็นเพียงความเงียบเหงาวังเวงบนป้ายสุสาน เนิ่นนานก็ยังไม่เห็นสิ่งใด นอกจากความมืดมนในใจ ทั้งอับจนหนทางหญิงสาวหลับตาลง ปรับลมหายใจอีกครั้ง ก่อนลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วหมุนกายเดินเอื่อยเฉื่อยลงจากเขาริมลำธารยามนี้มีเพิงเล็กๆ แค่อาศัยซุกตัวนอนเท่านั้น ทั้งๆ ที่เรือนไม้ไผ่เหลือแต่ซากเป็นนานแล้ว แต่ซานซานก็ยังเฝ้าวนเวียนอยู่ที่แห่งนี้มิได้ไปไหน นางอยู่กับความหวังอันริบหรี่ว่าบางทีเหย่หนิวอาจกลับมาฉับพลันนั้น ซานซานบังเกิดความคิดนี้ขึ้นกะทันหันนางกำลังรอเขา กระนั้นหรือ?เมื่อคิดได
ทิศบูรพาห่างไกลจากหมู่บ้านผิงเหยียนหลายพันลี้ คือเมืองหลวงหมิงเวยอันเจริญรุ่งเรืองของแคว้นต้าถังเมืองกว้างใหญ่แห่งนี้ อุดมสมบูรณ์พร้อมพรั่ง มีทั้งจวนและคฤหาสน์ตั้งตระหง่านทั่วสารทิศ ชาวประชาร่ำรวยมั่งคั่งกลางเมืองคือพระราชวังหรูหราอลังการ ล้อมรอบด้วยกำแพงสีแดงสูงตระหง่าน ด้านหลังกำแพงมีวังรโหฐาน มีตำหนักมากมาย หนึ่งในนั้นคือตำหนักบูรพาที่เคยขาดรัชทายาทผู้เป็นเจ้าของ บัดนี้คนผู้นั้นได้กลับมาแล้ว ตำหนักวิจิตรขนาดใหญ่ ได้รับการตกแต่งพิถีพิถันงดงามตระการตา ในห้องประดับประดาสิ่งของมงคล เครื่องเรือนทุกชิ้นล้วนล้ำค่า บนเตียงหรูหราล้อมผ้าม่านโปร่งระย้า มีร่างสูงสง่านอนหลับใหลด้วยอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ถึงแม้จะนอนนิ่งเพราะเจ็บป่วย แต่กระนั้นกลับสง่างามหาใครเปรียบเพราะวิชาแปลงโฉมให้อัปลักษณ์มิให้ใครจำได้ถูกปลดออกแล้วจนสิ้น จึงเผยรูปโฉมแท้จริง เป็นบุรุษหนุ่มหล่อเหลา สันกรามเรียวคม ผิวหน้าเนียนละเอียด เรียวคิ้วดั่งหมึกวาด จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากได้รูปสีแดงสด ทุกส่วนสมบูรณ์แบบแม้เปลือกตาปิดสนิท แต่เครื่องหน้ากลับงดงามเป็นเอก โดดเด่นปานนั้น ริ้วรอยแผลเป็นล้วนอันตรธานหายไปจ้าวเหว่ยถูกพาตัว
อู๋เจี๋ยกัดปากขมวดคิ้ว ครุ่นคิดจนหน้าย่น ในที่สุดก็เอ่ย “แต่ข้าก็ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเผาเรือนเพื่อทำศพปลอม”ยิ่งพูดองครักษ์หนุ่มยิ่งแง่งอนแสดงอาการขันทีออกมาจื้อหย่วนย่อมคุ้นชินกับบ่าวคนสนิทของจ้าวเหว่ยที่ดูแลรับใช้ข้างกายจนถูกส่งให้ฝึกวรยุทธ์ด้วยกันกับองค์ชายตั้งแต่ยังเยาว์วัย เขาถอนหายใจก่อนเอ่ยตามตรงด้วยสุ้มเสียงเย็นชา“แท้จริงนั้น รับสั่งคือให้ฆ่าสตรี แล้วพาบุรุษกลับมา”“หา!” อู๋เจี๋ยตกใจ “ปานนั้นเลยรึ?”จื้อหย่วนปรายตามองอีกฝ่ายที่แตกตื่นเกินงามแวบหนึ่ง ก่อนดึงสายตากลับมามองจ้าวเหว่ยแล้วกล่าวอีกว่า“องค์ชายอายุยังน้อย ใต้หล้ากว้างใหญ่ หนทางยาวไกล ยังมีเรื่องราวอีกมากมายบนถนนแห่งชีวิตรอให้ประสบพบเจอ การคงอยู่ของนางอาจจะกลายเป็นขวากหนามขัดขวางหนทางเบื้องหน้าอันรุ่งโรจน์ของเขา ตำแหน่งรัชทายาทนี้ ข้ายังไม่เห็นผู้ใดเหมาะสมยิ่งกว่าเขา”จื้อหย่วนถอนหายใจหนักอก กล่าวอีกว่า“ข้ายอมรับว่าไม่อาจตัดใจฆ่าคนสำคัญของศิษย์ตนเอง จึงยอมเสี่ยงแบกรับความผิดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ศพปลอมทำขึ้นเพื่อตบตาศัตรูนั้นไม่ผิด แต่ประเด็นสำคัญคือสตรีขององค์ชาย ต้องเข้าใจว่าสามีตาย ตัดขาดจากกันชั่วนิรั
ในห้วงความคิดชั่วขณะนี้นั้น รัชทายาทหนุ่มกำลังนึกถึงใครบางคน จึงเอ่ยถามเสียงขรึมไปทางอู๋เจี๋ย“ระหว่างที่ข้าหมดสติ เจ้าได้ไปสืบดูหรือเปล่า ว่านางกำลังวุ่นวายทำสิ่งใด?”จ้าวเหว่ยแน่ใจว่าคนฉลาดเยี่ยงซานซาน ย่อมดูออกได้ไม่ยาก ว่านั่นคือศพปลอมและนิสัยไม่ชอบอยู่เฉยของนาง บางทีอาจจะกำลังออกตามหาเขา ถึงขั้นติดประกาศตามหาสามีจนเรื่องราวบานปลาย ต้องเสี่ยงอันตรายเกินรับมือระหว่างครุ่นคิด เสียงอู๋เจี๋ยพลันดังแทรก“ทูลองค์ชาย กระหม่อมย่อมรู้พระทัย ช่วงที่พระองค์ทรงหลับใหลมิได้สติ กระหม่อมหาได้ใจเย็นไม่ จึงออกไปสืบข่าวของแม่นางชิงหลินโดยตลอด เพื่อรอรายงานพ่ะย่ะค่ะ”จบคำก็ยิ้มกริ่มภาคภูมิใจยิ่ง ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือสายตาคมกริบ คล้ายใบมีดจ่อคอหอย อันบอกเป็นนัยจากนายเหนือหัวว่า จงรีบเล่ามาอย่ามัวพล่ามไร้สาระอู๋เจี๋ยจึงกระแอมหนึ่งที แล้วรีบรายงาน“นับแต่เกิดเรื่องแม่นางชิงหลินก็เสียใจสุดทานทน ร่ายรำทั้งน้ำตา หลังจากนั้นก็เฝ้าหลุมศพไม่ผละจาก ปลูกเพิงอยู่อาศัยริมลำธารไม่ยอมไปไหน มิได้วุ่นวายอันใดด้วยพ่ะย่ะค่ะ”จ้าวเหว่ยรับฟังเงียบเชียบ เม้มปากสนิท สองมือกำแน่น นัยน์ตาคมดำทอประกายลึกล้ำ ได้ยินคนสนิท
บนเตียงนอนขนาดกลางภายในเรือนหลังหนึ่งของบ้านหาน มีสตรีชุดขาวนอนทอดกายยาวเหยียดหลับใหลซานซานถูกเด็กหนุ่มนามชิงหลิวพาตัวกลับมาบ้านเดิม อยู่ภายในเรือนไผ่หยกหลังเดิม อันเป็นสถานที่ที่ชิงหลินเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่เกิดจนถึงก่อนแต่งงาน ชิงหลิว เป็นน้องชายแท้ๆ ของชิงหลินยามนี้ชิงหลิวอายุสิบสามปีแล้ว ถึงแม้จะเป็นที่รักของบิดาและมารดา แต่กลับมีนิสัยคล้ายพี่สาวอยู่ไม่น้อยชิงหลินเป็นสตรีขี้ขลาดอ่อนแอ ชิงหลิวจึงเป็นบุรุษขี้อายพูดน้อยภายในห้องนอนของเรือนไผ่หยก ชิงหลิวนั่งเฝ้าพี่สาวอยู่เงียบๆ ที่โต๊ะมุมห้อง สายตามองอีกฝ่ายอย่างห่วงใย ในใจคิดว่าโชคดีเหลือเกินที่เขาชวนมารดาเดินทางไปเยี่ยมพี่สาว จึงได้เห็นนางนอนสลบไสลอยู่ในเพิงไม้ไผ่การแต่งงานอันรวบรัดของพี่สาวกับกงหนิวท้ายหมู่บ้าน ตัวเขาที่เป็นน้องชายกลับไม่ค่อยรู้เรื่องราวสักเท่าไหร่ หากเอ่ยตามจริงก็รู้พอๆ กับพี่สาวไม่มากไปกว่ากัน แต่กระนั้นเขาก็มิได้นึกสงสัยอันใด เพราะบุรุษที่ล่วงเกินสตรีย่อมต้องรับผิดชอบแต่งเข้าบ้านอยู่แล้วกงหนิวผู้นั้นกับพี่สาวของเขาหายไปด้วยกันหนึ่งคืนเชียวหากมองข้ามเรื่องผลประโยชน์ทางการค้าที่หานอี้ซวนให้ความสำคัญเหนือสิ่งใ
เมื่อหันไปเจอสายตาของผู้เป็นมารดาที่เผยความนัยว่าบุตรสาวตรงหน้ามีชีวิตที่น่าสมเพชเวทนา ซานซานพลันหรี่ตา เอ่ยเสียงเย็นว่า“ท่านแม่ออกไปก่อนเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียว”เจียหรู๋ได้ยินเช่นนั้น คิ้วโก่งก็ขมวดวูบ นึกสงสัยกับน้ำเสียงห่างเหินไม่เหมือนเดิมของบุตรสาว แววตายังแข็งกร้าว ทั้งยังกล้าไล่นางออกจากห้องเจียหรู๋ยืนอึ้งครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามตามตรง “เจ้าโกรธแม่เรื่องที่ส่งเสริมให้แต่งงานกับกงหนิวหรือ?”ซานซานไม่ตอบกลับคำถามนั้นเพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ขอบคุณท่านแม่ที่เป็นห่วง ข้าคิดได้แล้วเจ้าค่ะ”แม้ยังรู้สึกฉงนกับความเปลี่ยนแปลงนี้ แต่เจียหรู๋ก็ทำได้แค่ถอนหายใจโล่งอก “อืม...เช่นนั้นย่อมดี เจ้าพักผ่อนเถอะ อย่าได้ฟุ้งซ่านจนเกินไป”นางเอ่ยอย่างจนใจ ก่อนหมุนกายเดินจากไป ในใจคิดว่า บุตรสาวคงเจอเรื่องสะเทือนขวัญจนนิสัยเปลี่ยนไปแล้วกระมังเมื่อได้อยู่เพียงลำพัง ซานซานจึงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้นนั่ง ปรับลมหายใจครู่หนึ่งก็ยืนขึ้น แล้วเดินไปที่หน้าต่าง รับสายลมและแสงแดด เรียกสติสัมปชัญญะทั้งหมดกลับคืนให้แก่ตนเองไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย แต่เหย่หนิวของนางก็นับได้ว่าจากไปแล้วถึงแม้จะไม่อาจตัดใจแต่ก็ไม่อาจเว้า
ในช่วงค่ำคืนหนึ่งหานอี้ซวนกลับจากไปค้าขายต่างถิ่นพร้อมคณะเดินทางที่มีบ่าวไพร่สี่ห้าคนในจำนวนนั้น มีสตรีงดงามติดตามกลับมาด้วย ท่าทางของหานอี้ซวนบ่งบอกได้ว่ากำลังหลงใหลติดใจยิ่งนักทุกคืนต่อมา เขามักจะค้างแรมกับสตรีผู้นั้นไม่ว่างเว้น ยามกลางวันยังอยู่ด้วยกันไม่ห่างกายทำตัวประหนึ่งคู่รักในวัยแรกแย้มกระนั้นอนุใหม่นางนี้มีนามว่า จี้เหยาจี้เหยาเป็นสตรีที่มีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ระเหิดระหงสมส่วน กิริยานุ่มนวลอ่อนช้อย ท่วงท่ากรีดกรายงดงามหยาดเยิ้ม เรียวคิ้วดวงตาทรงเสน่ห์ตราตรึง ริมฝีปากอวบอิ่มแดงจัด พวงแก้มชมพูระเรื่อ ดวงหน้าจิ้มลิ้มชวนเอ็นดู ยามยิ้มยังหวานหยดลึกซึ้งติดตรึงใจ ชวนคะนึงฝันหาเพียงแรกพบประสบพักตร์ไม่รู้ว่าหานอี้ซวนไปเจอจี้เหยาในหอคณิกาเมืองใดเจียหรู๋แม้เจ็บปวดใจ แต่ก็ทำได้เพียงจำทน ทำตัวเป็นภรรยาเอกที่ดี ดูแลทั้งสามีและอนุภรรยาตามหน้าที่ ไม่ขาดตกบกพร่อง ในขณะที่อนุจูกลับเดือดร้อนแทนเนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมา อนุจูเป็นคนที่หานอี้ซวนรักใคร่มาโดยตลอด ได้ครอบครองหานอี้ซวนมากกว่าเจียหรู๋เนิ่นนาน บัดนี้กลับมีสตรีอื่นมาแย่งชิงความโปรดปรานอนุจูที่เคยนุ่มนวลอ่อนหวาน จึงเปลี่ยนไป นางด
ซานซานยังเน้นทีละคำไปทางชิงลี่ “อันดับแรก ...เจ้าควรไปขอร้องให้ท่านพ่อยกเจ้าเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกเสียก่อน บอกท่านพ่อว่า เมื่อฐานะเพิ่มสินสอดจะได้เพิ่มขึ้นมามากหน่อย”ชิงลี่ได้ฟังพลันเบิกตา “หา!”ซานซานคลี่ยิ้มละมุน “เห็นหรือไม่ ว่าข้าย่อมช่วยเจ้า”ชิงลี่กลายเป็นเบื้อใบ้ ไม่กล่าวสิ่งใดอีกอนุจูมองดรุณีทั้งสองตาปริบๆหลังจากปล่อยให้สตรีตรงหน้าเบื้อใบ้ ครานี้ซานซานหันมาทางอนุจูบ้าง นางกล่าวอย่างมีเหตุผลอันน่าเชื่อถือให้อนุจูฟังว่า“ท่านแม่รองลองตรองดูเถิด นานวันท่านก็ยิ่งโรยรา หมดเสน่หา ความงามยากย้อนคืน ต่อให้ไม่มีจี้เหยา ก็ต้องมีสตรีอื่น บุรุษนั้นแม้อายุมากขึ้น น้ำพิสุทธิ์ของพวกเขามีตลอดจนตัวตาย แค่สตรีฝ่ายเดียวที่ไม่อาจคงความเปล่งประกายมีน้ำมีนวลค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องแห้งเหี่ยว ในขณะที่อีกฝ่ายมีสตรีเคียงข้างได้ตลอดไปไม่จบไม่สิ้น มิสู้แม่รองหาหนทางยืนหยัดด้วยตัวเอง อาศัยช่วงนี้ที่บ้านหานยังมีเงินทองมากมาย เอ่ยปากขอตามไปดูแลบุตรสาวสุดที่รักออกเรือน ท่านพ่อย่อมต้องมอบทรัพย์สินให้ท่านไปตั้งตัว แต่หากท่านยังรั้งอยู่ไม่ยอมไปไหน ใจเย็นดั่งแม่น้ำไหลเอื่อยเฉื่อย รอจนน้ำแห้งเหือด แม้หิวกระหายก
ภายในห้องพักผ่อนของหลี่กุ้ยเฟย ซานซานตั้งใจจัดดอกไม้ใส่แจกันหยกอย่างสวยงามที่สุดเพื่อมอบให้หลี่กุ้ยเฟย หวังประจบเอาใจ หมายมาดขึ้นแสดงเพลงพิณในงานเลี้ยงวันนี้“เจ้าดีดพิณเป็นด้วยหรือ?”หลี่กุ้ยเฟยถามเสียงเบามาก เพราะนั่งอยู่ที่โต๊ะทรงเตี้ยริมหน้าต่าง โดยมีเด็กน้อยลู่หลิ่งเล่นจนเหนื่อยฟุบหลับเป็นก้อนกลมอยู่ข้างๆ ใบหน้านุ่มนิ่มแดงเรื่อมีดวงตาที่กำลังหลับพริ้ม ปากจิ้มลิ้มสีชมพูคล้ายเคี้ยวขนมตุ้ยๆ อยู่ในฝันอย่างมีความสุข พระนางจึงไม่ประสงค์พูดคุยเสียงดังซานซานตอบกลับเสียงเบาเช่นกัน “หม่อมฉันพอมีฝีมืออยู่บ้างเพคะ” นางนั่งปักดอกไม้ใส่แจกันอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของหลี่กุ้ยเฟยยี่ซินที่คอยปรนนิบัติรับใช้หลี่กุ้ยเฟยอยู่อีกฝั่งถามอย่างตรงไปตรงมา “สตรีที่ขึ้นแสดงล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์เดียวกัน ตัวเจ้ามีลูกแล้ว ผ่านการมีสามีแล้ว จักขึ้นแสดงทำไม?”ซานซานตอบกลับเสียงนุ่ม ซ่อนแววเจ้าเล่ห์มิดชิด“ใบหน้าของข้าอาจไม่งามเท่าใครเขา ไม่สูงส่ง ไม่ยั่วยวน แต่ขอแค่ได้ขึ้นแสดงเถิด เงินรางวัลย่อมไม่พลาด ข้าจะนำมาแบ่งปันให้พี่ซินด้วย”ยี่ซินขมวดคิ้วมุ่น “มั่นใจปานนั้น”“แน่นอน”หลี่กุ้ยเฟยอดมิได้ต้องคลี่ยิ้ม
ฤดูร้อนผ่านพ้นจนล่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงอีกไม่นานย่อมเยียบย่างฤดูใบไม้ผลิหลายเดือนมาแล้วที่ซานซานตัดสินใจพาลู่หลิ่งออกจากถ้ำแล้วติดตามหลี่กุ้ยเฟยโดยเลือกเป็นเพียงนางกำนัลคนสนิทนางปล่อยอาหู่อยู่ในถ้ำ ไม่คิดพรากสัตว์ร้ายจากป่าใหญ่ ข่าวที่พระสนมคนโปรดถูกลอบทำร้าย ได้รับการสืบสาวไปตามขั้นตอนของวังหลวง ความจริงเป็นเช่นใดซานซานไม่รู้แม้แต่น้อยนางรู้แค่ว่าลู่หลิ่งเป็นเด็กฉลาด เรียนรู้เร็ว คุ้นชินกับชีวิตพระราชวัง ในเวลาอันสั้นก็พูดจากับคนชั้นสูงได้คล่องแคล่วน่าฟัง ได้ร่ำเรียนในสำนักศึกษาของพระราชวัง ได้กินอิ่มนอนหลับ ได้รับของมีค่า มีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ ได้เล่นสนุกซุกซนสมวัยและที่สำคัญ ตัวนางมียังเบี้ยหวัดเอาไว้ใช้จ่าย ชีวิตดูมีความหมายไม่น้อยซานซานในชาตินี้ทำตัวดีมีคุณค่ายิ่งนัก เพราะมีลูกแล้ว จะกระทำการใด ย่อมต้องคิดให้มาก รอบคอบเข้าไว้หากมารดาทำตัวไม่ดี ชีวิตบุตรสาวย่อมยากจะสงบสุขอีกอย่าง ชีวิตในวังหลวงแห่งนี้นับว่าดีมาก หลี่กุ้ยเฟยเอ็นดูลู่หลิ่งไม่น้อย ตัวนางเองก็มีสหายหลายคนที่พูดจาถูกคอ หนึ่งในนั้นมีนางกำนัลคนหนึ่ง นามว่าซูเหยา อายุราวสิบเก้าปี นิสัยสัตย์ซื่อ วาจานุ่มละมุน รับหน้าที่
เจ้าของวาจาน่าฟังนี้ทำท่าทางเอียงอาย “ขอพระองค์ทรงเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ เพราะนี่คือครั้งแรก”ยิ่งเอ่ยใบหน้างดงามนวลผ่องยิ่งแดงปลั่งดั่งผลอิงเถา“เจ้าเป็นใคร?”จ้าวเหว่ยถามเสียงขรึม หรี่ตาลงมองฝ่ามือที่บังอาจมาแตะต้องตัวเขาเจ้าของฝ่ามือเห็นสายตาปานมีดคมจับจ้องประหนึ่งกำลังกรีดเฉือนข้อมือตน จึงชะงักค้างนิ่งงัน ค่อยๆ ดึงมือกลับ แล้วถอยหลังมายืนสำรวมอยู่ห่างจากเตียงนอนราวห้าก้าว กล่าวพึมพำว่า “หม่อมฉันจิ่วเมย บุตรสาวคนเล็กของเจ้าเมืองจิ่ว ได้รับมอบหมายให้มาดูแลองค์รัชทายาทจนกว่าจะหายดีเพคะ”จ้าวเหว่ยโบกมือให้อีกฝ่ายหยุดพล่าม พลางเอ่ยเสียงต่ำ“ข้าหายดีแล้ว กลับไปเรียนบิดาเจ้าตามนั้น ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”แม่นางจิ่วเมยได้ฟังพลันแข็งค้างไปทั้งร่าง ความหวังที่จะได้ติดตามเข้าวังพังทลายไปสิ้น“แต่...แต่ท่านพ่อบอกว่า หากหม่อมฉันดูแลพระองค์จนหายดี หม่อมฉันจะได้...” นางละล่ำละลักทวงความดีความชอบจ้าวเหว่ยลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง เขาตัวโตมากกว่าเมื่อห้าปีก่อนยิ่งนัก เส้นเสียงที่เคยแหบพร่าเพราะลำคอถูกทำลายก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเปล่งวาจายามอารมณ์ดีจึงทุ้มต่ำน่าฟัง ทว่าหากอารมณ์ไม่ดีกลับทรงอำ
ยี่ซินคลี่ยิ้มเต็มวงหน้า เย้าอีกประโยคว่า “เจ้าช่างไร้ใจ”ซานซานตอบรับอย่างอารมณ์ดี “ผิดแล้วๆ ข้ามีหลายใจต่างหากเล่า สามีเก่าไม่ดี ข้าก็กำลังจะหาสามีใหม่ เพียงแต่ยังหาที่ถูกใจไม่เจอเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้ อย่าว่าแต่องค์รัชทายาทเลย เกรงว่าชายใดก็คงไม่คิดเข้าใกล้ข้าให้ต้องแปดเปื้อนแล้ว”ถ้อยวาจานี้เรียกเสียงหัวเราะให้บังเกิดได้ไม่ยาก ทั้งยี่ซินและซานซานสนทนาต่อคำกันได้ถูกคอยิ่งและนี่คือการผ่านบททดสอบขั้นพื้นฐานอย่างเรียบร้อย…เมื่อได้เห็นท่าทางเปิดเผยจริงใจ มิได้เสแสร้งแม้เพียงนิด ไม่ปรากฏความมักใหญ่ใฝ่สูงอันใดให้เห็น ทั้งแววตายังปราศจากความหลงใหลได้ปลื้มเช่นชู้สาวต่อบุตรชายของตน หลี่กุ้ยเฟยจึงรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย ท้ายที่สุดพระนางก็เอ่ยเสียงนุ่มน่าฟังว่า“หากเจ้าไม่รังเกียจ ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกัน ข้าต้องการตอบแทนเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”เสียงนี้ทำเอาซานซานกับยี่ซินต้องหยุดหัวเราะเพื่อรับฟังหลี่กุ้ยเฟยนิ่งเงียบชั่วครู่ ปรายตามองไปทางลู่หลิ่งแม่นางน้อยปล่อยผมสยายยามหลับฝัน พวงแก้มที่เคยนวลเนียนอมชมพูระเรื่อบัดนี้มีรอยแดงเพราะถูกคนร้ายตีหลายที ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสดที่ยกยิ้มได
ซานซานได้ฟังวาจาเชิญชวนยาวเหยียด เพียงเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ“แม้ว่าข้าจะเป็นชาวยุทธ ทว่าระบบเมืองหลวงมิใช่ไม่รู้ การเข้าเป็นองครักษ์หญิงในวังหลวง เงินเบี้ยหวัดได้มากกว่านางกำนัลเล็กๆ ก็จริง แต่ต้องผ่านการทดสอบอันหนักหน่วง”ซึ่งการทดสอบหาใช่ปัญหาสำหรับนางไม่ ที่เป็นปัญหาคือประวัติความเป็นมาต่างหาก นางมิใคร่ให้ใครล่วงรู้ตัวตนว่ามาจากไหนลูกใครสกุลใด เพราะนั่นอาจนำอันตรายที่มองไม่เห็นไปสู่ครอบครัวหาน ทั้งอาจมีปัญหายิบย่อยอันน่ารำคาญใจเพราะที่ผ่านมา ระหว่างทางที่ท่องยุทธ์ไปทั่ว นางบังเอิญได้ 'ฆ่าคน' ปะไร!หลังจากใคร่ครวญลึกซึ้งจึงโบกมือปฏิเสธ “ช่างเถิด...พวกท่านจ่ายเงินรางวัลที่ช่วยเหลือกันก็พอ ข้าไม่เข้าวังหรอก”ยี่ซินจับกระแสความคิดที่อีกฝ่ายแสดงออกว่าไม่ชอบเรื่องยิบย่อยอันน่ารำคาญ จึงรีบกล่าวอย่างเอาใจ หวังหยั่งเชิง“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่? เจ้าช่วยเหลือพระสนมซึ่งเป็นถึงพระมารดาขององค์รัชทายาท สามารถใช้เส้นสายตรงนี้โดยไม่ต้องเข้ารับการทดสอบ เพราะอำนาจรับคนเป็นสิทธิ์ของพระองค์อยู่แล้ว แค่เจ้าเข้าหาองค์รัชทายาทเท่านั้น”ยี่ซินขยับเข้าใกล้ซานซานเล็กน้อย พลางกระซิบอย่างกระตือรือร้นว่า “ไม่
ในถ้ำใต้แท่นหินได้ยินเสียงน้ำตกดังซู่ เย็นฉ่ำไปทั่วลู่หลิ่งถูกผลัดผ้าทายาป้อนเนื้อย่างจนอิ่มหนำแล้วปล่อยให้หลับใหลบนผ้าป่านไปนานแล้ว โดยมีอาหู่หมอบอยู่ข้างๆ คอยเลียแก้มเลียมือกล่อมนอนไม่ห่างไฟกองหนึ่งกำลังลุกโชนมอบความอบอุ่นให้ทุกคนในถ้ำ แสงเพลิงสีทองสาดส่องเสี้ยวใบหน้าของสตรีทั้งสามยามสนทนา เผยให้เห็นความจริงใจไร้กังขา ปราศจากการเสแสร้งใด“ที่แท้ท่านก็คือพระสนมหลี่กุ้ยเฟย”ซานซานอุทานอย่างตกใจไปทางสตรีงดงามตรงหน้านางจำได้ที่จางเหริน เสี่ยเฟิง และเว่ยลี่เคยเล่าเรื่องราวให้ฟังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในแคว้นหรือเรื่องในรั้วในวังทุกเรื่องที่ทั้งสามคนนั้นเล่าให้ฟังนั้น พวกเขายังทำท่าทางประกอบประหนึ่งเล่นงิ้ว เสมือนเป็นผู้ร่วมทุกเหตุการณ์ที่เล่ามา สมจริงยิ่ง เชื่อถือได้มารดาขององค์รัชทายาทแห่งต้าถังมีนามหลี่ฮุ่ยเยี่ยน หรือก็คือหลี่กุ้ยเฟยแน่นอนว่าสามัญชนไม่อาจเอ่ยพระนามของราชนิกุล ซานซานเพียงคิดในใจอย่างรู้กาลเทศะ นางเอ่ยต่อ“ในขณะที่รัชทายาททรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ทรงตรากตรำทำเพื่อบ้านเมือง แต่คนชั่วกลับลอบแทงข้างหลัง บั่นทอนกำลังด้วยการลอบทำร้ายพระมารดากระนั้นหรือ?”เรื่องราว
“ท่านแม่”ลู่หลิ่งเห็นคนชั่วตายหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ จึงลุกวิ่งตึกๆ โผหามารดา อ้าแขนออก กระโดดโถมทั้งตัวใส่ แล้วร้องไห้จ้าหญิงสาวเห็นลูกบาดเจ็บมีบาดแผลมีเลือดออก สองแก้มบวมแดง ร่ำไห้ฮักๆ จนตัวสั่น จึงใจอ่อนยวบ ความคิดจะตำหนิความซุกซนของลูกก่อนหน้าจึงตกไป นางดุไม่ออกแม้ครึ่งคำ“หลิ่งเอ๋อร์ ไม่เป็นไรแล้ว”ซานซานเอ่ยเสียงนุ่ม แววตาอ่อนโยน กอดลูกแนบอก ลูบหลังปลอบประโลมด้วยความรักใคร่สุดหัวใจ ภาพของสตรีอำมหิตโหดร้ายที่ฆ่าคนตายอย่างเลือดเย็นเมื่อครู่คล้ายไม่เคยเกิดขึ้นเดิมทีสตรีสองคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากลู่หลิ่งยังคงรู้สึกหวาดเกรงต่อซานซานอยู่มาก ความอำมหิตชนิดดาบเดียวปลิดชีพนับสิบชีวิต ทำพวกนางผวาเยือกไม่กล้ากระทั่งร้องอุทาน ทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายปลอบลูกอย่างอ่อนโยนเช่นนั้น ความหวาดหวั่นพลันตกไปสิ้น พวกนางค่อยๆ พยุงตัวกันยืนขึ้น แล้วเดินเข้ามาร่วมปลอบเด็กน้อยลู่หลิ่งด้วยมีเพียงอาหู่ที่หมอบอยู่ไม่ยอมขยับเพราะเจ็บแผลมากหนึ่งในสองสตรีแย้มยิ้มแล้วเอ่ยกับซานซาน “แม่นาง ขอบคุณเจ้ามาก บุญคุณช่วยชีวิตใหญ่หลวงนัก”ซานซานเหลือบตามองสตรีทั้งสอง เห็นคนหนึ่งใส่อาภรณ์หรูหรา ใบหน้าหมดจดงดงาม กิริยา
ชั่วอึดใจซานซานพลันดีดตัวขึ้นสูง ดึงร่มคันเล็กจากเอวด้านหลัง แล้วเหวี่ยงไปทางกลุ่มของบุตรสาวร่มคันนี้คือหนึ่งในอาวุธสังหารที่ซานซานออกแบบคร่าวๆ แล้วให้เสี่ยเฟิงเค้นสมองปรับเปลี่ยนเพิ่มประโยชน์จากกันแดดฝนร่มกางออกแล้วหมุนอยู่กลางอากาศ สาดกระจายเข็มพิษออกรอบทิศเป็นวงกว้าง เพื่อปกป้องสตรีสามคนและเสือดาว มิให้ใครย่างเท้าเข้ากล้ำกรายคนชุดดำที่ไม่ทันตั้งตัวย่อมหลบไม่ทัน ถูกพิษจากร่มไปอย่างช่วยไม่ได้ส่วนพวกที่เหลือ ซานซานเพียงพุ่งตัวอ้อมมาตลบหลังรอบในมีเข็มพิษพุ่งกระจายปลิดชีพผู้คนในพริบตา รอบนอกของเหล่าชายชุดดำมีซานซานลอบสังหารครอบคลุม เรียกได้ว่าหนึ่งล้อมสิบ นางพลิกกายปราดเปรียว สองแขนไขว้กัน สองมือกำดาบเสี้ยวจันทร์ดาบโค้งสองอันประกบเข้าด้วยกันกลับผสานเป็นหนึ่ง ร่างระหงหมุนตัวด้วยกระบวนท่าวายุคลั่ง แล้วสะบัดออกสุดแขน ตวัดดาบอย่างแรง ใบไม้แห้งรอบด้านยังกลายเป็นใบมีดคมกริบปลิวว่อน สังหารผู้คนจนทั่ว ดาบแยก กายแยก เลือดสาดกระจายซ่านเซ็นหญิงสาวทำเช่นนั้นฝ่ากลุ่มคนชุดดำตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย คนร้ายทั้งหลายออกกระบวนท่าแรกยังไม่ทันครบถ้วนก็ถูกกระบวนท่าเดียวของซานซานกลืนกินไปสิ้นร่มยังไ
ลู่หลิ่งถูกกระชากคอเสื้ออย่างแรง มิอาจหลบได้ทัน ทั้งตกใจและเจ็บแปลบ จึงร้องไห้จ้าทว่าพริบตาตรงคอเสื้อของเด็กน้อยคงเหลือแต่ฝ่ามือหยาบหนากับเลือดกระฉูดแดงฉานติดเสื้อ ส่วนลำตัวกลับหายไปเจ้าของฝ่ามือผู้นี้ถูกดึงกระชากขึ้นไปบนต้นไม้ ดิ้นพล่านขลุกขลักค้างเติ่งอยู่บนนั้น ที่ลำคอมันมีเชือกเถาวัลย์รั้งเอาไว้จนลิ้นจุกปากตาเหลือกแทบถลนออกนอกเบ้า รอความตายกลืนกินอย่างทรมานไม่นานก็ได้ยินเสียงลำคอของมันหักดังกร๊อบ เพราะขยับเหวี่ยงแขนที่ถูกตัดขาดด้วยความเจ็บปวดรุนแรงเกินไป ยังผลให้ตายเร็วอย่างที่สุดชายอีกสองคนยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกกระชากจากฝ่ามือปริศนาจนกระเด็นออกห่างจากลู่หลิ่งไปไกลหลายจั้ง ประหนึ่งถูกปีศาจรั้งกระตุกตรงจุดที่มันทั้งสองตกกระแทกพื้นดิน มีร่างระหงของซานซานรอรับอยู่แล้ว ด้วยดาบโค้งเงาจันทร์ที่เสี่ยเฟิงตีขึ้นมานางสะบัดดาบในมือทั้งสองข้างเพียงพรึบเดียว หัวของชายชุดดำทั้งด้านซ้ายและด้านขวาพลันสะบั้นในพริบตา พวกมันยังไม่ทันได้อ้าปากร้องด้วยซ้ำ“ท่านแม่!”ลู่หลิ่งร้องเรียกมารดา น้ำตาไหลนองเต็มสองแก้มอาหู่ที่ติดตามซานซานมารีบกระโจนเข้าหาเด็กน้อยทันทีคนชุดดำที่เหลืออีกห้าคนเบิกตาโพลงอย