เมื่อหันไปเจอสายตาของผู้เป็นมารดาที่เผยความนัยว่าบุตรสาวตรงหน้ามีชีวิตที่น่าสมเพชเวทนา ซานซานพลันหรี่ตา เอ่ยเสียงเย็นว่า
“ท่านแม่ออกไปก่อนเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียว”
เจียหรู๋ได้ยินเช่นนั้น คิ้วโก่งก็ขมวดวูบ นึกสงสัยกับน้ำเสียงห่างเหินไม่เหมือนเดิมของบุตรสาว แววตายังแข็งกร้าว ทั้งยังกล้าไล่นางออกจากห้อง
เจียหรู๋ยืนอึ้งครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามตามตรง “เจ้าโกรธแม่เรื่องที่ส่งเสริมให้แต่งงานกับกงหนิวหรือ?”
ซานซานไม่ตอบกลับคำถามนั้นเพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ขอบคุณท่านแม่ที่เป็นห่วง ข้าคิดได้แล้วเจ้าค่ะ”
แม้ยังรู้สึกฉงนกับความเปลี่ยนแปลงนี้ แต่เจียหรู๋ก็ทำได้แค่ถอนหายใจโล่งอก “อืม...เช่นนั้นย่อมดี เจ้าพักผ่อนเถอะ อย่าได้ฟุ้งซ่านจนเกินไป”
นางเอ่ยอย่างจนใจ ก่อนหมุนกายเดินจากไป ในใจคิดว่า บุตรสาวคงเจอเรื่องสะเทือนขวัญจนนิสัยเปลี่ยนไปแล้วกระมัง
เมื่อได้อยู่เพียงลำพัง ซานซานจึงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้นนั่ง ปรับลมหายใจครู่หนึ่งก็ยืนขึ้น แล้วเดินไปที่หน้าต่าง รับสายลมและแสงแดด เรียกสติสัมปชัญญะทั้งหมดกลับคืนให้แก่ตนเอง
ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย แต่เหย่หนิวของนางก็นับได้ว่าจากไปแล้ว
ถึงแม้จะไม่อาจตัดใจแต่ก็ไม่อาจเว้าวอน นางอาทรมามากพอแล้ว บางทีอาจมีความสุขอยู่อย่างหนึ่ง คือการรอคอยในความเงียบงันกระมัง
มีอยู่ประโยคที่ซานซานเริ่มคิดได้หลังจากได้รับโทษทัณฑ์ที่อาจารย์บรรจงมอบให้อย่างสาสมในภพชาตินี้
รักไม่จำเป็นต้องครอบครองและอาจจะตลอดไปที่ต้องรอ
รักที่ไม่ควรร้องขอ เพียงแค่รออย่างไร้เสียงไปเช่นนั้น[1]
หลังจากผ่านช่วงเสียใจที่สุด กระทั่งได้รู้ความจริงบางประการ ว่าสามีของนางกำลังลี้ภัย มีความจำเป็นต้องอันตรธาน เร้นกายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ซานซานในยามนี้ คล้ายกับกลายร่างเป็นเซียนสาว ผู้บรรลุแจ้งแห่งสัจธรรมไปเสียแล้ว
นางยืนอิงขอบหน้าต่าง ยกฝ่ามือขึ้นลูบหน้าท้องแผ่วเบา ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทีละน้อย
เหย่หนิวจะรู้หรือไม่ ว่าเขากำลังจะมีลูก
ซานซานหลับตา สัญญาในใจ
หากเด็กคนนี้เกิดมาลืมตาดูโลก แต่ท่านยังเงียบหายไป ไม่ยอมกลับมาดูแล ก็ไม่แน่ว่าข้าจะรอ...
เมื่อตั้งครรภ์ ซานซานจึงทำตัวเป็นสัตว์จำศีล
นางเก็บตัวสงบเสงี่ยมอยู่แต่ในเรือน ไม่สุงสิงกับใครทั้งสิ้น บำรุงร่างกายตนเองอย่างไม่มีตกหล่น
เดิมทีซานซานไม่มีความคิดที่จะกลับมาอยู่ร่วมชายคากับคนบ้านหาน ทว่าเมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตกำลังอยู่ในท้อง นางจึงต้องคิดการณ์เสียใหม่ อาศัยว่าเป็นชิงหลินผู้น่าสมเพชเวทนาไปเช่นนั้น ทำตัวน่าสงสารที่ถูกชะตากรรมเล่นงาน อันเป็นผลพวงมาจากคนบ้านนี้ได้อย่างแนบเนียน
ยามที่ท่านลุงท่านป้าที่เป็นเพื่อนบ้านมาเยี่ยมเยือนตามอัธยาศัย ซานซานจึงทำตัวอ่อนแอปวกเปียกร่ำไห้กระซิกๆ ตัวสั่น บังเกิดภาพที่เรียกได้ว่าสุดแสนจะรันทดเกินพรรณนา นำพาให้คนบ้านหานมีสีหน้าหม่นคล้ำไม่น่ามองอย่างที่สุด
ซึ่งเดิมที ชิงหลินไม่เคยแสดงออกมากมายถึงเพียงนี้ อย่างมากก็แค่ก้มหน้าหลุบตาไม่กล้าต่อปากต่อคำ แต่ครานี้นางกลับร่ำไห้เสียงดังไม่หยุด ทั้งยังตัดพ้อโชคชะตาเสียหลายประโยค
สตรีนางน้อยผู้หนึ่ง ซึ่งแต่งงานออกเรือนแค่ไม่นาน ท้ายที่สุดกลับเกิดเหตุสุดสลดชนิดฟ้าฟาด ต้องอยู่ลำพังอย่างเดียวดายตรอมตรม ทั้งยังตั้งครรภ์
หากบ้านเดิมไม่คิดช่วยเหลือและดูแลประคบประหงมเอาใจใส่ให้มากกว่าเดิมอีกหลายเท่า เกรงว่าชาวบ้านผิงเหยียนคงรวมตัวกันประณามไม่เว้นวัน
ทั้งนี้ครอบครัวหานยังมีเรือนหลายหลังตามฐานะพ่อค้าที่มีอันจะกิน มีบ่าวไพร่พอประมาณไม่น้อยหน้าคหบดีบ้านอื่น
คนที่มีบ่าวชายประจำตัวคือหานอี้ซวนคนเดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ในบ้านไม่มีบ่าวประจำตัวก็จริง แต่บ่าวรับใช้จิปาถะในบ้าน เจ้านายล้วนเรียกหาได้ทุกคน
โรงครัวมีแม่ครัวฝีมือดีและลูกมือประจำอยู่ เรือนแต่ละหลังยังมีสาวใช้คอยปัดกวาดเช็ดถูให้
นับว่าสบายไม่น้อย
ซานซานจึงมีชีวิตที่ดีในระดับหนึ่ง แม้ว่ามิได้เลอเลิศอะไร แต่ก็มีอาหารครบ ยาบำรุงต้มให้พร้อม
ในช่วงค่ำคืนหนึ่งหานอี้ซวนกลับจากไปค้าขายต่างถิ่นพร้อมคณะเดินทางที่มีบ่าวไพร่สี่ห้าคนในจำนวนนั้น มีสตรีงดงามติดตามกลับมาด้วย ท่าทางของหานอี้ซวนบ่งบอกได้ว่ากำลังหลงใหลติดใจยิ่งนักทุกคืนต่อมา เขามักจะค้างแรมกับสตรีผู้นั้นไม่ว่างเว้น ยามกลางวันยังอยู่ด้วยกันไม่ห่างกายทำตัวประหนึ่งคู่รักในวัยแรกแย้มกระนั้นอนุใหม่นางนี้มีนามว่า จี้เหยาจี้เหยาเป็นสตรีที่มีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ระเหิดระหงสมส่วน กิริยานุ่มนวลอ่อนช้อย ท่วงท่ากรีดกรายงดงามหยาดเยิ้ม เรียวคิ้วดวงตาทรงเสน่ห์ตราตรึง ริมฝีปากอวบอิ่มแดงจัด พวงแก้มชมพูระเรื่อ ดวงหน้าจิ้มลิ้มชวนเอ็นดู ยามยิ้มยังหวานหยดลึกซึ้งติดตรึงใจ ชวนคะนึงฝันหาเพียงแรกพบประสบพักตร์ไม่รู้ว่าหานอี้ซวนไปเจอจี้เหยาในหอคณิกาเมืองใดเจียหรู๋แม้เจ็บปวดใจ แต่ก็ทำได้เพียงจำทน ทำตัวเป็นภรรยาเอกที่ดี ดูแลทั้งสามีและอนุภรรยาตามหน้าที่ ไม่ขาดตกบกพร่อง ในขณะที่อนุจูกลับเดือดร้อนแทนเนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมา อนุจูเป็นคนที่หานอี้ซวนรักใคร่มาโดยตลอด ได้ครอบครองหานอี้ซวนมากกว่าเจียหรู๋เนิ่นนาน บัดนี้กลับมีสตรีอื่นมาแย่งชิงความโปรดปรานอนุจูที่เคยนุ่มนวลอ่อนหวาน จึงเปลี่ยนไป นางด
ซานซานยังเน้นทีละคำไปทางชิงลี่ “อันดับแรก ...เจ้าควรไปขอร้องให้ท่านพ่อยกเจ้าเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกเสียก่อน บอกท่านพ่อว่า เมื่อฐานะเพิ่มสินสอดจะได้เพิ่มขึ้นมามากหน่อย”ชิงลี่ได้ฟังพลันเบิกตา “หา!”ซานซานคลี่ยิ้มละมุน “เห็นหรือไม่ ว่าข้าย่อมช่วยเจ้า”ชิงลี่กลายเป็นเบื้อใบ้ ไม่กล่าวสิ่งใดอีกอนุจูมองดรุณีทั้งสองตาปริบๆหลังจากปล่อยให้สตรีตรงหน้าเบื้อใบ้ ครานี้ซานซานหันมาทางอนุจูบ้าง นางกล่าวอย่างมีเหตุผลอันน่าเชื่อถือให้อนุจูฟังว่า“ท่านแม่รองลองตรองดูเถิด นานวันท่านก็ยิ่งโรยรา หมดเสน่หา ความงามยากย้อนคืน ต่อให้ไม่มีจี้เหยา ก็ต้องมีสตรีอื่น บุรุษนั้นแม้อายุมากขึ้น น้ำพิสุทธิ์ของพวกเขามีตลอดจนตัวตาย แค่สตรีฝ่ายเดียวที่ไม่อาจคงความเปล่งประกายมีน้ำมีนวลค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องแห้งเหี่ยว ในขณะที่อีกฝ่ายมีสตรีเคียงข้างได้ตลอดไปไม่จบไม่สิ้น มิสู้แม่รองหาหนทางยืนหยัดด้วยตัวเอง อาศัยช่วงนี้ที่บ้านหานยังมีเงินทองมากมาย เอ่ยปากขอตามไปดูแลบุตรสาวสุดที่รักออกเรือน ท่านพ่อย่อมต้องมอบทรัพย์สินให้ท่านไปตั้งตัว แต่หากท่านยังรั้งอยู่ไม่ยอมไปไหน ใจเย็นดั่งแม่น้ำไหลเอื่อยเฉื่อย รอจนน้ำแห้งเหือด แม้หิวกระหายก
จางฉวนยิ้มกริ่มเอ่ยปากขึ้นอีกว่า “ให้ข้าเดินเล่นเป็นเพื่อนดีหรือไม่? ข้าพร้อมเดินกับเจ้าตลอดไป”ชายหนุ่มคิดว่าได้ผล เพราะชิงหลินไร้สามีให้พึ่งพิงแล้ว ควรหันมาซบอกเขาถึงจะถูกทว่าผู้ถูกชักชวนกลับเงียบงันไร้ซึ่งวาจา เรือนกายนางคล้ายแผ่ซ่านความเย็นเยียบหนาวยะเยือกออกมา นางปฏิเสธอย่างเย็นชาด้วยกิริยาแสนเรียบนิ่งซานซานยามนี้ปรายหางตามองจางฉวนอย่างเฉยเมย ไม่มีความคุ้นเคยให้เลยสักนิด สีหน้ายังเผยความหงุดหงิดออกมา ปราศจากความหลงใหลแม้เพียงเสี้ยว สายตายังฉายแววรำคาญมากอีกด้วยจางฉวนผงะไปเล็กน้อย ดวงตาคมทอประกายสั่นไหว ความมั่นใจในรูปโฉมของตนลดลงไปกึ่งหนึ่งเขากระแอมหนึ่งที แก้อาการเก้อกระดากที่กำลังบังเกิด ก่อนเดินเข้าใกล้อีกนิด กระซิบถามเสียงต่ำทรงเสน่ห์ล้ำลึก“เป็นไรไป ไยทำตัวห่างเหินเหลือเกิน เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นเช่นนี้ มิใช่ว่าเราไม่เคยเดินด้วยกัน ทำอะไรบางอย่างด้วยกัน”ช่างไม่สำนึกตัวว่าทำชั่วอันใดไว้ หน้าหนาเกินไปแล้วซานซานสบถในใจ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ขอบคุณพี่ฉวนที่เป็นห่วงเป็นใย แต่ข้าอยากอยู่กับลูกเพียงสองต่อสอง”คำพูดนี้คล้ายสายฟ้าฟาดกลางกระหม่อม เพราะความงามบังตาโดยแท้ จางฉวนจึงล
สิ้นวาจาซานซาน จางฉวนกับชิงลี่พลันผงะทว่าเพียงอึดใจเท่านั้น ก็กลับมาเป็นปกติชิงลี่เอ่ยว่า “พี่หลินล้อข้าเล่นแล้ว”ซานซานเพียงยกยิ้มไร้วาจา เผยสีหน้าเจ้าเล่ห์แวบหนึ่ง จากนั้นก็นั่งชมนกชมไม้ เหม่อมองทิวทัศน์เรื่อยเปื่อยเพื่อรอเวลาแท้จริงแล้ว ชิงลี่ถูกบังคับว่าต้องดื่มยาห้ามครรภ์ทุกครั้งหลังเสร็จกิจกับจางฉวน เพื่อมิให้เกิดเหตุผิดพลาดใดๆ เนื่องจากพวกเขายังมิได้แต่งงานกันทว่าอารมณ์กระสันไหนเลยจักหักห้ามได้ ในเมื่อยังไม่พร้อมแต่งด้วยเหตุผลของผู้ใหญ่ฝ่ายชาย พวกเขาจึงลักลอบสืบพันธุ์กันอย่างรื่นรมย์ โดยป้องกันเอาไว้อย่างดีทว่าวันนี้ไม่เหมือนวันวาน ซานซานแอบใส่ยาชนิดหนึ่งลงไปในขนมที่ชิงลี่ถือมา และชิงลี่ก็กินไปเสียหลายคำเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา ชิงลี่พลันมีอาการผิดปกติ“อ๊ะ...อุ๊บ”หญิงสาวอุทานเสียงหนึ่ง ก่อนยกมือขึ้นปิดปาก ทำท่าคล้ายอยากคลื่นไส้ หลังจากสะกดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว ชิงลี่ก็ลุกขึ้นพรวดพราดออกจากศาลาไปอาเจียนอยู่ตรงพุ่มไม้ท่าทางของนางทรมานเป็นอย่างมาก เมื่ออาเจียนจนเหนื่อยก็นั่งลงตรงพื้นหญ้าหลังจากจางฉวนได้สติก็รีบเข้าไปลูบแผ่นหลังให้นาง พลางถามอย่างสงสัย “เจ้าเป็นอันใดรึ?”ชิงลี่
ต้นเหมันต์ อากาศเย็นลงอย่างเห็นได้ชัดทุกค่ำคืนผู้คนบ้านหานต้องทนหนาว ทว่ามีเพียงสองคนที่ยังคงอบอุ่นลึกซึ้งท่ามกลางลมราตรีโชยแผ่ว ที่ศาลากลางสวนดอกไม้ หานอี้ซวนยืนโอบเอวอ้อนแอ้นของจี้เหยาอย่างถนอม พูดคุยหยอกเย้าอย่างรักใคร่ ครู่หนึ่งจึงพากันเดินหายไปในเรือนนอน เกิดเป็นเงาสะท้อนคลอเคลียแนบชิดก่อนดับเทียน ไม่ต้องคาดเดาก็พอรู้ ว่าเตียงนอนจักเร่าร้อนปานใด เสียงครวญครางจักหอบกระเส่าแค่ไหนซานซานเลิกคิ้วมองอย่างเย็นชา ข้างกายคือมารดากับน้องชายหลังจากกินอาหารเย็นจนอิ่มท้องตามด้วยดื่มยาบำรุง ซานซานจึงออกมาเดินเล่นก่อนกลับเข้านอน เจอชิงหลิวที่ยืนแอบมองเจียหรู๋อยู่ตรงทางระหว่างเรือน จึงเข้ามาสมทบ พบว่าเจียหรู๋กำลังลอบมองหานอี้ซวนกับจี้เหยาอยู่แล้วเป็นนานชิงหลิวเคยแอบเห็นเจียหรู๋ร้องไห้น้ำตาหลั่งริน สีหน้าเผยความเจ็บช้ำปวดใจเหลือเกินกับการกระทำของหานอี้ซวนหนุ่มน้อยย่อมเห็นใจมารดา แต่ตัวเขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้มากไปกว่าการแอบมองอยู่เงียบๆ มาโดยตลอดจี้เหยาผู้นี้อายุน้อย รูปร่างยั่วยวน งดงามปานเทพธิดา ทำหานอี้ซวนหลงใหลแทบคลั่ง เห็นได้ชัดว่าหลงรักหัวปักหัวปำยามนี้เจียหรู๋จึงมีสีหน้าย่ำแย่มาก
หลังจากร่ำลาอ้อยอิ่งครู่ใหญ่ หานอี้ซวนก็เดินจากไป คงเหลือไว้เพียงจี้เหยานั่งกรีดนิ้วกินขนมจิบชาอยู่ในศาลา แว่วยินเสียงสั่งการจากนายท่านหานว่า ห้ามมิให้เจียหรู๋ออกนอกเรือนจนกว่าเขาจะกลับมาซานซานกับชิงหลิวค่อยๆ เดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ เมื่อสองพี่น้องปรากฏกาย สายตาของจี้เหยาก็เหลือบเห็นทันที นอกจากไม่ลุกขึ้นทักทายตามฐานะอนุอันพึงมีต่อบุตรภรรยาเอก นางกลับนั่งกินขนมต่อ แม้แต่สายตายังไม่เหลือบแลชั่วจังหวะนั้น เสียงราบเรียบของซานซานก็ดังขึ้นแผ่วเบา “แดดแรงเกินไป พี่อยากนั่งชมดอกไม้ในศาลา พาพี่เข้าไปหน่อย”ชิงหลิวขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้วยไม่พอใจความหยิ่งจองหองของสตรีที่นั่งอยู่ในศาลา แต่ก็อดตามใจพี่สาวมิได้ จึงพานางไปนั่งในศาลา ทางฝั่งตรงกันข้ามกับจี้เหยาอีกฝ่ายเมื่อเห็นแขกไม่ได้รับเชิญมานั่งลงตรงหน้า จึงเอ่ยปากเสียงเหยียดว่า“ที่แท้ก็คุณหนูใหญ่กับคุณชายเล็กนี่เอง ไม่มีที่ไปหรือไร ถึงได้มานั่งที่นี่”ความหมายคือ ชิงหลินเป็นสตรีชั้นต่ำ ไร้ค่า ไม่มีที่ไป เป็นแค่น้ำที่สาดออกแล้ว เปื้อนดินแล้ว ไยกล้าเสนอหน้ากลับมานับว่าสามหาวไม่เลว ซานซานเลิกคิ้วมอง สีหน้าเฉยชา ไม่รู้สึกรู้สากับสายตาดูแคลนและ
ทุกวันอันแสนสุข ชิงลี่คิดหลงตัวเองได้เช่นนั้น โดยไม่ชั่งใจเลยสักนิด ว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน... กระทั่งถึงวันที่นัดตรวจครรภ์อีกครั้ง ท่านหมอก็เดินทางมาหาถึงเรือนนอนหลังจากจับชีพจรเป็นนาน ท่านหมอก็เผยสีหน้างุนงง ก่อนเอ่ยปากอย่างแน่ใจว่าชิงลี่มิได้ตั้งครรภ์แน่นอนว่าแรกเริ่มไม่มีใครเชื่อ นายท่านจางจึงเชิญหมอคนใหม่มาตรวจ ผลปรากฏว่าชิงลี่มิได้ตั้งครรภ์จริงๆจากนั้นยังเชิญหมอมาอีกสองท่าน ผลการตรวจล้วนเหมือนกัน คือในครรภ์ของชิงลี่ช่างว่างเปล่า ไร้ก้อนเนื้ออาศัยอยู่เรื่องนี้ทำให้จางฉวนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ด่าทอชิงลี่แบบไม่ไว้หน้า ว่าเป็นนังใจกล้า เจ้าแผนการ หมายจับเขาให้แต่งงานด้วยวิธีการไร้ยางอายชิงลี่แม้ตกใจแทบสิ้นสติในคราแรก แต่ด้วยนิสัยของนาง มีหรือจะยอมให้จางฉวนด่ากราดฝ่ายเดียวทั้งสองคนจึงกลายเป็นคู่สามีภรรยาที่ครองเรือนได้ร้อนแรงคล้ายไฟโหมทำลายล้างในทุกเมื่อเชื่อวันแน่นอนว่ามิใช่รักกัน แต่กลับเกลียดกันได้อย่างเดือดระอุราวพลิกฟ้าจูซิ่วหรืออดีตอนุจูของหานอี้ซวนย่อมไม่มีสิทธิ์ออกเสียง ทำได้เพียงเฝ้ามองอย่างไม่อาจช่วยเหลืออันใดขณะกำลังนั่งฟังชีวิตหลังแต่งงานของชิงลี่จากชิงหลิว ซานซานเพี
เมื่อประโยครุนแรงเช่นนี้ดังขึ้น ใบหน้านายท่านจางพลันหม่นคล้ำ จางฮูหยินก็ไม่ต่าง ใบหน้ารูปงามของจางฉวนยิ่งมืดดำ ได้ยินเสียงหานอี้ซวนเอ่ยคำคล้ายตบหน้าอีกว่า“หากไม่ใช่เพราะร่างกายลี่เอ๋อร์ที่ถูกบุตรชายของเจ้าบังคับให้กินยาห้ามครรภ์จนเกิดผิดปกติขึ้นมา กระทั่งท่านหมอยังตรวจผิด ส่วนข้ายังเข้าใจผิดจนต้องออกหน้าจำยอมให้นางแต่งงานอย่างรวดเร็วเกินไป เช่นนั้นนายท่านจางจงบอกแก่ข้ามา ว่าเมื่อใดจะเกิดงานแต่ง สินสอดเมื่อไหร่จะจ่าย ความเสียหายที่เกิดขึ้นล้วนประเมินค่ามิได้ แทนที่จะส่งตัวบุตรสาวคืนให้ข้า มิสู้มอบโรงน้ำชา ร้านขายผ้า และกิจการทดแทนอีกสักสองแห่ง”ชั่วจังหวะนั้นพลันมีเสียงท่านป้าคนหนึ่งเอ่ยแทรก “ใช่ๆ ข้าเคยเห็นคุณชายจางพาคุณหนูหานหายไปทางเรือนหลังหนึ่ง”ท่านน้าอีกคนรีบกล่าว “คุณชายจางล่วงเกินคุณหนูหานถึงเพียงนั้น ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทน”ท่านลุงอีกคนรีบเอ่ยบ้าง “ถูกต้อง ข้าขอร่วมเป็นพยาน”ท่านป้าอีกคนรีบช่วยผสาน “ข้ายังเคยไปแอบดู อุ๊บ!” นางปิดปากเกือบไม่ทัน รีบแก้ต่างว่า “ข้าเห็นว่าควรมอบสินน้ำใจ มิใช่ส่งคืนเช่นนี้ หยามเกียรติสตรีเกินไปแล้ว” นางทำท่าปั่นปึงขึงขังแข็งกร้าว เรียกพวกพ้องใ
ภายในห้องพักผ่อนของหลี่กุ้ยเฟย ซานซานตั้งใจจัดดอกไม้ใส่แจกันหยกอย่างสวยงามที่สุดเพื่อมอบให้หลี่กุ้ยเฟย หวังประจบเอาใจ หมายมาดขึ้นแสดงเพลงพิณในงานเลี้ยงวันนี้“เจ้าดีดพิณเป็นด้วยหรือ?”หลี่กุ้ยเฟยถามเสียงเบามาก เพราะนั่งอยู่ที่โต๊ะทรงเตี้ยริมหน้าต่าง โดยมีเด็กน้อยลู่หลิ่งเล่นจนเหนื่อยฟุบหลับเป็นก้อนกลมอยู่ข้างๆ ใบหน้านุ่มนิ่มแดงเรื่อมีดวงตาที่กำลังหลับพริ้ม ปากจิ้มลิ้มสีชมพูคล้ายเคี้ยวขนมตุ้ยๆ อยู่ในฝันอย่างมีความสุข พระนางจึงไม่ประสงค์พูดคุยเสียงดังซานซานตอบกลับเสียงเบาเช่นกัน “หม่อมฉันพอมีฝีมืออยู่บ้างเพคะ” นางนั่งปักดอกไม้ใส่แจกันอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของหลี่กุ้ยเฟยยี่ซินที่คอยปรนนิบัติรับใช้หลี่กุ้ยเฟยอยู่อีกฝั่งถามอย่างตรงไปตรงมา “สตรีที่ขึ้นแสดงล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์เดียวกัน ตัวเจ้ามีลูกแล้ว ผ่านการมีสามีแล้ว จักขึ้นแสดงทำไม?”ซานซานตอบกลับเสียงนุ่ม ซ่อนแววเจ้าเล่ห์มิดชิด“ใบหน้าของข้าอาจไม่งามเท่าใครเขา ไม่สูงส่ง ไม่ยั่วยวน แต่ขอแค่ได้ขึ้นแสดงเถิด เงินรางวัลย่อมไม่พลาด ข้าจะนำมาแบ่งปันให้พี่ซินด้วย”ยี่ซินขมวดคิ้วมุ่น “มั่นใจปานนั้น”“แน่นอน”หลี่กุ้ยเฟยอดมิได้ต้องคลี่ยิ้ม
ฤดูร้อนผ่านพ้นจนล่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงอีกไม่นานย่อมเยียบย่างฤดูใบไม้ผลิหลายเดือนมาแล้วที่ซานซานตัดสินใจพาลู่หลิ่งออกจากถ้ำแล้วติดตามหลี่กุ้ยเฟยโดยเลือกเป็นเพียงนางกำนัลคนสนิทนางปล่อยอาหู่อยู่ในถ้ำ ไม่คิดพรากสัตว์ร้ายจากป่าใหญ่ ข่าวที่พระสนมคนโปรดถูกลอบทำร้าย ได้รับการสืบสาวไปตามขั้นตอนของวังหลวง ความจริงเป็นเช่นใดซานซานไม่รู้แม้แต่น้อยนางรู้แค่ว่าลู่หลิ่งเป็นเด็กฉลาด เรียนรู้เร็ว คุ้นชินกับชีวิตพระราชวัง ในเวลาอันสั้นก็พูดจากับคนชั้นสูงได้คล่องแคล่วน่าฟัง ได้ร่ำเรียนในสำนักศึกษาของพระราชวัง ได้กินอิ่มนอนหลับ ได้รับของมีค่า มีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ ได้เล่นสนุกซุกซนสมวัยและที่สำคัญ ตัวนางมียังเบี้ยหวัดเอาไว้ใช้จ่าย ชีวิตดูมีความหมายไม่น้อยซานซานในชาตินี้ทำตัวดีมีคุณค่ายิ่งนัก เพราะมีลูกแล้ว จะกระทำการใด ย่อมต้องคิดให้มาก รอบคอบเข้าไว้หากมารดาทำตัวไม่ดี ชีวิตบุตรสาวย่อมยากจะสงบสุขอีกอย่าง ชีวิตในวังหลวงแห่งนี้นับว่าดีมาก หลี่กุ้ยเฟยเอ็นดูลู่หลิ่งไม่น้อย ตัวนางเองก็มีสหายหลายคนที่พูดจาถูกคอ หนึ่งในนั้นมีนางกำนัลคนหนึ่ง นามว่าซูเหยา อายุราวสิบเก้าปี นิสัยสัตย์ซื่อ วาจานุ่มละมุน รับหน้าที่
เจ้าของวาจาน่าฟังนี้ทำท่าทางเอียงอาย “ขอพระองค์ทรงเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ เพราะนี่คือครั้งแรก”ยิ่งเอ่ยใบหน้างดงามนวลผ่องยิ่งแดงปลั่งดั่งผลอิงเถา“เจ้าเป็นใคร?”จ้าวเหว่ยถามเสียงขรึม หรี่ตาลงมองฝ่ามือที่บังอาจมาแตะต้องตัวเขาเจ้าของฝ่ามือเห็นสายตาปานมีดคมจับจ้องประหนึ่งกำลังกรีดเฉือนข้อมือตน จึงชะงักค้างนิ่งงัน ค่อยๆ ดึงมือกลับ แล้วถอยหลังมายืนสำรวมอยู่ห่างจากเตียงนอนราวห้าก้าว กล่าวพึมพำว่า “หม่อมฉันจิ่วเมย บุตรสาวคนเล็กของเจ้าเมืองจิ่ว ได้รับมอบหมายให้มาดูแลองค์รัชทายาทจนกว่าจะหายดีเพคะ”จ้าวเหว่ยโบกมือให้อีกฝ่ายหยุดพล่าม พลางเอ่ยเสียงต่ำ“ข้าหายดีแล้ว กลับไปเรียนบิดาเจ้าตามนั้น ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”แม่นางจิ่วเมยได้ฟังพลันแข็งค้างไปทั้งร่าง ความหวังที่จะได้ติดตามเข้าวังพังทลายไปสิ้น“แต่...แต่ท่านพ่อบอกว่า หากหม่อมฉันดูแลพระองค์จนหายดี หม่อมฉันจะได้...” นางละล่ำละลักทวงความดีความชอบจ้าวเหว่ยลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง เขาตัวโตมากกว่าเมื่อห้าปีก่อนยิ่งนัก เส้นเสียงที่เคยแหบพร่าเพราะลำคอถูกทำลายก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเปล่งวาจายามอารมณ์ดีจึงทุ้มต่ำน่าฟัง ทว่าหากอารมณ์ไม่ดีกลับทรงอำ
ยี่ซินคลี่ยิ้มเต็มวงหน้า เย้าอีกประโยคว่า “เจ้าช่างไร้ใจ”ซานซานตอบรับอย่างอารมณ์ดี “ผิดแล้วๆ ข้ามีหลายใจต่างหากเล่า สามีเก่าไม่ดี ข้าก็กำลังจะหาสามีใหม่ เพียงแต่ยังหาที่ถูกใจไม่เจอเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้ อย่าว่าแต่องค์รัชทายาทเลย เกรงว่าชายใดก็คงไม่คิดเข้าใกล้ข้าให้ต้องแปดเปื้อนแล้ว”ถ้อยวาจานี้เรียกเสียงหัวเราะให้บังเกิดได้ไม่ยาก ทั้งยี่ซินและซานซานสนทนาต่อคำกันได้ถูกคอยิ่งและนี่คือการผ่านบททดสอบขั้นพื้นฐานอย่างเรียบร้อย…เมื่อได้เห็นท่าทางเปิดเผยจริงใจ มิได้เสแสร้งแม้เพียงนิด ไม่ปรากฏความมักใหญ่ใฝ่สูงอันใดให้เห็น ทั้งแววตายังปราศจากความหลงใหลได้ปลื้มเช่นชู้สาวต่อบุตรชายของตน หลี่กุ้ยเฟยจึงรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย ท้ายที่สุดพระนางก็เอ่ยเสียงนุ่มน่าฟังว่า“หากเจ้าไม่รังเกียจ ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกัน ข้าต้องการตอบแทนเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”เสียงนี้ทำเอาซานซานกับยี่ซินต้องหยุดหัวเราะเพื่อรับฟังหลี่กุ้ยเฟยนิ่งเงียบชั่วครู่ ปรายตามองไปทางลู่หลิ่งแม่นางน้อยปล่อยผมสยายยามหลับฝัน พวงแก้มที่เคยนวลเนียนอมชมพูระเรื่อบัดนี้มีรอยแดงเพราะถูกคนร้ายตีหลายที ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสดที่ยกยิ้มได
ซานซานได้ฟังวาจาเชิญชวนยาวเหยียด เพียงเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ“แม้ว่าข้าจะเป็นชาวยุทธ ทว่าระบบเมืองหลวงมิใช่ไม่รู้ การเข้าเป็นองครักษ์หญิงในวังหลวง เงินเบี้ยหวัดได้มากกว่านางกำนัลเล็กๆ ก็จริง แต่ต้องผ่านการทดสอบอันหนักหน่วง”ซึ่งการทดสอบหาใช่ปัญหาสำหรับนางไม่ ที่เป็นปัญหาคือประวัติความเป็นมาต่างหาก นางมิใคร่ให้ใครล่วงรู้ตัวตนว่ามาจากไหนลูกใครสกุลใด เพราะนั่นอาจนำอันตรายที่มองไม่เห็นไปสู่ครอบครัวหาน ทั้งอาจมีปัญหายิบย่อยอันน่ารำคาญใจเพราะที่ผ่านมา ระหว่างทางที่ท่องยุทธ์ไปทั่ว นางบังเอิญได้ 'ฆ่าคน' ปะไร!หลังจากใคร่ครวญลึกซึ้งจึงโบกมือปฏิเสธ “ช่างเถิด...พวกท่านจ่ายเงินรางวัลที่ช่วยเหลือกันก็พอ ข้าไม่เข้าวังหรอก”ยี่ซินจับกระแสความคิดที่อีกฝ่ายแสดงออกว่าไม่ชอบเรื่องยิบย่อยอันน่ารำคาญ จึงรีบกล่าวอย่างเอาใจ หวังหยั่งเชิง“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่? เจ้าช่วยเหลือพระสนมซึ่งเป็นถึงพระมารดาขององค์รัชทายาท สามารถใช้เส้นสายตรงนี้โดยไม่ต้องเข้ารับการทดสอบ เพราะอำนาจรับคนเป็นสิทธิ์ของพระองค์อยู่แล้ว แค่เจ้าเข้าหาองค์รัชทายาทเท่านั้น”ยี่ซินขยับเข้าใกล้ซานซานเล็กน้อย พลางกระซิบอย่างกระตือรือร้นว่า “ไม่
ในถ้ำใต้แท่นหินได้ยินเสียงน้ำตกดังซู่ เย็นฉ่ำไปทั่วลู่หลิ่งถูกผลัดผ้าทายาป้อนเนื้อย่างจนอิ่มหนำแล้วปล่อยให้หลับใหลบนผ้าป่านไปนานแล้ว โดยมีอาหู่หมอบอยู่ข้างๆ คอยเลียแก้มเลียมือกล่อมนอนไม่ห่างไฟกองหนึ่งกำลังลุกโชนมอบความอบอุ่นให้ทุกคนในถ้ำ แสงเพลิงสีทองสาดส่องเสี้ยวใบหน้าของสตรีทั้งสามยามสนทนา เผยให้เห็นความจริงใจไร้กังขา ปราศจากการเสแสร้งใด“ที่แท้ท่านก็คือพระสนมหลี่กุ้ยเฟย”ซานซานอุทานอย่างตกใจไปทางสตรีงดงามตรงหน้านางจำได้ที่จางเหริน เสี่ยเฟิง และเว่ยลี่เคยเล่าเรื่องราวให้ฟังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในแคว้นหรือเรื่องในรั้วในวังทุกเรื่องที่ทั้งสามคนนั้นเล่าให้ฟังนั้น พวกเขายังทำท่าทางประกอบประหนึ่งเล่นงิ้ว เสมือนเป็นผู้ร่วมทุกเหตุการณ์ที่เล่ามา สมจริงยิ่ง เชื่อถือได้มารดาขององค์รัชทายาทแห่งต้าถังมีนามหลี่ฮุ่ยเยี่ยน หรือก็คือหลี่กุ้ยเฟยแน่นอนว่าสามัญชนไม่อาจเอ่ยพระนามของราชนิกุล ซานซานเพียงคิดในใจอย่างรู้กาลเทศะ นางเอ่ยต่อ“ในขณะที่รัชทายาททรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ทรงตรากตรำทำเพื่อบ้านเมือง แต่คนชั่วกลับลอบแทงข้างหลัง บั่นทอนกำลังด้วยการลอบทำร้ายพระมารดากระนั้นหรือ?”เรื่องราว
“ท่านแม่”ลู่หลิ่งเห็นคนชั่วตายหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ จึงลุกวิ่งตึกๆ โผหามารดา อ้าแขนออก กระโดดโถมทั้งตัวใส่ แล้วร้องไห้จ้าหญิงสาวเห็นลูกบาดเจ็บมีบาดแผลมีเลือดออก สองแก้มบวมแดง ร่ำไห้ฮักๆ จนตัวสั่น จึงใจอ่อนยวบ ความคิดจะตำหนิความซุกซนของลูกก่อนหน้าจึงตกไป นางดุไม่ออกแม้ครึ่งคำ“หลิ่งเอ๋อร์ ไม่เป็นไรแล้ว”ซานซานเอ่ยเสียงนุ่ม แววตาอ่อนโยน กอดลูกแนบอก ลูบหลังปลอบประโลมด้วยความรักใคร่สุดหัวใจ ภาพของสตรีอำมหิตโหดร้ายที่ฆ่าคนตายอย่างเลือดเย็นเมื่อครู่คล้ายไม่เคยเกิดขึ้นเดิมทีสตรีสองคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากลู่หลิ่งยังคงรู้สึกหวาดเกรงต่อซานซานอยู่มาก ความอำมหิตชนิดดาบเดียวปลิดชีพนับสิบชีวิต ทำพวกนางผวาเยือกไม่กล้ากระทั่งร้องอุทาน ทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายปลอบลูกอย่างอ่อนโยนเช่นนั้น ความหวาดหวั่นพลันตกไปสิ้น พวกนางค่อยๆ พยุงตัวกันยืนขึ้น แล้วเดินเข้ามาร่วมปลอบเด็กน้อยลู่หลิ่งด้วยมีเพียงอาหู่ที่หมอบอยู่ไม่ยอมขยับเพราะเจ็บแผลมากหนึ่งในสองสตรีแย้มยิ้มแล้วเอ่ยกับซานซาน “แม่นาง ขอบคุณเจ้ามาก บุญคุณช่วยชีวิตใหญ่หลวงนัก”ซานซานเหลือบตามองสตรีทั้งสอง เห็นคนหนึ่งใส่อาภรณ์หรูหรา ใบหน้าหมดจดงดงาม กิริยา
ชั่วอึดใจซานซานพลันดีดตัวขึ้นสูง ดึงร่มคันเล็กจากเอวด้านหลัง แล้วเหวี่ยงไปทางกลุ่มของบุตรสาวร่มคันนี้คือหนึ่งในอาวุธสังหารที่ซานซานออกแบบคร่าวๆ แล้วให้เสี่ยเฟิงเค้นสมองปรับเปลี่ยนเพิ่มประโยชน์จากกันแดดฝนร่มกางออกแล้วหมุนอยู่กลางอากาศ สาดกระจายเข็มพิษออกรอบทิศเป็นวงกว้าง เพื่อปกป้องสตรีสามคนและเสือดาว มิให้ใครย่างเท้าเข้ากล้ำกรายคนชุดดำที่ไม่ทันตั้งตัวย่อมหลบไม่ทัน ถูกพิษจากร่มไปอย่างช่วยไม่ได้ส่วนพวกที่เหลือ ซานซานเพียงพุ่งตัวอ้อมมาตลบหลังรอบในมีเข็มพิษพุ่งกระจายปลิดชีพผู้คนในพริบตา รอบนอกของเหล่าชายชุดดำมีซานซานลอบสังหารครอบคลุม เรียกได้ว่าหนึ่งล้อมสิบ นางพลิกกายปราดเปรียว สองแขนไขว้กัน สองมือกำดาบเสี้ยวจันทร์ดาบโค้งสองอันประกบเข้าด้วยกันกลับผสานเป็นหนึ่ง ร่างระหงหมุนตัวด้วยกระบวนท่าวายุคลั่ง แล้วสะบัดออกสุดแขน ตวัดดาบอย่างแรง ใบไม้แห้งรอบด้านยังกลายเป็นใบมีดคมกริบปลิวว่อน สังหารผู้คนจนทั่ว ดาบแยก กายแยก เลือดสาดกระจายซ่านเซ็นหญิงสาวทำเช่นนั้นฝ่ากลุ่มคนชุดดำตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย คนร้ายทั้งหลายออกกระบวนท่าแรกยังไม่ทันครบถ้วนก็ถูกกระบวนท่าเดียวของซานซานกลืนกินไปสิ้นร่มยังไ
ลู่หลิ่งถูกกระชากคอเสื้ออย่างแรง มิอาจหลบได้ทัน ทั้งตกใจและเจ็บแปลบ จึงร้องไห้จ้าทว่าพริบตาตรงคอเสื้อของเด็กน้อยคงเหลือแต่ฝ่ามือหยาบหนากับเลือดกระฉูดแดงฉานติดเสื้อ ส่วนลำตัวกลับหายไปเจ้าของฝ่ามือผู้นี้ถูกดึงกระชากขึ้นไปบนต้นไม้ ดิ้นพล่านขลุกขลักค้างเติ่งอยู่บนนั้น ที่ลำคอมันมีเชือกเถาวัลย์รั้งเอาไว้จนลิ้นจุกปากตาเหลือกแทบถลนออกนอกเบ้า รอความตายกลืนกินอย่างทรมานไม่นานก็ได้ยินเสียงลำคอของมันหักดังกร๊อบ เพราะขยับเหวี่ยงแขนที่ถูกตัดขาดด้วยความเจ็บปวดรุนแรงเกินไป ยังผลให้ตายเร็วอย่างที่สุดชายอีกสองคนยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกกระชากจากฝ่ามือปริศนาจนกระเด็นออกห่างจากลู่หลิ่งไปไกลหลายจั้ง ประหนึ่งถูกปีศาจรั้งกระตุกตรงจุดที่มันทั้งสองตกกระแทกพื้นดิน มีร่างระหงของซานซานรอรับอยู่แล้ว ด้วยดาบโค้งเงาจันทร์ที่เสี่ยเฟิงตีขึ้นมานางสะบัดดาบในมือทั้งสองข้างเพียงพรึบเดียว หัวของชายชุดดำทั้งด้านซ้ายและด้านขวาพลันสะบั้นในพริบตา พวกมันยังไม่ทันได้อ้าปากร้องด้วยซ้ำ“ท่านแม่!”ลู่หลิ่งร้องเรียกมารดา น้ำตาไหลนองเต็มสองแก้มอาหู่ที่ติดตามซานซานมารีบกระโจนเข้าหาเด็กน้อยทันทีคนชุดดำที่เหลืออีกห้าคนเบิกตาโพลงอย