เมื่อประโยครุนแรงเช่นนี้ดังขึ้น ใบหน้านายท่านจางพลันหม่นคล้ำ จางฮูหยินก็ไม่ต่าง ใบหน้ารูปงามของจางฉวนยิ่งมืดดำ ได้ยินเสียงหานอี้ซวนเอ่ยคำคล้ายตบหน้าอีกว่า
“หากไม่ใช่เพราะร่างกายลี่เอ๋อร์ที่ถูกบุตรชายของเจ้าบังคับให้กินยาห้ามครรภ์จนเกิดผิดปกติขึ้นมา กระทั่งท่านหมอยังตรวจผิด ส่วนข้ายังเข้าใจผิดจนต้องออกหน้าจำยอมให้นางแต่งงานอย่างรวดเร็วเกินไป เช่นนั้นนายท่านจางจงบอกแก่ข้ามา ว่าเมื่อใดจะเกิดงานแต่ง สินสอดเมื่อไหร่จะจ่าย ความเสียหายที่เกิดขึ้นล้วนประเมินค่ามิได้ แทนที่จะส่งตัวบุตรสาวคืนให้ข้า มิสู้มอบโรงน้ำชา ร้านขายผ้า และกิจการทดแทนอีกสักสองแห่ง”
ชั่วจังหวะนั้นพลันมีเสียงท่านป้าคนหนึ่งเอ่ยแทรก “ใช่ๆ ข้าเคยเห็นคุณชายจางพาคุณหนูหานหายไปทางเรือนหลังหนึ่ง”
ท่านน้าอีกคนรีบกล่าว “คุณชายจางล่วงเกินคุณหนูหานถึงเพียงนั้น ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทน”
ท่านลุงอีกคนรีบเอ่ยบ้าง “ถูกต้อง ข้าขอร่วมเป็นพยาน”
ท่านป้าอีกคนรีบช่วยผสาน “ข้ายังเคยไปแอบดู อุ๊บ!” นางปิดปากเกือบไม่ทัน รีบแก้ต่างว่า “ข้าเห็นว่าควรมอบสินน้ำใจ มิใช่ส่งคืนเช่นนี้ หยามเกียรติสตรีเกินไปแล้ว”
นางทำท่าปั่นปึงขึงขังแข็งกร้าว เรียกพวกพ้องให้เออออ
“ใช่ๆ” ชาวบ้านอีกหกคนจึงรีบพยักหน้าประสานเสียง
จางฉวนกับชิงลี่ยามนี้มีใบหน้าแดงก่ำ อับอายจนแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี พวกเขาแน่ใจว่าทุกครั้งที่ลอบมีสัมพันธ์ รอบด้านไม่มีใคร ทุกทิศมีแต่สวนดอกไม้ ห่างออกไปยังร้างผู้คน
แล้วพยานในวันนี้คืออันใด?
“ท่านพ่อ ไม่เป็นความจริงนะขอรับ” จางฉวนรีบแก้ตัว
“อะไรกันพี่ฉวน” ชิงลี่ไม่ยอม “อะไรที่บอกว่าไม่จริง”
จางฉวนหันมาตอบอย่างหงุดหงิด “ก็ทุกครั้งที่เราแอบทำ ไม่มีชาวบ้านเห็นสักคน พยานพวกนี้จะมากดดันอันใด?”
“...!?”
นายท่านจางกับจางฮูหยินพลันสะอึกก้อนลึกลับในลำคอ พวกเขาไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้
เดิมทีก่อนจัดงานแต่งก็มิใช่ว่าไม่เคยคุยกันในประเด็นนี้ เพียงแต่ยามนั้นทั้งสองดีใจมากที่จะได้อุ้มหลาน ทั้งยังสนทนากันอย่างถนอมน้ำใจ เป็นลักษณะแอบปรึกษาหารือ หาทางลงร่วมกัน เพื่อที่จะได้ไม่เป็นการประจานจนเสียชื่อเสียงทางการค้า
และเพราะหานอี้ซวนขยับฐานะของชิงลี่จากลูกอนุเป็นลูกภรรยาเอก บ่งบอกว่าให้เกียรติจางฉวนล้นเหลือ เห็นแก่หน้าตาคนบ้านจางไม่น้อย ที่ไม่ต้องแต่งแค่ลูกอนุให้บุตรชาย พวกเขาจึงยินยอมพร้อมใจทันที
แต่พอรู้ว่าลูกสะใภ้หลอกลวงเรื่องตั้งครรภ์ก็อดมิได้ที่จะเดือดดาล นึกเสียดายสินสอดขึ้นมา อีกทั้งชิงลี่ยังพาแม่มาอยู่ด้วย ทำท่าเป็นเจ้านายอีกคนของบ้าน ก็ยิ่งนึกระอา นายท่านจางจึงต้องการส่งคืนสตรีไร้ค่าทั้งสองคนนี้ไปให้ไกลๆ
มิคาดว่าจะถูกหานอี้ซวนที่เป็นฝ่ายยอมถอยให้ตนโดยตลอดจะเกิดฉลาดขึ้นมา ทั้งยังกล้าพาพยานมามากมาย หากไม่ยินยอมเรื่องคงถึงทางการเป็นแน่แท้
โทษทัณฑ์ตามกฎหมายมิใช่ร้ายแรงยิ่งกว่าหรอกหรือ?
“ว่าอย่างไร?”
หานอี้ซวนถามเสียงเย็น “จะส่งลี่เอ๋อร์คืนแล้วรอมือปราบมาจับกุมไปรับโทษจำคุกสักห้าปี หรือจ่ายค่าตอบแทนเป็นโรงน้ำชา ร้านขายผ้า ร้านค้าอีกสักสองแห่ง ท่านจะเอาอย่างใด?”
แน่นอนว่าคำตอบย่อมต้องเป็นการจ่ายค่าตอบแทนคืน เพียงแต่ต่อรองว่าแค่ยกโรงน้ำชากับร้ายขายผ้าเล็กให้เท่านั้น ส่วนน้ำที่สาดออกจากบ้านแล้วไม่อาจย้อนกลับ
ลูกสะใภ้นางนี้นับว่ามีค่ามากเกินไปแล้ว
ทั้งนี้ทางสกุลจางยังต้องจ่ายค่าปิดปากให้ชาวบ้านที่มาเป็นพยานอีกนับสิบคน เมื่อขอให้ยุติ มิให้เรื่องราวแพร่งพรายอีก
เมื่อการเจรจาเป็นผล หานอี้ซวนยอมรับร้านค้าเล็กๆ สองแห่งนั้นเอาไว้อย่างยินดีล้นเหลือ
เพราะไม่ประสงค์รับตัวชิงลี่กับอนุจูคืนแม้แต่น้อย...
ก่อนออกจากบ้านสกุลจาง
ซานซานผู้เงียบเชียบรอแค่ชมงิ้วมาโดยตลอด พลันเหลือบไปเห็นอนุจูยืนอยู่มุมหนึ่งข้างเรือนรับรอง สายตาที่จ้องมองบ่งบอกได้ว่าต้องการกลับบ้านหานด้วยกัน
ซานซานเลิกคิ้วงาม ลอบยิ้มเย็น นางควรดับฝันนั่นเสีย...
ก่อนออกจากบ้านสกุลจาง ซานซานผู้เงียบเชียบรอแค่ชมงิ้วมาโดยตลอด อาศัยจังหวะที่ขบวนผู้คนบ้านหานพากันเตรียมตัวเดินทางกลับ เดินเข้าไปทักทายใครบางคนอย่างมีน้ำใจ"แม่รอง""คุณหนูใหญ่"น้ำเสียงแหบแห้งสิ้นดี แต่ซานซานหาได้เห็นใจไม่เพียงคลี่ยิ้มบางพลางเอื้อมมือเข้าไปในแขนเสื้อ ล้วงสิ่งหนึ่งออกมายื่นให้อนุจู “นี่คือยาบำรุง ช่วยลดทอนพิษที่ตกค้างจากยาห้ามครรภ์ รับรองว่าลี่เอ๋อร์จะตั้งท้องได้ในไม่ช้า”“จริงหรือ?” อนุจูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ยังรับมาซานซานเอ่ยเสียงเนิบช้า “ไม่ลองไม่รู้ แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ท้องว่างอยู่เช่นนี้ ลี่เอ๋อร์แต่งออกมาหาใช่ในฐานะลูกอนุไม่ ตำแหน่งในบ้านจางจะอย่างไรก็คือภรรยาเอก มิอาจหย่าร้างโดยง่ายตามใจ แม้ว่าความรักระหว่างพวกเขาจะเปราะบางแตกร้าวไปแล้ว อยู่ร่วมกันลำบากเพราะไม่เหมือนเดิม หากแต่การคลอดหลานให้นายท่านจางสักคน สามารถยึดตำแหน่งลูกสะใภ้เอาไว้ด้วยทายาท ย่อมดีแน่นอน”สิ้นคำอันแสนจะหวังดีของซานซาน อนุจูจึงพยักหน้ารับอย่างไร้หนทางอื่น เพราะเท่าที่ฟังดู นี่คือผลดีทั้งสิ้น มองไม่เห็นผลเสียอันใดสาวใช้กลางคนรอซานซานอยู่ทางฝังหนึ่งเพื่อจับประคอง ทว่าชิงหลิวผู้เป
ล้อรถบดถนนไปตามทางเอื่อยเฉื่อย ซานซานทำท่าทางอ่อนเพลียอย่างยิ่ง“พี่ใหญ่ ไม่สบายตัวหรือ?”ชิงหลิวถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีใบหน้าซีดเซียวจึงตะโกนสั่งสารถี “เจ้าช้าลงหน่อย อย่าได้เร่งรีบจนเกินไป”รถม้าที่เคลื่อนตัวช้าอยู่แล้ว จึงยิ่งช้าเข้าไปใหญ่ ถึงขั้นที่สารภีต้องหยุดกระตุ้นม้า เก็บแส้มิดชิด แล้วลงมาเดินจูงคอม้า ค่อยๆ เหยาะเท้าไปด้วยกันเลยทีเดียวอันที่จริง สตรีตั้งครรภ์เช่นซานซานไม่ต้องติดตามมาก็ย่อมได้ เพียงแต่วันนี้ นางให้เหตุผลอย่างมีน้ำใจมากล้น เปี่ยมไปด้วยความกตัญญูว่า ต้องการมาช่วยเป็นพยานให้น้องสาว เพื่อเรียกคืนความยุติธรรมแก่สกุลหาน เพราะคนมากยิ่งอุ่นใจมาก เพื่อครอบครัวแล้ว ต่อให้ลำบากยิ่งกว่านี้พันเท่าหมื่นเท่าก็ต้องมาร่วมให้ได้ทุกคนพอได้ฟังก็ตื้นตันใจ ไม่มีใครคิดฝันว่าชิงหลินจะกล้าเอ่ยคำได้ดีถึงเพียงนี้ ลึกซึ้งกินใจปานนั้นครอบครัวหานจึงพากันเดินทางพร้อมหน้า คงเหลือเพียงจี้เหยาที่อยู่เฝ้าเรือนไม่อาจร่วมขบวนได้ เพระว่านางนอนป่วยอยู่ในห้องมาหลายวันแล้วหานอี้ซวนที่เพิ่งกลับจากติดต่อการค้า พอกลับมายังมัวแต่ยุ่งกับเรื่องของชิงลี่จึงยังไม่ทันได้ไปเยี่ยมเลยสักคราเน
สถานที่อันเป็นความทรงจำของซานซานกับกงหนิว คือเรือนไม้ไผ่ริมลำธาร ห่างไกลจากตัวหมู่บ้านสถานนี้แห่งนี้ร้างผู้คน ไม่มีใครสัญจรมานานแล้ว เนื่องจากเคยมีเรื่องสะเทือนขวัญเกี่ยวกับการตายของกงหนิว กระทั่งเด็กๆ ยังไม่กล้ามาเล่นน้ำใกล้ๆซานซานกับชิงหลิวเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้แทนที่จะไปจวนว่าการแม้จะตั้งครรภ์จนท้องกลมโต แต่ซานซานยังคงเดินเหินได้คล่องแคล่วนักเนื่องจากยามที่อาศัยอยู่กับสามีที่เรือนไม้ไผ่ริมน้ำ นางได้ฝึกกล้ามเนื้อติดต่อกันทุกวัน กำลังวังชาจึงไม่ด้อย ทว่าเหตุที่ช่วงก่อนหน้าทำเป็นอ่อนแอปวกเปียกยามเดินทางไปบ้านสกุลจาง ก็แค่อยากถ่วงเวลาให้ใครบางคนก็เท่านั้นและใครบางคนที่ว่าก็กำลังซ่อนตัวอยู่ที่เพิงไม้เก่าคร่ำนางคือจี้เหยาสตรีผู้มีรูปโฉมงดงาม รูปร่างทรงเสน่ห์ยั่วยวน ใบหน้าหวานล้ำหยาดเยิ้มปานเทพธิดา บัดนี้คล้ายตัวประหลาดก็ไม่ปานเนื้อตัวที่เคยนวลเนียนอ่อนนุ่ม บัดนี้มีผื่นขึ้นจนแดงเถือก บางจุดยังเป็นตุ่มเป็นหนอง บางตำแหน่งของเนื้อหนังยังเริ่มเน่า ใบหน้าที่เคยขาวนวลผ่องผาด บัดนี้ดำคล้ำ ผิวหลุดลอกออกจนเสียโฉมไปกว่าครึ่ง ต้องใช้ผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้ตลอดเวลาทันทีที่ซานซานกับชิงหลิวเ
คล้อยหลังจี้เหยา ชิงหลิวเอ่ยถามพี่สาวเสียงเบา“นางจะกลับมาเอาผิดพวกเราหรือไม่?”ซานซานตอบเสียงเรียบ “หากนางกล้า คงต้องดูว่าคนของทางการจะเชื่อใคร ระหว่างสตรีโง่งมขลาดเขลาทั้งยังตั้งครรภ์เช่นข้า กับสตรีเปี่ยมเสน่ห์หูตาแพรวพราวแลดูเจ้าเล่ห์ที่มีอาการคล้ายเป็นโรคร้ายเพราะเริงรมย์มากไป”อุตส่าห์ให้โอกาสหนีแล้วยังกล้ากลับมาก็คงโง่บัดซบ!ซานซานนับเป็นสตรีจิตใจงามยิ่งหญิงสาวเอ่ยอีกว่า “แท้จริงแล้ว พี่ไม่แน่ใจ ท่านพ่อประสงค์ให้แจ้งความหรือไม่ เพราะหลงมัวเมาอนุจนเกิดเรื่อง คงอับอายอยู่มาก”ชิงหลิวไม่ต่อคำ เพียงยืนนิ่งมองพี่สาว เนิ่นนานทีเดียวจึงค่อยๆ ถามอย่างถนอมน้ำใจ“พี่ใหญ่ ข้าขอพูดอะไรสักประโยคได้หรือไม่?”ซานซานเลิกคิ้วมอง “ว่ามา”หนุ่มน้อยกลืนน้ำลายลงคอเรียกความมั่นใจ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงเบา ”ท่านเปลี่ยนไปมาก ท่านกำลังทำข้าตกใจยิ่งนัก”ทั้งๆ ที่ตกใจ แต่กลับร่วมมืออย่างดีไม่มีบ่นสักคำ ทำเอาซานซานนึกขันเด็กหนุ่มตรงหน้า จึงยกยิ้มแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า“น้องพี่ เจ้าไยมิใช่เปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน พี่สาวผู้โง่เขลาของเจ้าเบื่อเต็มทนกับเรื่องเดิมๆ เจอเรื่องเลวร้ายมากมายย่อมต้องเข้มแข็ง หากไม่ลุกขึ
เมืองหลวงหมิงเวยแคว้นต้าถังความรุ่งเรืองมั่งคั่งนำพาความงดงามดุจอาศัยบนดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ในทุกวัน และวันนี้ยิ่งรื่นเริงดังสวรรค์เสกงานร้อยบุปผาในพระราชวังช่างชวนให้ผู้คนลุ่มหลงโดยง่าย มัวเมาไม่จบสิ้นสาวงามเคลื่อนกายแช่มช้อย ท่วงท่าพราวเสน่ห์ตราตรึง หูตาแพรวพราว กรีดกรายยั่วเย้า คลี่ยิ้มยั่วยวนสตรีชั้นสูงหลากสกุล ที่มิได้มีดีเพียงรูปโฉมงดงามชวนตะลึง แต่คงไว้ซึ่งความสามารถอันโดดเด่นมากกว่าหนึ่งทั้งกาพย์ กลอน หมากพิณ วาดภาพ ร่ายรำ ทุกนางกำลังกระทำการแสดงเพื่อเผยความเป็นเอกอยู่บนลานพิธี หมายมาดให้ราชนิกุลแห่งต้าถังได้ยลบนแท่นประทับสีทองอร่ามบนสุดคือฮ่องเต้ เคียงข้างคือฮองเฮา ลดหลั่นไปตามลำดับของตำแหน่งพระสนม ยังมีองค์ชายและองค์หญิง เต็มสองฝั่ง เบื้องล่างคือบรรดาขุนนางผู้ภักดีรอบด้านตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง ประดับประดาด้วยโคมไฟหลากสีสัน แผ่กลิ่นอายแห่งความสุขสันท่วมท้น พร้อมให้เสพสมไม่สิ้นสุดกลางลานพิธียังคงรื่นเริงประหนึ่งห้วงฝัน บุปผางามยังคงวนเวียนมอบความสำราญสุดความสามารถทุกนางต่างเผยทุกความโดดเด่นเพื่อให้ถูกพระทัยเป็นพิเศษ คล้ายชั้นสวรรค์ที่มีนางฟ้าโบยบินไม่ขาดสายโอรสแห่งราช
นอกจากองค์ชายใหญ่อย่างจ้าวเหว่ยที่เป็นโอรสคนสำคัญแล้ว ยังมีพี่สาวที่เป็นองค์หญิงถึงสี่คน และยังมีน้องชายเกิดตามมาอีกหลายคน อายุยังไล่เลี่ยกับเขาองค์ชายทุกพระองค์ล้วนมีความสามารถ สั่นคลอนตำแหน่งรัชทายาทของจ้าวเหว่ยตลอดมาหวังเพียงว่าค่ำคืนแห่งงานร้อยบุปผา พระบิดาคงมิทรงประสบพบเจอรักแท้กับสตรีนางน้อยคนใด จนอาจจะกลายเป็นเพิ่มศัตรูให้เขากับเสด็จแม่ทว่าจ้าวเหว่ยกลับคิดผิดไป เมื่อสิ้นสุดการร่ายรำชุดหนึ่งจากสาวงามสกุลฟู่ ฮ่องเต้แย้มสรวลพึงพอใจ เรียกมหาขันทีมาถามไถ่ ไม่นานสตรีนางนั้นก็ถูกเรียกตัวเอาไว้พอล่วงเข้ายามดึก งานเลี้ยงยังไม่ทันสิ้นสุด ฮ่องเต้ก็หายไปกับสตรีแซ่ฟู่ซึ่งคาดว่าคงเป็นรักแรกพบในวัยเกือบห้าสิบชันษาจ้าวเหว่ยจึงถือโอกาสนี้กลับตำหนักของตนโดยไม่สนใจผู้ใดอีกต่อไป แม้มีขุนนางใหญ่หลายคนพยายามพาคุณหนูหยาดเยิ้มวัยสะพรั่งเข้ามาพูดคุย หวังสานไมตรีเชื่อมวาสนา ชายหนุ่มก็เพียงยกยิ้มบาง แล้วโบกมือเบาๆ ไร้ซึ่งถ้อยวาจา ไม่ปรารถนาตอบรับน้ำใจ ก่อนพาร่างสูงสง่าเดินหายไปกับม่านราตรีเมื่อกลับมาถึงตำหนักส่วนตัว ฝีเท้าที่เยื้องย่างมาในจังหวะปกติก็เร่งรีบเข้าห้องด้านในทันที เพราะเบื้องหลังฉากฉล
หลายเดือนแล้วที่ซานซานได้อยู่อย่างสงบเตรียมตัวคลอดบุตรอย่างสบายอารมณ์เพราะคนทั้งบ้านไม่มีใครมาวุ่นวายให้รำคาญใจหานอี้ซวนไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียง ทั้งมิอาจหาอนุเพิ่ม เจียหรู๋ดูแลหลังเรือนพร้อมกับดูแลสามี แม้ลำบากแต่ก็เหมาะแล้วชิงหลิวเรียนรู้การค้าแบบเต็มกำลัง ได้รับการชี้แนะและสอนสั่งจากบิดาเต็มที่ไม่มีหมกเม็ด ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากคู่ค้าด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นบุตรชายยอดกตัญญูผู้ลุกขึ้นสู้แทนบิดาที่ป่วยหนักกะทันหัน ยามเจรจาค้าขายจึงได้รับความไว้วางใจถึงแปดส่วนอีกสองส่วนล้วนเป็นเพราะสายเลือดวาณิชตั้งแต่เกิด จึงสานต่อได้ไม่ยากเย็นเดือนต่อมาครอบครัวหานที่สงบสุขพลันเกิดเหตุวุ่นวายด้วยเรื่องมงคลบนเตียงฉ่ำชื้นด้วยน้ำคร่ำที่แตกพลั่กจากร่างของสตรี ไหลนองแดงฉาน คนทั้งบ้านพากันวิ่งวุ่นออกไปตามหมอตำแย ต้มน้ำ เตรียมผ้า เตรียมหยูกยาอลหม่าน ในขณะที่ซานซานทำได้เพียงร้องโอดครวญอยู่ในห้องนอนการเจ็บท้องคลอดบุตรที่สตรีมีครรภ์ต้องเจอ นับได้ว่าเป็นการเสี่ยงตายชนิดหนึ่ง ซึ่งหากโชคดีย่อมอยู่รอดปลอดภัยทั้งแม่และเด็กแต่หากโชคร้ายย่อมไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้การเผชิญชะตากรรมเช่นนี้คือการเสี่ยงอย่างไม
บนเตียงนอนยังคงฉ่ำชื้นไปด้วยเลือดสีแดงฉานใบหน้าขาวซีดของซานซานเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเกาะพราว น้ำตาสองสายไหลบ่าราวกับเขื่อนกั้นน้ำพังทลาย ในโพรงอกด้านซ้ายคล้ายกับหัวใจกำลังจะหลุดออกมาโชคดีที่มันยังเต้นได้อยู่ ทั้งยังเต้นได้แรงนัก ผิดกับร่างกายที่เริ่มไร้เรี่ยวแรงลงทุกที คล้ายกับวิญญาณกำลังจะถูกสูบออกไปก็ไม่ปานซานซานรู้สึกเหมือนจะตายเสียให้ได้ การให้กำเนิดทายาทไม่ง่ายเลยจริงๆ“เบ่งอีกเจ้าค่ะ เบ่งอีก” เสียงของหมอตำแยสั่งเสียงดัง หมายปลุกสติให้สตรีผู้เป็นมารดาฟื้นคืน “อย่าหลับเจ้าค่ะ”ซานซานจึงเบิกตาโพลง อดทนต่อความเจ็บปวดแสบสันแล้วเบ่งสุดกำลัง“อื้อ...”กลีบปากถูกฟันบนขบกัดจนเลือดซึม สองมือกำแน่นตรงข้อเท้าของตนเอง จนเล็บจิกเข้าเนื้อ เลือดไหลก็ยังไม่รู้ตัว“เบ่งอีกเจ้าค่ะ เบ่ง”การเบ่งคลอดแต่ละครั้งให้รู้สึกทรมานสุดแสน เรือนกายคล้ายปริแตกแยกออกกระจัดกระจาย ซานซานพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยนิดเบ่งคลอดอย่างยากลำบากหลายชั่วยามผ่านพ้น กระทั่งได้ยินเสียงประหนึ่งดังมาจากสวรรค์“ออกแล้วเจ้าค่ะ มาแล้ว”สิ้นเสียงหมอตำแย ก็ได้ยินเสียงเด็กน้อยร้องไห้งอแง ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากสาว
ภายในห้องพักผ่อนของหลี่กุ้ยเฟย ซานซานตั้งใจจัดดอกไม้ใส่แจกันหยกอย่างสวยงามที่สุดเพื่อมอบให้หลี่กุ้ยเฟย หวังประจบเอาใจ หมายมาดขึ้นแสดงเพลงพิณในงานเลี้ยงวันนี้“เจ้าดีดพิณเป็นด้วยหรือ?”หลี่กุ้ยเฟยถามเสียงเบามาก เพราะนั่งอยู่ที่โต๊ะทรงเตี้ยริมหน้าต่าง โดยมีเด็กน้อยลู่หลิ่งเล่นจนเหนื่อยฟุบหลับเป็นก้อนกลมอยู่ข้างๆ ใบหน้านุ่มนิ่มแดงเรื่อมีดวงตาที่กำลังหลับพริ้ม ปากจิ้มลิ้มสีชมพูคล้ายเคี้ยวขนมตุ้ยๆ อยู่ในฝันอย่างมีความสุข พระนางจึงไม่ประสงค์พูดคุยเสียงดังซานซานตอบกลับเสียงเบาเช่นกัน “หม่อมฉันพอมีฝีมืออยู่บ้างเพคะ” นางนั่งปักดอกไม้ใส่แจกันอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของหลี่กุ้ยเฟยยี่ซินที่คอยปรนนิบัติรับใช้หลี่กุ้ยเฟยอยู่อีกฝั่งถามอย่างตรงไปตรงมา “สตรีที่ขึ้นแสดงล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์เดียวกัน ตัวเจ้ามีลูกแล้ว ผ่านการมีสามีแล้ว จักขึ้นแสดงทำไม?”ซานซานตอบกลับเสียงนุ่ม ซ่อนแววเจ้าเล่ห์มิดชิด“ใบหน้าของข้าอาจไม่งามเท่าใครเขา ไม่สูงส่ง ไม่ยั่วยวน แต่ขอแค่ได้ขึ้นแสดงเถิด เงินรางวัลย่อมไม่พลาด ข้าจะนำมาแบ่งปันให้พี่ซินด้วย”ยี่ซินขมวดคิ้วมุ่น “มั่นใจปานนั้น”“แน่นอน”หลี่กุ้ยเฟยอดมิได้ต้องคลี่ยิ้ม
ฤดูร้อนผ่านพ้นจนล่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงอีกไม่นานย่อมเยียบย่างฤดูใบไม้ผลิหลายเดือนมาแล้วที่ซานซานตัดสินใจพาลู่หลิ่งออกจากถ้ำแล้วติดตามหลี่กุ้ยเฟยโดยเลือกเป็นเพียงนางกำนัลคนสนิทนางปล่อยอาหู่อยู่ในถ้ำ ไม่คิดพรากสัตว์ร้ายจากป่าใหญ่ ข่าวที่พระสนมคนโปรดถูกลอบทำร้าย ได้รับการสืบสาวไปตามขั้นตอนของวังหลวง ความจริงเป็นเช่นใดซานซานไม่รู้แม้แต่น้อยนางรู้แค่ว่าลู่หลิ่งเป็นเด็กฉลาด เรียนรู้เร็ว คุ้นชินกับชีวิตพระราชวัง ในเวลาอันสั้นก็พูดจากับคนชั้นสูงได้คล่องแคล่วน่าฟัง ได้ร่ำเรียนในสำนักศึกษาของพระราชวัง ได้กินอิ่มนอนหลับ ได้รับของมีค่า มีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ ได้เล่นสนุกซุกซนสมวัยและที่สำคัญ ตัวนางมียังเบี้ยหวัดเอาไว้ใช้จ่าย ชีวิตดูมีความหมายไม่น้อยซานซานในชาตินี้ทำตัวดีมีคุณค่ายิ่งนัก เพราะมีลูกแล้ว จะกระทำการใด ย่อมต้องคิดให้มาก รอบคอบเข้าไว้หากมารดาทำตัวไม่ดี ชีวิตบุตรสาวย่อมยากจะสงบสุขอีกอย่าง ชีวิตในวังหลวงแห่งนี้นับว่าดีมาก หลี่กุ้ยเฟยเอ็นดูลู่หลิ่งไม่น้อย ตัวนางเองก็มีสหายหลายคนที่พูดจาถูกคอ หนึ่งในนั้นมีนางกำนัลคนหนึ่ง นามว่าซูเหยา อายุราวสิบเก้าปี นิสัยสัตย์ซื่อ วาจานุ่มละมุน รับหน้าที่
เจ้าของวาจาน่าฟังนี้ทำท่าทางเอียงอาย “ขอพระองค์ทรงเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ เพราะนี่คือครั้งแรก”ยิ่งเอ่ยใบหน้างดงามนวลผ่องยิ่งแดงปลั่งดั่งผลอิงเถา“เจ้าเป็นใคร?”จ้าวเหว่ยถามเสียงขรึม หรี่ตาลงมองฝ่ามือที่บังอาจมาแตะต้องตัวเขาเจ้าของฝ่ามือเห็นสายตาปานมีดคมจับจ้องประหนึ่งกำลังกรีดเฉือนข้อมือตน จึงชะงักค้างนิ่งงัน ค่อยๆ ดึงมือกลับ แล้วถอยหลังมายืนสำรวมอยู่ห่างจากเตียงนอนราวห้าก้าว กล่าวพึมพำว่า “หม่อมฉันจิ่วเมย บุตรสาวคนเล็กของเจ้าเมืองจิ่ว ได้รับมอบหมายให้มาดูแลองค์รัชทายาทจนกว่าจะหายดีเพคะ”จ้าวเหว่ยโบกมือให้อีกฝ่ายหยุดพล่าม พลางเอ่ยเสียงต่ำ“ข้าหายดีแล้ว กลับไปเรียนบิดาเจ้าตามนั้น ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”แม่นางจิ่วเมยได้ฟังพลันแข็งค้างไปทั้งร่าง ความหวังที่จะได้ติดตามเข้าวังพังทลายไปสิ้น“แต่...แต่ท่านพ่อบอกว่า หากหม่อมฉันดูแลพระองค์จนหายดี หม่อมฉันจะได้...” นางละล่ำละลักทวงความดีความชอบจ้าวเหว่ยลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง เขาตัวโตมากกว่าเมื่อห้าปีก่อนยิ่งนัก เส้นเสียงที่เคยแหบพร่าเพราะลำคอถูกทำลายก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเปล่งวาจายามอารมณ์ดีจึงทุ้มต่ำน่าฟัง ทว่าหากอารมณ์ไม่ดีกลับทรงอำ
ยี่ซินคลี่ยิ้มเต็มวงหน้า เย้าอีกประโยคว่า “เจ้าช่างไร้ใจ”ซานซานตอบรับอย่างอารมณ์ดี “ผิดแล้วๆ ข้ามีหลายใจต่างหากเล่า สามีเก่าไม่ดี ข้าก็กำลังจะหาสามีใหม่ เพียงแต่ยังหาที่ถูกใจไม่เจอเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้ อย่าว่าแต่องค์รัชทายาทเลย เกรงว่าชายใดก็คงไม่คิดเข้าใกล้ข้าให้ต้องแปดเปื้อนแล้ว”ถ้อยวาจานี้เรียกเสียงหัวเราะให้บังเกิดได้ไม่ยาก ทั้งยี่ซินและซานซานสนทนาต่อคำกันได้ถูกคอยิ่งและนี่คือการผ่านบททดสอบขั้นพื้นฐานอย่างเรียบร้อย…เมื่อได้เห็นท่าทางเปิดเผยจริงใจ มิได้เสแสร้งแม้เพียงนิด ไม่ปรากฏความมักใหญ่ใฝ่สูงอันใดให้เห็น ทั้งแววตายังปราศจากความหลงใหลได้ปลื้มเช่นชู้สาวต่อบุตรชายของตน หลี่กุ้ยเฟยจึงรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย ท้ายที่สุดพระนางก็เอ่ยเสียงนุ่มน่าฟังว่า“หากเจ้าไม่รังเกียจ ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกัน ข้าต้องการตอบแทนเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”เสียงนี้ทำเอาซานซานกับยี่ซินต้องหยุดหัวเราะเพื่อรับฟังหลี่กุ้ยเฟยนิ่งเงียบชั่วครู่ ปรายตามองไปทางลู่หลิ่งแม่นางน้อยปล่อยผมสยายยามหลับฝัน พวงแก้มที่เคยนวลเนียนอมชมพูระเรื่อบัดนี้มีรอยแดงเพราะถูกคนร้ายตีหลายที ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสดที่ยกยิ้มได
ซานซานได้ฟังวาจาเชิญชวนยาวเหยียด เพียงเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ“แม้ว่าข้าจะเป็นชาวยุทธ ทว่าระบบเมืองหลวงมิใช่ไม่รู้ การเข้าเป็นองครักษ์หญิงในวังหลวง เงินเบี้ยหวัดได้มากกว่านางกำนัลเล็กๆ ก็จริง แต่ต้องผ่านการทดสอบอันหนักหน่วง”ซึ่งการทดสอบหาใช่ปัญหาสำหรับนางไม่ ที่เป็นปัญหาคือประวัติความเป็นมาต่างหาก นางมิใคร่ให้ใครล่วงรู้ตัวตนว่ามาจากไหนลูกใครสกุลใด เพราะนั่นอาจนำอันตรายที่มองไม่เห็นไปสู่ครอบครัวหาน ทั้งอาจมีปัญหายิบย่อยอันน่ารำคาญใจเพราะที่ผ่านมา ระหว่างทางที่ท่องยุทธ์ไปทั่ว นางบังเอิญได้ 'ฆ่าคน' ปะไร!หลังจากใคร่ครวญลึกซึ้งจึงโบกมือปฏิเสธ “ช่างเถิด...พวกท่านจ่ายเงินรางวัลที่ช่วยเหลือกันก็พอ ข้าไม่เข้าวังหรอก”ยี่ซินจับกระแสความคิดที่อีกฝ่ายแสดงออกว่าไม่ชอบเรื่องยิบย่อยอันน่ารำคาญ จึงรีบกล่าวอย่างเอาใจ หวังหยั่งเชิง“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่? เจ้าช่วยเหลือพระสนมซึ่งเป็นถึงพระมารดาขององค์รัชทายาท สามารถใช้เส้นสายตรงนี้โดยไม่ต้องเข้ารับการทดสอบ เพราะอำนาจรับคนเป็นสิทธิ์ของพระองค์อยู่แล้ว แค่เจ้าเข้าหาองค์รัชทายาทเท่านั้น”ยี่ซินขยับเข้าใกล้ซานซานเล็กน้อย พลางกระซิบอย่างกระตือรือร้นว่า “ไม่
ในถ้ำใต้แท่นหินได้ยินเสียงน้ำตกดังซู่ เย็นฉ่ำไปทั่วลู่หลิ่งถูกผลัดผ้าทายาป้อนเนื้อย่างจนอิ่มหนำแล้วปล่อยให้หลับใหลบนผ้าป่านไปนานแล้ว โดยมีอาหู่หมอบอยู่ข้างๆ คอยเลียแก้มเลียมือกล่อมนอนไม่ห่างไฟกองหนึ่งกำลังลุกโชนมอบความอบอุ่นให้ทุกคนในถ้ำ แสงเพลิงสีทองสาดส่องเสี้ยวใบหน้าของสตรีทั้งสามยามสนทนา เผยให้เห็นความจริงใจไร้กังขา ปราศจากการเสแสร้งใด“ที่แท้ท่านก็คือพระสนมหลี่กุ้ยเฟย”ซานซานอุทานอย่างตกใจไปทางสตรีงดงามตรงหน้านางจำได้ที่จางเหริน เสี่ยเฟิง และเว่ยลี่เคยเล่าเรื่องราวให้ฟังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในแคว้นหรือเรื่องในรั้วในวังทุกเรื่องที่ทั้งสามคนนั้นเล่าให้ฟังนั้น พวกเขายังทำท่าทางประกอบประหนึ่งเล่นงิ้ว เสมือนเป็นผู้ร่วมทุกเหตุการณ์ที่เล่ามา สมจริงยิ่ง เชื่อถือได้มารดาขององค์รัชทายาทแห่งต้าถังมีนามหลี่ฮุ่ยเยี่ยน หรือก็คือหลี่กุ้ยเฟยแน่นอนว่าสามัญชนไม่อาจเอ่ยพระนามของราชนิกุล ซานซานเพียงคิดในใจอย่างรู้กาลเทศะ นางเอ่ยต่อ“ในขณะที่รัชทายาททรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ทรงตรากตรำทำเพื่อบ้านเมือง แต่คนชั่วกลับลอบแทงข้างหลัง บั่นทอนกำลังด้วยการลอบทำร้ายพระมารดากระนั้นหรือ?”เรื่องราว
“ท่านแม่”ลู่หลิ่งเห็นคนชั่วตายหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ จึงลุกวิ่งตึกๆ โผหามารดา อ้าแขนออก กระโดดโถมทั้งตัวใส่ แล้วร้องไห้จ้าหญิงสาวเห็นลูกบาดเจ็บมีบาดแผลมีเลือดออก สองแก้มบวมแดง ร่ำไห้ฮักๆ จนตัวสั่น จึงใจอ่อนยวบ ความคิดจะตำหนิความซุกซนของลูกก่อนหน้าจึงตกไป นางดุไม่ออกแม้ครึ่งคำ“หลิ่งเอ๋อร์ ไม่เป็นไรแล้ว”ซานซานเอ่ยเสียงนุ่ม แววตาอ่อนโยน กอดลูกแนบอก ลูบหลังปลอบประโลมด้วยความรักใคร่สุดหัวใจ ภาพของสตรีอำมหิตโหดร้ายที่ฆ่าคนตายอย่างเลือดเย็นเมื่อครู่คล้ายไม่เคยเกิดขึ้นเดิมทีสตรีสองคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากลู่หลิ่งยังคงรู้สึกหวาดเกรงต่อซานซานอยู่มาก ความอำมหิตชนิดดาบเดียวปลิดชีพนับสิบชีวิต ทำพวกนางผวาเยือกไม่กล้ากระทั่งร้องอุทาน ทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายปลอบลูกอย่างอ่อนโยนเช่นนั้น ความหวาดหวั่นพลันตกไปสิ้น พวกนางค่อยๆ พยุงตัวกันยืนขึ้น แล้วเดินเข้ามาร่วมปลอบเด็กน้อยลู่หลิ่งด้วยมีเพียงอาหู่ที่หมอบอยู่ไม่ยอมขยับเพราะเจ็บแผลมากหนึ่งในสองสตรีแย้มยิ้มแล้วเอ่ยกับซานซาน “แม่นาง ขอบคุณเจ้ามาก บุญคุณช่วยชีวิตใหญ่หลวงนัก”ซานซานเหลือบตามองสตรีทั้งสอง เห็นคนหนึ่งใส่อาภรณ์หรูหรา ใบหน้าหมดจดงดงาม กิริยา
ชั่วอึดใจซานซานพลันดีดตัวขึ้นสูง ดึงร่มคันเล็กจากเอวด้านหลัง แล้วเหวี่ยงไปทางกลุ่มของบุตรสาวร่มคันนี้คือหนึ่งในอาวุธสังหารที่ซานซานออกแบบคร่าวๆ แล้วให้เสี่ยเฟิงเค้นสมองปรับเปลี่ยนเพิ่มประโยชน์จากกันแดดฝนร่มกางออกแล้วหมุนอยู่กลางอากาศ สาดกระจายเข็มพิษออกรอบทิศเป็นวงกว้าง เพื่อปกป้องสตรีสามคนและเสือดาว มิให้ใครย่างเท้าเข้ากล้ำกรายคนชุดดำที่ไม่ทันตั้งตัวย่อมหลบไม่ทัน ถูกพิษจากร่มไปอย่างช่วยไม่ได้ส่วนพวกที่เหลือ ซานซานเพียงพุ่งตัวอ้อมมาตลบหลังรอบในมีเข็มพิษพุ่งกระจายปลิดชีพผู้คนในพริบตา รอบนอกของเหล่าชายชุดดำมีซานซานลอบสังหารครอบคลุม เรียกได้ว่าหนึ่งล้อมสิบ นางพลิกกายปราดเปรียว สองแขนไขว้กัน สองมือกำดาบเสี้ยวจันทร์ดาบโค้งสองอันประกบเข้าด้วยกันกลับผสานเป็นหนึ่ง ร่างระหงหมุนตัวด้วยกระบวนท่าวายุคลั่ง แล้วสะบัดออกสุดแขน ตวัดดาบอย่างแรง ใบไม้แห้งรอบด้านยังกลายเป็นใบมีดคมกริบปลิวว่อน สังหารผู้คนจนทั่ว ดาบแยก กายแยก เลือดสาดกระจายซ่านเซ็นหญิงสาวทำเช่นนั้นฝ่ากลุ่มคนชุดดำตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย คนร้ายทั้งหลายออกกระบวนท่าแรกยังไม่ทันครบถ้วนก็ถูกกระบวนท่าเดียวของซานซานกลืนกินไปสิ้นร่มยังไ
ลู่หลิ่งถูกกระชากคอเสื้ออย่างแรง มิอาจหลบได้ทัน ทั้งตกใจและเจ็บแปลบ จึงร้องไห้จ้าทว่าพริบตาตรงคอเสื้อของเด็กน้อยคงเหลือแต่ฝ่ามือหยาบหนากับเลือดกระฉูดแดงฉานติดเสื้อ ส่วนลำตัวกลับหายไปเจ้าของฝ่ามือผู้นี้ถูกดึงกระชากขึ้นไปบนต้นไม้ ดิ้นพล่านขลุกขลักค้างเติ่งอยู่บนนั้น ที่ลำคอมันมีเชือกเถาวัลย์รั้งเอาไว้จนลิ้นจุกปากตาเหลือกแทบถลนออกนอกเบ้า รอความตายกลืนกินอย่างทรมานไม่นานก็ได้ยินเสียงลำคอของมันหักดังกร๊อบ เพราะขยับเหวี่ยงแขนที่ถูกตัดขาดด้วยความเจ็บปวดรุนแรงเกินไป ยังผลให้ตายเร็วอย่างที่สุดชายอีกสองคนยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกกระชากจากฝ่ามือปริศนาจนกระเด็นออกห่างจากลู่หลิ่งไปไกลหลายจั้ง ประหนึ่งถูกปีศาจรั้งกระตุกตรงจุดที่มันทั้งสองตกกระแทกพื้นดิน มีร่างระหงของซานซานรอรับอยู่แล้ว ด้วยดาบโค้งเงาจันทร์ที่เสี่ยเฟิงตีขึ้นมานางสะบัดดาบในมือทั้งสองข้างเพียงพรึบเดียว หัวของชายชุดดำทั้งด้านซ้ายและด้านขวาพลันสะบั้นในพริบตา พวกมันยังไม่ทันได้อ้าปากร้องด้วยซ้ำ“ท่านแม่!”ลู่หลิ่งร้องเรียกมารดา น้ำตาไหลนองเต็มสองแก้มอาหู่ที่ติดตามซานซานมารีบกระโจนเข้าหาเด็กน้อยทันทีคนชุดดำที่เหลืออีกห้าคนเบิกตาโพลงอย