หลายเดือนแล้วที่ซานซานได้อยู่อย่างสงบเตรียมตัวคลอดบุตรอย่างสบายอารมณ์
เพราะคนทั้งบ้านไม่มีใครมาวุ่นวายให้รำคาญใจ
หานอี้ซวนไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียง ทั้งมิอาจหาอนุเพิ่ม เจียหรู๋ดูแลหลังเรือนพร้อมกับดูแลสามี แม้ลำบากแต่ก็เหมาะแล้ว
ชิงหลิวเรียนรู้การค้าแบบเต็มกำลัง ได้รับการชี้แนะและสอนสั่งจากบิดาเต็มที่ไม่มีหมกเม็ด ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากคู่ค้าด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นบุตรชายยอดกตัญญูผู้ลุกขึ้นสู้แทนบิดาที่ป่วยหนักกะทันหัน ยามเจรจาค้าขายจึงได้รับความไว้วางใจถึงแปดส่วน
อีกสองส่วนล้วนเป็นเพราะสายเลือดวาณิชตั้งแต่เกิด จึงสานต่อได้ไม่ยากเย็น
เดือนต่อมาครอบครัวหานที่สงบสุขพลันเกิดเหตุวุ่นวายด้วยเรื่องมงคล
บนเตียงฉ่ำชื้นด้วยน้ำคร่ำที่แตกพลั่กจากร่างของสตรี ไหลนองแดงฉาน คนทั้งบ้านพากันวิ่งวุ่นออกไปตามหมอตำแย ต้มน้ำ เตรียมผ้า เตรียมหยูกยาอลหม่าน ในขณะที่ซานซานทำได้เพียงร้องโอดครวญอยู่ในห้องนอน
การเจ็บท้องคลอดบุตรที่สตรีมีครรภ์ต้องเจอ นับได้ว่าเป็นการเสี่ยงตายชนิดหนึ่ง ซึ่งหากโชคดีย่อมอยู่รอดปลอดภัยทั้งแม่และเด็ก
แต่หากโชคร้ายย่อมไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้
การเผชิญชะตากรรมเช่นนี้คือการเสี่ยงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง นับได้ห้าในสิบส่วนเสมอ และซานซานก็กำลังได้เจอความทรมานแสนสาหัสในแบบที่ไม่เคยเป็น
การคลอดลูกทำเอานางไร้หนทางรับมือ ทั้งยากจะต่อกร
ผ่านไปหลายชั่วยามแล้วที่หญิงสาวต้องอดทนกับความเจ็บปวดรวดร้าว ราวร่างกายจะแตกสลายหายไปได้ทุกเมื่อ
และคนที่นางคิดถึงแทบขาดใจ ย่อมไม่พ้นพ่อของลูก
เมืองหลวงหมิงเวย
ตำหนักหยางซินยังคงปกคลุมไปด้วยม่านราตรีมืดดำ ท้องฟ้าไร้หมู่ดาว ปราศจากความพร่างพราวที่เคยมี กระทั่งจันทร์ยังถูกเมฆเคลื่อนบดบังจนสิ้น
บนเตียงนอนหรูหรา ภายใต้ม่านโปร่งระย้า ร่างบุรุษหนุ่มผู้หลับใหลพลันตื่นเต็มตา ใบหน้าหล่อเหลาขาวเนียนเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อผุดพราย
อากาศเย็นปานนั้น แต่ร่างกายกลับร้อนรุ่มดังไฟสุม
เรียวคิ้วของจ้าวเหว่ยขมวดมุ่น รู้สึกกระสับกระส่ายอย่างไร้สาเหตุ ทำอย่างไรก็ไม่อาจข่มตาหลับได้ จึงลุกขึ้นจากเตียง สวมเพียงชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มแล้วเดินออกจากห้องนอนไปที่ลานฝึกวรยุทธ์ทางด้านหลังของตำหนัก ไม่ใส่ใจต่ออากาศหนาวเย็นที่กำลังกัดกร่อนเนื้อหนัง
ยามดึกเงียบสงัด จึงมีเสียงฟันดาบออกกระบวนท่าดังสวบๆ แหวกอากาศจวบจนรุ่งสาง
กระทั่งอู๋เจี๋ยที่คอยอารักขาอยู่ตรงมุมมืดยังนึกตระหนก อกสั่นไม่เบา หลังจากครุ่นคิดหนักหน่วงพลางยกนิ้วขึ้นนับจำนวนเดือนในใจ ไม่ช้า พลันกระจ่างแจ้งแจ่มชัด
นี่มิใช่อาการกระสับกระส่ายของสามี ยามภรรยาคลอดบุตรหรือไร?
เมื่อคิดได้ดังนั้น องครักษ์หนุ่มจึงประกบมือวิงวอนต่อเบื้องบนไม่หยุด
สวรรค์! ได้โปรดคุ้มครองแม่นางชิงหลินกับบุตรคนแรกขององค์รัชทายาทด้วยเถิด
บนเตียงนอนยังคงฉ่ำชื้นไปด้วยเลือดสีแดงฉานใบหน้าขาวซีดของซานซานเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเกาะพราว น้ำตาสองสายไหลบ่าราวกับเขื่อนกั้นน้ำพังทลาย ในโพรงอกด้านซ้ายคล้ายกับหัวใจกำลังจะหลุดออกมาโชคดีที่มันยังเต้นได้อยู่ ทั้งยังเต้นได้แรงนัก ผิดกับร่างกายที่เริ่มไร้เรี่ยวแรงลงทุกที คล้ายกับวิญญาณกำลังจะถูกสูบออกไปก็ไม่ปานซานซานรู้สึกเหมือนจะตายเสียให้ได้ การให้กำเนิดทายาทไม่ง่ายเลยจริงๆ“เบ่งอีกเจ้าค่ะ เบ่งอีก” เสียงของหมอตำแยสั่งเสียงดัง หมายปลุกสติให้สตรีผู้เป็นมารดาฟื้นคืน “อย่าหลับเจ้าค่ะ”ซานซานจึงเบิกตาโพลง อดทนต่อความเจ็บปวดแสบสันแล้วเบ่งสุดกำลัง“อื้อ...”กลีบปากถูกฟันบนขบกัดจนเลือดซึม สองมือกำแน่นตรงข้อเท้าของตนเอง จนเล็บจิกเข้าเนื้อ เลือดไหลก็ยังไม่รู้ตัว“เบ่งอีกเจ้าค่ะ เบ่ง”การเบ่งคลอดแต่ละครั้งให้รู้สึกทรมานสุดแสน เรือนกายคล้ายปริแตกแยกออกกระจัดกระจาย ซานซานพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยนิดเบ่งคลอดอย่างยากลำบากหลายชั่วยามผ่านพ้น กระทั่งได้ยินเสียงประหนึ่งดังมาจากสวรรค์“ออกแล้วเจ้าค่ะ มาแล้ว”สิ้นเสียงหมอตำแย ก็ได้ยินเสียงเด็กน้อยร้องไห้งอแง ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากสาว
แน่นอนว่ายามฝึกลมปราณย่อมต้องนั่งทำสมาธิสำรวมจิตใจในห้องหับปิดสนิทของเรือนส่วนตัวแต่ยามฝึกออกกระบวนท่าฟาดดาบสาดอาวุธย่อมต้องออกไปฝึกนอกสถานที่อันโล่งกว้าง ซานซานจึงไม่คิดทิ้งบุตรสาวเอาไว้ที่บ้าน นางตัดสินใจหอบลูกไปฝึกยุทธด้วยทุกวันจากนั้น หญิงสาวจึงห่อตัวบุตรสาวด้วยผ้าฝ้ายไว้บนแผ่นหลัง ลอบออกจากบ้านหานไปริมลำธารซานซานทำท่านั่งตกปลาบ้าง ทำเป็นนั่งนิ่งหน้าเศร้าคิดถึงสามีบ้าง เมื่อปลอดสายตาจากผู้อื่นที่มาหาปลาอยู่ไกลๆ ก็จะแอบไปฝึกฝนร่างกายอย่างร่าเริงภายในหุบเขาลึกชาวบ้านที่เห็นนางล้วนเข้าใจว่าพาบุตรสาวไปเยี่ยมศพสามีหาได้มีเหตุผลอื่นใดไม่สาเหตุที่ซานซานแอบฝึกในป่าลึกมิให้ผู้ใดสังเกตเห็นก็เพราะสตรีนามชิงหลินที่ชาวบ้านรู้จักเป็นเพียงคนอ่อนแอผู้หนึ่ง จู่ๆ ลุกขึ้นมาฝึกวิทยายุทธย่อมเรียกร้องความสนใจสงสัยและเคลือบแคลงใจหรือที่แย่ยิ่งกว่าอาจถูกหวาดระแวงอย่างบ้าคลั่ง หญิงสาวจึงตัดไฟแต่ต้นลม ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อไร้ผู้ค้นพบ ย่อมปราศจากเรื่องยุ่งยากรำคาญใจซานซานจึงฝึกหนักในป่าใหญ่ได้อย่างโล่งสบายหายห่วง ยิ่งยามยกแขนฟาดขาตีลังกาแล้วหันหน้าไปเจอบุตรสาวตัวน้อยกำลังมองมาทางตน พร้
ท่ามกลางอุทยานงดงาม ระหว่างสายตาบุรุษหนุ่มที่จ้องมองกับคุณหนูสูงส่งผู้ยั่วยวนองค์หญิงที่มาด้วยรีบเอ่ย “พี่ใหญ่ น้องมีสหายผู้งดงามแนะนำให้รู้จักเพคะ นางมีนามว่า...”ไม่รอให้ใครพูดจบ จ้าวเหว่ยก็เบี่ยงกายออก หลบฉากด้วยตนเอง แล้วเดินจากไป ไร้ซึ่งเยื่อใยแม้เพียงบางเบาองค์หญิงตกใจชะงักค้าง จากนั้นพลันสะบัดกระโปรงฮึดฮัดไม่พอใจ “พี่ชายข้าช่างเย่อหยิ่งถือตัวนัก แม้แต่ชายผ้ายังยากจะเข้าถึง”คุณหนูคนเดิมเม้มกลีบปากจนแดงช้ำ ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกบิดเป็นเกลียวแน่นจนนิ้วเปลี่ยนสี นางเอ่ยเสียงเบาราวแมลงบินผ่านด้วยความอับอาย “องค์หญิงทรงตั้งความหวังกับข้ามากเกินไป เกรงว่าจะทำให้พระสนมจางผินผิดหวังแล้ว”องค์หญิงสะบัดเสียง “เฮอะ! ทำเป็นอ้างเสด็จแม่ เจ้ามิใช่หลงใหลพี่ชายผู้หล่อเหลาสง่างามเพียงแรกพบหรอกรึ? หากไม่พยายามเข้าหา แล้วเมื่อใดจะได้เคียงข้างเล่า”“แต่ว่า...”“ไปเถิด ตามรัชทายาทไป อย่าให้คลาดสายตา”“ไม่เอา...”“อายทำไมเล่า”“ไม่...” แม้ปากปฏิเสธ แต่เท้ากลับก้าวเดินเร็วรี่นางกำนัลติดตามขมวดคิ้วแน่น ค่อยๆ เดินออกมาเบื้องหน้าเจ้านายสาว ทำทีขัดขวางแบบแนบเนียน ในใจนึกอยากเอาตำราสอนหญิงให้แม่นางทั้งสอง
เมื่ออู๋เจี๋ยรายงานจนหมด จึงบังเกิดความสงสัยแคลงใจอย่างล้นเหลือ ว่าสตรีธรรมดาเหตุใดจึงลุกขึ้นมาฝึกกระบี่ฟาดดาบได้ หรือว่าคิดถึงสามีจนเกินไป แล้วบังเอิญพบเจอคัมภีร์ฝึกยุทธ์เข้าอืม...ย่อมเป็นได้เมื่อได้ข้อสรุปให้ตนเอง อู๋เจี๋ยจึงบังอาจเสนอความคิดกับเจ้านาย “ในเมื่อนางสุขสบายไร้กังวล ทั้งเปี่ยมกำลังวังชาปานนั้น องค์ชายย่อมปฏิบัติราชกิจได้อย่างไร้กังวลเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”ปลายนิ้วเรียวยาวของบุรุษหนุ่มไล้วนที่ขอบถ้วยน้ำชาอย่างใช้ความคิด จ้าวเหว่ยพลันหรี่ตา เอ่ยเสียงเนิบช้า “พี่น้องของข้าแต่ละคน ต่างพากันแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลน้อยใหญ่ไม่ขาดสาย เดินหมากกับขั้วอำนาจอย่างสนุกสนาน แต่ข้าไม่ประสงค์จะลงเล่นด้วย การใช้อำนาจจากสตรีมิใช่วิสัยของข้า มีเพียงต้องเข้าถึงพลังประชาชนเท่านั้นถึงจะพอยืนหยัดในที่สว่างได้ ไพร่ฟ้าย่อมต้องจดจำข้า และยิ่งต้องจารึกในจิตใจว่าข้าคือองค์รัชทายาท เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรที่แท้จริง หากใครคิดโค่นล้มย่อมต้องผ่านความเห็นชอบของพวกเขาก่อน”อู๋เจี๋ยรับฟังอย่างสงบ นึกยอมรับความสามารถของเจ้านายอยู่เงียบๆ ทั้งยังนับถือน้ำพระทัยอันมีค่าของอีกฝ่ายจากใจจริง คิดไปคิดมา
เหมันต์ผ่านมาอีกครั้ง ยามนี้บุตรสาวอายุครบปีแล้ว“หลิ่งเอ๋อร์ ชอบให้แม่ใช้วิชาตัวเบาลอยขึ้นไปหรือไม่?”สิ้นคำถาม เด็กน้อยก็หยักหน้าตบมือยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กๆ กับลิ้นสีชมพูน่ารัก นางกอดคอมารดาแนบแน่นซานซานอดใจมิได้ที่จะหอมแก้มกลมๆ ขาวๆ ของลู่หลิ่ง[1]หนักๆ อย่างเอื้อเอ็นดู จนเด็กน้อยหัวเราะเสียงดังกังวานสดใสหญิงสาวสะกิดปลายเท้ากับยอดหญ้า แล้วทะยานกายว่องไวแต่พลิ้วไหวดังสายลม ลอยละลิ่วไปตามยอดไม้ทั่วหุบเขา ล้อเล่นกับแสงแดดที่เสียดแทงหมู่เมฆาลงมาไม่ขาดสายเด็กสาวตัวน้อยไม่เคยกลัวความสูง แต่กลับชอบใจ หัวเราะเสียงดังยิ่งกว่าเก่า สองแขนยกขึ้นสองมือกางออกตีลมอย่างสนุกสนาน ซานซานกอดลูกไว้แนบอก พุ่งทะยานราวอินทรีย์ผยองเกล้าผงาดกล้า ...วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วจากหนึ่งปีเป็นสองปีนับตั้งแต่ซานซานคลอดบุตรสาว ได้ยินเสียงอ้อแอ้สดใสเสนาะโสต ได้เฝ้ามองแม่นางน้อยเติบใหญ่ในทุกวัน ได้ป้อนนมป้อนข้าว ได้หยอกล้อทุกเช้าค่ำ ความเหงาเดียวดายจึงมลายหายไปสิ้นทั้งนี้ นางยังฝึกวิชามารสมใจปรารถนา คิดว่าใช้เวลาเพียงไม่นานเท่านั้นก็คงสำเร็จโดยง่ายไม่รู้ว่ากำลังภายในเลิศล้ำที่โคจรทั่วร่างเสมือนตายแล้ว
ซานซานนิ่งอึ้งหลังอ่านเป็นรอบที่สิบ ฝ่ามือพลันบีบแน่น ม่านตาดำพลันหดแคบ ความเจ็บแปลบสายหนึ่งพุ่งปราดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจหญิงสาวไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า จะมีศาสตราวุธใดในใต้หล้าที่จะทำร้ายกันได้ฉับพลันถึงเพียงนี้ทั้งแปลกใหม่และร้อนระอุสิ้นดี ถ้อยวาจาตัดสัมพันธ์ไม่กี่ประโยคในกระดาษ เหตุใดถึงบาดใจผู้คนจนปวดหนึบชาวาบ ลมหนาวที่พัดผ่านราวกับกำลังกรีดลงบนใบหน้า พอยกมือขึ้นปาดถึงได้รู้ว่าสองข้างแก้มมีน้ำตาเปรอะเปื้อนเสียแล้วสายลมนั้นโชยแผ่ว ทั้งอ่อนจางและบางเบา ทว่ากลับสะท้านสะเทือนเหน็บหนาวราวกับยืนเคว้งบนยอดภูเขาน้ำแข็งซานซานรู้สึกอ่อนแรงเป็นครั้งแรก โดดเดี่ยวเดียวดายสุดประมาณ ความรู้สึกสิ้นหวังนี้ ร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งที่คิดว่าสามีตายแน่นอนว่าเมื่อนางรู้ว่าแท้จริงเขามิได้ตาย ตลอดเวลาเกือบสามปี นางจึงรอคอยเขาให้กลับมานางพาลูกน้อยเฝ้ารอเขาเงียบๆ อย่างยินดี...แต่ยามนี้...จดหมายสะบั้นรักนี่!เนิ่นนานทีเดียวกับการพยายามระงับใจมิให้เต้นแรงหรือสั่นไหวจนเกินไป เพียงปล่อยให้ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาสายหนึ่งอย่างเรียบง่ายหญิงสาวก้มมองหลุมตรงหน้า พิจารณาเงียบงันนี่คือที่ซ่อนเงินขอ
บนถนนดินดำ สองข้างทางมีดอกไม้บานสะพรั่ง สลับกับต้นไม้ร่มรื่นความสดชื่นสองข้างทางยังคงดุจเดิม ทว่าซานซานกลับรู้สึกอึมครึมอย่างประหลาด รอบด้านคล้ายมีเมฆดำมืดปกคลุมหญิงสาวห่อหุ้มลูกน้อยด้วยผ้าฝ้ายอบอุ่นไว้บนแผ่นหลัง พาแม่นางน้อยเดินกลับบ้านหานภายใต้ร่มกระดาษสีแดงคันเก่า ซึ่งบัดนี้ด้ามที่เคยเขียวสดแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองแห้งกร้าน เส้นผมม้วนเอาไว้แบบสตรีออกเรือน ปักเพียงปิ่นไม้อันเดิมที่สามีมอบให้ หากแต่ความรู้สึกของนางยามนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปท่ามกลางทางเดินทอดยาว สองฝั่งเงียบสงัด ห่างไกลบ้านเรือนผู้คน เด็กน้อยลู่หลิ่งหลับนิ่งอยู่ตรงแผ่นหลังซานซานย่างเดินด้วยฝีเท้าเงียบกริบ แววตานิ่งสงบราวทะเลลึก ทั้งราบเรียบทั้งเร้นลับ พลันนั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทักทาย“หลินเอ๋อร์...”ผู้ถูกเรียกขานเพียงปรายหางตามอง เห็นเป็นบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ดุจบัณฑิตเจ้าสำราญเขาคือจางฉวนกำลังเดินมากับสตรีงดงามนางหนึ่ง ซึ่งมิใช่ชิงลี่สามปีมานี้ จางฉวนรับอนุเข้าบ้านถึงสี่คน และคนที่เดินเคียงข้างเขายามนี้คงเป็นคนที่ห้าระยะเวลาตลอดมาชิงลี่ตั้งครรภ์ให้จางฉวนแล้วสามครั้ง ทว่ากลับแท้งเส
เหมันต์หนาวเหน็บ แต่หัวใจกลับเย็นเยียบยิ่งกว่าคืนนั้นซานซานตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ว่าจักท่องหล้าพร้อมฝึกวิชาเหมือนที่ชอบทำรวดเร็วรวบรัด เดินทางฉับไว ปราศจากถ้อยคำอำลาใคร กระทั่งคนบ้านหานยังไม่มีใครรู้สักคนหากจางฉวนฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ววิ่งโร่ไปแจ้งทางการ หมายให้มือปราบมาจับกุมซานซาน ก็คงไม่ทันกาลแล้วริมลำธารแห่งเดิม ใต้ต้นสนโบราณร่างอรชรอ้อนแอ้นของซานซาน กำลังยืนนิ่งขรึมเด็ดเดี่ยวมั่นคง ด้านหลังมีเด็กน้อยในห่อผ้าสะพายหลัง แขนหนึ่งสะพายห่อผ้าของมีค่าและตั๋วเงินเอาไว้ มือข้างหนึ่งถือร่มกระดาษสีแดงชั่วอึดใจร่มคันนั้นก็ถูกหักดังกร๊อบทิ้งลงบนพื้น ตามด้วยกระทืบซ้ำอย่างโหดร้าย ปิ่นไม้ที่ปักผมยังถูกดึงออกจากเรือนผมอย่างไม่ไยดี หักเป็นสองท่อน สิ้นเยื่อใยไร้ไมตรีซานซานจัดการสิ่งของแทนใจอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ปลายเท้าบดขยี้จนแหลกเหลว แล้วจากไปอย่างเงียบงัน ไร้ซึ่งคำตัดพ้อใดๆแม่นางน้อยลู่หลิ่งกะพริบตามองมารดาอย่างไม่เข้าใจ นางเพียงอ้าปากเล็กๆ หาวสองครั้ง แล้วคอพับพริ้มตาหลับไปเนิ่นนานผันผ่าน กระทั่งแน่ใจว่าสองแม่ลูกลับตาไกลแล้ว อู๋เจี๋ยจึงค่อยๆ โผล่หัวออกมา เขาคุกเข่าก้มหน้าเอื้อมมืออันส
ตำแหน่งสูงส่ง รูปโฉมเป็นเอก บุรุษผู้หนึ่งมีสตรีทั่วเมืองหมายปอง หวังเกี่ยวดองนับไม่ถ้วน กลับถูกนางตรงหน้าลืมสิ้น“เจ้ากล้าลืมข้า...” เส้นเสียงยามเอ่ยฟังดูปวดใจไม่น้อยซานซานยิ้มเก้อกระดากปฏิเสธเสียงอ่อน “ก็ไม่เชิงเพคะ”ชายหนุ่มรู้สึกไม่ยินยอม แววตาคมดำยิ่งนานยิ่งร้อนแรง ร่างสูงจึงปักหลักนั่งบนเตียงไม่คิดขยับไปทางใด ฝ่ามือยังเอื้อมลงมาตบบนที่นอนเบาๆ หมายถึงคำสั่งมิอาจละเลย สตรีผู้เป็นรางวัลแห่งค่ำคืนย่อมต้องทำหน้าที่อันพึงมีบนเตียงนอนรัชทายาทหนุ่มเริ่มเอาแต่ใจ เผยความต้องการชัดเจน ดวงตาคมปลาบของเขาร้อนแรงมาก บ่งบอกเจตนารมณ์ได้ว่าคืนนี้เขามาด้วยจุดประสงค์ใดบุรุษสูงศักดิ์ก็เช่นนี้ พวกเขาสามารถปลดปล่อยอารมณ์กระสันตามวัยได้เต็มที่กับนางกำนัลหรือใครก็ตามได้ทุกเวลา โดยมิต้องแต่งงานเหมือนชาวชนบท และสำหรับซานซาน เรื่องที่ฮ่องเต้มอบนางให้เป็นรางวัลของเอกบุรุษเฉกเช่นรัชทายาท แท้จริงหาใช่เรื่องต้องคิดมากไม่สตรีผู้หนึ่งมิใช่คนดีอันใด ลูกก็มีแล้ว สามีก็ทิ้งขว้างเลิกรา ซานซานจึงไม่คิดเล่นตัวเยี่ยงคุณหนูผุดผ่อง หากอีกฝ่ายต้องการ นางก็ไม่คิดปฏิเสธ เพียงแต่ค่าตอบแทนต้องสูงมากหน่อยเท่านั้น ปรนนิ
ตำหนักฮุ่ยเยี่ยนถึงแม้งานเลี้ยงเลิกราไปนานแล้ว ล่วงเข้ายามดึกสงัดรอบด้านมืดสนิทมากแล้ว แต่ภายในเรือนพักยังมีห้องหนึ่งที่มีแสงเทียนสว่างเรืองรองซานซานใช้เวลาปักผ้าบนชุดให้ลู่หลิ่งเสร็จไปสองผืน จากนั้นก็เริ่มหยิบกระดาษมากางขึงตรงหน้าสายตาจ้องแน่นิ่งแล้วจรดปลายพู่กันเริ่มวางแผนการชีวิตอันซับซ้อนของตนด้วยเส้นสายระโยงระยางที่มีนางเข้าใจอยู่คนเดียวในกระดาษ เป็นข้อมูลเชิงลึกที่นางได้รู้จากหยุนผิง เกี่ยวกับเส้นสายขั้วอำนาจแห่งวังหลวงฮ่องเต้ต้าถังมีอำนาจหลักคือโซวอ๋องผู้มีกองกำลังในมือนับไม่ถ้วนเพื่อค้ำยันราชบัลลังก์ บริหารอำนาจราชสำนักผ่านตระกูลของพระสนมคนงามเต็มวัง องค์ชายอื่นๆ มีอำนาจจากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ใช้เล่ห์เสน่หาบุรุษเพื่อให้สตรีหนุนหลังในขณะที่ผู้อื่นมีอำนาจพร้อมพรั่งทั้งสุขสำราญเต็มที่ มีเพียงรัชทายาทที่มีอำนาจฝั่งมารดาอย่างหลี่กุ้ยเฟย และบารมีจากไพร่ฟ้าที่แผ่ไพศาลเกรียงไกร แต่ภายในตำหนักบูรพากลับปราศจากอิสตรี ไม่มีชายาเลยสักคนทั้งๆ ที่เขามีเสน่ห์มากล้น เป็นเอกบุรุษปานนั้น สมกับตำแหน่งจักรพรรดิโดยแท้ ทว่ากลับต้องทนเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้ซานซานอดมิได้ที่จักรู้สึกเป็นห่ว
“อาจารย์ได้โปรดกลับไปกับข้าเถิด เป็นประมุขนารีแดง" ซานซานขมวดคิ้วมุ่น ครุ่นคิดเคร่งเครียดก่อนปฏิเสธตามตรง “ข้ายังไม่มีเงิน ยังไม่สามารถเลี้ยงสมุนมากมายปานนั้น กำลังอยู่ในช่วงตั้งตัว เอาไว้ร่ำรวยเมื่อใดค่อยกลับไปแล้วกัน”เรื่องเงินถือเป็นปัจจัยสำคัญของพวกนักฆ่ารับจ้าง หาใช่ลาภยศชื่อเสียงเยี่ยงคนของวังหลวงไม่ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันสำนักในยุทธภพเหล่านี้ทำงานให้ชนชั้นสูงอยู่เงียบๆ รับเงินเป็นกอบเป็นกำเพื่อดำรงชีพ ทำงานลึกลับฝังตัวซ่อนเร้นให้องค์กรใต้ดินมาช้านานเมื่อได้รับคำปฏิเสธ หยุนผิงจึงมีสีหน้าเศร้าสลด อดคิดมิได้ว่า ควรเร่งหาเงินให้มาก อาจารย์จะได้กลับสำนัก นางเอ่ยเสียงเครือ “อาจารย์...เช่นนั้นข้าจะช่วยท่านเก็บเงินอีกทางหนึ่ง”“หืม...” ซานซานมองหน้าหยุนผิง พลางถามเสียงเรียบ “คงมิใช่เร่งสังหารเป้าหมายหรอกกระมัง”“แล้วจะให้ทำเช่นใดเล่า งานสำเร็จย่อมได้เงินมากโข”ซานซานหรี่ตาใคร่ครวญลึกซึ้ง ก่อนถามเสียงขรึม“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าถูกผู้มีอำนาจขู่บังคับให้ทำงานสังหารบุคคลสำคัญ ผู้ใดว่าจ้างให้มาสังหารใครรึ? ได้คุ้มเสียหรือไม่?”หยุนผิงมีสีหน้าลำบากใจยากเอื้อนเอ่ยซานซานนิ่งคิดใช้เวลาไตร่ตร
ซานซานปัดมืออีกฝ่ายออกจากไหล่ตนพลางเอ่ยเนิบช้า“ในเมื่อเจ้าล่วงรู้วิชาของข้า และข้าก็ล่วงรู้วิชาของเจ้า เกรงว่าสองเราคงเป็นศิษย์สำนักเดียวกันกระมัง”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ซานซานก็นิ่งคิดชั่วครู่ไม่ถูก! เคล็ดวิชานี้ เป็นนางที่คิดค้นไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว จะเป็นศิษย์สำนักเดียวกันได้อย่างไร นางควรเป็นอาจารย์ทวดของอีกฝ่ายถึงจะถูกต้อง!คิดเสร็จหญิงสาวก็โบกมือไม่ถือสา กล่าวเสียงเรียบว่า“เอาล่ะๆ นางมารเช่นเจ้ากล้าปลอมตัวเป็นนางรำเข้ามาในงานของวังหลวง คงถูกว่าจ้างมากระมัง จะสังหารใครรึ?”ประหนึ่งคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ หยุนผิงยิ่งอึ้งตะลึงงัน ปลายนิ้วสั่นเบาๆ เล็บแหลมคมเริ่มหดกลับเข้ามาในเนื้อ ผิวกายที่มีอักขระน่ากลัวค่อยๆ เลือนหาย ท้ายที่สุดนัยน์ตาสีแดงปานโลหิตก็ดำขลับเช่นเดิม เผยความงดงามหยาดเยิ้มดุจเดิมเพราะเคล็ดวิชาในตำนานมีเพียงอาจารย์ทวดต้นตำรับเท่านั้นที่สามารถล่วงรู้ได้ว่าวิชาที่ตกทอดเป็นเพียงหนึ่งในวิชาใดหยุนผิงคุกเข่ากระแทกพื้นเรียกซานซานเสียงสั่นเครือ “ท่านอาจารย์ทวด...”ถึงแม้จะทำใจเอาไว้แล้ว แต่หางคิ้วก็อดกระตุกมิได้ “เรียกเสียแก่เลยเชียว เรียกแค่อาจารย์หญิงก็พอกระมัง”หยุนผิงยืน
ค่ำคืนยาวนาน งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปจ้าวเหว่ยนั่งลงมองเพียงปลายนิ้วมือที่ไล้วนจอกเหล้าด้วยความเบื่อหน่ายอีกครั้ง รอเวลาอันเชื่องช้าเคลื่อนผ่านอย่างเงียบงัน ในใจคิดถึงแต่ใครบางคนอันเป็นรางวัลแห่งค่ำคืนและแล้วภายใต้ใบหน้าอันแสนจะเย็นชา รัชทายาทหนุ่มพลันได้แผนการใหม่ในการจัดการกับภรรยาในใจปรารถนาให้สิ้นสุดงานเลี้ยงโดยไวการเสวนาโต้ตอบระหว่างฮ่องเต้กับบรรดาขุนนางยังคงมีไม่ขาดสาย พร้อมเชื้อเชิญกึ่งท้าประชันฝีมือระหว่างตระกูลด้วยการนำเสนอความสามารถของบุคคลชั้นสูงคุณหนูแต่ละคนได้รับการสนับสนุนให้ออกมาแสดงฝีมือกลางลานกว้าง เปลี่ยนทุกการแสดงจากการมอบความสำราญเป็นแสดงความสามารถอันหาได้ยากยิ่งแทน มีทั้งการบรรเลงพิณ แต่งโคลงต่อกลอน และร่ายรำเมื่อการแสดงรอบนี้เป็นสตรีชั้นสูง กระทั่งการร่ายรำบิดเอวส่ายสะโพกจึงมิใช่เป็นการแสดงชั้นต่ำ อีกทั้งยังสูงส่งเทียมฟ้าทุกนางล้วนงดงามสะกดสายตา ยิ่งชาติตระกูลสูงศักดิ์ ยิ่งกลายร่างเป็นโฉมสะคราญหยาดฟ้าแต่ละนางอวดโฉมในด้านที่ดีที่สุดให้องค์รัชทายาทได้ยล พยายามดึงดูดเขาด้วยรูปโฉมและฝีมือในศาสตร์ทุกแขนงเวลาแห่งค่ำคืนค่อยๆ ดำเนินไปช้าๆ ระหว่างนั้นซานซานก็กล
บรรดาคุณหนูในงานต่างโล่งใจที่เป็นซานซาน เพราะสตรีผู้นี้ย่อมไม่อาจได้รับสิทธิ์ปีนเตียงรัชทายาท หรือต่อให้ร่วมวสันต์จริง ก็ยังต้องเป็นได้แค่สาวใช้อุ่นเตียงไร้ค่า บนแท่นประทับ โอรสสวรรค์ยังคงแย้มพระสรวลน้อยๆ พระองค์ตรัสแล้วย่อมไม่อาจคืนคำ ในเมื่อประกาศแล้วว่าจะมอบรางวัลให้บุตรชาย ก็ควรต้องเป็นไป “เช่นนั้น เจ้า...” ฮ่องเต้ชี้นิ้วไปทางซานซาน “รั้งอยู่...”เบื้องหน้าคือองค์จักรพรรดิผู้มีอำนาจล้นฟ้า ถัดมายังเป็นองค์รัชทายาทผู้สูงส่ง รอบด้านยังมีแต่ชนชั้นสูงศักดิ์ ซานซานที่เป็นสตรีผู้น้อยต้อยต่ำมีหรือจะปฏิเสธได้ หญิงสาวจึงยอบกายแนบพื้นน้อมรับเสียงเบา มิอาจเป็นอื่นสิ้นคำตรัสฮ่องเต้ จ้าวเหว่ยเพียงตอบรับเสียงเรียบ “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”ครานี้หลี่กุ้ยเฟยคลายหัวคิ้ว ยกยิ้มงาม เพราะเป็นซานซานย่อมดีกว่านางรำแปลกหน้า คนกันเองทั้งนั้น ไว้ใจได้เหตุที่หลี่ฮุ่ยเยี่ยนไว้ใจซานซานมิใช่เพียงแค่นั้น แต่เป็นเพราะซานซานชอบเพียงเงินทอง ไม่ฝักใฝ่อำนาจ ไม่เป็นอันตรายต่อตำแหน่งรัชทายาทของจ้าวเหว่ยแน่นอนปราศจากเสียงคัดค้าน มีเพียงสายตายอมรับได้ รอบด้านมิได้ริษยาซานซานเทียบเท่าหยุนผิงที่งามเลิศล้ำ สายตาคล้าย
บนแท่นประทับมังกร ฮ่องเต้ตรัสกับขันทีด้านหลัง“พาแม่นางฮวาไคไปพำนักในห้อง รอพาตัวเข้าวังบูรพา”ขันทีค้อมกายน้อมรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ”ถ้อยวาจาเหล่านี้ยังคงเรียกรอยยิ้มบางเบาให้ประดับบนใบหน้าหล่อเหลาของจ้าวเหว่ยเช่นเคย เขาลุกขึ้นยืนประสานมือแล้วเอ่ยกับพระบิดาทันที“ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพึงใจกับรางวัลในค่ำคืนนี้ เพียงแต่สตรีที่ปรบมือให้ หาใช่แม่นางผู้นั้นไม่ รางวัลก็ควรเปลี่ยนไป เป็นนางผู้นี้”ฮ่องเต้ขมวดพระขนง ปรายพระเนตรมองบุตรชาย “หืม?”โซวอ๋องชะงักนิ่ง หยุนผิงยอบกายแข็งค้างจ้าวเหว่ยเน้นอีกครั้งปรายสายตาไปทางซานซาน“เป็นนางพ่ะย่ะค่ะ”ยามนั้นทุกคนถึงได้สังเกตเห็นซานซานที่เดิมทีคล้ายวิญญาณ ประหนึ่งหมอกควันที่เห็นเพียงเลือนลางเวลาก่อนหน้านี้นับว่าเนิ่นนานทีเดียวที่หญิงสาวถูกความงามของหยุนผิงบดบังเอาไว้จนมิดชิดนางแค่อยู่ตามธรรมเนียมเพื่อรอรับรางวัล มิคาดฝันว่าจักกลายเป็นรางวัลเสียเอง...โซวอ๋องให้นึกกังขา จึงปรับสีหน้าตึงเครียดให้ราบเรียบดุจเดิมพลางเอ่ยด้วยเสียงทุ้มนุ่มเผยแววหยอกเอินว่า“การแสดงชุดใหญ่เพียงนี้ เหตุใดนางถึงได้รับความชอบเพียงผู้เดียวเล่า มีสิ่งใดพิเศษกระนั้
การตกอยู่ในภวังค์เช่นนี้ราวกับเป็นเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึก โดยมีซานซานทำตัวคล้ายหมอกมารไอปีศาจไร้ตัวตน นางคอยควบคุมบงการทุกคนได้อย่างเหนือชั้น ไร้ใครสังเกตและต้านทาน เครื่องมือคือหยุนผิงผู้โดดเด่นและนางรำทั้งหลายที่งดงามพร้อมครอบครองดลบันดาลเนิ่นนานผ่านไปเสียงพิณค่อยๆ แผ่วจาง แล้วหยุดลงในที่สุด ทุกคนพลันบังเกิดความรู้สึกนึกคะนึงหา มิอาจแยกจาก หากเพลงพิณรุนแรงกว่านี้เกรงว่าพวกเขาคงน้ำตาไหลพรากทว่าเมื่อได้สติกลับคืนปรากฏว่านางรำสิบกว่าคนกำลังพากันทยอยกรีดกรายจากไปคล้ายหมู่ภมรอิ่มน้ำหวานกลับถิ่น พริบตาคงเหลือเพียงมือพิณสองนางยอบกายแนบพื้นนอบน้อมตามธรรมเนียมปฏิบัติของแคว้นต้าถัง ผู้ดีดพิณย่อมอยู่ต่อเพื่อรอรับรางวัลจากผู้ชมชั่วขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในภวังค์ต้องมนต์จนเงียบงัน ยามนั้นองค์รัชทายาทพลันได้สติกลับมาคนแรกชายหนุ่มคล้ายหลุดจากท่าทีสุขุมนุ่มลึกอันเย็นชาถึงกับลุกขึ้นยืนแล้วปรบมืออย่างช้าๆ เผยสีหน้าชื่นชมอารมณ์ดี ท่าทางประหนึ่งถูกครอบงำตราตรึงจากบางสิ่งจ้าวเหว่ยผู้ไม่เคยให้ความสนใจในการแสดงครั้งใดกลับแสดงว่าชมชอบการแสดงชุดนี้จนออกนอกหน้า ทุกคนจึงได้รู้ตัวได้สติกลับคืนมา
ยิ่งคิดเรียวคิ้วบุรุษยิ่งขมวดมุ่นจนเป็นปมยากคลายตัว ขัดแย้งกับบรรยากาศอันแช่มชื่นรอบกายเต็มทีหากปล่อยให้ซานซานเข้าใจผิดเรื่องเหย่หนิวต่อไป บางทีอาจจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย อย่างน้อยนางย่อมไม่ถูกเพ่งเล็ง ทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากเสด็จแม่ต่อไปให้อู๋เจี๋ยได้รับผลกรรมเป็นเหย่หนิว ถูกซานซานเกลียดชัง ถูกคนรักเข้าใจผิดมหันต์ไปเช่นนั้น รอจนกว่าซานซานหายโกรธ เขาย่อมปล่อยอู๋เจี๋ยออกมาส่วนตัวเขาก็จะกลายเป็นชายหนุ่มคนใหม่ที่เข้าหานาง เป็นรัชทายาทสูงศักดิ์ผู้เพียบพร้อม เหนือชั้นกว่าเหย่หนิวทุกอย่างส่วนหลิ่งเอ๋อร์ก็เป็นองค์หญิงตัวน้อยช่วยกุมหัวใจของเสด็จแม่อยู่อีกทางให้เวลาบ่มเพาะความรักขึ้นมาใหม่แอบคบหากันไปก่อน รอกระทั่งเขาได้ขึ้นครองราชย์ มีอำนาจสิทธิ์ขาดค่อยว่ากันภายใต้สีหน้าราบเรียบเฉยชาไร้อารมณ์ รัชทายาทหนุ่มยิ่งคิดยิ่งร้อนรุ่มดังมีไฟสุมอยู่ในทรวงอก จนเลือดเดือดพล่าน เพราะเรื่องแรกที่เขาคิดการณ์ คือต้องจัดการซานซานให้ได้ก่อนดูเถิดว่าเขาจะเกี้ยวนางได้หรือไม่?ขณะที่จ้าวเหว่ยได้ข้อสรุปที่เรียกได้ว่าชั่วร้ายเพื่อภรรยา เสียงปรบมือเปิดงานด้วยการแสดงจากหอนางรำเลื่องชื่อก็เริ่มขึ้นสตรีงดงาม