แน่นอนว่ายามฝึกลมปราณย่อมต้องนั่งทำสมาธิสำรวมจิตใจในห้องหับปิดสนิทของเรือนส่วนตัว
แต่ยามฝึกออกกระบวนท่าฟาดดาบสาดอาวุธย่อมต้องออกไปฝึกนอกสถานที่อันโล่งกว้าง ซานซานจึงไม่คิดทิ้งบุตรสาวเอาไว้ที่บ้าน นางตัดสินใจหอบลูกไปฝึกยุทธด้วย
ทุกวันจากนั้น หญิงสาวจึงห่อตัวบุตรสาวด้วยผ้าฝ้ายไว้บนแผ่นหลัง ลอบออกจากบ้านหานไปริมลำธาร
ซานซานทำท่านั่งตกปลาบ้าง ทำเป็นนั่งนิ่งหน้าเศร้าคิดถึงสามีบ้าง เมื่อปลอดสายตาจากผู้อื่นที่มาหาปลาอยู่ไกลๆ ก็จะแอบไปฝึกฝนร่างกายอย่างร่าเริงภายในหุบเขาลึก
ชาวบ้านที่เห็นนางล้วนเข้าใจว่าพาบุตรสาวไปเยี่ยมศพสามีหาได้มีเหตุผลอื่นใดไม่
สาเหตุที่ซานซานแอบฝึกในป่าลึกมิให้ผู้ใดสังเกตเห็นก็เพราะสตรีนามชิงหลินที่ชาวบ้านรู้จักเป็นเพียงคนอ่อนแอผู้หนึ่ง จู่ๆ ลุกขึ้นมาฝึกวิทยายุทธย่อมเรียกร้องความสนใจสงสัยและเคลือบแคลงใจหรือที่แย่ยิ่งกว่าอาจถูกหวาดระแวงอย่างบ้าคลั่ง
หญิงสาวจึงตัดไฟแต่ต้นลม ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อไร้ผู้ค้นพบ ย่อมปราศจากเรื่องยุ่งยากรำคาญใจ
ซานซานจึงฝึกหนักในป่าใหญ่ได้อย่างโล่งสบายหายห่วง ยิ่งยามยกแขนฟาดขาตีลังกาแล้วหันหน้าไปเจอบุตรสาวตัวน้อยกำลังมองมาทางตน พร้อมหัวเราะเสียงใส ตบมือแปะๆ คล้ายพบเจอเรื่องแปลกใหม่ก็ยิ่งเบิกบานใจในการฝึกฝน ชั่วขณะนั้นนางพลันลืมสามีที่เฝ้าคะนึงหาไปสิ้น ซานซานในยามนี้รู้สึกว่าเป็นสตรีผู้มีความสุขที่สุดในใต้หล้า
รอยยิ้มของบุตรสาวไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
.
.
.
วังหลวงยังคงเยียบเย็นดังเช่นปกติ ทว่าการประชุมยามเช้าในท้องพระโรงกลับเดือดระอุไม่เว้นสักวัน
คนนั้นยื่นฎีกาแจ้งเหตุ คนนี้ยื่นฎีกาฟ้องร้อง ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์เบาๆ ให้ทุกฝ่ายหยุดวาจา ก่อนตรัสถามความเห็นของขุนนางแต่ละคน ยังไม่ลืมให้โอรสแต่ละองค์แสดงความสามารถ และที่โดดเด่นที่สุดยังคงเป็นจ้าวเหว่ยผู้ครองตำแหน่งรัชทายาท
“กระหม่อมขออาสาออกไปปัดเป่าบรรเทาทุกข์ภัยของชาวประชา ทั้งเรื่องน้ำท่วมและแผ่นดินไหว พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อประโยคนี้ของบุรุษหนุ่มหลุดออกมา นำพาให้เหล่าข้าราชบริพารพากันสนอกสนใจจ้าวเหว่ยเป็นพิเศษ
เพราะก่อนหน้านี้แว่วได้ข่าวมาว่า ฮ่องเต้มีพระประสงค์จะผูกสัมพันธ์กับคุณหนูตระกูลหนึ่งผ่านองค์รัชทายาท เพียงแต่เรื่องสานไมตรียังไม่ทันได้ดำเนินการ กลับมีฎีการ้องเรียนถึงความทุกข์ยากของประชาราษฎร์เข้ามามากมายไม่ขาดสาย
แน่นอนว่าคนเป็นเชื้อพระวงศ์ย่อมไม่อาจนิ่งดูดายต่อชาวประชา
ความเป็นอยู่ของไพร่ฟ้าย่อมสำคัญยิ่งกว่าเรื่องบนเตียง
หลังการประชุมสิ้นสุด จ้าวเหว่ยก็เร่งกลับเข้าตำหนัก เพื่อเตรียมตัวเดินทางไกลประหนึ่งลี้ภัย
ไม่มีใครรู้ว่า ฎีกาเหล่านั้นล้วนเป็นฝีมือของจ้าวเหว่ย ที่ต้องการปฏิเสธวิถีสานไมตรีกับคุณหนูของพระบิดา
ชายหนุ่มเลือกที่จะออกนอกวังไปดูแลประชาชนดีกว่าถูกจับแต่งงานกับเหล่าสตรี
ระหว่างทางเดินผ่านตำหนักในที่ตกแต่งอย่างประณีตวิจิตร ร่างสูงพลันชะงักเมื่อมีสาวงามสองนางพุ่งร่างระหงอ้อนแอ้นออกมาตรงหน้า
คนหนึ่งคือคุณหนูสูงส่งของตระกูลขุนนางที่ได้รับอภิสิทธิ์เข้ามาเป็นเพื่อนเล่นกับราชนิกุลกับอีกหนึ่งคือองค์หญิงผู้เป็นน้องสาวต่างมารดา
จ้าวเหว่ยพลันหรี่ตา ใบหน้าไร้อารมณ์ สายตาเผยความเย็นชา ไว้เนื้อถือตัว ทั้งกดข่มผู้คน มิให้เข้าใกล้
คุณหนูผู้เผยโฉมเบื้องหน้าเขาอย่างหาญกล้ากำลังทำท่าคล้ายถูกรังแก นางก้มหน้าเขินอาย พวงแก้มแดงระเรื่อเปล่งปลั่งราวผลท้อสุก เรือนร่างอรชรงามงอนสวมชุดสีอ่อนสุภาพ ทว่ากลับเผยลำคอเว้าลึกเย้ายวน เห็นเนินอกรำไร
ท่ามกลางอุทยานงดงาม ระหว่างสายตาบุรุษหนุ่มที่จ้องมองกับคุณหนูสูงส่งผู้ยั่วยวนองค์หญิงที่มาด้วยรีบเอ่ย “พี่ใหญ่ น้องมีสหายผู้งดงามแนะนำให้รู้จักเพคะ นางมีนามว่า...”ไม่รอให้ใครพูดจบ จ้าวเหว่ยก็เบี่ยงกายออก หลบฉากด้วยตนเอง แล้วเดินจากไป ไร้ซึ่งเยื่อใยแม้เพียงบางเบาองค์หญิงตกใจชะงักค้าง จากนั้นพลันสะบัดกระโปรงฮึดฮัดไม่พอใจ “พี่ชายข้าช่างเย่อหยิ่งถือตัวนัก แม้แต่ชายผ้ายังยากจะเข้าถึง”คุณหนูคนเดิมเม้มกลีบปากจนแดงช้ำ ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกบิดเป็นเกลียวแน่นจนนิ้วเปลี่ยนสี นางเอ่ยเสียงเบาราวแมลงบินผ่านด้วยความอับอาย “องค์หญิงทรงตั้งความหวังกับข้ามากเกินไป เกรงว่าจะทำให้พระสนมจางผินผิดหวังแล้ว”องค์หญิงสะบัดเสียง “เฮอะ! ทำเป็นอ้างเสด็จแม่ เจ้ามิใช่หลงใหลพี่ชายผู้หล่อเหลาสง่างามเพียงแรกพบหรอกรึ? หากไม่พยายามเข้าหา แล้วเมื่อใดจะได้เคียงข้างเล่า”“แต่ว่า...”“ไปเถิด ตามรัชทายาทไป อย่าให้คลาดสายตา”“ไม่เอา...”“อายทำไมเล่า”“ไม่...” แม้ปากปฏิเสธ แต่เท้ากลับก้าวเดินเร็วรี่นางกำนัลติดตามขมวดคิ้วแน่น ค่อยๆ เดินออกมาเบื้องหน้าเจ้านายสาว ทำทีขัดขวางแบบแนบเนียน ในใจนึกอยากเอาตำราสอนหญิงให้แม่นางทั้งสอง
เมื่ออู๋เจี๋ยรายงานจนหมด จึงบังเกิดความสงสัยแคลงใจอย่างล้นเหลือ ว่าสตรีธรรมดาเหตุใดจึงลุกขึ้นมาฝึกกระบี่ฟาดดาบได้ หรือว่าคิดถึงสามีจนเกินไป แล้วบังเอิญพบเจอคัมภีร์ฝึกยุทธ์เข้าอืม...ย่อมเป็นได้เมื่อได้ข้อสรุปให้ตนเอง อู๋เจี๋ยจึงบังอาจเสนอความคิดกับเจ้านาย “ในเมื่อนางสุขสบายไร้กังวล ทั้งเปี่ยมกำลังวังชาปานนั้น องค์ชายย่อมปฏิบัติราชกิจได้อย่างไร้กังวลเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”ปลายนิ้วเรียวยาวของบุรุษหนุ่มไล้วนที่ขอบถ้วยน้ำชาอย่างใช้ความคิด จ้าวเหว่ยพลันหรี่ตา เอ่ยเสียงเนิบช้า “พี่น้องของข้าแต่ละคน ต่างพากันแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลน้อยใหญ่ไม่ขาดสาย เดินหมากกับขั้วอำนาจอย่างสนุกสนาน แต่ข้าไม่ประสงค์จะลงเล่นด้วย การใช้อำนาจจากสตรีมิใช่วิสัยของข้า มีเพียงต้องเข้าถึงพลังประชาชนเท่านั้นถึงจะพอยืนหยัดในที่สว่างได้ ไพร่ฟ้าย่อมต้องจดจำข้า และยิ่งต้องจารึกในจิตใจว่าข้าคือองค์รัชทายาท เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรที่แท้จริง หากใครคิดโค่นล้มย่อมต้องผ่านความเห็นชอบของพวกเขาก่อน”อู๋เจี๋ยรับฟังอย่างสงบ นึกยอมรับความสามารถของเจ้านายอยู่เงียบๆ ทั้งยังนับถือน้ำพระทัยอันมีค่าของอีกฝ่ายจากใจจริง คิดไปคิดมา
เหมันต์ผ่านมาอีกครั้ง ยามนี้บุตรสาวอายุครบปีแล้ว“หลิ่งเอ๋อร์ ชอบให้แม่ใช้วิชาตัวเบาลอยขึ้นไปหรือไม่?”สิ้นคำถาม เด็กน้อยก็หยักหน้าตบมือยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กๆ กับลิ้นสีชมพูน่ารัก นางกอดคอมารดาแนบแน่นซานซานอดใจมิได้ที่จะหอมแก้มกลมๆ ขาวๆ ของลู่หลิ่ง[1]หนักๆ อย่างเอื้อเอ็นดู จนเด็กน้อยหัวเราะเสียงดังกังวานสดใสหญิงสาวสะกิดปลายเท้ากับยอดหญ้า แล้วทะยานกายว่องไวแต่พลิ้วไหวดังสายลม ลอยละลิ่วไปตามยอดไม้ทั่วหุบเขา ล้อเล่นกับแสงแดดที่เสียดแทงหมู่เมฆาลงมาไม่ขาดสายเด็กสาวตัวน้อยไม่เคยกลัวความสูง แต่กลับชอบใจ หัวเราะเสียงดังยิ่งกว่าเก่า สองแขนยกขึ้นสองมือกางออกตีลมอย่างสนุกสนาน ซานซานกอดลูกไว้แนบอก พุ่งทะยานราวอินทรีย์ผยองเกล้าผงาดกล้า ...วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วจากหนึ่งปีเป็นสองปีนับตั้งแต่ซานซานคลอดบุตรสาว ได้ยินเสียงอ้อแอ้สดใสเสนาะโสต ได้เฝ้ามองแม่นางน้อยเติบใหญ่ในทุกวัน ได้ป้อนนมป้อนข้าว ได้หยอกล้อทุกเช้าค่ำ ความเหงาเดียวดายจึงมลายหายไปสิ้นทั้งนี้ นางยังฝึกวิชามารสมใจปรารถนา คิดว่าใช้เวลาเพียงไม่นานเท่านั้นก็คงสำเร็จโดยง่ายไม่รู้ว่ากำลังภายในเลิศล้ำที่โคจรทั่วร่างเสมือนตายแล้ว
ซานซานนิ่งอึ้งหลังอ่านเป็นรอบที่สิบ ฝ่ามือพลันบีบแน่น ม่านตาดำพลันหดแคบ ความเจ็บแปลบสายหนึ่งพุ่งปราดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจหญิงสาวไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า จะมีศาสตราวุธใดในใต้หล้าที่จะทำร้ายกันได้ฉับพลันถึงเพียงนี้ทั้งแปลกใหม่และร้อนระอุสิ้นดี ถ้อยวาจาตัดสัมพันธ์ไม่กี่ประโยคในกระดาษ เหตุใดถึงบาดใจผู้คนจนปวดหนึบชาวาบ ลมหนาวที่พัดผ่านราวกับกำลังกรีดลงบนใบหน้า พอยกมือขึ้นปาดถึงได้รู้ว่าสองข้างแก้มมีน้ำตาเปรอะเปื้อนเสียแล้วสายลมนั้นโชยแผ่ว ทั้งอ่อนจางและบางเบา ทว่ากลับสะท้านสะเทือนเหน็บหนาวราวกับยืนเคว้งบนยอดภูเขาน้ำแข็งซานซานรู้สึกอ่อนแรงเป็นครั้งแรก โดดเดี่ยวเดียวดายสุดประมาณ ความรู้สึกสิ้นหวังนี้ ร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งที่คิดว่าสามีตายแน่นอนว่าเมื่อนางรู้ว่าแท้จริงเขามิได้ตาย ตลอดเวลาเกือบสามปี นางจึงรอคอยเขาให้กลับมานางพาลูกน้อยเฝ้ารอเขาเงียบๆ อย่างยินดี...แต่ยามนี้...จดหมายสะบั้นรักนี่!เนิ่นนานทีเดียวกับการพยายามระงับใจมิให้เต้นแรงหรือสั่นไหวจนเกินไป เพียงปล่อยให้ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาสายหนึ่งอย่างเรียบง่ายหญิงสาวก้มมองหลุมตรงหน้า พิจารณาเงียบงันนี่คือที่ซ่อนเงินขอ
บนถนนดินดำ สองข้างทางมีดอกไม้บานสะพรั่ง สลับกับต้นไม้ร่มรื่นความสดชื่นสองข้างทางยังคงดุจเดิม ทว่าซานซานกลับรู้สึกอึมครึมอย่างประหลาด รอบด้านคล้ายมีเมฆดำมืดปกคลุมหญิงสาวห่อหุ้มลูกน้อยด้วยผ้าฝ้ายอบอุ่นไว้บนแผ่นหลัง พาแม่นางน้อยเดินกลับบ้านหานภายใต้ร่มกระดาษสีแดงคันเก่า ซึ่งบัดนี้ด้ามที่เคยเขียวสดแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองแห้งกร้าน เส้นผมม้วนเอาไว้แบบสตรีออกเรือน ปักเพียงปิ่นไม้อันเดิมที่สามีมอบให้ หากแต่ความรู้สึกของนางยามนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปท่ามกลางทางเดินทอดยาว สองฝั่งเงียบสงัด ห่างไกลบ้านเรือนผู้คน เด็กน้อยลู่หลิ่งหลับนิ่งอยู่ตรงแผ่นหลังซานซานย่างเดินด้วยฝีเท้าเงียบกริบ แววตานิ่งสงบราวทะเลลึก ทั้งราบเรียบทั้งเร้นลับ พลันนั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทักทาย“หลินเอ๋อร์...”ผู้ถูกเรียกขานเพียงปรายหางตามอง เห็นเป็นบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ดุจบัณฑิตเจ้าสำราญเขาคือจางฉวนกำลังเดินมากับสตรีงดงามนางหนึ่ง ซึ่งมิใช่ชิงลี่สามปีมานี้ จางฉวนรับอนุเข้าบ้านถึงสี่คน และคนที่เดินเคียงข้างเขายามนี้คงเป็นคนที่ห้าระยะเวลาตลอดมาชิงลี่ตั้งครรภ์ให้จางฉวนแล้วสามครั้ง ทว่ากลับแท้งเส
เหมันต์หนาวเหน็บ แต่หัวใจกลับเย็นเยียบยิ่งกว่าคืนนั้นซานซานตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ว่าจักท่องหล้าพร้อมฝึกวิชาเหมือนที่ชอบทำรวดเร็วรวบรัด เดินทางฉับไว ปราศจากถ้อยคำอำลาใคร กระทั่งคนบ้านหานยังไม่มีใครรู้สักคนหากจางฉวนฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ววิ่งโร่ไปแจ้งทางการ หมายให้มือปราบมาจับกุมซานซาน ก็คงไม่ทันกาลแล้วริมลำธารแห่งเดิม ใต้ต้นสนโบราณร่างอรชรอ้อนแอ้นของซานซาน กำลังยืนนิ่งขรึมเด็ดเดี่ยวมั่นคง ด้านหลังมีเด็กน้อยในห่อผ้าสะพายหลัง แขนหนึ่งสะพายห่อผ้าของมีค่าและตั๋วเงินเอาไว้ มือข้างหนึ่งถือร่มกระดาษสีแดงชั่วอึดใจร่มคันนั้นก็ถูกหักดังกร๊อบทิ้งลงบนพื้น ตามด้วยกระทืบซ้ำอย่างโหดร้าย ปิ่นไม้ที่ปักผมยังถูกดึงออกจากเรือนผมอย่างไม่ไยดี หักเป็นสองท่อน สิ้นเยื่อใยไร้ไมตรีซานซานจัดการสิ่งของแทนใจอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ปลายเท้าบดขยี้จนแหลกเหลว แล้วจากไปอย่างเงียบงัน ไร้ซึ่งคำตัดพ้อใดๆแม่นางน้อยลู่หลิ่งกะพริบตามองมารดาอย่างไม่เข้าใจ นางเพียงอ้าปากเล็กๆ หาวสองครั้ง แล้วคอพับพริ้มตาหลับไปเนิ่นนานผันผ่าน กระทั่งแน่ใจว่าสองแม่ลูกลับตาไกลแล้ว อู๋เจี๋ยจึงค่อยๆ โผล่หัวออกมา เขาคุกเข่าก้มหน้าเอื้อมมืออันส
แท้จริงแล้วรัชทายาทหนุ่มก็พอจะคาดเดาได้ว่าสตรีเช่นซานซานมิใช่ภรรยาธรรมดาที่จักอดทนรอสามีที่ทอดทิ้งไปเยี่ยงคนโง่เขลาหากนางไม่ออกตามหาเขาด้วยตนเองก็อาจจะเปลี่ยนใจหาสามีใหม่อย่างที่อู๋เจี๋ยรายงานจริงๆแน่นอนว่าคนผิดหาใช่ภรรยาอย่างซานซาน แต่เป็นเพราะตัวเขาเองที่เป็นสามีไร้ความสามารถเกินไปเกิดเป็นราชนิกุลสูงศักดิ์แบกภาระหนักอึ้งจึงไม่อาจอยู่ข้างกายนางดังใจหมาย อันตรายรอบด้านยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเนิ่นนานเลยทีเดียว กว่าริมฝีปากสีแดงจะขยับแค่นเสียงออกมาได้ “ทั้งๆ ที่รอข้าอย่างสงบสุข จู่ๆ กลับหายตัวไปหรือ?” จ้าวเหว่ยหรี่ตาเอ่ยอย่างเย็นชา “ทั้งยังอยากมีสามีใหม่อีกด้วย”อู๋เจี๋ยคุกเข่าหนึ่งข้างประสานมือค้อมศีรษะตอบรับ“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมควานหาตัวนางอยู่เป็นนาน ก็ยังไม่อาจพบพาน ก่อนกลับมารายงานต่อท่านยังออกตามหาอยู่ทุกวัน ไม่หลับไม่นอน กระทั่งร้อนใจกลับมารายงานองค์ชายก่อน”ยิ่งเอ่ยเสียงก็ยิ่งเบา ลำตัวสั่นเทานัก อู๋เจี๋ยอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้แดดิ้นสิ้นใจตายห้องหรูหราสุดวิจิตรพลันตกอยู่ในความเงียบสงัดประดุจสุสาน หลังจากนิ่งเงียบเป็นนาน บุรุษสูงศักดิ์จึงเริ่มมีปฏิกิริยาแววตาของจ้าวเหว่ยค่อยๆ แป
สองปีผ่านไป จะว่านานก็นาน จะว่าสั้นก็สั้น ภพชาตินี้ที่มาเยือน นับได้ก็สี่ปีเกือบเข้าปีที่ห้าแล้วซานซานในร่างชิงหลินยามนั้นอายุสิบห้าย่างสิบหก ผ่านมาจวบจนปีนี้จึงอายุได้ยี่สิบเอ็ดปีเต็มแล้วหญิงสาวพาธิดาตัวน้อยท่องหล้า ทั้งฟื้นฟูพลังปราณจนแข็งแกร่ง ทั้งฝึกฝนวิชายุทธ์จนแตกฉานภายในเวลาแค่ไม่นาน โดยไม่ต้องมีอาจารย์คอยสอนสั่ง เพราะว่าทุกสิ่งล้วนซึมลึกอยู่ในสมองจนตรึงแน่นไปถึงไขกระดูกตั้งแต่ชาติที่แล้วตัวนางกาลก่อนเป็นถึงประมุขหญิงผู้ยิ่งใหญ่แห่งใต้หล้า ทั้งเป็นเจ้าสำนักเซียนหย่งสือ ดูแลมือสังหารและนักฆ่ามากมาย ทำงานลึกลับฝังตัวซ่อนเร้นให้องค์กรใต้ดินมาช้านานนางจึงแตกฉานวิชามารดั้งเดิมได้โดยง่าย ฝ่ามือมรณะ วิชาหมื่นพิษ วิชาไอมาร ปราณเทพสังหาร เคล็ดวิชานารีพิฆาต ไสยเวทย์มนต์ดำอำมหิต ทั้งยังแปรสภาพทุกสิ่งเป็นอาวุธสังหาร เรียกได้ว่ามีความสามารถรอบด้าน คืออัจฉริยะด้านวิทยายุทธอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่า ยังมิเคยได้นำมาใช้เป็นเรื่องเป็นราว ลูกสมุนเช่นกาลเก่าก็ไม่มี ยังดีที่แผ่นดินต้าถังช่างสงบสุขยิ่งนักหมู่บ้านหรือเมืองต่างๆ ที่พวกนางสองแม่ลูกเดินทางผ่าน มักจะมีเรื่องราวขององค์รัชทายาทหนุ่มรูป
ถึงแม้ว่าผิวเนื้อกระดาษจะต่างกัน เพราะแผ่นหนึ่งเป็นกระดาษตำหนักใน แผ่นหนึ่งเป็นกระดาษส่งสาร หากแต่ลายมือเหมือนกันยิ่ง “ไม่ผิด! ลายมือเดียวกัน”หลี่กุ้ยเฟยกับยี่ซินเอ่ยปากพร้อมเพรียง ยามนี้ไม่มีใครสนใจคำรายงานบนกระดาษเรื่องรัชทายาทเลยซานซานเอ่ยพึมพำ แววตาคมกริบ สาดประกายข่มขวัญ “ที่แท้ เหย่หนิวของข้า ก็คือองครักษ์ของรัชทายาทรึ?” “เขาคงปลอมตัวไปทำภารกิจลับกระมัง” ยี่ซินช่วยพินิจ“เป็นไปได้...” หลี่กุ้ยเฟยยังร่วมวิเคราะห์ซานซานได้ข้อสรุปทันที“เป็นถึงคนสนิทของรัชทายาท สกุลย่อมใหญ่โตไม่ธรรมดา เบี้ยหวัดยิ่งได้มากโข จะเลี้ยงดูภรรยาสักคนมิได้เชียวรึ? จำต้องทิ้งลูกเลยหรือไร? ข้าขอไปดูหน้าสักหน่อยเถิด”จบคำก็ลุกขึ้นทันใด ยังไม่ลืมทำความเคารพหลี่กุ้ยเฟย แล้วเดินออกจากห้องไปเลยเพราะที่ผิงเหยียน สามีใช้วิชาแปลงโฉม ซานซานจึงไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ครานี้นับเป็นโอกาสอันดีได้เห็นหน้าชายชั่วเต็มสองตา!ท่าทางตรงไปตรงมาและไร้จริตมารยาของซานซาน แม้จะแตกต่างจากมารยาทอันพึงปฏิบัติของข้าหลวงในวังไปบ้าง ทว่าหลี่กุ้ยเฟยไม่เคยถือสา ทั้งยังชมชอบที่นางเป็นเช่นนี้หากเปรียบเทียบระหว่างสนมของฮ่อง
ภายในห้องพักผ่อนของหลี่กุ้ยเฟย ซานซานตั้งใจจัดดอกไม้ใส่แจกันหยกอย่างสวยงามที่สุดเพื่อมอบให้หลี่กุ้ยเฟย หวังประจบเอาใจ หมายมาดขึ้นแสดงเพลงพิณในงานเลี้ยงวันนี้“เจ้าดีดพิณเป็นด้วยหรือ?”หลี่กุ้ยเฟยถามเสียงเบามาก เพราะนั่งอยู่ที่โต๊ะทรงเตี้ยริมหน้าต่าง โดยมีเด็กน้อยลู่หลิ่งเล่นจนเหนื่อยฟุบหลับเป็นก้อนกลมอยู่ข้างๆ ใบหน้านุ่มนิ่มแดงเรื่อมีดวงตาที่กำลังหลับพริ้ม ปากจิ้มลิ้มสีชมพูคล้ายเคี้ยวขนมตุ้ยๆ อยู่ในฝันอย่างมีความสุข พระนางจึงไม่ประสงค์พูดคุยเสียงดังซานซานตอบกลับเสียงเบาเช่นกัน “หม่อมฉันพอมีฝีมืออยู่บ้างเพคะ” นางนั่งปักดอกไม้ใส่แจกันอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของหลี่กุ้ยเฟยยี่ซินที่คอยปรนนิบัติรับใช้หลี่กุ้ยเฟยอยู่อีกฝั่งถามอย่างตรงไปตรงมา “สตรีที่ขึ้นแสดงล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์เดียวกัน ตัวเจ้ามีลูกแล้ว ผ่านการมีสามีแล้ว จักขึ้นแสดงทำไม?”ซานซานตอบกลับเสียงนุ่ม ซ่อนแววเจ้าเล่ห์มิดชิด“ใบหน้าของข้าอาจไม่งามเท่าใครเขา ไม่สูงส่ง ไม่ยั่วยวน แต่ขอแค่ได้ขึ้นแสดงเถิด เงินรางวัลย่อมไม่พลาด ข้าจะนำมาแบ่งปันให้พี่ซินด้วย”ยี่ซินขมวดคิ้วมุ่น “มั่นใจปานนั้น”“แน่นอน”หลี่กุ้ยเฟยอดมิได้ต้องคลี่ยิ้ม
ฤดูร้อนผ่านพ้นจนล่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงอีกไม่นานย่อมเยียบย่างฤดูใบไม้ผลิหลายเดือนมาแล้วที่ซานซานตัดสินใจพาลู่หลิ่งออกจากถ้ำแล้วติดตามหลี่กุ้ยเฟยโดยเลือกเป็นเพียงนางกำนัลคนสนิทนางปล่อยอาหู่อยู่ในถ้ำ ไม่คิดพรากสัตว์ร้ายจากป่าใหญ่ ข่าวที่พระสนมคนโปรดถูกลอบทำร้าย ได้รับการสืบสาวไปตามขั้นตอนของวังหลวง ความจริงเป็นเช่นใดซานซานไม่รู้แม้แต่น้อยนางรู้แค่ว่าลู่หลิ่งเป็นเด็กฉลาด เรียนรู้เร็ว คุ้นชินกับชีวิตพระราชวัง ในเวลาอันสั้นก็พูดจากับคนชั้นสูงได้คล่องแคล่วน่าฟัง ได้ร่ำเรียนในสำนักศึกษาของพระราชวัง ได้กินอิ่มนอนหลับ ได้รับของมีค่า มีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ ได้เล่นสนุกซุกซนสมวัยและที่สำคัญ ตัวนางมียังเบี้ยหวัดเอาไว้ใช้จ่าย ชีวิตดูมีความหมายไม่น้อยซานซานในชาตินี้ทำตัวดีมีคุณค่ายิ่งนัก เพราะมีลูกแล้ว จะกระทำการใด ย่อมต้องคิดให้มาก รอบคอบเข้าไว้หากมารดาทำตัวไม่ดี ชีวิตบุตรสาวย่อมยากจะสงบสุขอีกอย่าง ชีวิตในวังหลวงแห่งนี้นับว่าดีมาก หลี่กุ้ยเฟยเอ็นดูลู่หลิ่งไม่น้อย ตัวนางเองก็มีสหายหลายคนที่พูดจาถูกคอ หนึ่งในนั้นมีนางกำนัลคนหนึ่ง นามว่าซูเหยา อายุราวสิบเก้าปี นิสัยสัตย์ซื่อ วาจานุ่มละมุน รับหน้าที่
เจ้าของวาจาน่าฟังนี้ทำท่าทางเอียงอาย “ขอพระองค์ทรงเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ เพราะนี่คือครั้งแรก”ยิ่งเอ่ยใบหน้างดงามนวลผ่องยิ่งแดงปลั่งดั่งผลอิงเถา“เจ้าเป็นใคร?”จ้าวเหว่ยถามเสียงขรึม หรี่ตาลงมองฝ่ามือที่บังอาจมาแตะต้องตัวเขาเจ้าของฝ่ามือเห็นสายตาปานมีดคมจับจ้องประหนึ่งกำลังกรีดเฉือนข้อมือตน จึงชะงักค้างนิ่งงัน ค่อยๆ ดึงมือกลับ แล้วถอยหลังมายืนสำรวมอยู่ห่างจากเตียงนอนราวห้าก้าว กล่าวพึมพำว่า “หม่อมฉันจิ่วเมย บุตรสาวคนเล็กของเจ้าเมืองจิ่ว ได้รับมอบหมายให้มาดูแลองค์รัชทายาทจนกว่าจะหายดีเพคะ”จ้าวเหว่ยโบกมือให้อีกฝ่ายหยุดพล่าม พลางเอ่ยเสียงต่ำ“ข้าหายดีแล้ว กลับไปเรียนบิดาเจ้าตามนั้น ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”แม่นางจิ่วเมยได้ฟังพลันแข็งค้างไปทั้งร่าง ความหวังที่จะได้ติดตามเข้าวังพังทลายไปสิ้น“แต่...แต่ท่านพ่อบอกว่า หากหม่อมฉันดูแลพระองค์จนหายดี หม่อมฉันจะได้...” นางละล่ำละลักทวงความดีความชอบจ้าวเหว่ยลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง เขาตัวโตมากกว่าเมื่อห้าปีก่อนยิ่งนัก เส้นเสียงที่เคยแหบพร่าเพราะลำคอถูกทำลายก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเปล่งวาจายามอารมณ์ดีจึงทุ้มต่ำน่าฟัง ทว่าหากอารมณ์ไม่ดีกลับทรงอำ
ยี่ซินคลี่ยิ้มเต็มวงหน้า เย้าอีกประโยคว่า “เจ้าช่างไร้ใจ”ซานซานตอบรับอย่างอารมณ์ดี “ผิดแล้วๆ ข้ามีหลายใจต่างหากเล่า สามีเก่าไม่ดี ข้าก็กำลังจะหาสามีใหม่ เพียงแต่ยังหาที่ถูกใจไม่เจอเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้ อย่าว่าแต่องค์รัชทายาทเลย เกรงว่าชายใดก็คงไม่คิดเข้าใกล้ข้าให้ต้องแปดเปื้อนแล้ว”ถ้อยวาจานี้เรียกเสียงหัวเราะให้บังเกิดได้ไม่ยาก ทั้งยี่ซินและซานซานสนทนาต่อคำกันได้ถูกคอยิ่งและนี่คือการผ่านบททดสอบขั้นพื้นฐานอย่างเรียบร้อย…เมื่อได้เห็นท่าทางเปิดเผยจริงใจ มิได้เสแสร้งแม้เพียงนิด ไม่ปรากฏความมักใหญ่ใฝ่สูงอันใดให้เห็น ทั้งแววตายังปราศจากความหลงใหลได้ปลื้มเช่นชู้สาวต่อบุตรชายของตน หลี่กุ้ยเฟยจึงรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย ท้ายที่สุดพระนางก็เอ่ยเสียงนุ่มน่าฟังว่า“หากเจ้าไม่รังเกียจ ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกัน ข้าต้องการตอบแทนเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”เสียงนี้ทำเอาซานซานกับยี่ซินต้องหยุดหัวเราะเพื่อรับฟังหลี่กุ้ยเฟยนิ่งเงียบชั่วครู่ ปรายตามองไปทางลู่หลิ่งแม่นางน้อยปล่อยผมสยายยามหลับฝัน พวงแก้มที่เคยนวลเนียนอมชมพูระเรื่อบัดนี้มีรอยแดงเพราะถูกคนร้ายตีหลายที ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสดที่ยกยิ้มได
ซานซานได้ฟังวาจาเชิญชวนยาวเหยียด เพียงเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ“แม้ว่าข้าจะเป็นชาวยุทธ ทว่าระบบเมืองหลวงมิใช่ไม่รู้ การเข้าเป็นองครักษ์หญิงในวังหลวง เงินเบี้ยหวัดได้มากกว่านางกำนัลเล็กๆ ก็จริง แต่ต้องผ่านการทดสอบอันหนักหน่วง”ซึ่งการทดสอบหาใช่ปัญหาสำหรับนางไม่ ที่เป็นปัญหาคือประวัติความเป็นมาต่างหาก นางมิใคร่ให้ใครล่วงรู้ตัวตนว่ามาจากไหนลูกใครสกุลใด เพราะนั่นอาจนำอันตรายที่มองไม่เห็นไปสู่ครอบครัวหาน ทั้งอาจมีปัญหายิบย่อยอันน่ารำคาญใจเพราะที่ผ่านมา ระหว่างทางที่ท่องยุทธ์ไปทั่ว นางบังเอิญได้ 'ฆ่าคน' ปะไร!หลังจากใคร่ครวญลึกซึ้งจึงโบกมือปฏิเสธ “ช่างเถิด...พวกท่านจ่ายเงินรางวัลที่ช่วยเหลือกันก็พอ ข้าไม่เข้าวังหรอก”ยี่ซินจับกระแสความคิดที่อีกฝ่ายแสดงออกว่าไม่ชอบเรื่องยิบย่อยอันน่ารำคาญ จึงรีบกล่าวอย่างเอาใจ หวังหยั่งเชิง“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่? เจ้าช่วยเหลือพระสนมซึ่งเป็นถึงพระมารดาขององค์รัชทายาท สามารถใช้เส้นสายตรงนี้โดยไม่ต้องเข้ารับการทดสอบ เพราะอำนาจรับคนเป็นสิทธิ์ของพระองค์อยู่แล้ว แค่เจ้าเข้าหาองค์รัชทายาทเท่านั้น”ยี่ซินขยับเข้าใกล้ซานซานเล็กน้อย พลางกระซิบอย่างกระตือรือร้นว่า “ไม่
ในถ้ำใต้แท่นหินได้ยินเสียงน้ำตกดังซู่ เย็นฉ่ำไปทั่วลู่หลิ่งถูกผลัดผ้าทายาป้อนเนื้อย่างจนอิ่มหนำแล้วปล่อยให้หลับใหลบนผ้าป่านไปนานแล้ว โดยมีอาหู่หมอบอยู่ข้างๆ คอยเลียแก้มเลียมือกล่อมนอนไม่ห่างไฟกองหนึ่งกำลังลุกโชนมอบความอบอุ่นให้ทุกคนในถ้ำ แสงเพลิงสีทองสาดส่องเสี้ยวใบหน้าของสตรีทั้งสามยามสนทนา เผยให้เห็นความจริงใจไร้กังขา ปราศจากการเสแสร้งใด“ที่แท้ท่านก็คือพระสนมหลี่กุ้ยเฟย”ซานซานอุทานอย่างตกใจไปทางสตรีงดงามตรงหน้านางจำได้ที่จางเหริน เสี่ยเฟิง และเว่ยลี่เคยเล่าเรื่องราวให้ฟังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในแคว้นหรือเรื่องในรั้วในวังทุกเรื่องที่ทั้งสามคนนั้นเล่าให้ฟังนั้น พวกเขายังทำท่าทางประกอบประหนึ่งเล่นงิ้ว เสมือนเป็นผู้ร่วมทุกเหตุการณ์ที่เล่ามา สมจริงยิ่ง เชื่อถือได้มารดาขององค์รัชทายาทแห่งต้าถังมีนามหลี่ฮุ่ยเยี่ยน หรือก็คือหลี่กุ้ยเฟยแน่นอนว่าสามัญชนไม่อาจเอ่ยพระนามของราชนิกุล ซานซานเพียงคิดในใจอย่างรู้กาลเทศะ นางเอ่ยต่อ“ในขณะที่รัชทายาททรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ทรงตรากตรำทำเพื่อบ้านเมือง แต่คนชั่วกลับลอบแทงข้างหลัง บั่นทอนกำลังด้วยการลอบทำร้ายพระมารดากระนั้นหรือ?”เรื่องราว
“ท่านแม่”ลู่หลิ่งเห็นคนชั่วตายหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ จึงลุกวิ่งตึกๆ โผหามารดา อ้าแขนออก กระโดดโถมทั้งตัวใส่ แล้วร้องไห้จ้าหญิงสาวเห็นลูกบาดเจ็บมีบาดแผลมีเลือดออก สองแก้มบวมแดง ร่ำไห้ฮักๆ จนตัวสั่น จึงใจอ่อนยวบ ความคิดจะตำหนิความซุกซนของลูกก่อนหน้าจึงตกไป นางดุไม่ออกแม้ครึ่งคำ“หลิ่งเอ๋อร์ ไม่เป็นไรแล้ว”ซานซานเอ่ยเสียงนุ่ม แววตาอ่อนโยน กอดลูกแนบอก ลูบหลังปลอบประโลมด้วยความรักใคร่สุดหัวใจ ภาพของสตรีอำมหิตโหดร้ายที่ฆ่าคนตายอย่างเลือดเย็นเมื่อครู่คล้ายไม่เคยเกิดขึ้นเดิมทีสตรีสองคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากลู่หลิ่งยังคงรู้สึกหวาดเกรงต่อซานซานอยู่มาก ความอำมหิตชนิดดาบเดียวปลิดชีพนับสิบชีวิต ทำพวกนางผวาเยือกไม่กล้ากระทั่งร้องอุทาน ทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายปลอบลูกอย่างอ่อนโยนเช่นนั้น ความหวาดหวั่นพลันตกไปสิ้น พวกนางค่อยๆ พยุงตัวกันยืนขึ้น แล้วเดินเข้ามาร่วมปลอบเด็กน้อยลู่หลิ่งด้วยมีเพียงอาหู่ที่หมอบอยู่ไม่ยอมขยับเพราะเจ็บแผลมากหนึ่งในสองสตรีแย้มยิ้มแล้วเอ่ยกับซานซาน “แม่นาง ขอบคุณเจ้ามาก บุญคุณช่วยชีวิตใหญ่หลวงนัก”ซานซานเหลือบตามองสตรีทั้งสอง เห็นคนหนึ่งใส่อาภรณ์หรูหรา ใบหน้าหมดจดงดงาม กิริยา
ชั่วอึดใจซานซานพลันดีดตัวขึ้นสูง ดึงร่มคันเล็กจากเอวด้านหลัง แล้วเหวี่ยงไปทางกลุ่มของบุตรสาวร่มคันนี้คือหนึ่งในอาวุธสังหารที่ซานซานออกแบบคร่าวๆ แล้วให้เสี่ยเฟิงเค้นสมองปรับเปลี่ยนเพิ่มประโยชน์จากกันแดดฝนร่มกางออกแล้วหมุนอยู่กลางอากาศ สาดกระจายเข็มพิษออกรอบทิศเป็นวงกว้าง เพื่อปกป้องสตรีสามคนและเสือดาว มิให้ใครย่างเท้าเข้ากล้ำกรายคนชุดดำที่ไม่ทันตั้งตัวย่อมหลบไม่ทัน ถูกพิษจากร่มไปอย่างช่วยไม่ได้ส่วนพวกที่เหลือ ซานซานเพียงพุ่งตัวอ้อมมาตลบหลังรอบในมีเข็มพิษพุ่งกระจายปลิดชีพผู้คนในพริบตา รอบนอกของเหล่าชายชุดดำมีซานซานลอบสังหารครอบคลุม เรียกได้ว่าหนึ่งล้อมสิบ นางพลิกกายปราดเปรียว สองแขนไขว้กัน สองมือกำดาบเสี้ยวจันทร์ดาบโค้งสองอันประกบเข้าด้วยกันกลับผสานเป็นหนึ่ง ร่างระหงหมุนตัวด้วยกระบวนท่าวายุคลั่ง แล้วสะบัดออกสุดแขน ตวัดดาบอย่างแรง ใบไม้แห้งรอบด้านยังกลายเป็นใบมีดคมกริบปลิวว่อน สังหารผู้คนจนทั่ว ดาบแยก กายแยก เลือดสาดกระจายซ่านเซ็นหญิงสาวทำเช่นนั้นฝ่ากลุ่มคนชุดดำตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย คนร้ายทั้งหลายออกกระบวนท่าแรกยังไม่ทันครบถ้วนก็ถูกกระบวนท่าเดียวของซานซานกลืนกินไปสิ้นร่มยังไ