เมื่ออู๋เจี๋ยรายงานจนหมด จึงบังเกิดความสงสัยแคลงใจอย่างล้นเหลือ ว่าสตรีธรรมดาเหตุใดจึงลุกขึ้นมาฝึกกระบี่ฟาดดาบได้
หรือว่าคิดถึงสามีจนเกินไป แล้วบังเอิญพบเจอคัมภีร์ฝึกยุทธ์เข้า
อืม...ย่อมเป็นได้
เมื่อได้ข้อสรุปให้ตนเอง อู๋เจี๋ยจึงบังอาจเสนอความคิดกับเจ้านาย “ในเมื่อนางสุขสบายไร้กังวล ทั้งเปี่ยมกำลังวังชาปานนั้น องค์ชายย่อมปฏิบัติราชกิจได้อย่างไร้กังวลเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
ปลายนิ้วเรียวยาวของบุรุษหนุ่มไล้วนที่ขอบถ้วยน้ำชาอย่างใช้ความคิด จ้าวเหว่ยพลันหรี่ตา เอ่ยเสียงเนิบช้า
“พี่น้องของข้าแต่ละคน ต่างพากันแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลน้อยใหญ่ไม่ขาดสาย เดินหมากกับขั้วอำนาจอย่างสนุกสนาน แต่ข้าไม่ประสงค์จะลงเล่นด้วย การใช้อำนาจจากสตรีมิใช่วิสัยของข้า มีเพียงต้องเข้าถึงพลังประชาชนเท่านั้นถึงจะพอยืนหยัดในที่สว่างได้ ไพร่ฟ้าย่อมต้องจดจำข้า และยิ่งต้องจารึกในจิตใจว่าข้าคือองค์รัชทายาท เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรที่แท้จริง หากใครคิดโค่นล้มย่อมต้องผ่านความเห็นชอบของพวกเขาก่อน”
อู๋เจี๋ยรับฟังอย่างสงบ นึกยอมรับความสามารถของเจ้านายอยู่เงียบๆ ทั้งยังนับถือน้ำพระทัยอันมีค่าของอีกฝ่ายจากใจจริง คิดไปคิดมาก็อยากจะเป็นแม่นางชิงหลินแทนเสียแล้ว
หลังจากได้รับอนุญาตจากเจ้านายให้ออกมาเตรียมตัวติดตามออกไปช่วยเหลือชาวประชา
อู๋เจี๋ยจึงเดินมาตามทางริมระเบียงอย่างกระตือรือร้นและขยันขันแข็งยิ่ง แต่ก่อนเข้าห้องส่วนตัว สายตาพลันเหลือบเห็นองครักษ์เจี้ยนจื้อหย่วน
สังเกตจากแววตาเคร่งขรึมอึมครึมของอีกฝ่าย อู๋เจี๋ยก็อดมิได้ที่จะนึกประหวั่นในใจอย่างไร้สาเหตุ
เมื่อถูกดึงเข้ามุมมืดราวตุ๊กตาผ้า องครักษ์หนุ่มจึงได้ยินเสียงเย็นเยียบจากองครักษ์วัยกลางคนกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า
“สตรีผู้นั้น ไม่เชื่อเรื่องศพและเฝ้ารอองค์ชายทุกวัน”
อู๋เจี๋ยเบิกตาโพลง ยังได้ยินจื้อหย่วนเอ่ยเสียงกดต่ำ
“นางฉลาดเกินไป ถูกต้องหรือไม่?”
ครั้นได้ยินคำถาม อู๋เจี๋ยพลันกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก ไม่กล้าตอบอันใด
จื้อหย่วนประชิดอู๋เจี๋ย บีบบ่ากว้างแน่น “การที่องค์ชายกล้าเสี่ยงถึงเพียงนี้ก็เพราะนาง”
เจ้าของบ่าเจ็บแปลบ ยังคงปราศจากซึ่งวาจา
จื้อหย่วนบีบแน่นยิ่งกว่าเดิม แค่นเสียงทีละคำ
“ข้างนอกย่อมอันตรายกว่าในวัง ที่สว่างโล่งแจ้งยิ่งยากต่อการป้องกัน เจ้ามีกี่ชีวิตก็มิอาจชดเชยให้องค์รัชทายาทได้”
อู๋เจี๋ยก้มหน้านิ่ง ใช้ความเงียบสยบทุกความเคลื่อนไหว
จื้อหย่วนเห็นเช่นนั้นจึงคลายฝ่ามือแล้วถอนหายใจกล่าว “เจ้าโง่! เหตุใดข้าจึงมีศิษย์โง่เง่าเช่นเจ้า”
แววตาของเขารวดร้าว คล้ายบิดาห่วงใยต่อบุตรชาย ผู้เกเรดื้อด้านไม่รักตัวกลัวตาย
“แล้วท่านจะให้ข้าทำเช่นใดเล่า!” อู๋เจี๋ยอึดอัดใจนัก อำนาจก็สำคัญ ความรู้สึกคนก็สำคัญ แล้วจะให้ทำอย่างไร?
องครักษ์หนุ่มสับสน คิดเครียดแทนเจ้านายตน
จื้อหย่วนขมวดคิ้วแน่น เร่งใช้ความคิดหนักหน่วง
อู๋เจี๋ยก้มหน้าหลุบตามองพื้นเงียบๆ เนื้อตัวสั่นไม่หยุด
แท้จริงแล้ว จื้อหย่วนมิได้ออกจากวังหลวงไปตามสืบด้วยตนเอง
เขาในฐานะอาจารย์ของรัชทายาทจ้าวเหว่ยกับองครักษ์อู๋เจี๋ย ทำเพียงแอบฟังลูกศิษย์ทั้งสองคุยกันในห้องลับแล้วจับใจความได้เอง
ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องที่เขารู้ก็มีเพียงถ้อยวาจาที่อู๋เจี๋ยรายงาน
ส่วนตื้นลึกหนาบางจื้อหย่วนไม่รู้ทั้งสิ้น
โดยเฉพาะเรื่องสำคัญที่สุด เรื่องของทายาทตัวน้อย...
ภายในมุมมืดอันอึดอัด บุรุษทั้งสองยืนนิ่งเคร่งเครียดด้วยหัวใจบีบรัด นึกห่วงใยเพียงองค์รัชทายาท
หลังจากใคร่ครวญลึกซึ้งครู่ใหญ่จื้อหย่วนจึงตัดสินใจเอ่ย
“ช่วงนี้เจ้าสมควรติดตามองค์รัชทายาทไปบรรเทาทุกข์ให้ชาวบ้าน ปกป้องพระองค์ให้ดี อย่าให้เภทภัยกล้ำกลาย จากนั้นหากพระองค์ทรงให้เจ้าไปสืบข่าวของนางอีกครา ก็เขียนจดหมายสะบั้นสัมพันธ์สักฉบับ บอกว่าสามีหมดรักภรรยาแล้ว และจะไม่กลับไปหาอีก บอกนางว่าไม่ต้องรอคอยให้เสียเวลาชีวิต หาสามีใหม่แล้วแต่งงานไปเสีย”
“...!?”
อู๋เจี๋ยทำได้เพียงร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา
เหมันต์ผ่านมาอีกครั้ง ยามนี้บุตรสาวอายุครบปีแล้ว“หลิ่งเอ๋อร์ ชอบให้แม่ใช้วิชาตัวเบาลอยขึ้นไปหรือไม่?”สิ้นคำถาม เด็กน้อยก็หยักหน้าตบมือยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กๆ กับลิ้นสีชมพูน่ารัก นางกอดคอมารดาแนบแน่นซานซานอดใจมิได้ที่จะหอมแก้มกลมๆ ขาวๆ ของลู่หลิ่ง[1]หนักๆ อย่างเอื้อเอ็นดู จนเด็กน้อยหัวเราะเสียงดังกังวานสดใสหญิงสาวสะกิดปลายเท้ากับยอดหญ้า แล้วทะยานกายว่องไวแต่พลิ้วไหวดังสายลม ลอยละลิ่วไปตามยอดไม้ทั่วหุบเขา ล้อเล่นกับแสงแดดที่เสียดแทงหมู่เมฆาลงมาไม่ขาดสายเด็กสาวตัวน้อยไม่เคยกลัวความสูง แต่กลับชอบใจ หัวเราะเสียงดังยิ่งกว่าเก่า สองแขนยกขึ้นสองมือกางออกตีลมอย่างสนุกสนาน ซานซานกอดลูกไว้แนบอก พุ่งทะยานราวอินทรีย์ผยองเกล้าผงาดกล้า ...วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วจากหนึ่งปีเป็นสองปีนับตั้งแต่ซานซานคลอดบุตรสาว ได้ยินเสียงอ้อแอ้สดใสเสนาะโสต ได้เฝ้ามองแม่นางน้อยเติบใหญ่ในทุกวัน ได้ป้อนนมป้อนข้าว ได้หยอกล้อทุกเช้าค่ำ ความเหงาเดียวดายจึงมลายหายไปสิ้นทั้งนี้ นางยังฝึกวิชามารสมใจปรารถนา คิดว่าใช้เวลาเพียงไม่นานเท่านั้นก็คงสำเร็จโดยง่ายไม่รู้ว่ากำลังภายในเลิศล้ำที่โคจรทั่วร่างเสมือนตายแล้ว
ซานซานนิ่งอึ้งหลังอ่านเป็นรอบที่สิบ ฝ่ามือพลันบีบแน่น ม่านตาดำพลันหดแคบ ความเจ็บแปลบสายหนึ่งพุ่งปราดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจหญิงสาวไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า จะมีศาสตราวุธใดในใต้หล้าที่จะทำร้ายกันได้ฉับพลันถึงเพียงนี้ทั้งแปลกใหม่และร้อนระอุสิ้นดี ถ้อยวาจาตัดสัมพันธ์ไม่กี่ประโยคในกระดาษ เหตุใดถึงบาดใจผู้คนจนปวดหนึบชาวาบ ลมหนาวที่พัดผ่านราวกับกำลังกรีดลงบนใบหน้า พอยกมือขึ้นปาดถึงได้รู้ว่าสองข้างแก้มมีน้ำตาเปรอะเปื้อนเสียแล้วสายลมนั้นโชยแผ่ว ทั้งอ่อนจางและบางเบา ทว่ากลับสะท้านสะเทือนเหน็บหนาวราวกับยืนเคว้งบนยอดภูเขาน้ำแข็งซานซานรู้สึกอ่อนแรงเป็นครั้งแรก โดดเดี่ยวเดียวดายสุดประมาณ ความรู้สึกสิ้นหวังนี้ ร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งที่คิดว่าสามีตายแน่นอนว่าเมื่อนางรู้ว่าแท้จริงเขามิได้ตาย ตลอดเวลาเกือบสามปี นางจึงรอคอยเขาให้กลับมานางพาลูกน้อยเฝ้ารอเขาเงียบๆ อย่างยินดี...แต่ยามนี้...จดหมายสะบั้นรักนี่!เนิ่นนานทีเดียวกับการพยายามระงับใจมิให้เต้นแรงหรือสั่นไหวจนเกินไป เพียงปล่อยให้ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาสายหนึ่งอย่างเรียบง่ายหญิงสาวก้มมองหลุมตรงหน้า พิจารณาเงียบงันนี่คือที่ซ่อนเงินขอ
บนถนนดินดำ สองข้างทางมีดอกไม้บานสะพรั่ง สลับกับต้นไม้ร่มรื่นความสดชื่นสองข้างทางยังคงดุจเดิม ทว่าซานซานกลับรู้สึกอึมครึมอย่างประหลาด รอบด้านคล้ายมีเมฆดำมืดปกคลุมหญิงสาวห่อหุ้มลูกน้อยด้วยผ้าฝ้ายอบอุ่นไว้บนแผ่นหลัง พาแม่นางน้อยเดินกลับบ้านหานภายใต้ร่มกระดาษสีแดงคันเก่า ซึ่งบัดนี้ด้ามที่เคยเขียวสดแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองแห้งกร้าน เส้นผมม้วนเอาไว้แบบสตรีออกเรือน ปักเพียงปิ่นไม้อันเดิมที่สามีมอบให้ หากแต่ความรู้สึกของนางยามนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปท่ามกลางทางเดินทอดยาว สองฝั่งเงียบสงัด ห่างไกลบ้านเรือนผู้คน เด็กน้อยลู่หลิ่งหลับนิ่งอยู่ตรงแผ่นหลังซานซานย่างเดินด้วยฝีเท้าเงียบกริบ แววตานิ่งสงบราวทะเลลึก ทั้งราบเรียบทั้งเร้นลับ พลันนั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทักทาย“หลินเอ๋อร์...”ผู้ถูกเรียกขานเพียงปรายหางตามอง เห็นเป็นบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ดุจบัณฑิตเจ้าสำราญเขาคือจางฉวนกำลังเดินมากับสตรีงดงามนางหนึ่ง ซึ่งมิใช่ชิงลี่สามปีมานี้ จางฉวนรับอนุเข้าบ้านถึงสี่คน และคนที่เดินเคียงข้างเขายามนี้คงเป็นคนที่ห้าระยะเวลาตลอดมาชิงลี่ตั้งครรภ์ให้จางฉวนแล้วสามครั้ง ทว่ากลับแท้งเส
เหมันต์หนาวเหน็บ แต่หัวใจกลับเย็นเยียบยิ่งกว่าคืนนั้นซานซานตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ว่าจักท่องหล้าพร้อมฝึกวิชาเหมือนที่ชอบทำรวดเร็วรวบรัด เดินทางฉับไว ปราศจากถ้อยคำอำลาใคร กระทั่งคนบ้านหานยังไม่มีใครรู้สักคนหากจางฉวนฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ววิ่งโร่ไปแจ้งทางการ หมายให้มือปราบมาจับกุมซานซาน ก็คงไม่ทันกาลแล้วริมลำธารแห่งเดิม ใต้ต้นสนโบราณร่างอรชรอ้อนแอ้นของซานซาน กำลังยืนนิ่งขรึมเด็ดเดี่ยวมั่นคง ด้านหลังมีเด็กน้อยในห่อผ้าสะพายหลัง แขนหนึ่งสะพายห่อผ้าของมีค่าและตั๋วเงินเอาไว้ มือข้างหนึ่งถือร่มกระดาษสีแดงชั่วอึดใจร่มคันนั้นก็ถูกหักดังกร๊อบทิ้งลงบนพื้น ตามด้วยกระทืบซ้ำอย่างโหดร้าย ปิ่นไม้ที่ปักผมยังถูกดึงออกจากเรือนผมอย่างไม่ไยดี หักเป็นสองท่อน สิ้นเยื่อใยไร้ไมตรีซานซานจัดการสิ่งของแทนใจอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ปลายเท้าบดขยี้จนแหลกเหลว แล้วจากไปอย่างเงียบงัน ไร้ซึ่งคำตัดพ้อใดๆแม่นางน้อยลู่หลิ่งกะพริบตามองมารดาอย่างไม่เข้าใจ นางเพียงอ้าปากเล็กๆ หาวสองครั้ง แล้วคอพับพริ้มตาหลับไปเนิ่นนานผันผ่าน กระทั่งแน่ใจว่าสองแม่ลูกลับตาไกลแล้ว อู๋เจี๋ยจึงค่อยๆ โผล่หัวออกมา เขาคุกเข่าก้มหน้าเอื้อมมืออันส
แท้จริงแล้วรัชทายาทหนุ่มก็พอจะคาดเดาได้ว่าสตรีเช่นซานซานมิใช่ภรรยาธรรมดาที่จักอดทนรอสามีที่ทอดทิ้งไปเยี่ยงคนโง่เขลาหากนางไม่ออกตามหาเขาด้วยตนเองก็อาจจะเปลี่ยนใจหาสามีใหม่อย่างที่อู๋เจี๋ยรายงานจริงๆแน่นอนว่าคนผิดหาใช่ภรรยาอย่างซานซาน แต่เป็นเพราะตัวเขาเองที่เป็นสามีไร้ความสามารถเกินไปเกิดเป็นราชนิกุลสูงศักดิ์แบกภาระหนักอึ้งจึงไม่อาจอยู่ข้างกายนางดังใจหมาย อันตรายรอบด้านยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเนิ่นนานเลยทีเดียว กว่าริมฝีปากสีแดงจะขยับแค่นเสียงออกมาได้ “ทั้งๆ ที่รอข้าอย่างสงบสุข จู่ๆ กลับหายตัวไปหรือ?” จ้าวเหว่ยหรี่ตาเอ่ยอย่างเย็นชา “ทั้งยังอยากมีสามีใหม่อีกด้วย”อู๋เจี๋ยคุกเข่าหนึ่งข้างประสานมือค้อมศีรษะตอบรับ“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมควานหาตัวนางอยู่เป็นนาน ก็ยังไม่อาจพบพาน ก่อนกลับมารายงานต่อท่านยังออกตามหาอยู่ทุกวัน ไม่หลับไม่นอน กระทั่งร้อนใจกลับมารายงานองค์ชายก่อน”ยิ่งเอ่ยเสียงก็ยิ่งเบา ลำตัวสั่นเทานัก อู๋เจี๋ยอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้แดดิ้นสิ้นใจตายห้องหรูหราสุดวิจิตรพลันตกอยู่ในความเงียบสงัดประดุจสุสาน หลังจากนิ่งเงียบเป็นนาน บุรุษสูงศักดิ์จึงเริ่มมีปฏิกิริยาแววตาของจ้าวเหว่ยค่อยๆ แป
สองปีผ่านไป จะว่านานก็นาน จะว่าสั้นก็สั้น ภพชาตินี้ที่มาเยือน นับได้ก็สี่ปีเกือบเข้าปีที่ห้าแล้วซานซานในร่างชิงหลินยามนั้นอายุสิบห้าย่างสิบหก ผ่านมาจวบจนปีนี้จึงอายุได้ยี่สิบเอ็ดปีเต็มแล้วหญิงสาวพาธิดาตัวน้อยท่องหล้า ทั้งฟื้นฟูพลังปราณจนแข็งแกร่ง ทั้งฝึกฝนวิชายุทธ์จนแตกฉานภายในเวลาแค่ไม่นาน โดยไม่ต้องมีอาจารย์คอยสอนสั่ง เพราะว่าทุกสิ่งล้วนซึมลึกอยู่ในสมองจนตรึงแน่นไปถึงไขกระดูกตั้งแต่ชาติที่แล้วตัวนางกาลก่อนเป็นถึงประมุขหญิงผู้ยิ่งใหญ่แห่งใต้หล้า ทั้งเป็นเจ้าสำนักเซียนหย่งสือ ดูแลมือสังหารและนักฆ่ามากมาย ทำงานลึกลับฝังตัวซ่อนเร้นให้องค์กรใต้ดินมาช้านานนางจึงแตกฉานวิชามารดั้งเดิมได้โดยง่าย ฝ่ามือมรณะ วิชาหมื่นพิษ วิชาไอมาร ปราณเทพสังหาร เคล็ดวิชานารีพิฆาต ไสยเวทย์มนต์ดำอำมหิต ทั้งยังแปรสภาพทุกสิ่งเป็นอาวุธสังหาร เรียกได้ว่ามีความสามารถรอบด้าน คืออัจฉริยะด้านวิทยายุทธอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่า ยังมิเคยได้นำมาใช้เป็นเรื่องเป็นราว ลูกสมุนเช่นกาลเก่าก็ไม่มี ยังดีที่แผ่นดินต้าถังช่างสงบสุขยิ่งนักหมู่บ้านหรือเมืองต่างๆ ที่พวกนางสองแม่ลูกเดินทางผ่าน มักจะมีเรื่องราวขององค์รัชทายาทหนุ่มรูป
ห่างจากเมืองหลวงหมิงเวยไม่ไกล เป็นภูเขาสูงชันรายล้อมรอบด้านเพราะลักษณะที่ตั้งของวังหลวงแคว้นต้าถังเป็นเช่นนี้ ทำให้ศัตรูต่างแคว้นไม่อาจรุกรานได้โดยง่ายหุบเขาทั้งหลายสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน ลักษณะคล้ายปราการแกร่งโอบล้อมปกป้องบ้านเรือนเอาไว้ รอบนอกห่างออกไปยังมีเมืองเล็กเมืองน้อย กระจายอำนาจการปกครองโดยเจ้าเมืองต่างๆ มีเพียงหมู่บ้านผิงเหยียนเท่านั้นที่ออกจะทุรกันดารไปสักหน่อย ห่างไกลความเจริญอยู่มากแต่ก็ยังโชคดีที่คนของทางการเป็นพวกรักความยุติธรรม ดูแลชาวบ้านอย่างดี เคร่งครัดเจ้าระเบียบแค่เอ่ยว่าจะฟ้องกองปราบก็ไม่มีใครกล้าทำผิดแล้วส่วนคนที่กล้าทำผิดเช่นซานซาน คนของทางการก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะตามจับได้จางฉวนจึงเป็นบุรุษโชคร้าย ถูกกระทืบจนสืบพันธ์มิได้ แต่กลับไม่ได้รับความยุติธรรมอยู่คนเดียวถ้ำแห่งหนึ่งภายในหุบเขาใกล้เมืองหลวงหมิงเวยซานซานกับลูกน้อยลู่หลิ่งอาศัยถ้ำนี้เป็นที่พำนักชั่วคราว เพื่อบุตรสาวได้ชื่นชมธรรมชาติอันสวยงามอย่างใกล้ชิดและเพื่อตัวนางได้ฝึกยุทธเดินลมปราณโคจรพลังวัตรผสานธาตุทั้งสี่โดยสะดวก ลักษณะถ้ำอยู่ใต้แท่งหินขนาดใหญ่ ปากถ้ำมีน้ำตกคล้ายผ้าม่านขนาดใหญ่ปิดกั้น
เดิมทีซานซานชอบปรุงยาพิษอย่างเดียว ทว่ายามนี้ยังต้องปรุงยาบำรุงผิว จากนิสัยที่ชื่นชอบการหาสมุนไพรอย่างเดียว ยังต้องเพิ่มการเฟ้นหาดินโคลนชนิดพิเศษเพื่อนำมาปรุงเป็นโคลนประทินโฉม ทั้งใช้เองและขายให้พอได้เงินหญิงสาวในชาตินี้มีนิสัยเปลี่ยนไปแตกต่างจากชาติก่อน ที่ไม่เคยใส่ใจต่ออาภรณ์ กระทั่งใบหน้าเกิดริ้วรอยน่าเกลียดก็ยังไม่คิดจะรักษา ทว่าตั้งแต่มีลูก รอยมดกัดก็ห้ามฝากไว้ นับประสาอันใดกับรอยแผลเป็นอ้อ...ต้องประทินโฉมบำรุงผิวพรรณเสียหน่อยซานซานหยิบห่อผ้าที่เก็บสิ่งของเครื่องใช้ ตั๋วเงินและของมีค่าขึ้นมา หลังจากทาโคลนจิ่นฟู[1] จนหอมฟุ้งทั่วตัวก็คำนวณด้วยสายตาครู่หนึ่งพลางครุ่นคิดในใจน้ำมันทาผิวใกล้หมด เงินก็ใกล้หมด คงต้องหาเพิ่มแล้วระหว่างรอลูกตื่นนอน ซานซานจึงเร่งคิดวิธีหาเงินอย่างรวดเร็วใกล้หุบเขาแห่งนี้คือเมืองหลวงอันรุ่งเรืองขนาดใหญ่ ผู้คนล้วนมั่งคั่งร่ำรวย ส่วนใหญ่ยังเป็นขุนนาง เป็นบัณฑิต แน่นอนว่าพวกเขาไม่ไร้สมอง การหลอกลวงย่อมมิใช่เรื่องง่ายใต้หล้านี้มีทั้งผู้ฝึกยุทธและผู้ฝึกตบะ หากเลือกอย่างหลังย่อมต้องละแล้วซึ่งกิเลส ซานซานจึงเลือกฝึกเพียงอย่างแรกเท่านั้น นางไม่เคยคิดว่าตนเอง
ถึงแม้ว่าผิวเนื้อกระดาษจะต่างกัน เพราะแผ่นหนึ่งเป็นกระดาษตำหนักใน แผ่นหนึ่งเป็นกระดาษส่งสาร หากแต่ลายมือเหมือนกันยิ่ง “ไม่ผิด! ลายมือเดียวกัน”หลี่กุ้ยเฟยกับยี่ซินเอ่ยปากพร้อมเพรียง ยามนี้ไม่มีใครสนใจคำรายงานบนกระดาษเรื่องรัชทายาทเลยซานซานเอ่ยพึมพำ แววตาคมกริบ สาดประกายข่มขวัญ “ที่แท้ เหย่หนิวของข้า ก็คือองครักษ์ของรัชทายาทรึ?” “เขาคงปลอมตัวไปทำภารกิจลับกระมัง” ยี่ซินช่วยพินิจ“เป็นไปได้...” หลี่กุ้ยเฟยยังร่วมวิเคราะห์ซานซานได้ข้อสรุปทันที“เป็นถึงคนสนิทของรัชทายาท สกุลย่อมใหญ่โตไม่ธรรมดา เบี้ยหวัดยิ่งได้มากโข จะเลี้ยงดูภรรยาสักคนมิได้เชียวรึ? จำต้องทิ้งลูกเลยหรือไร? ข้าขอไปดูหน้าสักหน่อยเถิด”จบคำก็ลุกขึ้นทันใด ยังไม่ลืมทำความเคารพหลี่กุ้ยเฟย แล้วเดินออกจากห้องไปเลยเพราะที่ผิงเหยียน สามีใช้วิชาแปลงโฉม ซานซานจึงไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ครานี้นับเป็นโอกาสอันดีได้เห็นหน้าชายชั่วเต็มสองตา!ท่าทางตรงไปตรงมาและไร้จริตมารยาของซานซาน แม้จะแตกต่างจากมารยาทอันพึงปฏิบัติของข้าหลวงในวังไปบ้าง ทว่าหลี่กุ้ยเฟยไม่เคยถือสา ทั้งยังชมชอบที่นางเป็นเช่นนี้หากเปรียบเทียบระหว่างสนมของฮ่อง
ภายในห้องพักผ่อนของหลี่กุ้ยเฟย ซานซานตั้งใจจัดดอกไม้ใส่แจกันหยกอย่างสวยงามที่สุดเพื่อมอบให้หลี่กุ้ยเฟย หวังประจบเอาใจ หมายมาดขึ้นแสดงเพลงพิณในงานเลี้ยงวันนี้“เจ้าดีดพิณเป็นด้วยหรือ?”หลี่กุ้ยเฟยถามเสียงเบามาก เพราะนั่งอยู่ที่โต๊ะทรงเตี้ยริมหน้าต่าง โดยมีเด็กน้อยลู่หลิ่งเล่นจนเหนื่อยฟุบหลับเป็นก้อนกลมอยู่ข้างๆ ใบหน้านุ่มนิ่มแดงเรื่อมีดวงตาที่กำลังหลับพริ้ม ปากจิ้มลิ้มสีชมพูคล้ายเคี้ยวขนมตุ้ยๆ อยู่ในฝันอย่างมีความสุข พระนางจึงไม่ประสงค์พูดคุยเสียงดังซานซานตอบกลับเสียงเบาเช่นกัน “หม่อมฉันพอมีฝีมืออยู่บ้างเพคะ” นางนั่งปักดอกไม้ใส่แจกันอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของหลี่กุ้ยเฟยยี่ซินที่คอยปรนนิบัติรับใช้หลี่กุ้ยเฟยอยู่อีกฝั่งถามอย่างตรงไปตรงมา “สตรีที่ขึ้นแสดงล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์เดียวกัน ตัวเจ้ามีลูกแล้ว ผ่านการมีสามีแล้ว จักขึ้นแสดงทำไม?”ซานซานตอบกลับเสียงนุ่ม ซ่อนแววเจ้าเล่ห์มิดชิด“ใบหน้าของข้าอาจไม่งามเท่าใครเขา ไม่สูงส่ง ไม่ยั่วยวน แต่ขอแค่ได้ขึ้นแสดงเถิด เงินรางวัลย่อมไม่พลาด ข้าจะนำมาแบ่งปันให้พี่ซินด้วย”ยี่ซินขมวดคิ้วมุ่น “มั่นใจปานนั้น”“แน่นอน”หลี่กุ้ยเฟยอดมิได้ต้องคลี่ยิ้ม
ฤดูร้อนผ่านพ้นจนล่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงอีกไม่นานย่อมเยียบย่างฤดูใบไม้ผลิหลายเดือนมาแล้วที่ซานซานตัดสินใจพาลู่หลิ่งออกจากถ้ำแล้วติดตามหลี่กุ้ยเฟยโดยเลือกเป็นเพียงนางกำนัลคนสนิทนางปล่อยอาหู่อยู่ในถ้ำ ไม่คิดพรากสัตว์ร้ายจากป่าใหญ่ ข่าวที่พระสนมคนโปรดถูกลอบทำร้าย ได้รับการสืบสาวไปตามขั้นตอนของวังหลวง ความจริงเป็นเช่นใดซานซานไม่รู้แม้แต่น้อยนางรู้แค่ว่าลู่หลิ่งเป็นเด็กฉลาด เรียนรู้เร็ว คุ้นชินกับชีวิตพระราชวัง ในเวลาอันสั้นก็พูดจากับคนชั้นสูงได้คล่องแคล่วน่าฟัง ได้ร่ำเรียนในสำนักศึกษาของพระราชวัง ได้กินอิ่มนอนหลับ ได้รับของมีค่า มีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ ได้เล่นสนุกซุกซนสมวัยและที่สำคัญ ตัวนางมียังเบี้ยหวัดเอาไว้ใช้จ่าย ชีวิตดูมีความหมายไม่น้อยซานซานในชาตินี้ทำตัวดีมีคุณค่ายิ่งนัก เพราะมีลูกแล้ว จะกระทำการใด ย่อมต้องคิดให้มาก รอบคอบเข้าไว้หากมารดาทำตัวไม่ดี ชีวิตบุตรสาวย่อมยากจะสงบสุขอีกอย่าง ชีวิตในวังหลวงแห่งนี้นับว่าดีมาก หลี่กุ้ยเฟยเอ็นดูลู่หลิ่งไม่น้อย ตัวนางเองก็มีสหายหลายคนที่พูดจาถูกคอ หนึ่งในนั้นมีนางกำนัลคนหนึ่ง นามว่าซูเหยา อายุราวสิบเก้าปี นิสัยสัตย์ซื่อ วาจานุ่มละมุน รับหน้าที่
เจ้าของวาจาน่าฟังนี้ทำท่าทางเอียงอาย “ขอพระองค์ทรงเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ เพราะนี่คือครั้งแรก”ยิ่งเอ่ยใบหน้างดงามนวลผ่องยิ่งแดงปลั่งดั่งผลอิงเถา“เจ้าเป็นใคร?”จ้าวเหว่ยถามเสียงขรึม หรี่ตาลงมองฝ่ามือที่บังอาจมาแตะต้องตัวเขาเจ้าของฝ่ามือเห็นสายตาปานมีดคมจับจ้องประหนึ่งกำลังกรีดเฉือนข้อมือตน จึงชะงักค้างนิ่งงัน ค่อยๆ ดึงมือกลับ แล้วถอยหลังมายืนสำรวมอยู่ห่างจากเตียงนอนราวห้าก้าว กล่าวพึมพำว่า “หม่อมฉันจิ่วเมย บุตรสาวคนเล็กของเจ้าเมืองจิ่ว ได้รับมอบหมายให้มาดูแลองค์รัชทายาทจนกว่าจะหายดีเพคะ”จ้าวเหว่ยโบกมือให้อีกฝ่ายหยุดพล่าม พลางเอ่ยเสียงต่ำ“ข้าหายดีแล้ว กลับไปเรียนบิดาเจ้าตามนั้น ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”แม่นางจิ่วเมยได้ฟังพลันแข็งค้างไปทั้งร่าง ความหวังที่จะได้ติดตามเข้าวังพังทลายไปสิ้น“แต่...แต่ท่านพ่อบอกว่า หากหม่อมฉันดูแลพระองค์จนหายดี หม่อมฉันจะได้...” นางละล่ำละลักทวงความดีความชอบจ้าวเหว่ยลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง เขาตัวโตมากกว่าเมื่อห้าปีก่อนยิ่งนัก เส้นเสียงที่เคยแหบพร่าเพราะลำคอถูกทำลายก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเปล่งวาจายามอารมณ์ดีจึงทุ้มต่ำน่าฟัง ทว่าหากอารมณ์ไม่ดีกลับทรงอำ
ยี่ซินคลี่ยิ้มเต็มวงหน้า เย้าอีกประโยคว่า “เจ้าช่างไร้ใจ”ซานซานตอบรับอย่างอารมณ์ดี “ผิดแล้วๆ ข้ามีหลายใจต่างหากเล่า สามีเก่าไม่ดี ข้าก็กำลังจะหาสามีใหม่ เพียงแต่ยังหาที่ถูกใจไม่เจอเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้ อย่าว่าแต่องค์รัชทายาทเลย เกรงว่าชายใดก็คงไม่คิดเข้าใกล้ข้าให้ต้องแปดเปื้อนแล้ว”ถ้อยวาจานี้เรียกเสียงหัวเราะให้บังเกิดได้ไม่ยาก ทั้งยี่ซินและซานซานสนทนาต่อคำกันได้ถูกคอยิ่งและนี่คือการผ่านบททดสอบขั้นพื้นฐานอย่างเรียบร้อย…เมื่อได้เห็นท่าทางเปิดเผยจริงใจ มิได้เสแสร้งแม้เพียงนิด ไม่ปรากฏความมักใหญ่ใฝ่สูงอันใดให้เห็น ทั้งแววตายังปราศจากความหลงใหลได้ปลื้มเช่นชู้สาวต่อบุตรชายของตน หลี่กุ้ยเฟยจึงรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย ท้ายที่สุดพระนางก็เอ่ยเสียงนุ่มน่าฟังว่า“หากเจ้าไม่รังเกียจ ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกัน ข้าต้องการตอบแทนเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”เสียงนี้ทำเอาซานซานกับยี่ซินต้องหยุดหัวเราะเพื่อรับฟังหลี่กุ้ยเฟยนิ่งเงียบชั่วครู่ ปรายตามองไปทางลู่หลิ่งแม่นางน้อยปล่อยผมสยายยามหลับฝัน พวงแก้มที่เคยนวลเนียนอมชมพูระเรื่อบัดนี้มีรอยแดงเพราะถูกคนร้ายตีหลายที ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสดที่ยกยิ้มได
ซานซานได้ฟังวาจาเชิญชวนยาวเหยียด เพียงเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ“แม้ว่าข้าจะเป็นชาวยุทธ ทว่าระบบเมืองหลวงมิใช่ไม่รู้ การเข้าเป็นองครักษ์หญิงในวังหลวง เงินเบี้ยหวัดได้มากกว่านางกำนัลเล็กๆ ก็จริง แต่ต้องผ่านการทดสอบอันหนักหน่วง”ซึ่งการทดสอบหาใช่ปัญหาสำหรับนางไม่ ที่เป็นปัญหาคือประวัติความเป็นมาต่างหาก นางมิใคร่ให้ใครล่วงรู้ตัวตนว่ามาจากไหนลูกใครสกุลใด เพราะนั่นอาจนำอันตรายที่มองไม่เห็นไปสู่ครอบครัวหาน ทั้งอาจมีปัญหายิบย่อยอันน่ารำคาญใจเพราะที่ผ่านมา ระหว่างทางที่ท่องยุทธ์ไปทั่ว นางบังเอิญได้ 'ฆ่าคน' ปะไร!หลังจากใคร่ครวญลึกซึ้งจึงโบกมือปฏิเสธ “ช่างเถิด...พวกท่านจ่ายเงินรางวัลที่ช่วยเหลือกันก็พอ ข้าไม่เข้าวังหรอก”ยี่ซินจับกระแสความคิดที่อีกฝ่ายแสดงออกว่าไม่ชอบเรื่องยิบย่อยอันน่ารำคาญ จึงรีบกล่าวอย่างเอาใจ หวังหยั่งเชิง“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่? เจ้าช่วยเหลือพระสนมซึ่งเป็นถึงพระมารดาขององค์รัชทายาท สามารถใช้เส้นสายตรงนี้โดยไม่ต้องเข้ารับการทดสอบ เพราะอำนาจรับคนเป็นสิทธิ์ของพระองค์อยู่แล้ว แค่เจ้าเข้าหาองค์รัชทายาทเท่านั้น”ยี่ซินขยับเข้าใกล้ซานซานเล็กน้อย พลางกระซิบอย่างกระตือรือร้นว่า “ไม่
ในถ้ำใต้แท่นหินได้ยินเสียงน้ำตกดังซู่ เย็นฉ่ำไปทั่วลู่หลิ่งถูกผลัดผ้าทายาป้อนเนื้อย่างจนอิ่มหนำแล้วปล่อยให้หลับใหลบนผ้าป่านไปนานแล้ว โดยมีอาหู่หมอบอยู่ข้างๆ คอยเลียแก้มเลียมือกล่อมนอนไม่ห่างไฟกองหนึ่งกำลังลุกโชนมอบความอบอุ่นให้ทุกคนในถ้ำ แสงเพลิงสีทองสาดส่องเสี้ยวใบหน้าของสตรีทั้งสามยามสนทนา เผยให้เห็นความจริงใจไร้กังขา ปราศจากการเสแสร้งใด“ที่แท้ท่านก็คือพระสนมหลี่กุ้ยเฟย”ซานซานอุทานอย่างตกใจไปทางสตรีงดงามตรงหน้านางจำได้ที่จางเหริน เสี่ยเฟิง และเว่ยลี่เคยเล่าเรื่องราวให้ฟังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในแคว้นหรือเรื่องในรั้วในวังทุกเรื่องที่ทั้งสามคนนั้นเล่าให้ฟังนั้น พวกเขายังทำท่าทางประกอบประหนึ่งเล่นงิ้ว เสมือนเป็นผู้ร่วมทุกเหตุการณ์ที่เล่ามา สมจริงยิ่ง เชื่อถือได้มารดาขององค์รัชทายาทแห่งต้าถังมีนามหลี่ฮุ่ยเยี่ยน หรือก็คือหลี่กุ้ยเฟยแน่นอนว่าสามัญชนไม่อาจเอ่ยพระนามของราชนิกุล ซานซานเพียงคิดในใจอย่างรู้กาลเทศะ นางเอ่ยต่อ“ในขณะที่รัชทายาททรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ทรงตรากตรำทำเพื่อบ้านเมือง แต่คนชั่วกลับลอบแทงข้างหลัง บั่นทอนกำลังด้วยการลอบทำร้ายพระมารดากระนั้นหรือ?”เรื่องราว
“ท่านแม่”ลู่หลิ่งเห็นคนชั่วตายหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ จึงลุกวิ่งตึกๆ โผหามารดา อ้าแขนออก กระโดดโถมทั้งตัวใส่ แล้วร้องไห้จ้าหญิงสาวเห็นลูกบาดเจ็บมีบาดแผลมีเลือดออก สองแก้มบวมแดง ร่ำไห้ฮักๆ จนตัวสั่น จึงใจอ่อนยวบ ความคิดจะตำหนิความซุกซนของลูกก่อนหน้าจึงตกไป นางดุไม่ออกแม้ครึ่งคำ“หลิ่งเอ๋อร์ ไม่เป็นไรแล้ว”ซานซานเอ่ยเสียงนุ่ม แววตาอ่อนโยน กอดลูกแนบอก ลูบหลังปลอบประโลมด้วยความรักใคร่สุดหัวใจ ภาพของสตรีอำมหิตโหดร้ายที่ฆ่าคนตายอย่างเลือดเย็นเมื่อครู่คล้ายไม่เคยเกิดขึ้นเดิมทีสตรีสองคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากลู่หลิ่งยังคงรู้สึกหวาดเกรงต่อซานซานอยู่มาก ความอำมหิตชนิดดาบเดียวปลิดชีพนับสิบชีวิต ทำพวกนางผวาเยือกไม่กล้ากระทั่งร้องอุทาน ทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายปลอบลูกอย่างอ่อนโยนเช่นนั้น ความหวาดหวั่นพลันตกไปสิ้น พวกนางค่อยๆ พยุงตัวกันยืนขึ้น แล้วเดินเข้ามาร่วมปลอบเด็กน้อยลู่หลิ่งด้วยมีเพียงอาหู่ที่หมอบอยู่ไม่ยอมขยับเพราะเจ็บแผลมากหนึ่งในสองสตรีแย้มยิ้มแล้วเอ่ยกับซานซาน “แม่นาง ขอบคุณเจ้ามาก บุญคุณช่วยชีวิตใหญ่หลวงนัก”ซานซานเหลือบตามองสตรีทั้งสอง เห็นคนหนึ่งใส่อาภรณ์หรูหรา ใบหน้าหมดจดงดงาม กิริยา
ชั่วอึดใจซานซานพลันดีดตัวขึ้นสูง ดึงร่มคันเล็กจากเอวด้านหลัง แล้วเหวี่ยงไปทางกลุ่มของบุตรสาวร่มคันนี้คือหนึ่งในอาวุธสังหารที่ซานซานออกแบบคร่าวๆ แล้วให้เสี่ยเฟิงเค้นสมองปรับเปลี่ยนเพิ่มประโยชน์จากกันแดดฝนร่มกางออกแล้วหมุนอยู่กลางอากาศ สาดกระจายเข็มพิษออกรอบทิศเป็นวงกว้าง เพื่อปกป้องสตรีสามคนและเสือดาว มิให้ใครย่างเท้าเข้ากล้ำกรายคนชุดดำที่ไม่ทันตั้งตัวย่อมหลบไม่ทัน ถูกพิษจากร่มไปอย่างช่วยไม่ได้ส่วนพวกที่เหลือ ซานซานเพียงพุ่งตัวอ้อมมาตลบหลังรอบในมีเข็มพิษพุ่งกระจายปลิดชีพผู้คนในพริบตา รอบนอกของเหล่าชายชุดดำมีซานซานลอบสังหารครอบคลุม เรียกได้ว่าหนึ่งล้อมสิบ นางพลิกกายปราดเปรียว สองแขนไขว้กัน สองมือกำดาบเสี้ยวจันทร์ดาบโค้งสองอันประกบเข้าด้วยกันกลับผสานเป็นหนึ่ง ร่างระหงหมุนตัวด้วยกระบวนท่าวายุคลั่ง แล้วสะบัดออกสุดแขน ตวัดดาบอย่างแรง ใบไม้แห้งรอบด้านยังกลายเป็นใบมีดคมกริบปลิวว่อน สังหารผู้คนจนทั่ว ดาบแยก กายแยก เลือดสาดกระจายซ่านเซ็นหญิงสาวทำเช่นนั้นฝ่ากลุ่มคนชุดดำตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย คนร้ายทั้งหลายออกกระบวนท่าแรกยังไม่ทันครบถ้วนก็ถูกกระบวนท่าเดียวของซานซานกลืนกินไปสิ้นร่มยังไ