คล้อยหลังจี้เหยา ชิงหลิวเอ่ยถามพี่สาวเสียงเบา
“นางจะกลับมาเอาผิดพวกเราหรือไม่?”
ซานซานตอบเสียงเรียบ “หากนางกล้า คงต้องดูว่าคนของทางการจะเชื่อใคร ระหว่างสตรีโง่งมขลาดเขลาทั้งยังตั้งครรภ์เช่นข้า กับสตรีเปี่ยมเสน่ห์หูตาแพรวพราวแลดูเจ้าเล่ห์ที่มีอาการคล้ายเป็นโรคร้ายเพราะเริงรมย์มากไป”
อุตส่าห์ให้โอกาสหนีแล้วยังกล้ากลับมาก็คงโง่บัดซบ!
ซานซานนับเป็นสตรีจิตใจงามยิ่ง
หญิงสาวเอ่ยอีกว่า “แท้จริงแล้ว พี่ไม่แน่ใจ ท่านพ่อประสงค์ให้แจ้งความหรือไม่ เพราะหลงมัวเมาอนุจนเกิดเรื่อง คงอับอายอยู่มาก”
ชิงหลิวไม่ต่อคำ เพียงยืนนิ่งมองพี่สาว เนิ่นนานทีเดียวจึงค่อยๆ ถามอย่างถนอมน้ำใจ
“พี่ใหญ่ ข้าขอพูดอะไรสักประโยคได้หรือไม่?”
ซานซานเลิกคิ้วมอง “ว่ามา”
หนุ่มน้อยกลืนน้ำลายลงคอเรียกความมั่นใจ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงเบา ”ท่านเปลี่ยนไปมาก ท่านกำลังทำข้าตกใจยิ่งนัก”
ทั้งๆ ที่ตกใจ แต่กลับร่วมมืออย่างดีไม่มีบ่นสักคำ ทำเอาซานซานนึกขันเด็กหนุ่มตรงหน้า จึงยกยิ้มแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า
“น้องพี่ เจ้าไยมิใช่เปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน พี่สาวผู้โง่เขลาของเจ้าเบื่อเต็มทนกับเรื่องเดิมๆ เจอเรื่องเลวร้ายมากมายย่อมต้องเข้มแข็ง หากไม่ลุกขึ้นในวันนี้ รออีกกี่ปีจึงจะพ้นชะตากรรม”
นางเอื้อมมือขึ้นตบบ่าที่เริ่มกว้างเพราะแตกเนื้อหนุ่มของอีกฝ่าย แล้วพร่ำสอนอย่างใจเย็น
“เจ้าควรโตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว ผู้นำตระกูลหานจะอย่างไรเจ้าก็หนีไม่พ้น มิสู้ยึดเอามาเป็นของตนเสียวันนี้เลย แล้วจัดการแทนท่านพ่อให้ดี อย่าให้ท่านแม่ต้องทนปวดใจกับการกระทำของท่านพ่ออีก ทรัพย์สินเงินทองที่ขโมยมาวันนี้ ก็จัดสรรให้รอบคอบ นำพาครอบครัวอย่างมีสติ อย่าหลงมัวเมากับอิสตรีก็พอแล้ว”
ชิงหลิวก้มหน้าเงียบงัน ตอบรับงึมงำในลำคอ ท่าทางยังคงไม่มั่นใจอยู่หลายส่วน
ซานซานจึงเอ่ยเสียงเนิบช้าแบบเน้นคำหนักแน่น
“ใต้หล้ากว้างใหญ่ ผู้คนมากมายต้องดิ้นรนตั้งแต่เกิด บางคนต้องเข่นฆ่าตั้งแต่จำความได้เพื่อให้อยู่รอด ฮ่องเต้บางรัชสมัยต้องนั่งบัลลังก์มังกรตั้งแต่อายุยังน้อยนำพาราษฎรทั้งแคว้น ชายผู้หนึ่งยังเป็นแม่ทัพปกป้องดินแดนได้ตั้งแต่อายุแค่สิบสามปี เจ้าเองก็อายุเท่ากัน ไฉนถึงไม่กล้าเป็นผู้นำตระกูลของตนเองเล่า”
คำพูดนี้คล้ายปลุกใจให้ฮึกเหิม คนเหมือนกันแต่กลับทำเรื่องยิ่งใหญ่ได้ปานนั้น ชิงหลิวพลันคิดได้ว่า เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นำพาครอบครัวค้าขายต่อไป ทำไมเขาจะทำไม่ได้
เด็กหนุ่มหมดความสงสัยในตัวพี่สาว พลางกล่าวคำด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นกว่าเดิม
“ขอรับ ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ชี้แนะ”
ซานซานยิ้มรับ
ชิงหลิวยังถาม “จริงสิ พี่ใหญ่ แล้วท่านพ่อเล่า”
ซานซานเดินเข้าไปในเพิงไม้ เปิดห่อผ้าตรวจตราดูของที่จี้เหยาขโมยมาพลางเอ่ย “ท่านพ่อย่อมหายดี ทั้งยังเข็ดหลาบเรื่องพาสตรีแปลกหน้าเข้าบ้าน ที่สำคัญยังสำนึกผิดต่อท่านแม่ ระหว่างนี้เพื่อฟื้นฟูครอบครัว เขาย่อมสอนสั่งเรื่องการค้าให้เจ้า แต่จะไม่สามารถออกไปหาอนุภรรยามาเพิ่มหลังเรือนอีก แค่ต้องอยู่ในสายตาของท่านแม่เท่านั้น”
ชิงหลิวพยักหน้า เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะให้ท่านพ่อได้พักผ่อน เขานั่งลงจัดเก็บของมีค่าในห่อผ้าเพื่อเตรียมเอาไปซ่อนในที่ที่ไม่มีใครรู้ โดยไม่พูดอะไรอีก
เรื่องที่หานอี้ซวนล้มลงนั้น ล้วนเป็นฝีมือซานซานเช่นกัน เข็มพิษที่สาดซัดทำให้ชายผู้นี้ตัวชา ยากขยับเขยื้อน ทำได้เพียงนอนเล่นบนเตียงไปอีกนาน ส่วนเจียหรู๋ย่อมดูแลสามีอันเป็นที่รักอย่างดีเยี่ยม ไม่น่าห่วงเลยสักนิด
ซานซานเดินออกจากเพิงไม้ กวาดสายตามองรอบทิศ ทอดอารมณ์อาวรณ์ไปตามภาพที่เห็น ยกมือขึ้นลูบท้องของตนยามคะนึงถึงใครบางคน
ลมหนาวโชยพลิ้ว แสงแดดตกกระทบ ส่องสะท้อนภาพริมลำธารสายเดิม ที่บัดนี้มีเพียงพื้นดินอันเวิ้งว้าง ไร้สิ่งปลูกสร้าง หญ้าแห้งปกคลุม
ท่ามกลางเศษซากเรือนไม้ไผ่ที่ถูกเผาทำลาย เจ้าของเรือนกายที่มีหน้าท้องกลมใหญ่ ทำได้เพียงทอดอาลัยถึงสามีผู้ลี้ภัยไปทางใดมิอาจทราบ
นางไม่อาจไม่คิดถึง จึงต้องหาอะไรทำระหว่างรอเขาไปเช่นนี้...
ทั้งจางฉวน ชิงลี่ จูซิ่ว จี้เหยา หานอี้ซวน ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากการที่ซานซานไม่ต้องการปล่อยตนเองให้ว่างจนเกินไป กระทั่งคิดถึงเหย่หนิวอย่างไม่อาจห้ามใจ
เหย่หนิวของนางกำลังทำอะไรอยู่หนอ เขาจะรู้หรือไม่ว่าการปล่อยให้นางรอ ทำให้นางต้องหาอะไรทำเพื่อมิให้ฟุ้งซ่านเพราะคิดถึงเพียงเขา
วสันต์แสนสั้น ค่ำคืนยาวนาน
เรื่องราวผันผ่าน ยังหวนคำนึง
ครุ่นคิดลึกซึ้ง ด้วยหัวใจน้ำแข็งค้าง
แม้มิอาจเลือนราง แต่ไม่แน่ว่าควรลืมเลือน
.
.
.
*****
เมืองหลวงหมิงเวยแคว้นต้าถังความรุ่งเรืองมั่งคั่งนำพาความงดงามดุจอาศัยบนดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ในทุกวัน และวันนี้ยิ่งรื่นเริงดังสวรรค์เสกงานร้อยบุปผาในพระราชวังช่างชวนให้ผู้คนลุ่มหลงโดยง่าย มัวเมาไม่จบสิ้นสาวงามเคลื่อนกายแช่มช้อย ท่วงท่าพราวเสน่ห์ตราตรึง หูตาแพรวพราว กรีดกรายยั่วเย้า คลี่ยิ้มยั่วยวนสตรีชั้นสูงหลากสกุล ที่มิได้มีดีเพียงรูปโฉมงดงามชวนตะลึง แต่คงไว้ซึ่งความสามารถอันโดดเด่นมากกว่าหนึ่งทั้งกาพย์ กลอน หมากพิณ วาดภาพ ร่ายรำ ทุกนางกำลังกระทำการแสดงเพื่อเผยความเป็นเอกอยู่บนลานพิธี หมายมาดให้ราชนิกุลแห่งต้าถังได้ยลบนแท่นประทับสีทองอร่ามบนสุดคือฮ่องเต้ เคียงข้างคือฮองเฮา ลดหลั่นไปตามลำดับของตำแหน่งพระสนม ยังมีองค์ชายและองค์หญิง เต็มสองฝั่ง เบื้องล่างคือบรรดาขุนนางผู้ภักดีรอบด้านตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง ประดับประดาด้วยโคมไฟหลากสีสัน แผ่กลิ่นอายแห่งความสุขสันท่วมท้น พร้อมให้เสพสมไม่สิ้นสุดกลางลานพิธียังคงรื่นเริงประหนึ่งห้วงฝัน บุปผางามยังคงวนเวียนมอบความสำราญสุดความสามารถทุกนางต่างเผยทุกความโดดเด่นเพื่อให้ถูกพระทัยเป็นพิเศษ คล้ายชั้นสวรรค์ที่มีนางฟ้าโบยบินไม่ขาดสายโอรสแห่งราช
นอกจากองค์ชายใหญ่อย่างจ้าวเหว่ยที่เป็นโอรสคนสำคัญแล้ว ยังมีพี่สาวที่เป็นองค์หญิงถึงสี่คน และยังมีน้องชายเกิดตามมาอีกหลายคน อายุยังไล่เลี่ยกับเขาองค์ชายทุกพระองค์ล้วนมีความสามารถ สั่นคลอนตำแหน่งรัชทายาทของจ้าวเหว่ยตลอดมาหวังเพียงว่าค่ำคืนแห่งงานร้อยบุปผา พระบิดาคงมิทรงประสบพบเจอรักแท้กับสตรีนางน้อยคนใด จนอาจจะกลายเป็นเพิ่มศัตรูให้เขากับเสด็จแม่ทว่าจ้าวเหว่ยกลับคิดผิดไป เมื่อสิ้นสุดการร่ายรำชุดหนึ่งจากสาวงามสกุลฟู่ ฮ่องเต้แย้มสรวลพึงพอใจ เรียกมหาขันทีมาถามไถ่ ไม่นานสตรีนางนั้นก็ถูกเรียกตัวเอาไว้พอล่วงเข้ายามดึก งานเลี้ยงยังไม่ทันสิ้นสุด ฮ่องเต้ก็หายไปกับสตรีแซ่ฟู่ซึ่งคาดว่าคงเป็นรักแรกพบในวัยเกือบห้าสิบชันษาจ้าวเหว่ยจึงถือโอกาสนี้กลับตำหนักของตนโดยไม่สนใจผู้ใดอีกต่อไป แม้มีขุนนางใหญ่หลายคนพยายามพาคุณหนูหยาดเยิ้มวัยสะพรั่งเข้ามาพูดคุย หวังสานไมตรีเชื่อมวาสนา ชายหนุ่มก็เพียงยกยิ้มบาง แล้วโบกมือเบาๆ ไร้ซึ่งถ้อยวาจา ไม่ปรารถนาตอบรับน้ำใจ ก่อนพาร่างสูงสง่าเดินหายไปกับม่านราตรีเมื่อกลับมาถึงตำหนักส่วนตัว ฝีเท้าที่เยื้องย่างมาในจังหวะปกติก็เร่งรีบเข้าห้องด้านในทันที เพราะเบื้องหลังฉากฉล
หลายเดือนแล้วที่ซานซานได้อยู่อย่างสงบเตรียมตัวคลอดบุตรอย่างสบายอารมณ์เพราะคนทั้งบ้านไม่มีใครมาวุ่นวายให้รำคาญใจหานอี้ซวนไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียง ทั้งมิอาจหาอนุเพิ่ม เจียหรู๋ดูแลหลังเรือนพร้อมกับดูแลสามี แม้ลำบากแต่ก็เหมาะแล้วชิงหลิวเรียนรู้การค้าแบบเต็มกำลัง ได้รับการชี้แนะและสอนสั่งจากบิดาเต็มที่ไม่มีหมกเม็ด ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากคู่ค้าด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นบุตรชายยอดกตัญญูผู้ลุกขึ้นสู้แทนบิดาที่ป่วยหนักกะทันหัน ยามเจรจาค้าขายจึงได้รับความไว้วางใจถึงแปดส่วนอีกสองส่วนล้วนเป็นเพราะสายเลือดวาณิชตั้งแต่เกิด จึงสานต่อได้ไม่ยากเย็นเดือนต่อมาครอบครัวหานที่สงบสุขพลันเกิดเหตุวุ่นวายด้วยเรื่องมงคลบนเตียงฉ่ำชื้นด้วยน้ำคร่ำที่แตกพลั่กจากร่างของสตรี ไหลนองแดงฉาน คนทั้งบ้านพากันวิ่งวุ่นออกไปตามหมอตำแย ต้มน้ำ เตรียมผ้า เตรียมหยูกยาอลหม่าน ในขณะที่ซานซานทำได้เพียงร้องโอดครวญอยู่ในห้องนอนการเจ็บท้องคลอดบุตรที่สตรีมีครรภ์ต้องเจอ นับได้ว่าเป็นการเสี่ยงตายชนิดหนึ่ง ซึ่งหากโชคดีย่อมอยู่รอดปลอดภัยทั้งแม่และเด็กแต่หากโชคร้ายย่อมไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้การเผชิญชะตากรรมเช่นนี้คือการเสี่ยงอย่างไม
บนเตียงนอนยังคงฉ่ำชื้นไปด้วยเลือดสีแดงฉานใบหน้าขาวซีดของซานซานเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเกาะพราว น้ำตาสองสายไหลบ่าราวกับเขื่อนกั้นน้ำพังทลาย ในโพรงอกด้านซ้ายคล้ายกับหัวใจกำลังจะหลุดออกมาโชคดีที่มันยังเต้นได้อยู่ ทั้งยังเต้นได้แรงนัก ผิดกับร่างกายที่เริ่มไร้เรี่ยวแรงลงทุกที คล้ายกับวิญญาณกำลังจะถูกสูบออกไปก็ไม่ปานซานซานรู้สึกเหมือนจะตายเสียให้ได้ การให้กำเนิดทายาทไม่ง่ายเลยจริงๆ“เบ่งอีกเจ้าค่ะ เบ่งอีก” เสียงของหมอตำแยสั่งเสียงดัง หมายปลุกสติให้สตรีผู้เป็นมารดาฟื้นคืน “อย่าหลับเจ้าค่ะ”ซานซานจึงเบิกตาโพลง อดทนต่อความเจ็บปวดแสบสันแล้วเบ่งสุดกำลัง“อื้อ...”กลีบปากถูกฟันบนขบกัดจนเลือดซึม สองมือกำแน่นตรงข้อเท้าของตนเอง จนเล็บจิกเข้าเนื้อ เลือดไหลก็ยังไม่รู้ตัว“เบ่งอีกเจ้าค่ะ เบ่ง”การเบ่งคลอดแต่ละครั้งให้รู้สึกทรมานสุดแสน เรือนกายคล้ายปริแตกแยกออกกระจัดกระจาย ซานซานพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยนิดเบ่งคลอดอย่างยากลำบากหลายชั่วยามผ่านพ้น กระทั่งได้ยินเสียงประหนึ่งดังมาจากสวรรค์“ออกแล้วเจ้าค่ะ มาแล้ว”สิ้นเสียงหมอตำแย ก็ได้ยินเสียงเด็กน้อยร้องไห้งอแง ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากสาว
แน่นอนว่ายามฝึกลมปราณย่อมต้องนั่งทำสมาธิสำรวมจิตใจในห้องหับปิดสนิทของเรือนส่วนตัวแต่ยามฝึกออกกระบวนท่าฟาดดาบสาดอาวุธย่อมต้องออกไปฝึกนอกสถานที่อันโล่งกว้าง ซานซานจึงไม่คิดทิ้งบุตรสาวเอาไว้ที่บ้าน นางตัดสินใจหอบลูกไปฝึกยุทธด้วยทุกวันจากนั้น หญิงสาวจึงห่อตัวบุตรสาวด้วยผ้าฝ้ายไว้บนแผ่นหลัง ลอบออกจากบ้านหานไปริมลำธารซานซานทำท่านั่งตกปลาบ้าง ทำเป็นนั่งนิ่งหน้าเศร้าคิดถึงสามีบ้าง เมื่อปลอดสายตาจากผู้อื่นที่มาหาปลาอยู่ไกลๆ ก็จะแอบไปฝึกฝนร่างกายอย่างร่าเริงภายในหุบเขาลึกชาวบ้านที่เห็นนางล้วนเข้าใจว่าพาบุตรสาวไปเยี่ยมศพสามีหาได้มีเหตุผลอื่นใดไม่สาเหตุที่ซานซานแอบฝึกในป่าลึกมิให้ผู้ใดสังเกตเห็นก็เพราะสตรีนามชิงหลินที่ชาวบ้านรู้จักเป็นเพียงคนอ่อนแอผู้หนึ่ง จู่ๆ ลุกขึ้นมาฝึกวิทยายุทธย่อมเรียกร้องความสนใจสงสัยและเคลือบแคลงใจหรือที่แย่ยิ่งกว่าอาจถูกหวาดระแวงอย่างบ้าคลั่ง หญิงสาวจึงตัดไฟแต่ต้นลม ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อไร้ผู้ค้นพบ ย่อมปราศจากเรื่องยุ่งยากรำคาญใจซานซานจึงฝึกหนักในป่าใหญ่ได้อย่างโล่งสบายหายห่วง ยิ่งยามยกแขนฟาดขาตีลังกาแล้วหันหน้าไปเจอบุตรสาวตัวน้อยกำลังมองมาทางตน พร้
ท่ามกลางอุทยานงดงาม ระหว่างสายตาบุรุษหนุ่มที่จ้องมองกับคุณหนูสูงส่งผู้ยั่วยวนองค์หญิงที่มาด้วยรีบเอ่ย “พี่ใหญ่ น้องมีสหายผู้งดงามแนะนำให้รู้จักเพคะ นางมีนามว่า...”ไม่รอให้ใครพูดจบ จ้าวเหว่ยก็เบี่ยงกายออก หลบฉากด้วยตนเอง แล้วเดินจากไป ไร้ซึ่งเยื่อใยแม้เพียงบางเบาองค์หญิงตกใจชะงักค้าง จากนั้นพลันสะบัดกระโปรงฮึดฮัดไม่พอใจ “พี่ชายข้าช่างเย่อหยิ่งถือตัวนัก แม้แต่ชายผ้ายังยากจะเข้าถึง”คุณหนูคนเดิมเม้มกลีบปากจนแดงช้ำ ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกบิดเป็นเกลียวแน่นจนนิ้วเปลี่ยนสี นางเอ่ยเสียงเบาราวแมลงบินผ่านด้วยความอับอาย “องค์หญิงทรงตั้งความหวังกับข้ามากเกินไป เกรงว่าจะทำให้พระสนมจางผินผิดหวังแล้ว”องค์หญิงสะบัดเสียง “เฮอะ! ทำเป็นอ้างเสด็จแม่ เจ้ามิใช่หลงใหลพี่ชายผู้หล่อเหลาสง่างามเพียงแรกพบหรอกรึ? หากไม่พยายามเข้าหา แล้วเมื่อใดจะได้เคียงข้างเล่า”“แต่ว่า...”“ไปเถิด ตามรัชทายาทไป อย่าให้คลาดสายตา”“ไม่เอา...”“อายทำไมเล่า”“ไม่...” แม้ปากปฏิเสธ แต่เท้ากลับก้าวเดินเร็วรี่นางกำนัลติดตามขมวดคิ้วแน่น ค่อยๆ เดินออกมาเบื้องหน้าเจ้านายสาว ทำทีขัดขวางแบบแนบเนียน ในใจนึกอยากเอาตำราสอนหญิงให้แม่นางทั้งสอง
เมื่ออู๋เจี๋ยรายงานจนหมด จึงบังเกิดความสงสัยแคลงใจอย่างล้นเหลือ ว่าสตรีธรรมดาเหตุใดจึงลุกขึ้นมาฝึกกระบี่ฟาดดาบได้ หรือว่าคิดถึงสามีจนเกินไป แล้วบังเอิญพบเจอคัมภีร์ฝึกยุทธ์เข้าอืม...ย่อมเป็นได้เมื่อได้ข้อสรุปให้ตนเอง อู๋เจี๋ยจึงบังอาจเสนอความคิดกับเจ้านาย “ในเมื่อนางสุขสบายไร้กังวล ทั้งเปี่ยมกำลังวังชาปานนั้น องค์ชายย่อมปฏิบัติราชกิจได้อย่างไร้กังวลเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”ปลายนิ้วเรียวยาวของบุรุษหนุ่มไล้วนที่ขอบถ้วยน้ำชาอย่างใช้ความคิด จ้าวเหว่ยพลันหรี่ตา เอ่ยเสียงเนิบช้า “พี่น้องของข้าแต่ละคน ต่างพากันแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลน้อยใหญ่ไม่ขาดสาย เดินหมากกับขั้วอำนาจอย่างสนุกสนาน แต่ข้าไม่ประสงค์จะลงเล่นด้วย การใช้อำนาจจากสตรีมิใช่วิสัยของข้า มีเพียงต้องเข้าถึงพลังประชาชนเท่านั้นถึงจะพอยืนหยัดในที่สว่างได้ ไพร่ฟ้าย่อมต้องจดจำข้า และยิ่งต้องจารึกในจิตใจว่าข้าคือองค์รัชทายาท เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรที่แท้จริง หากใครคิดโค่นล้มย่อมต้องผ่านความเห็นชอบของพวกเขาก่อน”อู๋เจี๋ยรับฟังอย่างสงบ นึกยอมรับความสามารถของเจ้านายอยู่เงียบๆ ทั้งยังนับถือน้ำพระทัยอันมีค่าของอีกฝ่ายจากใจจริง คิดไปคิดมา
เหมันต์ผ่านมาอีกครั้ง ยามนี้บุตรสาวอายุครบปีแล้ว“หลิ่งเอ๋อร์ ชอบให้แม่ใช้วิชาตัวเบาลอยขึ้นไปหรือไม่?”สิ้นคำถาม เด็กน้อยก็หยักหน้าตบมือยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กๆ กับลิ้นสีชมพูน่ารัก นางกอดคอมารดาแนบแน่นซานซานอดใจมิได้ที่จะหอมแก้มกลมๆ ขาวๆ ของลู่หลิ่ง[1]หนักๆ อย่างเอื้อเอ็นดู จนเด็กน้อยหัวเราะเสียงดังกังวานสดใสหญิงสาวสะกิดปลายเท้ากับยอดหญ้า แล้วทะยานกายว่องไวแต่พลิ้วไหวดังสายลม ลอยละลิ่วไปตามยอดไม้ทั่วหุบเขา ล้อเล่นกับแสงแดดที่เสียดแทงหมู่เมฆาลงมาไม่ขาดสายเด็กสาวตัวน้อยไม่เคยกลัวความสูง แต่กลับชอบใจ หัวเราะเสียงดังยิ่งกว่าเก่า สองแขนยกขึ้นสองมือกางออกตีลมอย่างสนุกสนาน ซานซานกอดลูกไว้แนบอก พุ่งทะยานราวอินทรีย์ผยองเกล้าผงาดกล้า ...วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วจากหนึ่งปีเป็นสองปีนับตั้งแต่ซานซานคลอดบุตรสาว ได้ยินเสียงอ้อแอ้สดใสเสนาะโสต ได้เฝ้ามองแม่นางน้อยเติบใหญ่ในทุกวัน ได้ป้อนนมป้อนข้าว ได้หยอกล้อทุกเช้าค่ำ ความเหงาเดียวดายจึงมลายหายไปสิ้นทั้งนี้ นางยังฝึกวิชามารสมใจปรารถนา คิดว่าใช้เวลาเพียงไม่นานเท่านั้นก็คงสำเร็จโดยง่ายไม่รู้ว่ากำลังภายในเลิศล้ำที่โคจรทั่วร่างเสมือนตายแล้ว
ถึงแม้ว่าผิวเนื้อกระดาษจะต่างกัน เพราะแผ่นหนึ่งเป็นกระดาษตำหนักใน แผ่นหนึ่งเป็นกระดาษส่งสาร หากแต่ลายมือเหมือนกันยิ่ง “ไม่ผิด! ลายมือเดียวกัน”หลี่กุ้ยเฟยกับยี่ซินเอ่ยปากพร้อมเพรียง ยามนี้ไม่มีใครสนใจคำรายงานบนกระดาษเรื่องรัชทายาทเลยซานซานเอ่ยพึมพำ แววตาคมกริบ สาดประกายข่มขวัญ “ที่แท้ เหย่หนิวของข้า ก็คือองครักษ์ของรัชทายาทรึ?” “เขาคงปลอมตัวไปทำภารกิจลับกระมัง” ยี่ซินช่วยพินิจ“เป็นไปได้...” หลี่กุ้ยเฟยยังร่วมวิเคราะห์ซานซานได้ข้อสรุปทันที“เป็นถึงคนสนิทของรัชทายาท สกุลย่อมใหญ่โตไม่ธรรมดา เบี้ยหวัดยิ่งได้มากโข จะเลี้ยงดูภรรยาสักคนมิได้เชียวรึ? จำต้องทิ้งลูกเลยหรือไร? ข้าขอไปดูหน้าสักหน่อยเถิด”จบคำก็ลุกขึ้นทันใด ยังไม่ลืมทำความเคารพหลี่กุ้ยเฟย แล้วเดินออกจากห้องไปเลยเพราะที่ผิงเหยียน สามีใช้วิชาแปลงโฉม ซานซานจึงไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ครานี้นับเป็นโอกาสอันดีได้เห็นหน้าชายชั่วเต็มสองตา!ท่าทางตรงไปตรงมาและไร้จริตมารยาของซานซาน แม้จะแตกต่างจากมารยาทอันพึงปฏิบัติของข้าหลวงในวังไปบ้าง ทว่าหลี่กุ้ยเฟยไม่เคยถือสา ทั้งยังชมชอบที่นางเป็นเช่นนี้หากเปรียบเทียบระหว่างสนมของฮ่อง
ภายในห้องพักผ่อนของหลี่กุ้ยเฟย ซานซานตั้งใจจัดดอกไม้ใส่แจกันหยกอย่างสวยงามที่สุดเพื่อมอบให้หลี่กุ้ยเฟย หวังประจบเอาใจ หมายมาดขึ้นแสดงเพลงพิณในงานเลี้ยงวันนี้“เจ้าดีดพิณเป็นด้วยหรือ?”หลี่กุ้ยเฟยถามเสียงเบามาก เพราะนั่งอยู่ที่โต๊ะทรงเตี้ยริมหน้าต่าง โดยมีเด็กน้อยลู่หลิ่งเล่นจนเหนื่อยฟุบหลับเป็นก้อนกลมอยู่ข้างๆ ใบหน้านุ่มนิ่มแดงเรื่อมีดวงตาที่กำลังหลับพริ้ม ปากจิ้มลิ้มสีชมพูคล้ายเคี้ยวขนมตุ้ยๆ อยู่ในฝันอย่างมีความสุข พระนางจึงไม่ประสงค์พูดคุยเสียงดังซานซานตอบกลับเสียงเบาเช่นกัน “หม่อมฉันพอมีฝีมืออยู่บ้างเพคะ” นางนั่งปักดอกไม้ใส่แจกันอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของหลี่กุ้ยเฟยยี่ซินที่คอยปรนนิบัติรับใช้หลี่กุ้ยเฟยอยู่อีกฝั่งถามอย่างตรงไปตรงมา “สตรีที่ขึ้นแสดงล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์เดียวกัน ตัวเจ้ามีลูกแล้ว ผ่านการมีสามีแล้ว จักขึ้นแสดงทำไม?”ซานซานตอบกลับเสียงนุ่ม ซ่อนแววเจ้าเล่ห์มิดชิด“ใบหน้าของข้าอาจไม่งามเท่าใครเขา ไม่สูงส่ง ไม่ยั่วยวน แต่ขอแค่ได้ขึ้นแสดงเถิด เงินรางวัลย่อมไม่พลาด ข้าจะนำมาแบ่งปันให้พี่ซินด้วย”ยี่ซินขมวดคิ้วมุ่น “มั่นใจปานนั้น”“แน่นอน”หลี่กุ้ยเฟยอดมิได้ต้องคลี่ยิ้ม
ฤดูร้อนผ่านพ้นจนล่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงอีกไม่นานย่อมเยียบย่างฤดูใบไม้ผลิหลายเดือนมาแล้วที่ซานซานตัดสินใจพาลู่หลิ่งออกจากถ้ำแล้วติดตามหลี่กุ้ยเฟยโดยเลือกเป็นเพียงนางกำนัลคนสนิทนางปล่อยอาหู่อยู่ในถ้ำ ไม่คิดพรากสัตว์ร้ายจากป่าใหญ่ ข่าวที่พระสนมคนโปรดถูกลอบทำร้าย ได้รับการสืบสาวไปตามขั้นตอนของวังหลวง ความจริงเป็นเช่นใดซานซานไม่รู้แม้แต่น้อยนางรู้แค่ว่าลู่หลิ่งเป็นเด็กฉลาด เรียนรู้เร็ว คุ้นชินกับชีวิตพระราชวัง ในเวลาอันสั้นก็พูดจากับคนชั้นสูงได้คล่องแคล่วน่าฟัง ได้ร่ำเรียนในสำนักศึกษาของพระราชวัง ได้กินอิ่มนอนหลับ ได้รับของมีค่า มีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ ได้เล่นสนุกซุกซนสมวัยและที่สำคัญ ตัวนางมียังเบี้ยหวัดเอาไว้ใช้จ่าย ชีวิตดูมีความหมายไม่น้อยซานซานในชาตินี้ทำตัวดีมีคุณค่ายิ่งนัก เพราะมีลูกแล้ว จะกระทำการใด ย่อมต้องคิดให้มาก รอบคอบเข้าไว้หากมารดาทำตัวไม่ดี ชีวิตบุตรสาวย่อมยากจะสงบสุขอีกอย่าง ชีวิตในวังหลวงแห่งนี้นับว่าดีมาก หลี่กุ้ยเฟยเอ็นดูลู่หลิ่งไม่น้อย ตัวนางเองก็มีสหายหลายคนที่พูดจาถูกคอ หนึ่งในนั้นมีนางกำนัลคนหนึ่ง นามว่าซูเหยา อายุราวสิบเก้าปี นิสัยสัตย์ซื่อ วาจานุ่มละมุน รับหน้าที่
เจ้าของวาจาน่าฟังนี้ทำท่าทางเอียงอาย “ขอพระองค์ทรงเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ เพราะนี่คือครั้งแรก”ยิ่งเอ่ยใบหน้างดงามนวลผ่องยิ่งแดงปลั่งดั่งผลอิงเถา“เจ้าเป็นใคร?”จ้าวเหว่ยถามเสียงขรึม หรี่ตาลงมองฝ่ามือที่บังอาจมาแตะต้องตัวเขาเจ้าของฝ่ามือเห็นสายตาปานมีดคมจับจ้องประหนึ่งกำลังกรีดเฉือนข้อมือตน จึงชะงักค้างนิ่งงัน ค่อยๆ ดึงมือกลับ แล้วถอยหลังมายืนสำรวมอยู่ห่างจากเตียงนอนราวห้าก้าว กล่าวพึมพำว่า “หม่อมฉันจิ่วเมย บุตรสาวคนเล็กของเจ้าเมืองจิ่ว ได้รับมอบหมายให้มาดูแลองค์รัชทายาทจนกว่าจะหายดีเพคะ”จ้าวเหว่ยโบกมือให้อีกฝ่ายหยุดพล่าม พลางเอ่ยเสียงต่ำ“ข้าหายดีแล้ว กลับไปเรียนบิดาเจ้าตามนั้น ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”แม่นางจิ่วเมยได้ฟังพลันแข็งค้างไปทั้งร่าง ความหวังที่จะได้ติดตามเข้าวังพังทลายไปสิ้น“แต่...แต่ท่านพ่อบอกว่า หากหม่อมฉันดูแลพระองค์จนหายดี หม่อมฉันจะได้...” นางละล่ำละลักทวงความดีความชอบจ้าวเหว่ยลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง เขาตัวโตมากกว่าเมื่อห้าปีก่อนยิ่งนัก เส้นเสียงที่เคยแหบพร่าเพราะลำคอถูกทำลายก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเปล่งวาจายามอารมณ์ดีจึงทุ้มต่ำน่าฟัง ทว่าหากอารมณ์ไม่ดีกลับทรงอำ
ยี่ซินคลี่ยิ้มเต็มวงหน้า เย้าอีกประโยคว่า “เจ้าช่างไร้ใจ”ซานซานตอบรับอย่างอารมณ์ดี “ผิดแล้วๆ ข้ามีหลายใจต่างหากเล่า สามีเก่าไม่ดี ข้าก็กำลังจะหาสามีใหม่ เพียงแต่ยังหาที่ถูกใจไม่เจอเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้ อย่าว่าแต่องค์รัชทายาทเลย เกรงว่าชายใดก็คงไม่คิดเข้าใกล้ข้าให้ต้องแปดเปื้อนแล้ว”ถ้อยวาจานี้เรียกเสียงหัวเราะให้บังเกิดได้ไม่ยาก ทั้งยี่ซินและซานซานสนทนาต่อคำกันได้ถูกคอยิ่งและนี่คือการผ่านบททดสอบขั้นพื้นฐานอย่างเรียบร้อย…เมื่อได้เห็นท่าทางเปิดเผยจริงใจ มิได้เสแสร้งแม้เพียงนิด ไม่ปรากฏความมักใหญ่ใฝ่สูงอันใดให้เห็น ทั้งแววตายังปราศจากความหลงใหลได้ปลื้มเช่นชู้สาวต่อบุตรชายของตน หลี่กุ้ยเฟยจึงรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย ท้ายที่สุดพระนางก็เอ่ยเสียงนุ่มน่าฟังว่า“หากเจ้าไม่รังเกียจ ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกัน ข้าต้องการตอบแทนเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”เสียงนี้ทำเอาซานซานกับยี่ซินต้องหยุดหัวเราะเพื่อรับฟังหลี่กุ้ยเฟยนิ่งเงียบชั่วครู่ ปรายตามองไปทางลู่หลิ่งแม่นางน้อยปล่อยผมสยายยามหลับฝัน พวงแก้มที่เคยนวลเนียนอมชมพูระเรื่อบัดนี้มีรอยแดงเพราะถูกคนร้ายตีหลายที ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสดที่ยกยิ้มได
ซานซานได้ฟังวาจาเชิญชวนยาวเหยียด เพียงเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ“แม้ว่าข้าจะเป็นชาวยุทธ ทว่าระบบเมืองหลวงมิใช่ไม่รู้ การเข้าเป็นองครักษ์หญิงในวังหลวง เงินเบี้ยหวัดได้มากกว่านางกำนัลเล็กๆ ก็จริง แต่ต้องผ่านการทดสอบอันหนักหน่วง”ซึ่งการทดสอบหาใช่ปัญหาสำหรับนางไม่ ที่เป็นปัญหาคือประวัติความเป็นมาต่างหาก นางมิใคร่ให้ใครล่วงรู้ตัวตนว่ามาจากไหนลูกใครสกุลใด เพราะนั่นอาจนำอันตรายที่มองไม่เห็นไปสู่ครอบครัวหาน ทั้งอาจมีปัญหายิบย่อยอันน่ารำคาญใจเพราะที่ผ่านมา ระหว่างทางที่ท่องยุทธ์ไปทั่ว นางบังเอิญได้ 'ฆ่าคน' ปะไร!หลังจากใคร่ครวญลึกซึ้งจึงโบกมือปฏิเสธ “ช่างเถิด...พวกท่านจ่ายเงินรางวัลที่ช่วยเหลือกันก็พอ ข้าไม่เข้าวังหรอก”ยี่ซินจับกระแสความคิดที่อีกฝ่ายแสดงออกว่าไม่ชอบเรื่องยิบย่อยอันน่ารำคาญ จึงรีบกล่าวอย่างเอาใจ หวังหยั่งเชิง“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่? เจ้าช่วยเหลือพระสนมซึ่งเป็นถึงพระมารดาขององค์รัชทายาท สามารถใช้เส้นสายตรงนี้โดยไม่ต้องเข้ารับการทดสอบ เพราะอำนาจรับคนเป็นสิทธิ์ของพระองค์อยู่แล้ว แค่เจ้าเข้าหาองค์รัชทายาทเท่านั้น”ยี่ซินขยับเข้าใกล้ซานซานเล็กน้อย พลางกระซิบอย่างกระตือรือร้นว่า “ไม่
ในถ้ำใต้แท่นหินได้ยินเสียงน้ำตกดังซู่ เย็นฉ่ำไปทั่วลู่หลิ่งถูกผลัดผ้าทายาป้อนเนื้อย่างจนอิ่มหนำแล้วปล่อยให้หลับใหลบนผ้าป่านไปนานแล้ว โดยมีอาหู่หมอบอยู่ข้างๆ คอยเลียแก้มเลียมือกล่อมนอนไม่ห่างไฟกองหนึ่งกำลังลุกโชนมอบความอบอุ่นให้ทุกคนในถ้ำ แสงเพลิงสีทองสาดส่องเสี้ยวใบหน้าของสตรีทั้งสามยามสนทนา เผยให้เห็นความจริงใจไร้กังขา ปราศจากการเสแสร้งใด“ที่แท้ท่านก็คือพระสนมหลี่กุ้ยเฟย”ซานซานอุทานอย่างตกใจไปทางสตรีงดงามตรงหน้านางจำได้ที่จางเหริน เสี่ยเฟิง และเว่ยลี่เคยเล่าเรื่องราวให้ฟังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในแคว้นหรือเรื่องในรั้วในวังทุกเรื่องที่ทั้งสามคนนั้นเล่าให้ฟังนั้น พวกเขายังทำท่าทางประกอบประหนึ่งเล่นงิ้ว เสมือนเป็นผู้ร่วมทุกเหตุการณ์ที่เล่ามา สมจริงยิ่ง เชื่อถือได้มารดาขององค์รัชทายาทแห่งต้าถังมีนามหลี่ฮุ่ยเยี่ยน หรือก็คือหลี่กุ้ยเฟยแน่นอนว่าสามัญชนไม่อาจเอ่ยพระนามของราชนิกุล ซานซานเพียงคิดในใจอย่างรู้กาลเทศะ นางเอ่ยต่อ“ในขณะที่รัชทายาททรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ทรงตรากตรำทำเพื่อบ้านเมือง แต่คนชั่วกลับลอบแทงข้างหลัง บั่นทอนกำลังด้วยการลอบทำร้ายพระมารดากระนั้นหรือ?”เรื่องราว
“ท่านแม่”ลู่หลิ่งเห็นคนชั่วตายหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ จึงลุกวิ่งตึกๆ โผหามารดา อ้าแขนออก กระโดดโถมทั้งตัวใส่ แล้วร้องไห้จ้าหญิงสาวเห็นลูกบาดเจ็บมีบาดแผลมีเลือดออก สองแก้มบวมแดง ร่ำไห้ฮักๆ จนตัวสั่น จึงใจอ่อนยวบ ความคิดจะตำหนิความซุกซนของลูกก่อนหน้าจึงตกไป นางดุไม่ออกแม้ครึ่งคำ“หลิ่งเอ๋อร์ ไม่เป็นไรแล้ว”ซานซานเอ่ยเสียงนุ่ม แววตาอ่อนโยน กอดลูกแนบอก ลูบหลังปลอบประโลมด้วยความรักใคร่สุดหัวใจ ภาพของสตรีอำมหิตโหดร้ายที่ฆ่าคนตายอย่างเลือดเย็นเมื่อครู่คล้ายไม่เคยเกิดขึ้นเดิมทีสตรีสองคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากลู่หลิ่งยังคงรู้สึกหวาดเกรงต่อซานซานอยู่มาก ความอำมหิตชนิดดาบเดียวปลิดชีพนับสิบชีวิต ทำพวกนางผวาเยือกไม่กล้ากระทั่งร้องอุทาน ทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายปลอบลูกอย่างอ่อนโยนเช่นนั้น ความหวาดหวั่นพลันตกไปสิ้น พวกนางค่อยๆ พยุงตัวกันยืนขึ้น แล้วเดินเข้ามาร่วมปลอบเด็กน้อยลู่หลิ่งด้วยมีเพียงอาหู่ที่หมอบอยู่ไม่ยอมขยับเพราะเจ็บแผลมากหนึ่งในสองสตรีแย้มยิ้มแล้วเอ่ยกับซานซาน “แม่นาง ขอบคุณเจ้ามาก บุญคุณช่วยชีวิตใหญ่หลวงนัก”ซานซานเหลือบตามองสตรีทั้งสอง เห็นคนหนึ่งใส่อาภรณ์หรูหรา ใบหน้าหมดจดงดงาม กิริยา
ชั่วอึดใจซานซานพลันดีดตัวขึ้นสูง ดึงร่มคันเล็กจากเอวด้านหลัง แล้วเหวี่ยงไปทางกลุ่มของบุตรสาวร่มคันนี้คือหนึ่งในอาวุธสังหารที่ซานซานออกแบบคร่าวๆ แล้วให้เสี่ยเฟิงเค้นสมองปรับเปลี่ยนเพิ่มประโยชน์จากกันแดดฝนร่มกางออกแล้วหมุนอยู่กลางอากาศ สาดกระจายเข็มพิษออกรอบทิศเป็นวงกว้าง เพื่อปกป้องสตรีสามคนและเสือดาว มิให้ใครย่างเท้าเข้ากล้ำกรายคนชุดดำที่ไม่ทันตั้งตัวย่อมหลบไม่ทัน ถูกพิษจากร่มไปอย่างช่วยไม่ได้ส่วนพวกที่เหลือ ซานซานเพียงพุ่งตัวอ้อมมาตลบหลังรอบในมีเข็มพิษพุ่งกระจายปลิดชีพผู้คนในพริบตา รอบนอกของเหล่าชายชุดดำมีซานซานลอบสังหารครอบคลุม เรียกได้ว่าหนึ่งล้อมสิบ นางพลิกกายปราดเปรียว สองแขนไขว้กัน สองมือกำดาบเสี้ยวจันทร์ดาบโค้งสองอันประกบเข้าด้วยกันกลับผสานเป็นหนึ่ง ร่างระหงหมุนตัวด้วยกระบวนท่าวายุคลั่ง แล้วสะบัดออกสุดแขน ตวัดดาบอย่างแรง ใบไม้แห้งรอบด้านยังกลายเป็นใบมีดคมกริบปลิวว่อน สังหารผู้คนจนทั่ว ดาบแยก กายแยก เลือดสาดกระจายซ่านเซ็นหญิงสาวทำเช่นนั้นฝ่ากลุ่มคนชุดดำตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย คนร้ายทั้งหลายออกกระบวนท่าแรกยังไม่ทันครบถ้วนก็ถูกกระบวนท่าเดียวของซานซานกลืนกินไปสิ้นร่มยังไ