ในช่วงค่ำคืนหนึ่ง
หานอี้ซวนกลับจากไปค้าขายต่างถิ่นพร้อมคณะเดินทางที่มีบ่าวไพร่สี่ห้าคน
ในจำนวนนั้น มีสตรีงดงามติดตามกลับมาด้วย ท่าทางของหานอี้ซวนบ่งบอกได้ว่ากำลังหลงใหลติดใจยิ่งนัก
ทุกคืนต่อมา เขามักจะค้างแรมกับสตรีผู้นั้นไม่ว่างเว้น ยามกลางวันยังอยู่ด้วยกันไม่ห่างกาย
ทำตัวประหนึ่งคู่รักในวัยแรกแย้มกระนั้น
อนุใหม่นางนี้มีนามว่า จี้เหยา
จี้เหยาเป็นสตรีที่มีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ระเหิดระหงสมส่วน กิริยานุ่มนวลอ่อนช้อย ท่วงท่ากรีดกรายงดงามหยาดเยิ้ม เรียวคิ้วดวงตาทรงเสน่ห์ตราตรึง ริมฝีปากอวบอิ่มแดงจัด พวงแก้มชมพูระเรื่อ ดวงหน้าจิ้มลิ้มชวนเอ็นดู ยามยิ้มยังหวานหยดลึกซึ้งติดตรึงใจ ชวนคะนึงฝันหาเพียงแรกพบประสบพักตร์
ไม่รู้ว่าหานอี้ซวนไปเจอจี้เหยาในหอคณิกาเมืองใด
เจียหรู๋แม้เจ็บปวดใจ แต่ก็ทำได้เพียงจำทน ทำตัวเป็นภรรยาเอกที่ดี ดูแลทั้งสามีและอนุภรรยาตามหน้าที่ ไม่ขาดตกบกพร่อง ในขณะที่อนุจูกลับเดือดร้อนแทน
เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมา อนุจูเป็นคนที่หานอี้ซวนรักใคร่มาโดยตลอด ได้ครอบครองหานอี้ซวนมากกว่าเจียหรู๋เนิ่นนาน บัดนี้กลับมีสตรีอื่นมาแย่งชิงความโปรดปราน
อนุจูที่เคยนุ่มนวลอ่อนหวาน จึงเปลี่ยนไป นางดิ้นเร่าๆ เร่งหาพวกพ้องหนุนหลัง ประหนึ่งสนมในวังกระนั้น
คนแรกที่ยืนข้างเดียวกันคือชิงลี่ผู้เป็นบุตรสาว คนต่อมาที่อนุจูต้องพาเข้าพวกด้วยคือชิงหลินผู้ตั้งครรภ์ มีหลานตัวน้อยเป็นอาวุธอยู่ในท้อง
หานอี้ซวนผู้ไม่เคยเห็นความสำคัญของชิงหลินมาก่อน บัดนี้เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะมีหลาน ก็นึกเอ็นดูชิงหลินขึ้นมาไม่น้อย ด้วยความหวังว่าจะได้หลานชาย
“เจ้าจะทนนิ่งดูดาย ละเลยมารดาของตนเองจนตกต่ำ ถูกเหยียบย่ำให้จมอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนังปีศาจเจ้าเล่ห์เจ้ามารยาผู้นั้นไปเช่นนี้หรือไร เหตุใดไม่ลุกขึ้นมาปกป้อง”
อนุจูเอ่ยกับซานซานทันทีที่เข้ามาให้เรือนไผ่หยก แล้วนั่งลงยังโต๊ะรับแขกโดยเจ้าของยังมิได้เชื้อเชิญ
ความหมายในประโยคคือ ชิงหลินไม่สนใจเจียหรู๋ผู้เป็นมารดา ปล่อยให้อนุคนใหม่ชูคอผยองกล้า ทำตัวข้ามหน้าข้ามตามารดาผู้เป็นภรรยาเอก
ซานซานเพียงนิ่งฟัง นั่งลูบหน้าท้องตนเองอย่างเฉยชา
อนุจูทำเป็นยกเอาเจียหรู๋มาอ้าง ให้ชิงหลินออกหน้าแทน หากเกิดเหตุผิดพลาดขึ้นมา คนที่ได้รับโทษทัณฑ์จากหานอี้ซวน ย่อมมิใช่อนุจู แต่เป็นชิงหลินกับเจียหรู๋
อาจเรียกว่า หมายกำจัดคนผู้หนึ่ง หากไม่สำเร็จยังได้กำจัดอีกคนหนึ่ง มีแต่ได้กับได้ ไม่มีเสีย
ชิงลี่ที่ติดตามมารดาเข้ามาร่วมปั่นหัวด้วย รีบเอ่ยปากว่า
“ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่เปลี่ยนไปแล้ว ท่านมิได้โง่เขลาเช่นเก่าก่อน ฝีปากของท่าน น้องสาวเช่นข้าได้ประจักษ์แล้วเมื่อไม่นานมานี้ ท่านควรไปจัดการนังอนุจี้เหยานั่นให้แดดิ้นสิ้นซาก”
ครานี้ซานซานถึงกับเลิกคิ้วสูง สีหน้าเยือกเย็น ยามกล่าวทีละคำ “น้องลี่จะให้พี่ไปฆ่าบั่นคอนางเชียวรึ โหดร้ายเกินไปไหม”
ประโยคนี้ทำสองแม่ลูกหางตากระตุก มิคาดว่าสตรีเช่นชิงหลินจักกล้าพูดคำว่า ‘ฆ่าบั่นคอ’ ได้ง่ายดาย
วาจาน่ากลัวปานนี้ กลับพูดได้สงบนิ่งยิ่งนัก และที่สำคัญ หากใครมาได้ยินเข้า มิถูกจับส่งทางการกันหมดนี่หรอกหรือไร
“ไยพี่ใหญ่ถึงได้...”
ชิงลี่เอ่ยไม่ทันจบประโยค ซานซานก็ตัดบทว่า
“หากพวกเจ้าแม่ลูกทนไม่ได้ ก็ย้ายตัวเองออกจากบ้านนี้ไปเสีย” นางทำท่าทางคล้ายนึกอะไรออกมา
“อ้อ...หากน้องลี่แต่งออกไปกับคุณชายจางฉวนผู้ร่ำรวยได้อยู่ในจวนเศรษฐีอันมั่งคั่งก็พามารดาไปด้วยได้นี่ แค่อนุผู้หนึ่ง จะอยู่หรือไป ไม่สำคัญอะไรต่อที่นี่สักนิด คนสกุลจางย่อมเลี้ยงได้ และเจ้า ...น้องรอง เจ้าก็ควรเลี้ยงดูมารดาตลอดไป จริงหรือไม่?”
ยิ่งฟังยิ่งตะลึงอึ้งงัน สองแม่ลูกบัดนี้โง่งมไปแล้ว
“เจ้า...” ชิงลี่ได้สติก่อน นางลุกขึ้นยืนแล้วชี้นิ้วใส่หน้าซานซานอย่างเดือดดาล “เจ้ากล้า...”
ซานซานยังคงสงบเยือกเย็น เอ่ยเสียงเนิบช้า
“ข้าย่อมช่วยเจ้าให้ได้แต่งงานกับจางฉวนเร็วขึ้น ดีไหม?”
ประโยคนี้ ทำชิงลี่ชะงักทันที
ซานซานยังเน้นทีละคำไปทางชิงลี่ “อันดับแรก ...เจ้าควรไปขอร้องให้ท่านพ่อยกเจ้าเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกเสียก่อน บอกท่านพ่อว่า เมื่อฐานะเพิ่มสินสอดจะได้เพิ่มขึ้นมามากหน่อย”ชิงลี่ได้ฟังพลันเบิกตา “หา!”ซานซานคลี่ยิ้มละมุน “เห็นหรือไม่ ว่าข้าย่อมช่วยเจ้า”ชิงลี่กลายเป็นเบื้อใบ้ ไม่กล่าวสิ่งใดอีกอนุจูมองดรุณีทั้งสองตาปริบๆหลังจากปล่อยให้สตรีตรงหน้าเบื้อใบ้ ครานี้ซานซานหันมาทางอนุจูบ้าง นางกล่าวอย่างมีเหตุผลอันน่าเชื่อถือให้อนุจูฟังว่า“ท่านแม่รองลองตรองดูเถิด นานวันท่านก็ยิ่งโรยรา หมดเสน่หา ความงามยากย้อนคืน ต่อให้ไม่มีจี้เหยา ก็ต้องมีสตรีอื่น บุรุษนั้นแม้อายุมากขึ้น น้ำพิสุทธิ์ของพวกเขามีตลอดจนตัวตาย แค่สตรีฝ่ายเดียวที่ไม่อาจคงความเปล่งประกายมีน้ำมีนวลค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องแห้งเหี่ยว ในขณะที่อีกฝ่ายมีสตรีเคียงข้างได้ตลอดไปไม่จบไม่สิ้น มิสู้แม่รองหาหนทางยืนหยัดด้วยตัวเอง อาศัยช่วงนี้ที่บ้านหานยังมีเงินทองมากมาย เอ่ยปากขอตามไปดูแลบุตรสาวสุดที่รักออกเรือน ท่านพ่อย่อมต้องมอบทรัพย์สินให้ท่านไปตั้งตัว แต่หากท่านยังรั้งอยู่ไม่ยอมไปไหน ใจเย็นดั่งแม่น้ำไหลเอื่อยเฉื่อย รอจนน้ำแห้งเหือด แม้หิวกระหายก
จางฉวนยิ้มกริ่มเอ่ยปากขึ้นอีกว่า “ให้ข้าเดินเล่นเป็นเพื่อนดีหรือไม่? ข้าพร้อมเดินกับเจ้าตลอดไป”ชายหนุ่มคิดว่าได้ผล เพราะชิงหลินไร้สามีให้พึ่งพิงแล้ว ควรหันมาซบอกเขาถึงจะถูกทว่าผู้ถูกชักชวนกลับเงียบงันไร้ซึ่งวาจา เรือนกายนางคล้ายแผ่ซ่านความเย็นเยียบหนาวยะเยือกออกมา นางปฏิเสธอย่างเย็นชาด้วยกิริยาแสนเรียบนิ่งซานซานยามนี้ปรายหางตามองจางฉวนอย่างเฉยเมย ไม่มีความคุ้นเคยให้เลยสักนิด สีหน้ายังเผยความหงุดหงิดออกมา ปราศจากความหลงใหลแม้เพียงเสี้ยว สายตายังฉายแววรำคาญมากอีกด้วยจางฉวนผงะไปเล็กน้อย ดวงตาคมทอประกายสั่นไหว ความมั่นใจในรูปโฉมของตนลดลงไปกึ่งหนึ่งเขากระแอมหนึ่งที แก้อาการเก้อกระดากที่กำลังบังเกิด ก่อนเดินเข้าใกล้อีกนิด กระซิบถามเสียงต่ำทรงเสน่ห์ล้ำลึก“เป็นไรไป ไยทำตัวห่างเหินเหลือเกิน เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นเช่นนี้ มิใช่ว่าเราไม่เคยเดินด้วยกัน ทำอะไรบางอย่างด้วยกัน”ช่างไม่สำนึกตัวว่าทำชั่วอันใดไว้ หน้าหนาเกินไปแล้วซานซานสบถในใจ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ขอบคุณพี่ฉวนที่เป็นห่วงเป็นใย แต่ข้าอยากอยู่กับลูกเพียงสองต่อสอง”คำพูดนี้คล้ายสายฟ้าฟาดกลางกระหม่อม เพราะความงามบังตาโดยแท้ จางฉวนจึงล
สิ้นวาจาซานซาน จางฉวนกับชิงลี่พลันผงะทว่าเพียงอึดใจเท่านั้น ก็กลับมาเป็นปกติชิงลี่เอ่ยว่า “พี่หลินล้อข้าเล่นแล้ว”ซานซานเพียงยกยิ้มไร้วาจา เผยสีหน้าเจ้าเล่ห์แวบหนึ่ง จากนั้นก็นั่งชมนกชมไม้ เหม่อมองทิวทัศน์เรื่อยเปื่อยเพื่อรอเวลาแท้จริงแล้ว ชิงลี่ถูกบังคับว่าต้องดื่มยาห้ามครรภ์ทุกครั้งหลังเสร็จกิจกับจางฉวน เพื่อมิให้เกิดเหตุผิดพลาดใดๆ เนื่องจากพวกเขายังมิได้แต่งงานกันทว่าอารมณ์กระสันไหนเลยจักหักห้ามได้ ในเมื่อยังไม่พร้อมแต่งด้วยเหตุผลของผู้ใหญ่ฝ่ายชาย พวกเขาจึงลักลอบสืบพันธุ์กันอย่างรื่นรมย์ โดยป้องกันเอาไว้อย่างดีทว่าวันนี้ไม่เหมือนวันวาน ซานซานแอบใส่ยาชนิดหนึ่งลงไปในขนมที่ชิงลี่ถือมา และชิงลี่ก็กินไปเสียหลายคำเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา ชิงลี่พลันมีอาการผิดปกติ“อ๊ะ...อุ๊บ”หญิงสาวอุทานเสียงหนึ่ง ก่อนยกมือขึ้นปิดปาก ทำท่าคล้ายอยากคลื่นไส้ หลังจากสะกดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว ชิงลี่ก็ลุกขึ้นพรวดพราดออกจากศาลาไปอาเจียนอยู่ตรงพุ่มไม้ท่าทางของนางทรมานเป็นอย่างมาก เมื่ออาเจียนจนเหนื่อยก็นั่งลงตรงพื้นหญ้าหลังจากจางฉวนได้สติก็รีบเข้าไปลูบแผ่นหลังให้นาง พลางถามอย่างสงสัย “เจ้าเป็นอันใดรึ?”ชิงลี่
ต้นเหมันต์ อากาศเย็นลงอย่างเห็นได้ชัดทุกค่ำคืนผู้คนบ้านหานต้องทนหนาว ทว่ามีเพียงสองคนที่ยังคงอบอุ่นลึกซึ้งท่ามกลางลมราตรีโชยแผ่ว ที่ศาลากลางสวนดอกไม้ หานอี้ซวนยืนโอบเอวอ้อนแอ้นของจี้เหยาอย่างถนอม พูดคุยหยอกเย้าอย่างรักใคร่ ครู่หนึ่งจึงพากันเดินหายไปในเรือนนอน เกิดเป็นเงาสะท้อนคลอเคลียแนบชิดก่อนดับเทียน ไม่ต้องคาดเดาก็พอรู้ ว่าเตียงนอนจักเร่าร้อนปานใด เสียงครวญครางจักหอบกระเส่าแค่ไหนซานซานเลิกคิ้วมองอย่างเย็นชา ข้างกายคือมารดากับน้องชายหลังจากกินอาหารเย็นจนอิ่มท้องตามด้วยดื่มยาบำรุง ซานซานจึงออกมาเดินเล่นก่อนกลับเข้านอน เจอชิงหลิวที่ยืนแอบมองเจียหรู๋อยู่ตรงทางระหว่างเรือน จึงเข้ามาสมทบ พบว่าเจียหรู๋กำลังลอบมองหานอี้ซวนกับจี้เหยาอยู่แล้วเป็นนานชิงหลิวเคยแอบเห็นเจียหรู๋ร้องไห้น้ำตาหลั่งริน สีหน้าเผยความเจ็บช้ำปวดใจเหลือเกินกับการกระทำของหานอี้ซวนหนุ่มน้อยย่อมเห็นใจมารดา แต่ตัวเขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้มากไปกว่าการแอบมองอยู่เงียบๆ มาโดยตลอดจี้เหยาผู้นี้อายุน้อย รูปร่างยั่วยวน งดงามปานเทพธิดา ทำหานอี้ซวนหลงใหลแทบคลั่ง เห็นได้ชัดว่าหลงรักหัวปักหัวปำยามนี้เจียหรู๋จึงมีสีหน้าย่ำแย่มาก
หลังจากร่ำลาอ้อยอิ่งครู่ใหญ่ หานอี้ซวนก็เดินจากไป คงเหลือไว้เพียงจี้เหยานั่งกรีดนิ้วกินขนมจิบชาอยู่ในศาลา แว่วยินเสียงสั่งการจากนายท่านหานว่า ห้ามมิให้เจียหรู๋ออกนอกเรือนจนกว่าเขาจะกลับมาซานซานกับชิงหลิวค่อยๆ เดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ เมื่อสองพี่น้องปรากฏกาย สายตาของจี้เหยาก็เหลือบเห็นทันที นอกจากไม่ลุกขึ้นทักทายตามฐานะอนุอันพึงมีต่อบุตรภรรยาเอก นางกลับนั่งกินขนมต่อ แม้แต่สายตายังไม่เหลือบแลชั่วจังหวะนั้น เสียงราบเรียบของซานซานก็ดังขึ้นแผ่วเบา “แดดแรงเกินไป พี่อยากนั่งชมดอกไม้ในศาลา พาพี่เข้าไปหน่อย”ชิงหลิวขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้วยไม่พอใจความหยิ่งจองหองของสตรีที่นั่งอยู่ในศาลา แต่ก็อดตามใจพี่สาวมิได้ จึงพานางไปนั่งในศาลา ทางฝั่งตรงกันข้ามกับจี้เหยาอีกฝ่ายเมื่อเห็นแขกไม่ได้รับเชิญมานั่งลงตรงหน้า จึงเอ่ยปากเสียงเหยียดว่า“ที่แท้ก็คุณหนูใหญ่กับคุณชายเล็กนี่เอง ไม่มีที่ไปหรือไร ถึงได้มานั่งที่นี่”ความหมายคือ ชิงหลินเป็นสตรีชั้นต่ำ ไร้ค่า ไม่มีที่ไป เป็นแค่น้ำที่สาดออกแล้ว เปื้อนดินแล้ว ไยกล้าเสนอหน้ากลับมานับว่าสามหาวไม่เลว ซานซานเลิกคิ้วมอง สีหน้าเฉยชา ไม่รู้สึกรู้สากับสายตาดูแคลนและ
ทุกวันอันแสนสุข ชิงลี่คิดหลงตัวเองได้เช่นนั้น โดยไม่ชั่งใจเลยสักนิด ว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน... กระทั่งถึงวันที่นัดตรวจครรภ์อีกครั้ง ท่านหมอก็เดินทางมาหาถึงเรือนนอนหลังจากจับชีพจรเป็นนาน ท่านหมอก็เผยสีหน้างุนงง ก่อนเอ่ยปากอย่างแน่ใจว่าชิงลี่มิได้ตั้งครรภ์แน่นอนว่าแรกเริ่มไม่มีใครเชื่อ นายท่านจางจึงเชิญหมอคนใหม่มาตรวจ ผลปรากฏว่าชิงลี่มิได้ตั้งครรภ์จริงๆจากนั้นยังเชิญหมอมาอีกสองท่าน ผลการตรวจล้วนเหมือนกัน คือในครรภ์ของชิงลี่ช่างว่างเปล่า ไร้ก้อนเนื้ออาศัยอยู่เรื่องนี้ทำให้จางฉวนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ด่าทอชิงลี่แบบไม่ไว้หน้า ว่าเป็นนังใจกล้า เจ้าแผนการ หมายจับเขาให้แต่งงานด้วยวิธีการไร้ยางอายชิงลี่แม้ตกใจแทบสิ้นสติในคราแรก แต่ด้วยนิสัยของนาง มีหรือจะยอมให้จางฉวนด่ากราดฝ่ายเดียวทั้งสองคนจึงกลายเป็นคู่สามีภรรยาที่ครองเรือนได้ร้อนแรงคล้ายไฟโหมทำลายล้างในทุกเมื่อเชื่อวันแน่นอนว่ามิใช่รักกัน แต่กลับเกลียดกันได้อย่างเดือดระอุราวพลิกฟ้าจูซิ่วหรืออดีตอนุจูของหานอี้ซวนย่อมไม่มีสิทธิ์ออกเสียง ทำได้เพียงเฝ้ามองอย่างไม่อาจช่วยเหลืออันใดขณะกำลังนั่งฟังชีวิตหลังแต่งงานของชิงลี่จากชิงหลิว ซานซานเพี
เมื่อประโยครุนแรงเช่นนี้ดังขึ้น ใบหน้านายท่านจางพลันหม่นคล้ำ จางฮูหยินก็ไม่ต่าง ใบหน้ารูปงามของจางฉวนยิ่งมืดดำ ได้ยินเสียงหานอี้ซวนเอ่ยคำคล้ายตบหน้าอีกว่า“หากไม่ใช่เพราะร่างกายลี่เอ๋อร์ที่ถูกบุตรชายของเจ้าบังคับให้กินยาห้ามครรภ์จนเกิดผิดปกติขึ้นมา กระทั่งท่านหมอยังตรวจผิด ส่วนข้ายังเข้าใจผิดจนต้องออกหน้าจำยอมให้นางแต่งงานอย่างรวดเร็วเกินไป เช่นนั้นนายท่านจางจงบอกแก่ข้ามา ว่าเมื่อใดจะเกิดงานแต่ง สินสอดเมื่อไหร่จะจ่าย ความเสียหายที่เกิดขึ้นล้วนประเมินค่ามิได้ แทนที่จะส่งตัวบุตรสาวคืนให้ข้า มิสู้มอบโรงน้ำชา ร้านขายผ้า และกิจการทดแทนอีกสักสองแห่ง”ชั่วจังหวะนั้นพลันมีเสียงท่านป้าคนหนึ่งเอ่ยแทรก “ใช่ๆ ข้าเคยเห็นคุณชายจางพาคุณหนูหานหายไปทางเรือนหลังหนึ่ง”ท่านน้าอีกคนรีบกล่าว “คุณชายจางล่วงเกินคุณหนูหานถึงเพียงนั้น ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทน”ท่านลุงอีกคนรีบเอ่ยบ้าง “ถูกต้อง ข้าขอร่วมเป็นพยาน”ท่านป้าอีกคนรีบช่วยผสาน “ข้ายังเคยไปแอบดู อุ๊บ!” นางปิดปากเกือบไม่ทัน รีบแก้ต่างว่า “ข้าเห็นว่าควรมอบสินน้ำใจ มิใช่ส่งคืนเช่นนี้ หยามเกียรติสตรีเกินไปแล้ว” นางทำท่าปั่นปึงขึงขังแข็งกร้าว เรียกพวกพ้องใ
ก่อนออกจากบ้านสกุลจาง ซานซานผู้เงียบเชียบรอแค่ชมงิ้วมาโดยตลอด อาศัยจังหวะที่ขบวนผู้คนบ้านหานพากันเตรียมตัวเดินทางกลับ เดินเข้าไปทักทายใครบางคนอย่างมีน้ำใจ"แม่รอง""คุณหนูใหญ่"น้ำเสียงแหบแห้งสิ้นดี แต่ซานซานหาได้เห็นใจไม่เพียงคลี่ยิ้มบางพลางเอื้อมมือเข้าไปในแขนเสื้อ ล้วงสิ่งหนึ่งออกมายื่นให้อนุจู “นี่คือยาบำรุง ช่วยลดทอนพิษที่ตกค้างจากยาห้ามครรภ์ รับรองว่าลี่เอ๋อร์จะตั้งท้องได้ในไม่ช้า”“จริงหรือ?” อนุจูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ยังรับมาซานซานเอ่ยเสียงเนิบช้า “ไม่ลองไม่รู้ แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ท้องว่างอยู่เช่นนี้ ลี่เอ๋อร์แต่งออกมาหาใช่ในฐานะลูกอนุไม่ ตำแหน่งในบ้านจางจะอย่างไรก็คือภรรยาเอก มิอาจหย่าร้างโดยง่ายตามใจ แม้ว่าความรักระหว่างพวกเขาจะเปราะบางแตกร้าวไปแล้ว อยู่ร่วมกันลำบากเพราะไม่เหมือนเดิม หากแต่การคลอดหลานให้นายท่านจางสักคน สามารถยึดตำแหน่งลูกสะใภ้เอาไว้ด้วยทายาท ย่อมดีแน่นอน”สิ้นคำอันแสนจะหวังดีของซานซาน อนุจูจึงพยักหน้ารับอย่างไร้หนทางอื่น เพราะเท่าที่ฟังดู นี่คือผลดีทั้งสิ้น มองไม่เห็นผลเสียอันใดสาวใช้กลางคนรอซานซานอยู่ทางฝังหนึ่งเพื่อจับประคอง ทว่าชิงหลิวผู้เป
ตำแหน่งสูงส่ง รูปโฉมเป็นเอก บุรุษผู้หนึ่งมีสตรีทั่วเมืองหมายปอง หวังเกี่ยวดองนับไม่ถ้วน กลับถูกนางตรงหน้าลืมสิ้น“เจ้ากล้าลืมข้า...” เส้นเสียงยามเอ่ยฟังดูปวดใจไม่น้อยซานซานยิ้มเก้อกระดากปฏิเสธเสียงอ่อน “ก็ไม่เชิงเพคะ”ชายหนุ่มรู้สึกไม่ยินยอม แววตาคมดำยิ่งนานยิ่งร้อนแรง ร่างสูงจึงปักหลักนั่งบนเตียงไม่คิดขยับไปทางใด ฝ่ามือยังเอื้อมลงมาตบบนที่นอนเบาๆ หมายถึงคำสั่งมิอาจละเลย สตรีผู้เป็นรางวัลแห่งค่ำคืนย่อมต้องทำหน้าที่อันพึงมีบนเตียงนอนรัชทายาทหนุ่มเริ่มเอาแต่ใจ เผยความต้องการชัดเจน ดวงตาคมปลาบของเขาร้อนแรงมาก บ่งบอกเจตนารมณ์ได้ว่าคืนนี้เขามาด้วยจุดประสงค์ใดบุรุษสูงศักดิ์ก็เช่นนี้ พวกเขาสามารถปลดปล่อยอารมณ์กระสันตามวัยได้เต็มที่กับนางกำนัลหรือใครก็ตามได้ทุกเวลา โดยมิต้องแต่งงานเหมือนชาวชนบท และสำหรับซานซาน เรื่องที่ฮ่องเต้มอบนางให้เป็นรางวัลของเอกบุรุษเฉกเช่นรัชทายาท แท้จริงหาใช่เรื่องต้องคิดมากไม่สตรีผู้หนึ่งมิใช่คนดีอันใด ลูกก็มีแล้ว สามีก็ทิ้งขว้างเลิกรา ซานซานจึงไม่คิดเล่นตัวเยี่ยงคุณหนูผุดผ่อง หากอีกฝ่ายต้องการ นางก็ไม่คิดปฏิเสธ เพียงแต่ค่าตอบแทนต้องสูงมากหน่อยเท่านั้น ปรนนิ
ตำหนักฮุ่ยเยี่ยนถึงแม้งานเลี้ยงเลิกราไปนานแล้ว ล่วงเข้ายามดึกสงัดรอบด้านมืดสนิทมากแล้ว แต่ภายในเรือนพักยังมีห้องหนึ่งที่มีแสงเทียนสว่างเรืองรองซานซานใช้เวลาปักผ้าบนชุดให้ลู่หลิ่งเสร็จไปสองผืน จากนั้นก็เริ่มหยิบกระดาษมากางขึงตรงหน้าสายตาจ้องแน่นิ่งแล้วจรดปลายพู่กันเริ่มวางแผนการชีวิตอันซับซ้อนของตนด้วยเส้นสายระโยงระยางที่มีนางเข้าใจอยู่คนเดียวในกระดาษ เป็นข้อมูลเชิงลึกที่นางได้รู้จากหยุนผิง เกี่ยวกับเส้นสายขั้วอำนาจแห่งวังหลวงฮ่องเต้ต้าถังมีอำนาจหลักคือโซวอ๋องผู้มีกองกำลังในมือนับไม่ถ้วนเพื่อค้ำยันราชบัลลังก์ บริหารอำนาจราชสำนักผ่านตระกูลของพระสนมคนงามเต็มวัง องค์ชายอื่นๆ มีอำนาจจากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ใช้เล่ห์เสน่หาบุรุษเพื่อให้สตรีหนุนหลังในขณะที่ผู้อื่นมีอำนาจพร้อมพรั่งทั้งสุขสำราญเต็มที่ มีเพียงรัชทายาทที่มีอำนาจฝั่งมารดาอย่างหลี่กุ้ยเฟย และบารมีจากไพร่ฟ้าที่แผ่ไพศาลเกรียงไกร แต่ภายในตำหนักบูรพากลับปราศจากอิสตรี ไม่มีชายาเลยสักคนทั้งๆ ที่เขามีเสน่ห์มากล้น เป็นเอกบุรุษปานนั้น สมกับตำแหน่งจักรพรรดิโดยแท้ ทว่ากลับต้องทนเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้ซานซานอดมิได้ที่จักรู้สึกเป็นห่ว
“อาจารย์ได้โปรดกลับไปกับข้าเถิด เป็นประมุขนารีแดง" ซานซานขมวดคิ้วมุ่น ครุ่นคิดเคร่งเครียดก่อนปฏิเสธตามตรง “ข้ายังไม่มีเงิน ยังไม่สามารถเลี้ยงสมุนมากมายปานนั้น กำลังอยู่ในช่วงตั้งตัว เอาไว้ร่ำรวยเมื่อใดค่อยกลับไปแล้วกัน”เรื่องเงินถือเป็นปัจจัยสำคัญของพวกนักฆ่ารับจ้าง หาใช่ลาภยศชื่อเสียงเยี่ยงคนของวังหลวงไม่ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันสำนักในยุทธภพเหล่านี้ทำงานให้ชนชั้นสูงอยู่เงียบๆ รับเงินเป็นกอบเป็นกำเพื่อดำรงชีพ ทำงานลึกลับฝังตัวซ่อนเร้นให้องค์กรใต้ดินมาช้านานเมื่อได้รับคำปฏิเสธ หยุนผิงจึงมีสีหน้าเศร้าสลด อดคิดมิได้ว่า ควรเร่งหาเงินให้มาก อาจารย์จะได้กลับสำนัก นางเอ่ยเสียงเครือ “อาจารย์...เช่นนั้นข้าจะช่วยท่านเก็บเงินอีกทางหนึ่ง”“หืม...” ซานซานมองหน้าหยุนผิง พลางถามเสียงเรียบ “คงมิใช่เร่งสังหารเป้าหมายหรอกกระมัง”“แล้วจะให้ทำเช่นใดเล่า งานสำเร็จย่อมได้เงินมากโข”ซานซานหรี่ตาใคร่ครวญลึกซึ้ง ก่อนถามเสียงขรึม“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าถูกผู้มีอำนาจขู่บังคับให้ทำงานสังหารบุคคลสำคัญ ผู้ใดว่าจ้างให้มาสังหารใครรึ? ได้คุ้มเสียหรือไม่?”หยุนผิงมีสีหน้าลำบากใจยากเอื้อนเอ่ยซานซานนิ่งคิดใช้เวลาไตร่ตร
ซานซานปัดมืออีกฝ่ายออกจากไหล่ตนพลางเอ่ยเนิบช้า“ในเมื่อเจ้าล่วงรู้วิชาของข้า และข้าก็ล่วงรู้วิชาของเจ้า เกรงว่าสองเราคงเป็นศิษย์สำนักเดียวกันกระมัง”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ซานซานก็นิ่งคิดชั่วครู่ไม่ถูก! เคล็ดวิชานี้ เป็นนางที่คิดค้นไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว จะเป็นศิษย์สำนักเดียวกันได้อย่างไร นางควรเป็นอาจารย์ทวดของอีกฝ่ายถึงจะถูกต้อง!คิดเสร็จหญิงสาวก็โบกมือไม่ถือสา กล่าวเสียงเรียบว่า“เอาล่ะๆ นางมารเช่นเจ้ากล้าปลอมตัวเป็นนางรำเข้ามาในงานของวังหลวง คงถูกว่าจ้างมากระมัง จะสังหารใครรึ?”ประหนึ่งคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ หยุนผิงยิ่งอึ้งตะลึงงัน ปลายนิ้วสั่นเบาๆ เล็บแหลมคมเริ่มหดกลับเข้ามาในเนื้อ ผิวกายที่มีอักขระน่ากลัวค่อยๆ เลือนหาย ท้ายที่สุดนัยน์ตาสีแดงปานโลหิตก็ดำขลับเช่นเดิม เผยความงดงามหยาดเยิ้มดุจเดิมเพราะเคล็ดวิชาในตำนานมีเพียงอาจารย์ทวดต้นตำรับเท่านั้นที่สามารถล่วงรู้ได้ว่าวิชาที่ตกทอดเป็นเพียงหนึ่งในวิชาใดหยุนผิงคุกเข่ากระแทกพื้นเรียกซานซานเสียงสั่นเครือ “ท่านอาจารย์ทวด...”ถึงแม้จะทำใจเอาไว้แล้ว แต่หางคิ้วก็อดกระตุกมิได้ “เรียกเสียแก่เลยเชียว เรียกแค่อาจารย์หญิงก็พอกระมัง”หยุนผิงยืน
ค่ำคืนยาวนาน งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปจ้าวเหว่ยนั่งลงมองเพียงปลายนิ้วมือที่ไล้วนจอกเหล้าด้วยความเบื่อหน่ายอีกครั้ง รอเวลาอันเชื่องช้าเคลื่อนผ่านอย่างเงียบงัน ในใจคิดถึงแต่ใครบางคนอันเป็นรางวัลแห่งค่ำคืนและแล้วภายใต้ใบหน้าอันแสนจะเย็นชา รัชทายาทหนุ่มพลันได้แผนการใหม่ในการจัดการกับภรรยาในใจปรารถนาให้สิ้นสุดงานเลี้ยงโดยไวการเสวนาโต้ตอบระหว่างฮ่องเต้กับบรรดาขุนนางยังคงมีไม่ขาดสาย พร้อมเชื้อเชิญกึ่งท้าประชันฝีมือระหว่างตระกูลด้วยการนำเสนอความสามารถของบุคคลชั้นสูงคุณหนูแต่ละคนได้รับการสนับสนุนให้ออกมาแสดงฝีมือกลางลานกว้าง เปลี่ยนทุกการแสดงจากการมอบความสำราญเป็นแสดงความสามารถอันหาได้ยากยิ่งแทน มีทั้งการบรรเลงพิณ แต่งโคลงต่อกลอน และร่ายรำเมื่อการแสดงรอบนี้เป็นสตรีชั้นสูง กระทั่งการร่ายรำบิดเอวส่ายสะโพกจึงมิใช่เป็นการแสดงชั้นต่ำ อีกทั้งยังสูงส่งเทียมฟ้าทุกนางล้วนงดงามสะกดสายตา ยิ่งชาติตระกูลสูงศักดิ์ ยิ่งกลายร่างเป็นโฉมสะคราญหยาดฟ้าแต่ละนางอวดโฉมในด้านที่ดีที่สุดให้องค์รัชทายาทได้ยล พยายามดึงดูดเขาด้วยรูปโฉมและฝีมือในศาสตร์ทุกแขนงเวลาแห่งค่ำคืนค่อยๆ ดำเนินไปช้าๆ ระหว่างนั้นซานซานก็กล
บรรดาคุณหนูในงานต่างโล่งใจที่เป็นซานซาน เพราะสตรีผู้นี้ย่อมไม่อาจได้รับสิทธิ์ปีนเตียงรัชทายาท หรือต่อให้ร่วมวสันต์จริง ก็ยังต้องเป็นได้แค่สาวใช้อุ่นเตียงไร้ค่า บนแท่นประทับ โอรสสวรรค์ยังคงแย้มพระสรวลน้อยๆ พระองค์ตรัสแล้วย่อมไม่อาจคืนคำ ในเมื่อประกาศแล้วว่าจะมอบรางวัลให้บุตรชาย ก็ควรต้องเป็นไป “เช่นนั้น เจ้า...” ฮ่องเต้ชี้นิ้วไปทางซานซาน “รั้งอยู่...”เบื้องหน้าคือองค์จักรพรรดิผู้มีอำนาจล้นฟ้า ถัดมายังเป็นองค์รัชทายาทผู้สูงส่ง รอบด้านยังมีแต่ชนชั้นสูงศักดิ์ ซานซานที่เป็นสตรีผู้น้อยต้อยต่ำมีหรือจะปฏิเสธได้ หญิงสาวจึงยอบกายแนบพื้นน้อมรับเสียงเบา มิอาจเป็นอื่นสิ้นคำตรัสฮ่องเต้ จ้าวเหว่ยเพียงตอบรับเสียงเรียบ “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”ครานี้หลี่กุ้ยเฟยคลายหัวคิ้ว ยกยิ้มงาม เพราะเป็นซานซานย่อมดีกว่านางรำแปลกหน้า คนกันเองทั้งนั้น ไว้ใจได้เหตุที่หลี่ฮุ่ยเยี่ยนไว้ใจซานซานมิใช่เพียงแค่นั้น แต่เป็นเพราะซานซานชอบเพียงเงินทอง ไม่ฝักใฝ่อำนาจ ไม่เป็นอันตรายต่อตำแหน่งรัชทายาทของจ้าวเหว่ยแน่นอนปราศจากเสียงคัดค้าน มีเพียงสายตายอมรับได้ รอบด้านมิได้ริษยาซานซานเทียบเท่าหยุนผิงที่งามเลิศล้ำ สายตาคล้าย
บนแท่นประทับมังกร ฮ่องเต้ตรัสกับขันทีด้านหลัง“พาแม่นางฮวาไคไปพำนักในห้อง รอพาตัวเข้าวังบูรพา”ขันทีค้อมกายน้อมรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ”ถ้อยวาจาเหล่านี้ยังคงเรียกรอยยิ้มบางเบาให้ประดับบนใบหน้าหล่อเหลาของจ้าวเหว่ยเช่นเคย เขาลุกขึ้นยืนประสานมือแล้วเอ่ยกับพระบิดาทันที“ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพึงใจกับรางวัลในค่ำคืนนี้ เพียงแต่สตรีที่ปรบมือให้ หาใช่แม่นางผู้นั้นไม่ รางวัลก็ควรเปลี่ยนไป เป็นนางผู้นี้”ฮ่องเต้ขมวดพระขนง ปรายพระเนตรมองบุตรชาย “หืม?”โซวอ๋องชะงักนิ่ง หยุนผิงยอบกายแข็งค้างจ้าวเหว่ยเน้นอีกครั้งปรายสายตาไปทางซานซาน“เป็นนางพ่ะย่ะค่ะ”ยามนั้นทุกคนถึงได้สังเกตเห็นซานซานที่เดิมทีคล้ายวิญญาณ ประหนึ่งหมอกควันที่เห็นเพียงเลือนลางเวลาก่อนหน้านี้นับว่าเนิ่นนานทีเดียวที่หญิงสาวถูกความงามของหยุนผิงบดบังเอาไว้จนมิดชิดนางแค่อยู่ตามธรรมเนียมเพื่อรอรับรางวัล มิคาดฝันว่าจักกลายเป็นรางวัลเสียเอง...โซวอ๋องให้นึกกังขา จึงปรับสีหน้าตึงเครียดให้ราบเรียบดุจเดิมพลางเอ่ยด้วยเสียงทุ้มนุ่มเผยแววหยอกเอินว่า“การแสดงชุดใหญ่เพียงนี้ เหตุใดนางถึงได้รับความชอบเพียงผู้เดียวเล่า มีสิ่งใดพิเศษกระนั้
การตกอยู่ในภวังค์เช่นนี้ราวกับเป็นเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึก โดยมีซานซานทำตัวคล้ายหมอกมารไอปีศาจไร้ตัวตน นางคอยควบคุมบงการทุกคนได้อย่างเหนือชั้น ไร้ใครสังเกตและต้านทาน เครื่องมือคือหยุนผิงผู้โดดเด่นและนางรำทั้งหลายที่งดงามพร้อมครอบครองดลบันดาลเนิ่นนานผ่านไปเสียงพิณค่อยๆ แผ่วจาง แล้วหยุดลงในที่สุด ทุกคนพลันบังเกิดความรู้สึกนึกคะนึงหา มิอาจแยกจาก หากเพลงพิณรุนแรงกว่านี้เกรงว่าพวกเขาคงน้ำตาไหลพรากทว่าเมื่อได้สติกลับคืนปรากฏว่านางรำสิบกว่าคนกำลังพากันทยอยกรีดกรายจากไปคล้ายหมู่ภมรอิ่มน้ำหวานกลับถิ่น พริบตาคงเหลือเพียงมือพิณสองนางยอบกายแนบพื้นนอบน้อมตามธรรมเนียมปฏิบัติของแคว้นต้าถัง ผู้ดีดพิณย่อมอยู่ต่อเพื่อรอรับรางวัลจากผู้ชมชั่วขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในภวังค์ต้องมนต์จนเงียบงัน ยามนั้นองค์รัชทายาทพลันได้สติกลับมาคนแรกชายหนุ่มคล้ายหลุดจากท่าทีสุขุมนุ่มลึกอันเย็นชาถึงกับลุกขึ้นยืนแล้วปรบมืออย่างช้าๆ เผยสีหน้าชื่นชมอารมณ์ดี ท่าทางประหนึ่งถูกครอบงำตราตรึงจากบางสิ่งจ้าวเหว่ยผู้ไม่เคยให้ความสนใจในการแสดงครั้งใดกลับแสดงว่าชมชอบการแสดงชุดนี้จนออกนอกหน้า ทุกคนจึงได้รู้ตัวได้สติกลับคืนมา
ยิ่งคิดเรียวคิ้วบุรุษยิ่งขมวดมุ่นจนเป็นปมยากคลายตัว ขัดแย้งกับบรรยากาศอันแช่มชื่นรอบกายเต็มทีหากปล่อยให้ซานซานเข้าใจผิดเรื่องเหย่หนิวต่อไป บางทีอาจจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย อย่างน้อยนางย่อมไม่ถูกเพ่งเล็ง ทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากเสด็จแม่ต่อไปให้อู๋เจี๋ยได้รับผลกรรมเป็นเหย่หนิว ถูกซานซานเกลียดชัง ถูกคนรักเข้าใจผิดมหันต์ไปเช่นนั้น รอจนกว่าซานซานหายโกรธ เขาย่อมปล่อยอู๋เจี๋ยออกมาส่วนตัวเขาก็จะกลายเป็นชายหนุ่มคนใหม่ที่เข้าหานาง เป็นรัชทายาทสูงศักดิ์ผู้เพียบพร้อม เหนือชั้นกว่าเหย่หนิวทุกอย่างส่วนหลิ่งเอ๋อร์ก็เป็นองค์หญิงตัวน้อยช่วยกุมหัวใจของเสด็จแม่อยู่อีกทางให้เวลาบ่มเพาะความรักขึ้นมาใหม่แอบคบหากันไปก่อน รอกระทั่งเขาได้ขึ้นครองราชย์ มีอำนาจสิทธิ์ขาดค่อยว่ากันภายใต้สีหน้าราบเรียบเฉยชาไร้อารมณ์ รัชทายาทหนุ่มยิ่งคิดยิ่งร้อนรุ่มดังมีไฟสุมอยู่ในทรวงอก จนเลือดเดือดพล่าน เพราะเรื่องแรกที่เขาคิดการณ์ คือต้องจัดการซานซานให้ได้ก่อนดูเถิดว่าเขาจะเกี้ยวนางได้หรือไม่?ขณะที่จ้าวเหว่ยได้ข้อสรุปที่เรียกได้ว่าชั่วร้ายเพื่อภรรยา เสียงปรบมือเปิดงานด้วยการแสดงจากหอนางรำเลื่องชื่อก็เริ่มขึ้นสตรีงดงาม