กลางหมู่บ้านผิงเหยียนมีตลาดเพียงแห่งเดียว
ซานซานเดินเที่ยวอย่างใจเย็น ระหว่างทางเจอเพื่อนบ้านทักทายมาก็ส่งยิ้มนอบน้อมกล่าวทักทายกลับ ทำตัวกลมกลืนเยี่ยงชิงหลินได้ดีเยี่ยม เหตุนี้ท่านป้าท่านลุงจึงยื่นของกำนัลให้ตลอดทาง เห็นได้ชัดว่าชิงหลินได้รับความเอ็นดูหรือไม่ก็ถูกมองว่าน่าสมเพชเวทนาไม่น้อยจากผู้คนในหมู่บ้าน
แน่นอนว่าซานซานไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ นางยินดีรับสินน้ำใจทั้งหมดโดยไม่ต้องร้องขอ ไม่ต้องเสียเงิน
เดิมทีในความคิดแรกเริ่มของหญิงสาวมีแต่เรื่องการฝึกฝนเคล็ดวิชาเฉกเช่นชาติปางก่อน ทว่านางรอเวลาอย่างใจเย็น ให้ร่างกายของเหย่หนิวแข็งแรงกว่านี้เสียก่อนเท่านั้น ส่วนตัวนางก็ค่อยๆ ฝึกกล้ามเนื้อพื้นฐานโดยการออกแรงทำงานต่างๆ เช่นนี้ ไม่กี่ปีหลังจากมีกำลังวังชาเพิ่มมากขึ้นค่อยท่องยุทธ์ก็ยังไม่สาย
ไม่ต้องใช้คัมภีร์ ไม่ต้องแผ่ตำรา เพราะทุกสรรพวิชาล้วนถูกจดจำอยู่ในสมอง ขอเพียงได้หมั่นฝึกฝนซ้ำอีกครา ใต้หล้านี้จะไปไหนเสียเล่า
เมื่อได้ผ้าที่ต้องการมาแล้วซานซานก็เดินเที่ยวตลาดอีกครู่ใหญ่เพื่อมองหาเครื่องประดับสักชิ้นสองชิ้น ระหว่างนั้นยังครุ่นคิดถึงสามี
หลายวันมานี้ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ นางคิดสงสัยว่าเหย่หนิวแปลกไป เขาคงกำลังมีเรื่องไม่สบายใจอยู่เป็นแน่
ด้วยนิสัยของซานซานที่มิใคร่ละเอียดอ่อนกับเรื่องเล็กน้อย ยิ่งไม่คิดก่อกวนถามจุกจิกรำคาญใจ นางจึงปล่อยไปเช่นนี้ หากรอไปสักพักคิดว่าเขาคงจะบอกด้วยตนเองในสักวัน
ในเมื่อยามนี้เขายังไม่รีบ แล้วนางจะบีบคั้นเพื่ออันใด?
ทว่าเมื่อคิดให้ดีอีกที ซานซานเห็นเขาอยากได้ชุดใหม่ อาจเป็นไปได้ว่าต้องการเป็นที่ยอมรับ ใบหน้าที่อัปลักษณ์อาจจะกำลังเป็นอุปสรรคขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
บุรุษผู้หนึ่งซึ่งกำลังหลงรักภรรยามากล้น จึงเริ่มจะทนไม่ได้ที่สตรีของตนต้องถูกดูแคลน
อา...คงเป็นเช่นนั้น
ระหว่างเดินซื้อของ ซานซานขมวดคิ้วหรี่ตาครุ่นคิดลึกซึ้ง ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะขึ้นเขาไปเฟ้นหาหญ้าพิษชนิดหนึ่งชื่อว่า จันทราแดง ซึ่งหาไม่ยากขอแค่รู้จักและรู้แหล่งที่อาศัยเติบใหญ่ หญ้าพิษชนิดนี้จะหุบกิ่งเก็บใบคล้ายหลับใหลในยามทิวา แต่จะผงาดกล้าในยามราตรี ลำต้นเรียวเล็ก ขึ้นอิงแอบกับต้นไม้ใหญ่ ยามสะท้อนแสงจันทร์จะมองเห็นเป็นสีแดงอ่อนจางรำไร หากว่าไม่สังเกตดีๆ ย่อมไม่เห็นโดยง่าย
พิษของมันใช้สลายเนื้อเยื่อบริเวณผิวหนังมนุษย์
ซานซานคิดจะใช้หญ้าตัวนี้สลายเนื้อเยื่อแผลเป็นบนใบหน้าของสามี ก่อนจะใช้ว่านโลหิตซึ่งเป็นพิษอีกชนิดหนึ่งผสานผิวหนังอีกครั้ง เรียกได้ว่าพิษล้างพิษ
ขณะกำลังคิด พลันได้ยินเสียงหนึ่งตะโกนก้อง
“ไฟไหม้ ไฟไหม้”
เสียงนั้นเป็นเสียงของเด็กน้อยอายุแปดเก้าขวบมีจำนวนประมาณสี่ห้าคน วิ่งไปตะโกนไป ฟังดูตื่นตระหนกลนลานมากนัก เด็กๆ กลุ่มนี้มักจะชอบไปเล่นน้ำที่ลำธารท้ายหมู่บ้าน
พวกเขาช่วยกันกู่ก้องประสานเสียงไปทั่วตลาดไม่หยุด
“มีไฟไหม้ มีไฟไหม้ ไปช่วยกันดับเร็ว”
ชาวบ้านที่ได้ยินก็รีบถาม “ที่ใด? ไฟไหม้ที่ใด?”
พวกเด็กๆ รีบแย่งกันตอบ “ที่เรือนไม้ไผ่ท้ายหมู่บ้าน”
ซานซานได้ยินคิ้วพลันขมวดวูบ เห็นเด็กน้อยยืนยันอีกว่า
“บ้านของกงหนิว ไฟไหม้ ไฟไหม้”
ครานี้ดวงตานางเบิกกว้าง ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับหลุดมือร่วงตกพื้นดินกระจาย
“ไปพวกเรา ไปช่วยดับไฟ” ผู้คนพากันแตกตื่นโกลาหล รีบวิ่งเข้าบ้านไปหยิบถังไม้แล้วรีบเร่งไปทางทิศท้ายหมู่บ้านทันที
ชาวบ้านผิงเหยียนอันห่างไกลความเจริญแห่งนี้ มีดีที่น้ำใจ ร่วมกำลังสมัครสมานมาแต่ไหนแต่ไร
ไม่ว่าบ้านใดเดือดเนื้อร้อนใจหรือได้รับความอยุติธรรม พวกเขาก็พร้อมจะลุกขึ้น เรียกคืนความเป็นธรรมให้โดยไม่ลังเล
ตัวอย่างก็มีให้เห็นเมื่อครั้งที่ชิงหลินกับกงหนิวที่ลำธาร ครั้งนั้นถูกชิงลี่แอบป่าวประกาศว่ากงหนิวอยู่กับชิงหลินทั้งคืน แต่กลับนิ่งเฉยไม่รับผิดชอบ ทำให้ชิงหลินไม่กล้าออกจากเรือน
ชาวบ้านหลายคนยังไปช่วยคนสกุลหานกดดันกงหนิว จนทั้งสองได้แต่งงานกัน
หลังจากผู้คนตะโกนก้องเซ็งแซ่แจ้งข่าวกันเป็นทอดๆ ก็ยกขบวนวิ่งกรูไปช่วยดับไฟอย่างล้นหลาม
ซานซานวิ่งไล่ตามอยู่ทางด้านหลัง มีบรรดาท่านป้าวิ่งปลอบใจอยู่ข้างๆ ถามไถ่อย่างเป็นห่วงตลอดทาง
“อาหลิน สามีเจ้าอยู่ในบ้านหรือไม่ จะเป็นเช่นไรบ้าง”
“ทำใจดีๆ นะอาหลิน”
“ไม่เป็นไรนะ ต้องไม่เป็นไร”
ทว่าซานซานไม่สนใจฟังแล้ว นางวิ่งนำหน้าไปไกลลิบ ปล่อยท่านป้าทั้งหลายให้วิ่งเหนื่อยหอบอยู่ทางด้านหลัง
เรือนไม้ไผ่ท้ายหมู่บ้านท่ามกลางแสงแดดสว่างไสว กำลังมีควันพวยพุ่ง มีเปลวไฟลุกไหม้อย่างร้อนแรง พริบตานั้น ...ฟ้าดินพลันเปลี่ยนเป็นหมองหม่นน่าสะพรึง ซานซานวิ่งมาทันเห็นชาวบ้านต่างรีบร้อนช่วยกันดับไฟอย่างอลหม่านวุ่นวายพวกเขาแต่ละคนถือถังไม้วิ่งไปที่ลำธาร ตักน้ำขึ้นมา แบกขึ้นหน้า วิ่งปรี่เร็วรี่แล้วสาดโครมไปที่เปลวเพลิงร้อนฉ่าตั้งแต่ต้นทางเดินอันเล็กแคบไปถึงลานหน้าบ้านไม้ไผ่ล้วนมีไฟไหม้โหม ผู้คนตะโกนก้องดังลั่นให้เร่งมือดับไฟยกใหญ่ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแต่คล้ายชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึก ท้ายหมู่บ้านที่เคยมีเรือนไม้ไผ่ริมลำธารตั้งอยู่ บัดนี้เหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง รอบด้านเต็มไปด้วยเถ้าถ่านสีดำ ต้นไม้ดอกไม้และพืชผักราบคาบเป็นหน้ากลองท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านที่ช่วยกันดับไฟวุ่นวายก่อนหน้า บัดนี้กำลังยืนนิ่งมองศพของผู้หนึ่งด้วยสีหน้าตะลึงลาน แววตาเต็มไปด้วยความพรั่นพรึงชั่ววูบนั้น เหมือนฟ้าฟาดลงมากลางหน้าผากซานซานหญิงสาวเดินแหวกกลุ่มคนเข้ามาด้วยความหวาดหวั่นเบื้องหน้า บนเถ้าถ่านสีดำคลุมผืนดิน บุรุษหนุ่มตัวใหญ่ ใบหน้ามีแผล นอนทอดกายยาวเหยียด ไร้ลมหายใจ ในสภาพถูกไฟคลอกจนตายศพในซากเรือนไม้ย
คืนวันหมุนเวียนบรรจบ แสงแดดเจิดจ้า สะท้อนทุกสรรพสิ่งบนผืนดินสายลมยังคงไล้ผ่าน ทว่าซานซานกลับไร้การเคลื่อนไหว กระทั่งตะวันคล้อยต่ำบ่งบอกว่าใกล้ค่ำ นางยังนิ่งไม่เปลี่ยนกิริยาภายใต้ร่มสีแดงคันเดิม เรือนร่างในอาภรณ์สีขาวยังคงยืนหน้าหลุมศพอย่างสงบเงียบงัน ทั้งวังเวงและเวิ้งว้างสุดจะหยั่งแววตาหญิงสาวเหม่อลอย ดวงหน้าซีดขาวราวกระดาษ จ้องนิ่งเพียงจุดเดียว คือเนินดินตรงหน้าหลุมศพของเหย่หนิวหลายวันแล้วที่ซานซานรับรู้แค่ความเวิ้งว้างไร้จุดสิ้นสุด โดดเดี่ยวสุดแสน ไม่มีพลังแห่งชีวิตหลงเหลือนางอยู่เพียงลำพัง ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เห็นเพียงความเงียบเหงาวังเวงบนป้ายสุสาน เนิ่นนานก็ยังไม่เห็นสิ่งใด นอกจากความมืดมนในใจ ทั้งอับจนหนทางหญิงสาวหลับตาลง ปรับลมหายใจอีกครั้ง ก่อนลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วหมุนกายเดินเอื่อยเฉื่อยลงจากเขาริมลำธารยามนี้มีเพิงเล็กๆ แค่อาศัยซุกตัวนอนเท่านั้น ทั้งๆ ที่เรือนไม้ไผ่เหลือแต่ซากเป็นนานแล้ว แต่ซานซานก็ยังเฝ้าวนเวียนอยู่ที่แห่งนี้มิได้ไปไหน นางอยู่กับความหวังอันริบหรี่ว่าบางทีเหย่หนิวอาจกลับมาฉับพลันนั้น ซานซานบังเกิดความคิดนี้ขึ้นกะทันหันนางกำลังรอเขา กระนั้นหรือ?เมื่อคิดได
ทิศบูรพาห่างไกลจากหมู่บ้านผิงเหยียนหลายพันลี้ คือเมืองหลวงหมิงเวยอันเจริญรุ่งเรืองของแคว้นต้าถังเมืองกว้างใหญ่แห่งนี้ อุดมสมบูรณ์พร้อมพรั่ง มีทั้งจวนและคฤหาสน์ตั้งตระหง่านทั่วสารทิศ ชาวประชาร่ำรวยมั่งคั่งกลางเมืองคือพระราชวังหรูหราอลังการ ล้อมรอบด้วยกำแพงสีแดงสูงตระหง่าน ด้านหลังกำแพงมีวังรโหฐาน มีตำหนักมากมาย หนึ่งในนั้นคือตำหนักบูรพาที่เคยขาดรัชทายาทผู้เป็นเจ้าของ บัดนี้คนผู้นั้นได้กลับมาแล้ว ตำหนักวิจิตรขนาดใหญ่ ได้รับการตกแต่งพิถีพิถันงดงามตระการตา ในห้องประดับประดาสิ่งของมงคล เครื่องเรือนทุกชิ้นล้วนล้ำค่า บนเตียงหรูหราล้อมผ้าม่านโปร่งระย้า มีร่างสูงสง่านอนหลับใหลด้วยอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ถึงแม้จะนอนนิ่งเพราะเจ็บป่วย แต่กระนั้นกลับสง่างามหาใครเปรียบเพราะวิชาแปลงโฉมให้อัปลักษณ์มิให้ใครจำได้ถูกปลดออกแล้วจนสิ้น จึงเผยรูปโฉมแท้จริง เป็นบุรุษหนุ่มหล่อเหลา สันกรามเรียวคม ผิวหน้าเนียนละเอียด เรียวคิ้วดั่งหมึกวาด จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากได้รูปสีแดงสด ทุกส่วนสมบูรณ์แบบแม้เปลือกตาปิดสนิท แต่เครื่องหน้ากลับงดงามเป็นเอก โดดเด่นปานนั้น ริ้วรอยแผลเป็นล้วนอันตรธานหายไปจ้าวเหว่ยถูกพาตัว
อู๋เจี๋ยกัดปากขมวดคิ้ว ครุ่นคิดจนหน้าย่น ในที่สุดก็เอ่ย “แต่ข้าก็ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเผาเรือนเพื่อทำศพปลอม”ยิ่งพูดองครักษ์หนุ่มยิ่งแง่งอนแสดงอาการขันทีออกมาจื้อหย่วนย่อมคุ้นชินกับบ่าวคนสนิทของจ้าวเหว่ยที่ดูแลรับใช้ข้างกายจนถูกส่งให้ฝึกวรยุทธ์ด้วยกันกับองค์ชายตั้งแต่ยังเยาว์วัย เขาถอนหายใจก่อนเอ่ยตามตรงด้วยสุ้มเสียงเย็นชา“แท้จริงนั้น รับสั่งคือให้ฆ่าสตรี แล้วพาบุรุษกลับมา”“หา!” อู๋เจี๋ยตกใจ “ปานนั้นเลยรึ?”จื้อหย่วนปรายตามองอีกฝ่ายที่แตกตื่นเกินงามแวบหนึ่ง ก่อนดึงสายตากลับมามองจ้าวเหว่ยแล้วกล่าวอีกว่า“องค์ชายอายุยังน้อย ใต้หล้ากว้างใหญ่ หนทางยาวไกล ยังมีเรื่องราวอีกมากมายบนถนนแห่งชีวิตรอให้ประสบพบเจอ การคงอยู่ของนางอาจจะกลายเป็นขวากหนามขัดขวางหนทางเบื้องหน้าอันรุ่งโรจน์ของเขา ตำแหน่งรัชทายาทนี้ ข้ายังไม่เห็นผู้ใดเหมาะสมยิ่งกว่าเขา”จื้อหย่วนถอนหายใจหนักอก กล่าวอีกว่า“ข้ายอมรับว่าไม่อาจตัดใจฆ่าคนสำคัญของศิษย์ตนเอง จึงยอมเสี่ยงแบกรับความผิดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ศพปลอมทำขึ้นเพื่อตบตาศัตรูนั้นไม่ผิด แต่ประเด็นสำคัญคือสตรีขององค์ชาย ต้องเข้าใจว่าสามีตาย ตัดขาดจากกันชั่วนิรั
ในห้วงความคิดชั่วขณะนี้นั้น รัชทายาทหนุ่มกำลังนึกถึงใครบางคน จึงเอ่ยถามเสียงขรึมไปทางอู๋เจี๋ย“ระหว่างที่ข้าหมดสติ เจ้าได้ไปสืบดูหรือเปล่า ว่านางกำลังวุ่นวายทำสิ่งใด?”จ้าวเหว่ยแน่ใจว่าคนฉลาดเยี่ยงซานซาน ย่อมดูออกได้ไม่ยาก ว่านั่นคือศพปลอมและนิสัยไม่ชอบอยู่เฉยของนาง บางทีอาจจะกำลังออกตามหาเขา ถึงขั้นติดประกาศตามหาสามีจนเรื่องราวบานปลาย ต้องเสี่ยงอันตรายเกินรับมือระหว่างครุ่นคิด เสียงอู๋เจี๋ยพลันดังแทรก“ทูลองค์ชาย กระหม่อมย่อมรู้พระทัย ช่วงที่พระองค์ทรงหลับใหลมิได้สติ กระหม่อมหาได้ใจเย็นไม่ จึงออกไปสืบข่าวของแม่นางชิงหลินโดยตลอด เพื่อรอรายงานพ่ะย่ะค่ะ”จบคำก็ยิ้มกริ่มภาคภูมิใจยิ่ง ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือสายตาคมกริบ คล้ายใบมีดจ่อคอหอย อันบอกเป็นนัยจากนายเหนือหัวว่า จงรีบเล่ามาอย่ามัวพล่ามไร้สาระอู๋เจี๋ยจึงกระแอมหนึ่งที แล้วรีบรายงาน“นับแต่เกิดเรื่องแม่นางชิงหลินก็เสียใจสุดทานทน ร่ายรำทั้งน้ำตา หลังจากนั้นก็เฝ้าหลุมศพไม่ผละจาก ปลูกเพิงอยู่อาศัยริมลำธารไม่ยอมไปไหน มิได้วุ่นวายอันใดด้วยพ่ะย่ะค่ะ”จ้าวเหว่ยรับฟังเงียบเชียบ เม้มปากสนิท สองมือกำแน่น นัยน์ตาคมดำทอประกายลึกล้ำ ได้ยินคนสนิท
บนเตียงนอนขนาดกลางภายในเรือนหลังหนึ่งของบ้านหาน มีสตรีชุดขาวนอนทอดกายยาวเหยียดหลับใหลซานซานถูกเด็กหนุ่มนามชิงหลิวพาตัวกลับมาบ้านเดิม อยู่ภายในเรือนไผ่หยกหลังเดิม อันเป็นสถานที่ที่ชิงหลินเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่เกิดจนถึงก่อนแต่งงาน ชิงหลิว เป็นน้องชายแท้ๆ ของชิงหลินยามนี้ชิงหลิวอายุสิบสามปีแล้ว ถึงแม้จะเป็นที่รักของบิดาและมารดา แต่กลับมีนิสัยคล้ายพี่สาวอยู่ไม่น้อยชิงหลินเป็นสตรีขี้ขลาดอ่อนแอ ชิงหลิวจึงเป็นบุรุษขี้อายพูดน้อยภายในห้องนอนของเรือนไผ่หยก ชิงหลิวนั่งเฝ้าพี่สาวอยู่เงียบๆ ที่โต๊ะมุมห้อง สายตามองอีกฝ่ายอย่างห่วงใย ในใจคิดว่าโชคดีเหลือเกินที่เขาชวนมารดาเดินทางไปเยี่ยมพี่สาว จึงได้เห็นนางนอนสลบไสลอยู่ในเพิงไม้ไผ่การแต่งงานอันรวบรัดของพี่สาวกับกงหนิวท้ายหมู่บ้าน ตัวเขาที่เป็นน้องชายกลับไม่ค่อยรู้เรื่องราวสักเท่าไหร่ หากเอ่ยตามจริงก็รู้พอๆ กับพี่สาวไม่มากไปกว่ากัน แต่กระนั้นเขาก็มิได้นึกสงสัยอันใด เพราะบุรุษที่ล่วงเกินสตรีย่อมต้องรับผิดชอบแต่งเข้าบ้านอยู่แล้วกงหนิวผู้นั้นกับพี่สาวของเขาหายไปด้วยกันหนึ่งคืนเชียวหากมองข้ามเรื่องผลประโยชน์ทางการค้าที่หานอี้ซวนให้ความสำคัญเหนือสิ่งใ
เมื่อหันไปเจอสายตาของผู้เป็นมารดาที่เผยความนัยว่าบุตรสาวตรงหน้ามีชีวิตที่น่าสมเพชเวทนา ซานซานพลันหรี่ตา เอ่ยเสียงเย็นว่า“ท่านแม่ออกไปก่อนเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียว”เจียหรู๋ได้ยินเช่นนั้น คิ้วโก่งก็ขมวดวูบ นึกสงสัยกับน้ำเสียงห่างเหินไม่เหมือนเดิมของบุตรสาว แววตายังแข็งกร้าว ทั้งยังกล้าไล่นางออกจากห้องเจียหรู๋ยืนอึ้งครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามตามตรง “เจ้าโกรธแม่เรื่องที่ส่งเสริมให้แต่งงานกับกงหนิวหรือ?”ซานซานไม่ตอบกลับคำถามนั้นเพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ขอบคุณท่านแม่ที่เป็นห่วง ข้าคิดได้แล้วเจ้าค่ะ”แม้ยังรู้สึกฉงนกับความเปลี่ยนแปลงนี้ แต่เจียหรู๋ก็ทำได้แค่ถอนหายใจโล่งอก “อืม...เช่นนั้นย่อมดี เจ้าพักผ่อนเถอะ อย่าได้ฟุ้งซ่านจนเกินไป”นางเอ่ยอย่างจนใจ ก่อนหมุนกายเดินจากไป ในใจคิดว่า บุตรสาวคงเจอเรื่องสะเทือนขวัญจนนิสัยเปลี่ยนไปแล้วกระมังเมื่อได้อยู่เพียงลำพัง ซานซานจึงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้นนั่ง ปรับลมหายใจครู่หนึ่งก็ยืนขึ้น แล้วเดินไปที่หน้าต่าง รับสายลมและแสงแดด เรียกสติสัมปชัญญะทั้งหมดกลับคืนให้แก่ตนเองไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย แต่เหย่หนิวของนางก็นับได้ว่าจากไปแล้วถึงแม้จะไม่อาจตัดใจแต่ก็ไม่อาจเว้า
ในช่วงค่ำคืนหนึ่งหานอี้ซวนกลับจากไปค้าขายต่างถิ่นพร้อมคณะเดินทางที่มีบ่าวไพร่สี่ห้าคนในจำนวนนั้น มีสตรีงดงามติดตามกลับมาด้วย ท่าทางของหานอี้ซวนบ่งบอกได้ว่ากำลังหลงใหลติดใจยิ่งนักทุกคืนต่อมา เขามักจะค้างแรมกับสตรีผู้นั้นไม่ว่างเว้น ยามกลางวันยังอยู่ด้วยกันไม่ห่างกายทำตัวประหนึ่งคู่รักในวัยแรกแย้มกระนั้นอนุใหม่นางนี้มีนามว่า จี้เหยาจี้เหยาเป็นสตรีที่มีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ระเหิดระหงสมส่วน กิริยานุ่มนวลอ่อนช้อย ท่วงท่ากรีดกรายงดงามหยาดเยิ้ม เรียวคิ้วดวงตาทรงเสน่ห์ตราตรึง ริมฝีปากอวบอิ่มแดงจัด พวงแก้มชมพูระเรื่อ ดวงหน้าจิ้มลิ้มชวนเอ็นดู ยามยิ้มยังหวานหยดลึกซึ้งติดตรึงใจ ชวนคะนึงฝันหาเพียงแรกพบประสบพักตร์ไม่รู้ว่าหานอี้ซวนไปเจอจี้เหยาในหอคณิกาเมืองใดเจียหรู๋แม้เจ็บปวดใจ แต่ก็ทำได้เพียงจำทน ทำตัวเป็นภรรยาเอกที่ดี ดูแลทั้งสามีและอนุภรรยาตามหน้าที่ ไม่ขาดตกบกพร่อง ในขณะที่อนุจูกลับเดือดร้อนแทนเนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมา อนุจูเป็นคนที่หานอี้ซวนรักใคร่มาโดยตลอด ได้ครอบครองหานอี้ซวนมากกว่าเจียหรู๋เนิ่นนาน บัดนี้กลับมีสตรีอื่นมาแย่งชิงความโปรดปรานอนุจูที่เคยนุ่มนวลอ่อนหวาน จึงเปลี่ยนไป นางด
“อาจารย์ได้โปรดกลับไปกับข้าเถิด เป็นประมุขนารีแดง" ซานซานขมวดคิ้วมุ่น ครุ่นคิดเคร่งเครียดก่อนปฏิเสธตามตรง “ข้ายังไม่มีเงิน ยังไม่สามารถเลี้ยงสมุนมากมายปานนั้น กำลังอยู่ในช่วงตั้งตัว เอาไว้ร่ำรวยเมื่อใดค่อยกลับไปแล้วกัน”เรื่องเงินถือเป็นปัจจัยสำคัญของพวกนักฆ่ารับจ้าง หาใช่ลาภยศชื่อเสียงเยี่ยงคนของวังหลวงไม่ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันสำนักในยุทธภพเหล่านี้ทำงานให้ชนชั้นสูงอยู่เงียบๆ รับเงินเป็นกอบเป็นกำเพื่อดำรงชีพ ทำงานลึกลับฝังตัวซ่อนเร้นให้องค์กรใต้ดินมาช้านานเมื่อได้รับคำปฏิเสธ หยุนผิงจึงมีสีหน้าเศร้าสลด อดคิดมิได้ว่า ควรเร่งหาเงินให้มาก อาจารย์จะได้กลับสำนัก นางเอ่ยเสียงเครือ “อาจารย์...เช่นนั้นข้าจะช่วยท่านเก็บเงินอีกทางหนึ่ง”“หืม...” ซานซานมองหน้าหยุนผิง พลางถามเสียงเรียบ “คงมิใช่เร่งสังหารเป้าหมายหรอกกระมัง”“แล้วจะให้ทำเช่นใดเล่า งานสำเร็จย่อมได้เงินมากโข”ซานซานหรี่ตาใคร่ครวญลึกซึ้ง ก่อนถามเสียงขรึม“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าถูกผู้มีอำนาจขู่บังคับให้ทำงานสังหารบุคคลสำคัญ ผู้ใดว่าจ้างให้มาสังหารใครรึ? ได้คุ้มเสียหรือไม่?”หยุนผิงมีสีหน้าลำบากใจยากเอื้อนเอ่ยซานซานนิ่งคิดใช้เวลาไตร่ตร
ซานซานปัดมืออีกฝ่ายออกจากไหล่ตนพลางเอ่ยเนิบช้า“ในเมื่อเจ้าล่วงรู้วิชาของข้า และข้าก็ล่วงรู้วิชาของเจ้า เกรงว่าสองเราคงเป็นศิษย์สำนักเดียวกันกระมัง”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ซานซานก็นิ่งคิดชั่วครู่ไม่ถูก! เคล็ดวิชานี้ เป็นนางที่คิดค้นไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว จะเป็นศิษย์สำนักเดียวกันได้อย่างไร นางควรเป็นอาจารย์ทวดของอีกฝ่ายถึงจะถูกต้อง!คิดเสร็จหญิงสาวก็โบกมือไม่ถือสา กล่าวเสียงเรียบว่า“เอาล่ะๆ นางมารเช่นเจ้ากล้าปลอมตัวเป็นนางรำเข้ามาในงานของวังหลวง คงถูกว่าจ้างมากระมัง จะสังหารใครรึ?”ประหนึ่งคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ หยุนผิงยิ่งอึ้งตะลึงงัน ปลายนิ้วสั่นเบาๆ เล็บแหลมคมเริ่มหดกลับเข้ามาในเนื้อ ผิวกายที่มีอักขระน่ากลัวค่อยๆ เลือนหาย ท้ายที่สุดนัยน์ตาสีแดงปานโลหิตก็ดำขลับเช่นเดิม เผยความงดงามหยาดเยิ้มดุจเดิมเพราะเคล็ดวิชาในตำนานมีเพียงอาจารย์ทวดต้นตำรับเท่านั้นที่สามารถล่วงรู้ได้ว่าวิชาที่ตกทอดเป็นเพียงหนึ่งในวิชาใดหยุนผิงคุกเข่ากระแทกพื้นเรียกซานซานเสียงสั่นเครือ “ท่านอาจารย์ทวด...”ถึงแม้จะทำใจเอาไว้แล้ว แต่หางคิ้วก็อดกระตุกมิได้ “เรียกเสียแก่เลยเชียว เรียกแค่อาจารย์หญิงก็พอกระมัง”หยุนผิงยืน
ค่ำคืนยาวนาน งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปจ้าวเหว่ยนั่งลงมองเพียงปลายนิ้วมือที่ไล้วนจอกเหล้าด้วยความเบื่อหน่ายอีกครั้ง รอเวลาอันเชื่องช้าเคลื่อนผ่านอย่างเงียบงัน ในใจคิดถึงแต่ใครบางคนอันเป็นรางวัลแห่งค่ำคืนและแล้วภายใต้ใบหน้าอันแสนจะเย็นชา รัชทายาทหนุ่มพลันได้แผนการใหม่ในการจัดการกับภรรยาในใจปรารถนาให้สิ้นสุดงานเลี้ยงโดยไวการเสวนาโต้ตอบระหว่างฮ่องเต้กับบรรดาขุนนางยังคงมีไม่ขาดสาย พร้อมเชื้อเชิญกึ่งท้าประชันฝีมือระหว่างตระกูลด้วยการนำเสนอความสามารถของบุคคลชั้นสูงคุณหนูแต่ละคนได้รับการสนับสนุนให้ออกมาแสดงฝีมือกลางลานกว้าง เปลี่ยนทุกการแสดงจากการมอบความสำราญเป็นแสดงความสามารถอันหาได้ยากยิ่งแทน มีทั้งการบรรเลงพิณ แต่งโคลงต่อกลอน และร่ายรำเมื่อการแสดงรอบนี้เป็นสตรีชั้นสูง กระทั่งการร่ายรำบิดเอวส่ายสะโพกจึงมิใช่เป็นการแสดงชั้นต่ำ อีกทั้งยังสูงส่งเทียมฟ้าทุกนางล้วนงดงามสะกดสายตา ยิ่งชาติตระกูลสูงศักดิ์ ยิ่งกลายร่างเป็นโฉมสะคราญหยาดฟ้าแต่ละนางอวดโฉมในด้านที่ดีที่สุดให้องค์รัชทายาทได้ยล พยายามดึงดูดเขาด้วยรูปโฉมและฝีมือในศาสตร์ทุกแขนงเวลาแห่งค่ำคืนค่อยๆ ดำเนินไปช้าๆ ระหว่างนั้นซานซานก็กล
บรรดาคุณหนูในงานต่างโล่งใจที่เป็นซานซาน เพราะสตรีผู้นี้ย่อมไม่อาจได้รับสิทธิ์ปีนเตียงรัชทายาท หรือต่อให้ร่วมวสันต์จริง ก็ยังต้องเป็นได้แค่สาวใช้อุ่นเตียงไร้ค่า บนแท่นประทับ โอรสสวรรค์ยังคงแย้มพระสรวลน้อยๆ พระองค์ตรัสแล้วย่อมไม่อาจคืนคำ ในเมื่อประกาศแล้วว่าจะมอบรางวัลให้บุตรชาย ก็ควรต้องเป็นไป “เช่นนั้น เจ้า...” ฮ่องเต้ชี้นิ้วไปทางซานซาน “รั้งอยู่...”เบื้องหน้าคือองค์จักรพรรดิผู้มีอำนาจล้นฟ้า ถัดมายังเป็นองค์รัชทายาทผู้สูงส่ง รอบด้านยังมีแต่ชนชั้นสูงศักดิ์ ซานซานที่เป็นสตรีผู้น้อยต้อยต่ำมีหรือจะปฏิเสธได้ หญิงสาวจึงยอบกายแนบพื้นน้อมรับเสียงเบา มิอาจเป็นอื่นสิ้นคำตรัสฮ่องเต้ จ้าวเหว่ยเพียงตอบรับเสียงเรียบ “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”ครานี้หลี่กุ้ยเฟยคลายหัวคิ้ว ยกยิ้มงาม เพราะเป็นซานซานย่อมดีกว่านางรำแปลกหน้า คนกันเองทั้งนั้น ไว้ใจได้เหตุที่หลี่ฮุ่ยเยี่ยนไว้ใจซานซานมิใช่เพียงแค่นั้น แต่เป็นเพราะซานซานชอบเพียงเงินทอง ไม่ฝักใฝ่อำนาจ ไม่เป็นอันตรายต่อตำแหน่งรัชทายาทของจ้าวเหว่ยแน่นอนปราศจากเสียงคัดค้าน มีเพียงสายตายอมรับได้ รอบด้านมิได้ริษยาซานซานเทียบเท่าหยุนผิงที่งามเลิศล้ำ สายตาคล้าย
บนแท่นประทับมังกร ฮ่องเต้ตรัสกับขันทีด้านหลัง“พาแม่นางฮวาไคไปพำนักในห้อง รอพาตัวเข้าวังบูรพา”ขันทีค้อมกายน้อมรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ”ถ้อยวาจาเหล่านี้ยังคงเรียกรอยยิ้มบางเบาให้ประดับบนใบหน้าหล่อเหลาของจ้าวเหว่ยเช่นเคย เขาลุกขึ้นยืนประสานมือแล้วเอ่ยกับพระบิดาทันที“ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพึงใจกับรางวัลในค่ำคืนนี้ เพียงแต่สตรีที่ปรบมือให้ หาใช่แม่นางผู้นั้นไม่ รางวัลก็ควรเปลี่ยนไป เป็นนางผู้นี้”ฮ่องเต้ขมวดพระขนง ปรายพระเนตรมองบุตรชาย “หืม?”โซวอ๋องชะงักนิ่ง หยุนผิงยอบกายแข็งค้างจ้าวเหว่ยเน้นอีกครั้งปรายสายตาไปทางซานซาน“เป็นนางพ่ะย่ะค่ะ”ยามนั้นทุกคนถึงได้สังเกตเห็นซานซานที่เดิมทีคล้ายวิญญาณ ประหนึ่งหมอกควันที่เห็นเพียงเลือนลางเวลาก่อนหน้านี้นับว่าเนิ่นนานทีเดียวที่หญิงสาวถูกความงามของหยุนผิงบดบังเอาไว้จนมิดชิดนางแค่อยู่ตามธรรมเนียมเพื่อรอรับรางวัล มิคาดฝันว่าจักกลายเป็นรางวัลเสียเอง...โซวอ๋องให้นึกกังขา จึงปรับสีหน้าตึงเครียดให้ราบเรียบดุจเดิมพลางเอ่ยด้วยเสียงทุ้มนุ่มเผยแววหยอกเอินว่า“การแสดงชุดใหญ่เพียงนี้ เหตุใดนางถึงได้รับความชอบเพียงผู้เดียวเล่า มีสิ่งใดพิเศษกระนั้
การตกอยู่ในภวังค์เช่นนี้ราวกับเป็นเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึก โดยมีซานซานทำตัวคล้ายหมอกมารไอปีศาจไร้ตัวตน นางคอยควบคุมบงการทุกคนได้อย่างเหนือชั้น ไร้ใครสังเกตและต้านทาน เครื่องมือคือหยุนผิงผู้โดดเด่นและนางรำทั้งหลายที่งดงามพร้อมครอบครองดลบันดาลเนิ่นนานผ่านไปเสียงพิณค่อยๆ แผ่วจาง แล้วหยุดลงในที่สุด ทุกคนพลันบังเกิดความรู้สึกนึกคะนึงหา มิอาจแยกจาก หากเพลงพิณรุนแรงกว่านี้เกรงว่าพวกเขาคงน้ำตาไหลพรากทว่าเมื่อได้สติกลับคืนปรากฏว่านางรำสิบกว่าคนกำลังพากันทยอยกรีดกรายจากไปคล้ายหมู่ภมรอิ่มน้ำหวานกลับถิ่น พริบตาคงเหลือเพียงมือพิณสองนางยอบกายแนบพื้นนอบน้อมตามธรรมเนียมปฏิบัติของแคว้นต้าถัง ผู้ดีดพิณย่อมอยู่ต่อเพื่อรอรับรางวัลจากผู้ชมชั่วขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในภวังค์ต้องมนต์จนเงียบงัน ยามนั้นองค์รัชทายาทพลันได้สติกลับมาคนแรกชายหนุ่มคล้ายหลุดจากท่าทีสุขุมนุ่มลึกอันเย็นชาถึงกับลุกขึ้นยืนแล้วปรบมืออย่างช้าๆ เผยสีหน้าชื่นชมอารมณ์ดี ท่าทางประหนึ่งถูกครอบงำตราตรึงจากบางสิ่งจ้าวเหว่ยผู้ไม่เคยให้ความสนใจในการแสดงครั้งใดกลับแสดงว่าชมชอบการแสดงชุดนี้จนออกนอกหน้า ทุกคนจึงได้รู้ตัวได้สติกลับคืนมา
ยิ่งคิดเรียวคิ้วบุรุษยิ่งขมวดมุ่นจนเป็นปมยากคลายตัว ขัดแย้งกับบรรยากาศอันแช่มชื่นรอบกายเต็มทีหากปล่อยให้ซานซานเข้าใจผิดเรื่องเหย่หนิวต่อไป บางทีอาจจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย อย่างน้อยนางย่อมไม่ถูกเพ่งเล็ง ทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากเสด็จแม่ต่อไปให้อู๋เจี๋ยได้รับผลกรรมเป็นเหย่หนิว ถูกซานซานเกลียดชัง ถูกคนรักเข้าใจผิดมหันต์ไปเช่นนั้น รอจนกว่าซานซานหายโกรธ เขาย่อมปล่อยอู๋เจี๋ยออกมาส่วนตัวเขาก็จะกลายเป็นชายหนุ่มคนใหม่ที่เข้าหานาง เป็นรัชทายาทสูงศักดิ์ผู้เพียบพร้อม เหนือชั้นกว่าเหย่หนิวทุกอย่างส่วนหลิ่งเอ๋อร์ก็เป็นองค์หญิงตัวน้อยช่วยกุมหัวใจของเสด็จแม่อยู่อีกทางให้เวลาบ่มเพาะความรักขึ้นมาใหม่แอบคบหากันไปก่อน รอกระทั่งเขาได้ขึ้นครองราชย์ มีอำนาจสิทธิ์ขาดค่อยว่ากันภายใต้สีหน้าราบเรียบเฉยชาไร้อารมณ์ รัชทายาทหนุ่มยิ่งคิดยิ่งร้อนรุ่มดังมีไฟสุมอยู่ในทรวงอก จนเลือดเดือดพล่าน เพราะเรื่องแรกที่เขาคิดการณ์ คือต้องจัดการซานซานให้ได้ก่อนดูเถิดว่าเขาจะเกี้ยวนางได้หรือไม่?ขณะที่จ้าวเหว่ยได้ข้อสรุปที่เรียกได้ว่าชั่วร้ายเพื่อภรรยา เสียงปรบมือเปิดงานด้วยการแสดงจากหอนางรำเลื่องชื่อก็เริ่มขึ้นสตรีงดงาม
งานเลี้ยงดำเนินไปด้วยบรรยากาศชื่นมื่นมีการสนทนาระหว่างฮ่องเต้ องค์ชาย องค์หญิง ขุนนางทั้งหลายฝ่ายบุรุษต่างมีสีหน้ารื่นรมย์เพราะถือเป็นโอกาสได้สำเริงสำราญเต็มที่ มีสตรีงดงามให้ได้ยล ทั้งยังสูงส่งมากความสามารถฝ่ายสตรียิ่งเบิกบานเพราะได้เปิดหูเปิดตาร่วมประชันโฉมและแสดงฝีมือหลังจากที่ต้องอดทนบ่มเพาะตัวตนแค่ในเรือนหัวข้อที่เสวนาล้วนแต่เป็นการสรรเสริญเยินยอประจบสอพลอ ยังมีต่อด้วยการโต้ตอบไปมาระหว่างอริที่เสแสร้งเป็นพันธมิตรนอกจากนั้นเรื่องที่คุยกันก็ไม่พ้นว่าบุตรชายหรือบุตรสาวบ้านใดเป็นใคร ยิ่งใหญ่แค่ไหน อายุเท่าไหร่มีความสามารถอันใด พร้อมออกเรือนหรือไม่ท่ามกลางถ้อยวาจาและเสียงหัวเราะที่แลกเปลี่ยนกัน มีเพียงบุรุษชุดม่วงขลิบทองยังคงเก็บอาการเบื่อหน่ายต่องานเช่นนี้เอาไว้ได้อย่างแนบเนียนด้วยท่าทางสุขุมนุ่มลึกใบหน้าหล่อเหลาซ่อนความเย็นชาในดวงตาคู่ดำด้วยการหลุบลงต่ำมองเพียงปลายนิ้วที่ไล้วนบนจอกเหล้าในมือขณะยกขึ้นจรดริมฝีปากเพื่อดื่มลงคอ ในใจของจ้าวเหว่ยที่เคยราบเรียบบัดนี้คล้ายมีระลอกคลื่นบางเบาเมื่อนึกถึงเรื่องราวบางประการภาพภายในห้องขังคุกหลวงอันมืดมิดปราศจากผู้อื่น ยามที่เจี้ยนจื้อห
หญิงสาวนางหนึ่งอายุราวยี่สิบปีค่อยๆ เผยโฉมออกมาจากกลุ่ม แล้วถามว่า “เจ้าคือคนของวังหลวงใช่หรือไม่? คิดใช้อำนาจข่มเหงพวกเราหรือไร?”ซานซานขมวดคิ้ววูบ “ข้ามิใช่คนของใครทั้งนั้น ไม่มีเหตุผลใดต้องข่มเหงเจ้า แค่มีวิธีดีๆ ให้ได้เงินง่ายๆ แบบทั่วถึงกัน”หญิงสาวคนเดิมจึงเดินมายืนประจันหน้ากับซานซาน นางมีผิวขาวราวหิมะ แต่งกายด้วยผ้าเนื้อบางเผยสัดส่วนชัดเจน ใบหน้ารูปไข่งดงามอ่อนหวานเย้ายวนอย่างที่สุด สะคราญโฉมพิลาศล้ำยิ่งกว่าองค์หญิงต้าถังด้วยซ้ำหญิงงามกล่าวกับซานซานด้วยน้ำเสียงแว่วหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า “ข้านามว่าหยุนผิง มือพิณ ทุกครั้งที่ขึ้นแสดงฝีมือ ข้าได้รับความโปรดปรานที่สุด เรียกเงินได้มากที่สุด แต่ก็เหน็ดเหนื่อยกับการเอาตัวรอดจากขุนนางบางคนที่คิดจะติดพันเพื่อซื้อตัวเข้าจวนที่สุดเช่นกัน หากเจ้าช่วยให้ข้าลดความเสี่ยงตรงนั้นได้ โดยที่ค่าตอบแทนไม่ลดลงจากที่เคยรับ ข้าก็ยินดีมอบหน้าที่ดูแลน้องสาวทุกคนในที่นี้ของข้าให้เจ้า”“พี่ผิง!” นางรำทุกคนอุทานอย่างตกใจหยุนผิงยกมือห้ามบรรดาน้องสาวมิให้โวยวาย แล้วกล่าวต่ออย่างใจเย็น “แต่หากเจ้าทำมิได้ ด้วยความงามของข้า รวมกับการได้รับเชิญขึ้นแสดงเพลงพิณ