ฝนตกติดต่อกันนานหลายวัน ในที่สุดเช้านี้ท้องฟ้าก็ปลอดโปร่ง หมู่เมฆเร้นหาย ตะวันแผดแสงแรงกล้า
ขณะที่ซานซานกำลังนั่งสางผมอยู่หน้าคันฉ่อง พลันมีมือหนึ่งยื่นมาแย่งหวีแล้วสางผมให้อย่างเบามือ
หญิงสาวมองผ่านกระจกตรงหน้า เห็นชายหนุ่มผู้เป็นสามีกำลังม้วนผมแล้วปักปิ่นให้ ได้ยินเสียงเขากล่าวว่า
“ปิ่นไม้นี้อาจไม่งาม แต่ข้าทำเองกับมือ เจ้าชอบหรือไม่?”
ปิ่นสลักด้วยมือรูปดาราเร้นจันทร์ปีนเกลียว ซานซานเอียงหน้ามองปิ่นไม้ในกระจกพลางคลี่ยิ้มรับ “อืม...ชอบมาก”
จ้าวเหว่ยเอ่ยอีก “วันหน้าข้าย่อมทำปิ่นหยกมอบให้เจ้า”
ซานซานลุกขึ้นยืนแล้วยืดตัวหอมสันกรามสามีหนึ่งที พร้อมคลี่ยิ้มละมุนตา “ขอบคุณท่านพี่”
เรียวตาคมวูบไหวบางเบายามมองภรรยา มุมปากใต้หนวดเครายกยิ้มเล็กน้อย ปลายนิ้วไล้เกลี่ยปอยผมที่ข้างแก้มให้ซานซานอย่างนุ่มนวล จ้าวเหว่ยอดใจไม่ไหวก้มหน้าจรดริมฝีปากกับหน้าผากมน แตะแต้มจุมพิตลงมาที่แก้มเนียนแล้วจูบนางตรงกลีบปากอุ่นนุ่มเนิ่นนาน ปรารถนาได้แนบชิดนางเช่นนี้ตลอดไป
ซานซานหลับตาพริ้มปล่อยให้สามีได้กระทำตามใจ
ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าริมฝีปากแดงฉ่ำจักได้รับอิสระ
“ยามบ่ายวันนี้อากาศสดใสไม่เบา ข้าจะเข้าไปในหมู่บ้าน หาซื้อผ้ามาปักให้ท่านดีไหม?”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วนึกกังขาในใจ แต่ปากกลับเอ่ยเสียงเรียบ “ย่อมดี ข้าเพียงหวังว่าเจ้าคงไม่ปักลวดลายงูกับไก่ให้”
ซานซานหลุดหัวเราะสดใสราวดอกไม้บาน “นั่นก็ไม่แน่!”
ถึงแม้ว่าชาวบ้านแถบนี้จักมิใคร่ใส่ผ้าปักลายกัน แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกหากภรรยาจะทำให้สามีเอาไว้ใส่ในเทศกาลสำคัญ
ร่มกระดาษสีแดงถูกกางออกยามที่หญิงสาวเดินจากไป เรือนร่างอรชรในชุดกระโปรงสีขาวตัดกับสีของร่มในมือนางได้อย่างลงตัว แลดูงดงามท่ามกลางต้นหญ้าเขียวขจี
ร่มคันนี้ด้ามเป็นลำไม้ไผ่สีเขียวสดผิวเรียบลื่น กระดาษสีแดงจัดจ้านเคลือบไขยังเป็นจ้าวเหว่ยตัดให้ซานซานกับมือ ตั้งแต่วันแรกที่ฤดูฝนมาเยือน
นางเป็นสตรีที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ฝนตกแดดออกก็ยังไม่หยุดมือหยิบจับงานจนวุ่นวาย เขาเกรงว่านางจะป่วยไข้จึงทำร่มให้
จ้าวเหว่ยยืนมองเงาร่างของซานซานที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวเอื่อยเฉื่อย กระทั่งเห็นเป็นเพียงจุดสีแดงเล็กๆ อยู่บนปลายถนนที่ทอดยาวจนไกลลับตา
แววตาบุรุษพลันสั่นไหว ทอประกายเวิ้งว้างรำไร
แรกเริ่มเขาจำใจต้องหลบเร้นซ่อนกายใช้ชีวิตเป็นกงหนิว อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทว่าเมื่อได้แต่งงานกับสตรีนางน้อยผู้ด่างพร้อยประจำหมู่บ้าน การเป็นกงหนิวกลับมิได้เลวร้ายอีกต่อไป
เดิมทีตำแหน่งองค์รัชทายาทเป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจเสมอมา ทว่าบัดนี้ฐานะอันสูงส่งเบื้องหลังกำลังทำร้ายบุรุษเช่นเขาอย่างไม่น่าให้อภัย
ชายหนุ่มถอนหายใจหนึ่งครา ก่อนหันกลับมาสนใจกับเนื้อตากแห้งตรงหน้า และเตรียมน้ำขิงเอาไว้สำหรับภรรยา
อากาศฤดูฝนยามฟ้าโปร่งนับได้ว่าสดใสไม่เบา แสงแดดที่แผดกล้านำพาความสว่างไสวไปทั่วผืนหญ้ารอบเรือนไม้ไผ่
ทว่าในใจของจ้าวเหว่ยกลับมืดมนสิ้นดี ยามคิดถึงรับสั่งของพระบิดาที่ต้องการให้เขากลับเข้าวังโดยการทิ้งสตรีของตนไว้เบื้องหลัง ให้กลายเป็นเพียงฝันหนึ่งตื่น
แล้วเขาจะทำเช่นนั้นหรือ?
คำตอบแน่ชัดอยู่แล้วว่า ไม่!
บุรุษผู้หนึ่งซึ่งกำลังอยู่ในช่วงตกต่ำที่สุดของชีวิตกลับได้พบพานสตรีเช่นซานซาน มิใช่เรื่องง่าย
คนเราเมื่อได้รับ ย่อมตอบกลับอย่างสาสม
สตรีของเขาหาใช่ต่ำตมดังที่ใครว่าไม่
นางนับเป็นสตรีล้ำค่า ไม่เพียงไม่รังเกียจกัน แต่ยังจริงใจอย่างที่ไม่เคยมีสตรีนางใดปรากฏ
เขาไม่ต้องการปล่อยนางไป
ดวงตาเรียวคมที่แสนเย็นชาปรายมององครักษ์คนสนิทที่กำลังทำหน้าเศร้าอยู่หลังพุ่มไม้ไกลลิบ
อู๋เจี๋ยยังคงคุกเข่าอยู่เช่นนั้นเพื่อขอร้องให้เขาทำตามรับสั่งแห่งองค์จักรพรรดิต้าถัง
จ้าวเหว่ยถอนสายตากลับ เดินเข้าบ้านไป ไม่สนใจอีก
ท่ามกลางความดึงดันของบุรุษหนุ่มที่ไม่อาจปล่อยให้ภาพสตรีของเขาต้องกลายเป็นแค่ฝันที่สลายไปมิอาจหวนคืน และภายใต้ภาวะกดดันขององครักษ์ที่ไม่อาจจำยอมให้นายเหนือหัวต้องแลก
ภายใต้ภาวะเหล่านั้นท้องฟ้าที่เดิมสดใสสว่างจ้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มฉับพลัน
มิใช่ฝนตกหรือเมฆาเคลื่อนตัวบดบังแสงตะวัน ทว่ากลับมีควันสีดำ อันเกิดจากเปลวไฟที่กำลังเผาไหม้ทำลายค่ายกลมรณะจนย่อยยับ และเงาคนชุดดำนับสิบอำพรางตัววูบไหว เคลื่อนกายอยู่รอบทิศเหนือเรือนไม้ไผ่
ทั้งจ้าวเหว่ยและอู๋เจี๋ย ไม่มีใครคาดคิดว่าจักเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นในวันนี้
กลางหมู่บ้านผิงเหยียนมีตลาดเพียงแห่งเดียวซานซานเดินเที่ยวอย่างใจเย็น ระหว่างทางเจอเพื่อนบ้านทักทายมาก็ส่งยิ้มนอบน้อมกล่าวทักทายกลับ ทำตัวกลมกลืนเยี่ยงชิงหลินได้ดีเยี่ยม เหตุนี้ท่านป้าท่านลุงจึงยื่นของกำนัลให้ตลอดทาง เห็นได้ชัดว่าชิงหลินได้รับความเอ็นดูหรือไม่ก็ถูกมองว่าน่าสมเพชเวทนาไม่น้อยจากผู้คนในหมู่บ้านแน่นอนว่าซานซานไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ นางยินดีรับสินน้ำใจทั้งหมดโดยไม่ต้องร้องขอ ไม่ต้องเสียเงิน เดิมทีในความคิดแรกเริ่มของหญิงสาวมีแต่เรื่องการฝึกฝนเคล็ดวิชาเฉกเช่นชาติปางก่อน ทว่านางรอเวลาอย่างใจเย็น ให้ร่างกายของเหย่หนิวแข็งแรงกว่านี้เสียก่อนเท่านั้น ส่วนตัวนางก็ค่อยๆ ฝึกกล้ามเนื้อพื้นฐานโดยการออกแรงทำงานต่างๆ เช่นนี้ ไม่กี่ปีหลังจากมีกำลังวังชาเพิ่มมากขึ้นค่อยท่องยุทธ์ก็ยังไม่สายไม่ต้องใช้คัมภีร์ ไม่ต้องแผ่ตำรา เพราะทุกสรรพวิชาล้วนถูกจดจำอยู่ในสมอง ขอเพียงได้หมั่นฝึกฝนซ้ำอีกครา ใต้หล้านี้จะไปไหนเสียเล่าเมื่อได้ผ้าที่ต้องการมาแล้วซานซานก็เดินเที่ยวตลาดอีกครู่ใหญ่เพื่อมองหาเครื่องประดับสักชิ้นสองชิ้น ระหว่างนั้นยังครุ่นคิดถึงสามีหลายวันมานี้ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ นางคิดสง
เรือนไม้ไผ่ท้ายหมู่บ้านท่ามกลางแสงแดดสว่างไสว กำลังมีควันพวยพุ่ง มีเปลวไฟลุกไหม้อย่างร้อนแรง พริบตานั้น ...ฟ้าดินพลันเปลี่ยนเป็นหมองหม่นน่าสะพรึง ซานซานวิ่งมาทันเห็นชาวบ้านต่างรีบร้อนช่วยกันดับไฟอย่างอลหม่านวุ่นวายพวกเขาแต่ละคนถือถังไม้วิ่งไปที่ลำธาร ตักน้ำขึ้นมา แบกขึ้นหน้า วิ่งปรี่เร็วรี่แล้วสาดโครมไปที่เปลวเพลิงร้อนฉ่าตั้งแต่ต้นทางเดินอันเล็กแคบไปถึงลานหน้าบ้านไม้ไผ่ล้วนมีไฟไหม้โหม ผู้คนตะโกนก้องดังลั่นให้เร่งมือดับไฟยกใหญ่ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแต่คล้ายชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึก ท้ายหมู่บ้านที่เคยมีเรือนไม้ไผ่ริมลำธารตั้งอยู่ บัดนี้เหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง รอบด้านเต็มไปด้วยเถ้าถ่านสีดำ ต้นไม้ดอกไม้และพืชผักราบคาบเป็นหน้ากลองท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านที่ช่วยกันดับไฟวุ่นวายก่อนหน้า บัดนี้กำลังยืนนิ่งมองศพของผู้หนึ่งด้วยสีหน้าตะลึงลาน แววตาเต็มไปด้วยความพรั่นพรึงชั่ววูบนั้น เหมือนฟ้าฟาดลงมากลางหน้าผากซานซานหญิงสาวเดินแหวกกลุ่มคนเข้ามาด้วยความหวาดหวั่นเบื้องหน้า บนเถ้าถ่านสีดำคลุมผืนดิน บุรุษหนุ่มตัวใหญ่ ใบหน้ามีแผล นอนทอดกายยาวเหยียด ไร้ลมหายใจ ในสภาพถูกไฟคลอกจนตายศพในซากเรือนไม้ย
คืนวันหมุนเวียนบรรจบ แสงแดดเจิดจ้า สะท้อนทุกสรรพสิ่งบนผืนดินสายลมยังคงไล้ผ่าน ทว่าซานซานกลับไร้การเคลื่อนไหว กระทั่งตะวันคล้อยต่ำบ่งบอกว่าใกล้ค่ำ นางยังนิ่งไม่เปลี่ยนกิริยาภายใต้ร่มสีแดงคันเดิม เรือนร่างในอาภรณ์สีขาวยังคงยืนหน้าหลุมศพอย่างสงบเงียบงัน ทั้งวังเวงและเวิ้งว้างสุดจะหยั่งแววตาหญิงสาวเหม่อลอย ดวงหน้าซีดขาวราวกระดาษ จ้องนิ่งเพียงจุดเดียว คือเนินดินตรงหน้าหลุมศพของเหย่หนิวหลายวันแล้วที่ซานซานรับรู้แค่ความเวิ้งว้างไร้จุดสิ้นสุด โดดเดี่ยวสุดแสน ไม่มีพลังแห่งชีวิตหลงเหลือนางอยู่เพียงลำพัง ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เห็นเพียงความเงียบเหงาวังเวงบนป้ายสุสาน เนิ่นนานก็ยังไม่เห็นสิ่งใด นอกจากความมืดมนในใจ ทั้งอับจนหนทางหญิงสาวหลับตาลง ปรับลมหายใจอีกครั้ง ก่อนลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วหมุนกายเดินเอื่อยเฉื่อยลงจากเขาริมลำธารยามนี้มีเพิงเล็กๆ แค่อาศัยซุกตัวนอนเท่านั้น ทั้งๆ ที่เรือนไม้ไผ่เหลือแต่ซากเป็นนานแล้ว แต่ซานซานก็ยังเฝ้าวนเวียนอยู่ที่แห่งนี้มิได้ไปไหน นางอยู่กับความหวังอันริบหรี่ว่าบางทีเหย่หนิวอาจกลับมาฉับพลันนั้น ซานซานบังเกิดความคิดนี้ขึ้นกะทันหันนางกำลังรอเขา กระนั้นหรือ?เมื่อคิดได
ทิศบูรพาห่างไกลจากหมู่บ้านผิงเหยียนหลายพันลี้ คือเมืองหลวงหมิงเวยอันเจริญรุ่งเรืองของแคว้นต้าถังเมืองกว้างใหญ่แห่งนี้ อุดมสมบูรณ์พร้อมพรั่ง มีทั้งจวนและคฤหาสน์ตั้งตระหง่านทั่วสารทิศ ชาวประชาร่ำรวยมั่งคั่งกลางเมืองคือพระราชวังหรูหราอลังการ ล้อมรอบด้วยกำแพงสีแดงสูงตระหง่าน ด้านหลังกำแพงมีวังรโหฐาน มีตำหนักมากมาย หนึ่งในนั้นคือตำหนักบูรพาที่เคยขาดรัชทายาทผู้เป็นเจ้าของ บัดนี้คนผู้นั้นได้กลับมาแล้ว ตำหนักวิจิตรขนาดใหญ่ ได้รับการตกแต่งพิถีพิถันงดงามตระการตา ในห้องประดับประดาสิ่งของมงคล เครื่องเรือนทุกชิ้นล้วนล้ำค่า บนเตียงหรูหราล้อมผ้าม่านโปร่งระย้า มีร่างสูงสง่านอนหลับใหลด้วยอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ถึงแม้จะนอนนิ่งเพราะเจ็บป่วย แต่กระนั้นกลับสง่างามหาใครเปรียบเพราะวิชาแปลงโฉมให้อัปลักษณ์มิให้ใครจำได้ถูกปลดออกแล้วจนสิ้น จึงเผยรูปโฉมแท้จริง เป็นบุรุษหนุ่มหล่อเหลา สันกรามเรียวคม ผิวหน้าเนียนละเอียด เรียวคิ้วดั่งหมึกวาด จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากได้รูปสีแดงสด ทุกส่วนสมบูรณ์แบบแม้เปลือกตาปิดสนิท แต่เครื่องหน้ากลับงดงามเป็นเอก โดดเด่นปานนั้น ริ้วรอยแผลเป็นล้วนอันตรธานหายไปจ้าวเหว่ยถูกพาตัว
อู๋เจี๋ยกัดปากขมวดคิ้ว ครุ่นคิดจนหน้าย่น ในที่สุดก็เอ่ย “แต่ข้าก็ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเผาเรือนเพื่อทำศพปลอม”ยิ่งพูดองครักษ์หนุ่มยิ่งแง่งอนแสดงอาการขันทีออกมาจื้อหย่วนย่อมคุ้นชินกับบ่าวคนสนิทของจ้าวเหว่ยที่ดูแลรับใช้ข้างกายจนถูกส่งให้ฝึกวรยุทธ์ด้วยกันกับองค์ชายตั้งแต่ยังเยาว์วัย เขาถอนหายใจก่อนเอ่ยตามตรงด้วยสุ้มเสียงเย็นชา“แท้จริงนั้น รับสั่งคือให้ฆ่าสตรี แล้วพาบุรุษกลับมา”“หา!” อู๋เจี๋ยตกใจ “ปานนั้นเลยรึ?”จื้อหย่วนปรายตามองอีกฝ่ายที่แตกตื่นเกินงามแวบหนึ่ง ก่อนดึงสายตากลับมามองจ้าวเหว่ยแล้วกล่าวอีกว่า“องค์ชายอายุยังน้อย ใต้หล้ากว้างใหญ่ หนทางยาวไกล ยังมีเรื่องราวอีกมากมายบนถนนแห่งชีวิตรอให้ประสบพบเจอ การคงอยู่ของนางอาจจะกลายเป็นขวากหนามขัดขวางหนทางเบื้องหน้าอันรุ่งโรจน์ของเขา ตำแหน่งรัชทายาทนี้ ข้ายังไม่เห็นผู้ใดเหมาะสมยิ่งกว่าเขา”จื้อหย่วนถอนหายใจหนักอก กล่าวอีกว่า“ข้ายอมรับว่าไม่อาจตัดใจฆ่าคนสำคัญของศิษย์ตนเอง จึงยอมเสี่ยงแบกรับความผิดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ศพปลอมทำขึ้นเพื่อตบตาศัตรูนั้นไม่ผิด แต่ประเด็นสำคัญคือสตรีขององค์ชาย ต้องเข้าใจว่าสามีตาย ตัดขาดจากกันชั่วนิรั
ในห้วงความคิดชั่วขณะนี้นั้น รัชทายาทหนุ่มกำลังนึกถึงใครบางคน จึงเอ่ยถามเสียงขรึมไปทางอู๋เจี๋ย“ระหว่างที่ข้าหมดสติ เจ้าได้ไปสืบดูหรือเปล่า ว่านางกำลังวุ่นวายทำสิ่งใด?”จ้าวเหว่ยแน่ใจว่าคนฉลาดเยี่ยงซานซาน ย่อมดูออกได้ไม่ยาก ว่านั่นคือศพปลอมและนิสัยไม่ชอบอยู่เฉยของนาง บางทีอาจจะกำลังออกตามหาเขา ถึงขั้นติดประกาศตามหาสามีจนเรื่องราวบานปลาย ต้องเสี่ยงอันตรายเกินรับมือระหว่างครุ่นคิด เสียงอู๋เจี๋ยพลันดังแทรก“ทูลองค์ชาย กระหม่อมย่อมรู้พระทัย ช่วงที่พระองค์ทรงหลับใหลมิได้สติ กระหม่อมหาได้ใจเย็นไม่ จึงออกไปสืบข่าวของแม่นางชิงหลินโดยตลอด เพื่อรอรายงานพ่ะย่ะค่ะ”จบคำก็ยิ้มกริ่มภาคภูมิใจยิ่ง ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือสายตาคมกริบ คล้ายใบมีดจ่อคอหอย อันบอกเป็นนัยจากนายเหนือหัวว่า จงรีบเล่ามาอย่ามัวพล่ามไร้สาระอู๋เจี๋ยจึงกระแอมหนึ่งที แล้วรีบรายงาน“นับแต่เกิดเรื่องแม่นางชิงหลินก็เสียใจสุดทานทน ร่ายรำทั้งน้ำตา หลังจากนั้นก็เฝ้าหลุมศพไม่ผละจาก ปลูกเพิงอยู่อาศัยริมลำธารไม่ยอมไปไหน มิได้วุ่นวายอันใดด้วยพ่ะย่ะค่ะ”จ้าวเหว่ยรับฟังเงียบเชียบ เม้มปากสนิท สองมือกำแน่น นัยน์ตาคมดำทอประกายลึกล้ำ ได้ยินคนสนิท
บนเตียงนอนขนาดกลางภายในเรือนหลังหนึ่งของบ้านหาน มีสตรีชุดขาวนอนทอดกายยาวเหยียดหลับใหลซานซานถูกเด็กหนุ่มนามชิงหลิวพาตัวกลับมาบ้านเดิม อยู่ภายในเรือนไผ่หยกหลังเดิม อันเป็นสถานที่ที่ชิงหลินเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่เกิดจนถึงก่อนแต่งงาน ชิงหลิว เป็นน้องชายแท้ๆ ของชิงหลินยามนี้ชิงหลิวอายุสิบสามปีแล้ว ถึงแม้จะเป็นที่รักของบิดาและมารดา แต่กลับมีนิสัยคล้ายพี่สาวอยู่ไม่น้อยชิงหลินเป็นสตรีขี้ขลาดอ่อนแอ ชิงหลิวจึงเป็นบุรุษขี้อายพูดน้อยภายในห้องนอนของเรือนไผ่หยก ชิงหลิวนั่งเฝ้าพี่สาวอยู่เงียบๆ ที่โต๊ะมุมห้อง สายตามองอีกฝ่ายอย่างห่วงใย ในใจคิดว่าโชคดีเหลือเกินที่เขาชวนมารดาเดินทางไปเยี่ยมพี่สาว จึงได้เห็นนางนอนสลบไสลอยู่ในเพิงไม้ไผ่การแต่งงานอันรวบรัดของพี่สาวกับกงหนิวท้ายหมู่บ้าน ตัวเขาที่เป็นน้องชายกลับไม่ค่อยรู้เรื่องราวสักเท่าไหร่ หากเอ่ยตามจริงก็รู้พอๆ กับพี่สาวไม่มากไปกว่ากัน แต่กระนั้นเขาก็มิได้นึกสงสัยอันใด เพราะบุรุษที่ล่วงเกินสตรีย่อมต้องรับผิดชอบแต่งเข้าบ้านอยู่แล้วกงหนิวผู้นั้นกับพี่สาวของเขาหายไปด้วยกันหนึ่งคืนเชียวหากมองข้ามเรื่องผลประโยชน์ทางการค้าที่หานอี้ซวนให้ความสำคัญเหนือสิ่งใ
เมื่อหันไปเจอสายตาของผู้เป็นมารดาที่เผยความนัยว่าบุตรสาวตรงหน้ามีชีวิตที่น่าสมเพชเวทนา ซานซานพลันหรี่ตา เอ่ยเสียงเย็นว่า“ท่านแม่ออกไปก่อนเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียว”เจียหรู๋ได้ยินเช่นนั้น คิ้วโก่งก็ขมวดวูบ นึกสงสัยกับน้ำเสียงห่างเหินไม่เหมือนเดิมของบุตรสาว แววตายังแข็งกร้าว ทั้งยังกล้าไล่นางออกจากห้องเจียหรู๋ยืนอึ้งครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามตามตรง “เจ้าโกรธแม่เรื่องที่ส่งเสริมให้แต่งงานกับกงหนิวหรือ?”ซานซานไม่ตอบกลับคำถามนั้นเพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ขอบคุณท่านแม่ที่เป็นห่วง ข้าคิดได้แล้วเจ้าค่ะ”แม้ยังรู้สึกฉงนกับความเปลี่ยนแปลงนี้ แต่เจียหรู๋ก็ทำได้แค่ถอนหายใจโล่งอก “อืม...เช่นนั้นย่อมดี เจ้าพักผ่อนเถอะ อย่าได้ฟุ้งซ่านจนเกินไป”นางเอ่ยอย่างจนใจ ก่อนหมุนกายเดินจากไป ในใจคิดว่า บุตรสาวคงเจอเรื่องสะเทือนขวัญจนนิสัยเปลี่ยนไปแล้วกระมังเมื่อได้อยู่เพียงลำพัง ซานซานจึงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้นนั่ง ปรับลมหายใจครู่หนึ่งก็ยืนขึ้น แล้วเดินไปที่หน้าต่าง รับสายลมและแสงแดด เรียกสติสัมปชัญญะทั้งหมดกลับคืนให้แก่ตนเองไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย แต่เหย่หนิวของนางก็นับได้ว่าจากไปแล้วถึงแม้จะไม่อาจตัดใจแต่ก็ไม่อาจเว้า
ภายในห้องพักผ่อนของหลี่กุ้ยเฟย ซานซานตั้งใจจัดดอกไม้ใส่แจกันหยกอย่างสวยงามที่สุดเพื่อมอบให้หลี่กุ้ยเฟย หวังประจบเอาใจ หมายมาดขึ้นแสดงเพลงพิณในงานเลี้ยงวันนี้“เจ้าดีดพิณเป็นด้วยหรือ?”หลี่กุ้ยเฟยถามเสียงเบามาก เพราะนั่งอยู่ที่โต๊ะทรงเตี้ยริมหน้าต่าง โดยมีเด็กน้อยลู่หลิ่งเล่นจนเหนื่อยฟุบหลับเป็นก้อนกลมอยู่ข้างๆ ใบหน้านุ่มนิ่มแดงเรื่อมีดวงตาที่กำลังหลับพริ้ม ปากจิ้มลิ้มสีชมพูคล้ายเคี้ยวขนมตุ้ยๆ อยู่ในฝันอย่างมีความสุข พระนางจึงไม่ประสงค์พูดคุยเสียงดังซานซานตอบกลับเสียงเบาเช่นกัน “หม่อมฉันพอมีฝีมืออยู่บ้างเพคะ” นางนั่งปักดอกไม้ใส่แจกันอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของหลี่กุ้ยเฟยยี่ซินที่คอยปรนนิบัติรับใช้หลี่กุ้ยเฟยอยู่อีกฝั่งถามอย่างตรงไปตรงมา “สตรีที่ขึ้นแสดงล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์เดียวกัน ตัวเจ้ามีลูกแล้ว ผ่านการมีสามีแล้ว จักขึ้นแสดงทำไม?”ซานซานตอบกลับเสียงนุ่ม ซ่อนแววเจ้าเล่ห์มิดชิด“ใบหน้าของข้าอาจไม่งามเท่าใครเขา ไม่สูงส่ง ไม่ยั่วยวน แต่ขอแค่ได้ขึ้นแสดงเถิด เงินรางวัลย่อมไม่พลาด ข้าจะนำมาแบ่งปันให้พี่ซินด้วย”ยี่ซินขมวดคิ้วมุ่น “มั่นใจปานนั้น”“แน่นอน”หลี่กุ้ยเฟยอดมิได้ต้องคลี่ยิ้ม
ฤดูร้อนผ่านพ้นจนล่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงอีกไม่นานย่อมเยียบย่างฤดูใบไม้ผลิหลายเดือนมาแล้วที่ซานซานตัดสินใจพาลู่หลิ่งออกจากถ้ำแล้วติดตามหลี่กุ้ยเฟยโดยเลือกเป็นเพียงนางกำนัลคนสนิทนางปล่อยอาหู่อยู่ในถ้ำ ไม่คิดพรากสัตว์ร้ายจากป่าใหญ่ ข่าวที่พระสนมคนโปรดถูกลอบทำร้าย ได้รับการสืบสาวไปตามขั้นตอนของวังหลวง ความจริงเป็นเช่นใดซานซานไม่รู้แม้แต่น้อยนางรู้แค่ว่าลู่หลิ่งเป็นเด็กฉลาด เรียนรู้เร็ว คุ้นชินกับชีวิตพระราชวัง ในเวลาอันสั้นก็พูดจากับคนชั้นสูงได้คล่องแคล่วน่าฟัง ได้ร่ำเรียนในสำนักศึกษาของพระราชวัง ได้กินอิ่มนอนหลับ ได้รับของมีค่า มีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ ได้เล่นสนุกซุกซนสมวัยและที่สำคัญ ตัวนางมียังเบี้ยหวัดเอาไว้ใช้จ่าย ชีวิตดูมีความหมายไม่น้อยซานซานในชาตินี้ทำตัวดีมีคุณค่ายิ่งนัก เพราะมีลูกแล้ว จะกระทำการใด ย่อมต้องคิดให้มาก รอบคอบเข้าไว้หากมารดาทำตัวไม่ดี ชีวิตบุตรสาวย่อมยากจะสงบสุขอีกอย่าง ชีวิตในวังหลวงแห่งนี้นับว่าดีมาก หลี่กุ้ยเฟยเอ็นดูลู่หลิ่งไม่น้อย ตัวนางเองก็มีสหายหลายคนที่พูดจาถูกคอ หนึ่งในนั้นมีนางกำนัลคนหนึ่ง นามว่าซูเหยา อายุราวสิบเก้าปี นิสัยสัตย์ซื่อ วาจานุ่มละมุน รับหน้าที่
เจ้าของวาจาน่าฟังนี้ทำท่าทางเอียงอาย “ขอพระองค์ทรงเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ เพราะนี่คือครั้งแรก”ยิ่งเอ่ยใบหน้างดงามนวลผ่องยิ่งแดงปลั่งดั่งผลอิงเถา“เจ้าเป็นใคร?”จ้าวเหว่ยถามเสียงขรึม หรี่ตาลงมองฝ่ามือที่บังอาจมาแตะต้องตัวเขาเจ้าของฝ่ามือเห็นสายตาปานมีดคมจับจ้องประหนึ่งกำลังกรีดเฉือนข้อมือตน จึงชะงักค้างนิ่งงัน ค่อยๆ ดึงมือกลับ แล้วถอยหลังมายืนสำรวมอยู่ห่างจากเตียงนอนราวห้าก้าว กล่าวพึมพำว่า “หม่อมฉันจิ่วเมย บุตรสาวคนเล็กของเจ้าเมืองจิ่ว ได้รับมอบหมายให้มาดูแลองค์รัชทายาทจนกว่าจะหายดีเพคะ”จ้าวเหว่ยโบกมือให้อีกฝ่ายหยุดพล่าม พลางเอ่ยเสียงต่ำ“ข้าหายดีแล้ว กลับไปเรียนบิดาเจ้าตามนั้น ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”แม่นางจิ่วเมยได้ฟังพลันแข็งค้างไปทั้งร่าง ความหวังที่จะได้ติดตามเข้าวังพังทลายไปสิ้น“แต่...แต่ท่านพ่อบอกว่า หากหม่อมฉันดูแลพระองค์จนหายดี หม่อมฉันจะได้...” นางละล่ำละลักทวงความดีความชอบจ้าวเหว่ยลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง เขาตัวโตมากกว่าเมื่อห้าปีก่อนยิ่งนัก เส้นเสียงที่เคยแหบพร่าเพราะลำคอถูกทำลายก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเปล่งวาจายามอารมณ์ดีจึงทุ้มต่ำน่าฟัง ทว่าหากอารมณ์ไม่ดีกลับทรงอำ
ยี่ซินคลี่ยิ้มเต็มวงหน้า เย้าอีกประโยคว่า “เจ้าช่างไร้ใจ”ซานซานตอบรับอย่างอารมณ์ดี “ผิดแล้วๆ ข้ามีหลายใจต่างหากเล่า สามีเก่าไม่ดี ข้าก็กำลังจะหาสามีใหม่ เพียงแต่ยังหาที่ถูกใจไม่เจอเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้ อย่าว่าแต่องค์รัชทายาทเลย เกรงว่าชายใดก็คงไม่คิดเข้าใกล้ข้าให้ต้องแปดเปื้อนแล้ว”ถ้อยวาจานี้เรียกเสียงหัวเราะให้บังเกิดได้ไม่ยาก ทั้งยี่ซินและซานซานสนทนาต่อคำกันได้ถูกคอยิ่งและนี่คือการผ่านบททดสอบขั้นพื้นฐานอย่างเรียบร้อย…เมื่อได้เห็นท่าทางเปิดเผยจริงใจ มิได้เสแสร้งแม้เพียงนิด ไม่ปรากฏความมักใหญ่ใฝ่สูงอันใดให้เห็น ทั้งแววตายังปราศจากความหลงใหลได้ปลื้มเช่นชู้สาวต่อบุตรชายของตน หลี่กุ้ยเฟยจึงรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย ท้ายที่สุดพระนางก็เอ่ยเสียงนุ่มน่าฟังว่า“หากเจ้าไม่รังเกียจ ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกัน ข้าต้องการตอบแทนเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”เสียงนี้ทำเอาซานซานกับยี่ซินต้องหยุดหัวเราะเพื่อรับฟังหลี่กุ้ยเฟยนิ่งเงียบชั่วครู่ ปรายตามองไปทางลู่หลิ่งแม่นางน้อยปล่อยผมสยายยามหลับฝัน พวงแก้มที่เคยนวลเนียนอมชมพูระเรื่อบัดนี้มีรอยแดงเพราะถูกคนร้ายตีหลายที ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสดที่ยกยิ้มได
ซานซานได้ฟังวาจาเชิญชวนยาวเหยียด เพียงเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ“แม้ว่าข้าจะเป็นชาวยุทธ ทว่าระบบเมืองหลวงมิใช่ไม่รู้ การเข้าเป็นองครักษ์หญิงในวังหลวง เงินเบี้ยหวัดได้มากกว่านางกำนัลเล็กๆ ก็จริง แต่ต้องผ่านการทดสอบอันหนักหน่วง”ซึ่งการทดสอบหาใช่ปัญหาสำหรับนางไม่ ที่เป็นปัญหาคือประวัติความเป็นมาต่างหาก นางมิใคร่ให้ใครล่วงรู้ตัวตนว่ามาจากไหนลูกใครสกุลใด เพราะนั่นอาจนำอันตรายที่มองไม่เห็นไปสู่ครอบครัวหาน ทั้งอาจมีปัญหายิบย่อยอันน่ารำคาญใจเพราะที่ผ่านมา ระหว่างทางที่ท่องยุทธ์ไปทั่ว นางบังเอิญได้ 'ฆ่าคน' ปะไร!หลังจากใคร่ครวญลึกซึ้งจึงโบกมือปฏิเสธ “ช่างเถิด...พวกท่านจ่ายเงินรางวัลที่ช่วยเหลือกันก็พอ ข้าไม่เข้าวังหรอก”ยี่ซินจับกระแสความคิดที่อีกฝ่ายแสดงออกว่าไม่ชอบเรื่องยิบย่อยอันน่ารำคาญ จึงรีบกล่าวอย่างเอาใจ หวังหยั่งเชิง“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่? เจ้าช่วยเหลือพระสนมซึ่งเป็นถึงพระมารดาขององค์รัชทายาท สามารถใช้เส้นสายตรงนี้โดยไม่ต้องเข้ารับการทดสอบ เพราะอำนาจรับคนเป็นสิทธิ์ของพระองค์อยู่แล้ว แค่เจ้าเข้าหาองค์รัชทายาทเท่านั้น”ยี่ซินขยับเข้าใกล้ซานซานเล็กน้อย พลางกระซิบอย่างกระตือรือร้นว่า “ไม่
ในถ้ำใต้แท่นหินได้ยินเสียงน้ำตกดังซู่ เย็นฉ่ำไปทั่วลู่หลิ่งถูกผลัดผ้าทายาป้อนเนื้อย่างจนอิ่มหนำแล้วปล่อยให้หลับใหลบนผ้าป่านไปนานแล้ว โดยมีอาหู่หมอบอยู่ข้างๆ คอยเลียแก้มเลียมือกล่อมนอนไม่ห่างไฟกองหนึ่งกำลังลุกโชนมอบความอบอุ่นให้ทุกคนในถ้ำ แสงเพลิงสีทองสาดส่องเสี้ยวใบหน้าของสตรีทั้งสามยามสนทนา เผยให้เห็นความจริงใจไร้กังขา ปราศจากการเสแสร้งใด“ที่แท้ท่านก็คือพระสนมหลี่กุ้ยเฟย”ซานซานอุทานอย่างตกใจไปทางสตรีงดงามตรงหน้านางจำได้ที่จางเหริน เสี่ยเฟิง และเว่ยลี่เคยเล่าเรื่องราวให้ฟังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในแคว้นหรือเรื่องในรั้วในวังทุกเรื่องที่ทั้งสามคนนั้นเล่าให้ฟังนั้น พวกเขายังทำท่าทางประกอบประหนึ่งเล่นงิ้ว เสมือนเป็นผู้ร่วมทุกเหตุการณ์ที่เล่ามา สมจริงยิ่ง เชื่อถือได้มารดาขององค์รัชทายาทแห่งต้าถังมีนามหลี่ฮุ่ยเยี่ยน หรือก็คือหลี่กุ้ยเฟยแน่นอนว่าสามัญชนไม่อาจเอ่ยพระนามของราชนิกุล ซานซานเพียงคิดในใจอย่างรู้กาลเทศะ นางเอ่ยต่อ“ในขณะที่รัชทายาททรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ทรงตรากตรำทำเพื่อบ้านเมือง แต่คนชั่วกลับลอบแทงข้างหลัง บั่นทอนกำลังด้วยการลอบทำร้ายพระมารดากระนั้นหรือ?”เรื่องราว
“ท่านแม่”ลู่หลิ่งเห็นคนชั่วตายหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ จึงลุกวิ่งตึกๆ โผหามารดา อ้าแขนออก กระโดดโถมทั้งตัวใส่ แล้วร้องไห้จ้าหญิงสาวเห็นลูกบาดเจ็บมีบาดแผลมีเลือดออก สองแก้มบวมแดง ร่ำไห้ฮักๆ จนตัวสั่น จึงใจอ่อนยวบ ความคิดจะตำหนิความซุกซนของลูกก่อนหน้าจึงตกไป นางดุไม่ออกแม้ครึ่งคำ“หลิ่งเอ๋อร์ ไม่เป็นไรแล้ว”ซานซานเอ่ยเสียงนุ่ม แววตาอ่อนโยน กอดลูกแนบอก ลูบหลังปลอบประโลมด้วยความรักใคร่สุดหัวใจ ภาพของสตรีอำมหิตโหดร้ายที่ฆ่าคนตายอย่างเลือดเย็นเมื่อครู่คล้ายไม่เคยเกิดขึ้นเดิมทีสตรีสองคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากลู่หลิ่งยังคงรู้สึกหวาดเกรงต่อซานซานอยู่มาก ความอำมหิตชนิดดาบเดียวปลิดชีพนับสิบชีวิต ทำพวกนางผวาเยือกไม่กล้ากระทั่งร้องอุทาน ทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายปลอบลูกอย่างอ่อนโยนเช่นนั้น ความหวาดหวั่นพลันตกไปสิ้น พวกนางค่อยๆ พยุงตัวกันยืนขึ้น แล้วเดินเข้ามาร่วมปลอบเด็กน้อยลู่หลิ่งด้วยมีเพียงอาหู่ที่หมอบอยู่ไม่ยอมขยับเพราะเจ็บแผลมากหนึ่งในสองสตรีแย้มยิ้มแล้วเอ่ยกับซานซาน “แม่นาง ขอบคุณเจ้ามาก บุญคุณช่วยชีวิตใหญ่หลวงนัก”ซานซานเหลือบตามองสตรีทั้งสอง เห็นคนหนึ่งใส่อาภรณ์หรูหรา ใบหน้าหมดจดงดงาม กิริยา
ชั่วอึดใจซานซานพลันดีดตัวขึ้นสูง ดึงร่มคันเล็กจากเอวด้านหลัง แล้วเหวี่ยงไปทางกลุ่มของบุตรสาวร่มคันนี้คือหนึ่งในอาวุธสังหารที่ซานซานออกแบบคร่าวๆ แล้วให้เสี่ยเฟิงเค้นสมองปรับเปลี่ยนเพิ่มประโยชน์จากกันแดดฝนร่มกางออกแล้วหมุนอยู่กลางอากาศ สาดกระจายเข็มพิษออกรอบทิศเป็นวงกว้าง เพื่อปกป้องสตรีสามคนและเสือดาว มิให้ใครย่างเท้าเข้ากล้ำกรายคนชุดดำที่ไม่ทันตั้งตัวย่อมหลบไม่ทัน ถูกพิษจากร่มไปอย่างช่วยไม่ได้ส่วนพวกที่เหลือ ซานซานเพียงพุ่งตัวอ้อมมาตลบหลังรอบในมีเข็มพิษพุ่งกระจายปลิดชีพผู้คนในพริบตา รอบนอกของเหล่าชายชุดดำมีซานซานลอบสังหารครอบคลุม เรียกได้ว่าหนึ่งล้อมสิบ นางพลิกกายปราดเปรียว สองแขนไขว้กัน สองมือกำดาบเสี้ยวจันทร์ดาบโค้งสองอันประกบเข้าด้วยกันกลับผสานเป็นหนึ่ง ร่างระหงหมุนตัวด้วยกระบวนท่าวายุคลั่ง แล้วสะบัดออกสุดแขน ตวัดดาบอย่างแรง ใบไม้แห้งรอบด้านยังกลายเป็นใบมีดคมกริบปลิวว่อน สังหารผู้คนจนทั่ว ดาบแยก กายแยก เลือดสาดกระจายซ่านเซ็นหญิงสาวทำเช่นนั้นฝ่ากลุ่มคนชุดดำตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย คนร้ายทั้งหลายออกกระบวนท่าแรกยังไม่ทันครบถ้วนก็ถูกกระบวนท่าเดียวของซานซานกลืนกินไปสิ้นร่มยังไ
ลู่หลิ่งถูกกระชากคอเสื้ออย่างแรง มิอาจหลบได้ทัน ทั้งตกใจและเจ็บแปลบ จึงร้องไห้จ้าทว่าพริบตาตรงคอเสื้อของเด็กน้อยคงเหลือแต่ฝ่ามือหยาบหนากับเลือดกระฉูดแดงฉานติดเสื้อ ส่วนลำตัวกลับหายไปเจ้าของฝ่ามือผู้นี้ถูกดึงกระชากขึ้นไปบนต้นไม้ ดิ้นพล่านขลุกขลักค้างเติ่งอยู่บนนั้น ที่ลำคอมันมีเชือกเถาวัลย์รั้งเอาไว้จนลิ้นจุกปากตาเหลือกแทบถลนออกนอกเบ้า รอความตายกลืนกินอย่างทรมานไม่นานก็ได้ยินเสียงลำคอของมันหักดังกร๊อบ เพราะขยับเหวี่ยงแขนที่ถูกตัดขาดด้วยความเจ็บปวดรุนแรงเกินไป ยังผลให้ตายเร็วอย่างที่สุดชายอีกสองคนยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกกระชากจากฝ่ามือปริศนาจนกระเด็นออกห่างจากลู่หลิ่งไปไกลหลายจั้ง ประหนึ่งถูกปีศาจรั้งกระตุกตรงจุดที่มันทั้งสองตกกระแทกพื้นดิน มีร่างระหงของซานซานรอรับอยู่แล้ว ด้วยดาบโค้งเงาจันทร์ที่เสี่ยเฟิงตีขึ้นมานางสะบัดดาบในมือทั้งสองข้างเพียงพรึบเดียว หัวของชายชุดดำทั้งด้านซ้ายและด้านขวาพลันสะบั้นในพริบตา พวกมันยังไม่ทันได้อ้าปากร้องด้วยซ้ำ“ท่านแม่!”ลู่หลิ่งร้องเรียกมารดา น้ำตาไหลนองเต็มสองแก้มอาหู่ที่ติดตามซานซานมารีบกระโจนเข้าหาเด็กน้อยทันทีคนชุดดำที่เหลืออีกห้าคนเบิกตาโพลงอย