ปัจจุบัน
บ้านเตชะรัฐ
แก้วในมือเรียวหนาถูกกำแน่น อึดใจต่อมาก็ง้างขึ้นสูงจากนั้นก็ถูกเหวี่ยงลอยว่อนไปกลางอากาศ โดยเจ้าของใส่ความอัดอั้นออกไปเต็มแรง
เมื่อสิ่งเปาะบางร่วงปะทะพื้นแข็ง ๆ ก็ไม่เหลือรูปเดิม และไม่ได้ทำให้คนที่ทุกข์หนักคลายความตึงเครียดลงได้ หากเสียงกระจัดกระจายยิ่งสร้างความโกรธเคืองและหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น
“ไอ้เด็กนั้น ที่แท้ก็เป็นลูกไอ้ธานิน เนตรศิริ นี่เอง”
กรามหนาบดเบียด สีหน้าเครียดตึง เมื่อเขาลงทุนว่าจ้างนักสืบ เพื่อหาข้อมูลนักธุรกิจหญิง ธัญกร เทียนเทพ จนรู้เดี๋ยวนี่เองว่าเธอเปลี่ยนมาใช้นามสกุลผู้เป็นแม่ จาก ‘เนตรศิริ’ เป็น ‘เทียนเทพ’ และไม่แปลกใจที่เด็กคนนั้นพูดจาแทงใจดำเข้าเต็ม ๆ หากเขารู้มาก่อนหน้านั้น อย่าหวังว่าจะเดินเข้าไปให้เด็กเมื่อวานซืนถอนหงอกเล่น!
“หากคุณอยากให้บริษัทของคุณอยู่รอด...” ดวงตากลมใสหากแน่วแน่ ปรายตามองผู้สูงวัย “ก็เอาลูกสาวมาต่อรองสิคะ เผื่อฉันจะสนุกด้วย”
“หมายความว่าไง ทำไมต้องเป็นลูกสาวในเมื่อผลกำไร มันก็คือเงินทั้งนั้น”
คนหัวการค้าพูดเสียงสั่นตกใจ
มุมปากยักกระตุกเพียงนิดแล้วจางหายไป จากนั้นใบหน้าที่ไร้อารมณ์ก็กรีดรอยยิ้มออกมา ดวงตาเปล่งประกายแพรวพราว
คนที่เคยเป็นเสือ แต่กลับไม่เหลือเล็บคมเอาไว้ ทำให้เสือนักล่ารุ่นใหม่ข้ามหน้าไปไกล ไม่ว่าจะเป็นแนวทางในการล่าเหยื่อ หรือกลยุทธเพื่อให้เหยื่อเดินเข้ามาหาเอง ซึ่งมันต่างออกไป ครานี้ผู้สูงวัยนึกขึ้นได้ ข่าวลือมักมีมูลความจริง!
“ทำไมผมต้องทำแบบนั้น”
ชายสูงวัยมองนักธุรกิจรุ่นลูกที่เก่งจนหาตัวจับยากทั้งที่เป็นผู้หญิงด้วยความคลางแคลงใจ
“ก็แล้วแต่คุณ หากไม่อยากให้บริษัทของคุณดำเนินกิจการต่อไปได้... แต่อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจล่ะ ฉันให้เวลาคุณกลับไปคิดหนึ่งอาทิตย์”
ใบหน้ารูปไข่ปัดแต่งไว้อย่างลงตัว สองมือประสานไว้ตรงหน้ามองคนรุ่นพ่อที่มีอาการเหมือนคนน้ำท้วมปาก ด้วยสายตาเย้ยหยัน
“หากคุณยืนยันข้อเสนอเดิม ผมไม่เล่นด้วย”
“หากคุณมีทางเลือกที่ดีกว่าก็เชิญ!”
คนฟังได้แต่กัดฟันกรอดเมื่อโดนเด็กรุ่นลูกตบหน้าด้วยข้อเสนอพิลึกพิลั่นและยังยืนกรานคำเดิม
“ที่ผมมานี่ ไม่ใช่มาเสนอข้อตกลงแบบนี้ และเป็นไปไม่ได้ ที่ผมจะเอาลูกสาวของผมมาเล่นกับเรื่องพวกนี้”
ชายสูงเอ่ยอย่างผิดหวัง และพยายามกดอารมณ์ไว้ ทั้งนี้ก็เพื่อความอยู่รอดของอาชีพรับเหมาก่อสร้างที่ขาดทุนไปหลายครั้ง จนทางบริษัทขาดสภาพคล่อง...เมื่องบหมดและสร้างไม่เสร็จตามกำหนด และนั่นหมายถึงอีกฝ่ายจะต้องเรียกร้องค่าเสียหาย!
วิธีไหนที่พอจะยื้อบริษัทไว้ได้ เขาจึงทำทุกอย่าง และนั่นหมายถึงคนในครอบครัวด้วย ที่จะอยู่อย่างสุขสบายต่อไป
เสียงฮึในลำคอถูกส่งออกมาเบาๆ หากแต่คนที่นั่งอยู่ใกล้ได้ยินชัดเจน
“แค่มาเสนอให้ช่วยถือหุ้นครึ่งหนึ่ง ในบริษัทที่ใกล้จะล่ม มันไม่เป็นความคิดที่ทำให้สนใจหรอกคุณปิยะ เตชะรัฐ” น้ำเสียงราบเรียบหากหนักแน่น เอ่ยเรียกอีกคนเต็มยศ
ท่าทางจองหองไม่ยอมใครของ ธัญกร เทียนเทพ วัยสามสิบปี ที่เคยฟังจากเพื่อนนักธุรกิจด้วยกัน ซึ่งการทำงานรุ่งเรืองข้ามหน้าข้ามตานักธุรกิจรุ่นก่อน ๆ ไปหลายก้าว อีกทั้งแนวการตลาดส่งออกอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องประดับไปยังต่างประเทศ ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้ธุรกิจขยายสู่วงกว้าง เป็นคนละเอียดไม่ยอมเสียเปรียบให้ใคร ทุกคนมองว่าเป็นนักธุรกิจใจแคบและเหลี่ยมจัด...
เป็นความจริงทุกอย่าง! แต่ปิยะยอมรับ แต่ไม่ได้ชื่นชมหรือเยินยอ หากแต่แค้นเคืองผู้หญิงตรงหน้าที่สุด
“ว่าไง...” ธัญกรถามซ้ำเมื่อคนสูงวัยเงียบไป “หากคุณไม่สนใจข้อเสนอก็ไปหาที่อื่น เพราะธุรกิจของเรารายได้ดีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องหาอย่างอื่นเข้ามาทำให้ยุ่งยาก”
คำพูดนั้น ทำให้ผู้สูงวัยถึงกับหันหลังให้หญิงสาวรุ่นลูกทันที โดยคิดว่าประตูห้องทำงานห้องนี้ คือทางออกที่ผู้สูงวัยอย่างเขาจะกลับไปตั้งหลักใหม่ โดยไม่หวนกลับมาที่นี่อีกเป็นอันขาด
ให้ตาย เขาก็ไม่ให้ลูกสาวคนเดียวมารับรู้เรื่องนี้เด็ดขาด..! ปิยะ ย้ำกับตัวเอง
“เช่นนั้นฉันก็พูดไว้ตรงนี้ หากไม่มีลูกของคุณมาด้วย ก็ไม่ต้องเหยียบมาที่นี่อีก...”
คำพูดทิ้งทายยังก้องตามหลังให้เจ็บใจ...
บ้านเตชะรัฐในห้องทำงานตอนนี้...คำพูดนั้น ตามมาตอกย้ำอยู่ในโสตประสาททุกคำพูด ทุกสีหน้าและท่าทางของหญิงสาวรุ่นลูกรวมทั้งคำพูดถากถาง สร้างความเจ็บช้ำจนยากที่จะลืม ใบหน้าผู้สูงวัยที่เคยเต็มไปด้วยความสุข ไม่เหลือร่องรอยเค้าเดิมไว้ให้เห็น เมื่อความทุกข์และปัญหา เป็นบ่อเกิดของความทุกข์สะสม มารวมตัวกันกดดันให้เขาต้องรีบหาทางออกให้เร็วที่สุด
คฤหาสน์เทียนเทพในห้องโถงที่เงียบสงบ หากวันนี้กลับทำให้คนที่อยู่ประจำร้อนรนด้วยคำพูดปลายสายจากแดนไกล“ธัญ... ทำอะไรก็นึกถึงผลที่ตามมาด้วยนะลูก...”ประโยคพูดเตือนมาจากปลายสาย คนรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองทำอะไรอยู่ขมวดคิ้ว แล้วกลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงออดอ้อน“คุณแม่คะ... ประโยคเมื่อกี้หนูขอเปลี่ยนได้ไหมคะ หนูอยากได้คำพูดที่ฟังแล้วชื่นใจ แบบที่แม่เคยถามกับหนูทุกครั้ง”“แล้วแกจะให้แม่พูดว่าไง... ลูกสบายดีไหม กินอะไรหรือยัง ทำงานอย่าหักโหมนะ แบบนี้แกไม่เบื่อหรือไง”“ไม่เบื่อนะคะ... ก็นาน ๆ แม่จะโทร.มาสักครั้ง มันต้องประโยคพวกนี้ขึ้นก่อนไม่ใช่หรือคะ” คนรอความหวังยิ้มกริ่มจากนั้นเสียงถอนหายใจแรง ๆ ของผู้เป็นแม่ดังตามสาย พร้อมกับคำพูดยาวเหยียด“ประโยคพวกนี้ แม่ต้องคิดก่อนว่าลูกของแม่อายุปูนไหน ไม่กินไม่สบายไม่ดูแลตัวเอง ก็ปล่อยให้นอนง่อยอยู่อย่างนั้นไป ไม่รักตัวเองแล้วใครจะรัก เหอะ บอกให้วางมือ แล้วมาช่วยงานที่ร้านก็ไม่ฟัง” น้ำเสียงกึ่งประชดน้อยใจในตัวลูกสาวมากกว่าดูแคลน“โธ่แม่... หนูสำนึกทันไหมเนี่ย”จากที่อยากให้ผู้เป็นแม่พูดเอาใจ ก็ได้คำแซะมาเป็นกระบุงแต่เธอรู้ดี ว่
นิวยอร์ก เมื่อสองเดือนก่อน“เรียบร้อยแล้วค่ะ พี่อย่าลืมที่สัญญากับหนูไว้นะคะ”เจ้าของเสียงนุ่มหวานเอ่ยย้ำมากับปลายสาย ซึ่งงานที่เธอได้รับมอบหมาย ได้ทำสำเร็จลงแล้ว“รอกลับไทยแล้วทุกอย่างจะเป็นตามที่ตกลงกันไว้”“แล้วไม่คิดมาหากันก่อนหรือคะ หนู...” เสียงหวานหยุดเว้นจังหวะ “คิดถึงพี่จะแย่”เจ้าของเสียงหวานโอดครวญซึ่งธัญกรไม่ต้องเดาว่าหากอยู่ต่อหน้า หล่อนจะเย้ายวนจนเธออดใจไม่ไหวแค่ไหน“ฉันติดธุระ ต้องรีบกลับ... ส่วนเธอกลับไทยเมื่อไหร่คงได้เจอกัน”น้ำเสียงเป็นงานเป็นการมากว่าหลงใหลคู่สนทนาทำให้ปลายสายไม่กล้าตอแยและจำใจต้องวางสายไปเมื่ออีกฝ่ายวางสายไปแล้ว ธัญกรก็นั่งพักสายตา อึดใจต่อมาเธอก็ผลุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเตรียมตัวออกจากที่พักเพื่อทำภารกิจ...สองชั่วโมงต่อมาธัญกรก็ถึงที่หมาย นั่นก็คือสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในกรุงนิวยอร์ก เจ้าของดวงตาคมมองตรงไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นและปะทะเข้ากับกลุ่มหนุ่มสาวที่กำลังจับกลุ่มส่งเสียงเฮฮาแข่งกับเสียงดนตรีที่ทางร้านเปิดขับกล่อมเพื่อสร้างบรรยากาศให้แขกภายในร้าน“เฮ้ยกินหน่อย” เสียงเชียร์จากเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มดังชัดเจน หากเจ้าของร่างบางรีบส่ายหน้าใช้มือด
“ห่วงออกหน้าออกตาไปหรือเปล่า”เพื่อนชายที่นั่งเงียบมานาน เอ่ยขึ้นด้วยความรำคาญ“ห่วงกันมาก ทำไมไม่ออกหน้ากินเองล่ะ”เพื่อนอีกคนพูดเสริมขึ้นมาอีกเอลิสมองจิก “ไม่เจอกับตัวเองบ้างก็แล้วไป” เอลิสกล่าวทิ้งสายตาไว้ เพราะคิดว่าสิ่งที่เธอแสดงมันคือความห่วงใยของเพื่อนคนหนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่เพื่อนบางคนอยากข่มอยากเอาชนะ ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำตัวเป็นจุดเด่นแต่อย่างใด“กลัวที่ไหน...” เพื่อนชายตาสีน้ำข้าวย้อนอย่างไม่เกรงเอลิสกำหมัดขึ้นสูงแล้วพูดขึ้น “คิดว่าถ้าฉันดื่มแทนแล้วเรื่องจะจบเหรอ” พร้อมกับสาดสายตามองคนต้นเรื่อง ที่ดูภูมิใจในการกระทำของตัวเอง“ไม่เป็นไร...มันจบแล้ว คุยเรื่องอื่นกันต่อเถอะ” แสงเทียนเอ่ยตัดจบจากนั้นทุกคนก็ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไร เคยเกิดขึ้น โดยแสงเทียนก็นั่งเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้เพื่อนคนอื่น ๆ หมดสนุกเพราะเธอเป็นต้นเหตุเมื่อเวลาผ่านไป แอลกอฮอล์ถูกเติมเต็มเป็นปริมาณมาก ๆ ทุกคนก็เริ่มปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการ หนุ่ม ๆ สาว ๆที่ไม่เคยกล้าแสดงออกก็เริ่มจับคู่แล้วแลกจูบกันดูดดื่ม มือไม้ต่างก็คลำสะเปะสะปะบ้างก็บีบเค้นคลึงคู่ของตัวเองโดยไม่สนสายตาของใครต่อใครในขณะที่แส
แสงเทียนใจหล่นวาบแววตาเลิ่กลั่ก หาทางหนีทีไล่ แต่ชายแปลกหน้าก็ไม่เว้นจังหวะ โดยเดินเข้ามาจนประชิด จนทั้งคู่พากันถอยหลังเพื่อตั้งหลัก“ต้องการอะไร” แสงเทียนฝืนใจถามออกไป ในขณะที่เอลิสเริ่มหน้าซีดมุมปากหนายกยิ้ม สายตามองแสงเทียนตาเป็นประกาย “พวกเรามาทำความรู้จักกันดีไหม”แสงเทียนกำหมัดแน่น “คงไม่ได้หรอก”“ทำไมล่ะ... ” ดวงตาที่เคยเป็นประกายเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเมื่อโดนบอกปัด“หรือว่า...” หนึ่งในนั้นยกมือขึ้นหมายจะจับใบหน้าของแสงเทียนแต่เธอเอี้ยวตัวหลบ แต่โดนผู้ชายอีกคนผลักจนเซแต่เอลิสคว้าไว้ได้ทัน“อย่ามายุ่งกับพวกเรา!” แสงเทียนบอกเสียงกร้าวเมื่อพยุงตัวยืนตรงได้“ชอบ ก็ต้องยุ่งป่าวว่ะ” คนหนึ่งพูดขึ้นโดยไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังคุกคามคนอื่น จากนั้นก็พากันหัวเราะชอบใจ พร้อมกับพยายามต้อนให้แสงเทียนกับเอลิสเข้าไปในมุมมืดแสงเทียนเหงื่อตก เธออยากสู้ แต่เพราะประเมินแล้วว่าร่างกายของตัวเองคงได้แค่ก้าวขาหนี หากรุนแรงหรือต่อต้านมากกว่านี้ เรื่องคงไม่จบแค่การคุกคาม เธอจึงพยายามประคองเวลาเพื่อให้คนอื่น ๆ ผ่านมาเจอ แต่ก็ไร้วี่แวว...ซึ่งในจังหวะเดียวกันนั้นเสียงแตรรถของใครคนหนึ่งก็ดังสนั่นจนทุกคนในที่
ก๊อก ก๊อก...เสียงเคาะประตูทำให้แสงเทียนรีบหันไปดู และการขยับแบบรวดเร็วทำให้เธอเจ็บหัวจี๊ด มีการกระตุกของกล้ามเนื้อบริเวณขมับด้านที่เธอจับไว้ เสียงด้านนอกดังผ่านประตูเข้ามาซ้ำ ๆ เธอจึงตรงดิ่งไปยังประตู ก่อนจะส่องดูทางช่องเล็กๆ ว่าใคร จากนั้นริมฝีปากบางคลี่ขยาย แล้วรีบเปิดให้อีกฝ่ายเข้ามา“เป็นไง” เธอซัดด้วยคำถามทันทีเมื่อประตูอ้าออกเอลิสที่เพิ่งกลับจากจัดการเรื่องบางอย่างให้เธอหยุดนิ่งเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจะโผล่หน้าเข้ามา เพื่อนจะซัดด้วยคำถามง่าย ๆ แต่เธอก็เข้าใจความรู้สึกของคนรอเป็นอย่างดี...อาการคนคิดถึงบ้าน!“เอลิสซะอย่าง ต้องได้มาอยู่แล้ว”เธอโชว์ตั๋วเครื่องบินในมือสองใบให้คนที่โผล่เข้ามาอย่างปลาบปลื้ม ก่อนจะก้าวพ้นประตูเข้ามาด้านใน แล้วปิดสนิทลงเอลิสเป็นสาวลูกครึ่งไทยฝรั่งเศสวัย28ปี รูปร่างสูงใหญ่กว่าสาวไทย มองผู้หญิงที่ตนเองหลงรัก บัดนี้นัยน์ตาของเธอยังมีแววเศร้าหลงเหลือให้เห็น ซึ่งใคร ๆ ก็คิดว่าเป็นแฟนกันมาตลอด ทั้งที่เธอพยายามปกปิดท่าทีแล้วก็ตาม“ขอบคุณมาก ๆ นะ...” น้ำเสียงตื่นเต้นเอ่ยบอก แล้วยื่นมือไปรับของตรงหน้า “สองใบนี่ หรือ...” คิ้วเรียวยาวดั่งคันศรขมวดเข้าหากัน“จะ
9.00 ในประเทศไทย “ให้เอลิสไปส่งนะ จะได้รู้จักคุณพ่อคุณแม่ของเทียนด้วย”เอลิสเริ่มรุก หลังจากที่เดินออกมาจากประตูผู้โดยสารขาออก และหยิบกระเป๋าจากช่องลำเลียงเรียบร้อย โดยไม่ลืมหยิบของแสงเทียนติดมาด้วย“อย่าเพิ่งดีกว่า...คือเทียนอยากให้เวลากับตัวเองได้อยู่กับพ่อแม่ ไม่ได้เจอพวกท่านนานแล้ว” แสงเทียนบอกปัดอย่างถนอมน้ำใจอีกฝ่ายที่สุดแล้ว ซึ่งเธอรู้ดีว่าเอลิสจริงใจแค่ไหน แต่เป็นเธอที่ยังไม่พร้อมเสียเอง โดยเหตุผลสำคัญอยู่ในใจที่เธอไม่เคยขุดคุ้ยออกมาให้ใครได้รับรู้ “งั้นเทียนกลับถึงบ้าน โทรมานะคะ” เอลิสบอกด้วยความเป็นห่วง “ได้ แต่ยังไงเทียนต้องขอบคุณเอลิสนะ... สำหรับทุกอย่าง”แสงเทียนตอบรับ พร้อมกับยิ้มหวาน จากนั้นก็รับกระเป๋าจากอีกคนมาถือไว้ “ยังไงเทียนจะโทรหานะคะ” เธอย้ำไม่ลืมที่จะยิ้มหวานส่งให้อีกรอบเพื่อไม่ให้อีกคนรู้สึกใจฝ่อกับการปฏิเสธครั้งนี้“ค่ะ” เธอรับคำ แต่ใจลึก ๆ ก็รู้สึกหวิวเล็กน้อย ไม่คิดว่าคนที่คบกันมานานจะยังไม่เปิดใจให้เข้าถึงครอบครัว... ‘ขอเวลาให้สาอีกนิดนะเอลิส...’แสงเทียนซาบซึ้งในน้ำใจของเอลิสตลอดที่คบหากัน หากหัวใจของเธอกลับเหมือนมีอะไรบางอย่า
“คุณก็น่าจะเข้าใจ หากเขาลดตัวลงมาร่วมหุ้นกับเรา ผมก็คงไม่ต้องมานั่งจมอยู่อย่างนี้” แววตาหม่นเจือจางเครือน้ำใส ผิดหวังเสียใจ ทนทุกข์ไร้หนทาง พยายามสื่อให้ภรรยาเห็นถึงความเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่กำลังเล่นงานครอบครัวตอนนี้เต็มทน ว่าตนต้องทนแค่ไหนที่ต้องบากหน้าเข้าไปหาหญิงสาวคราวลูกเพื่อขอให้มาพยุงบริษัทที่ใกล้จะล้มเต็มที ที่สำคัญคนที่คิดจะไปพึ่งใบบุญกลับเป็นลูกสาว ของคนที่พวกตนเคยกระทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย!“ฮะ จริงหรือ...” ร่างอวบพองามผละไปหาสามีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวงาม เหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่สามีเอ่ยผ่านหูไป “คุณแน่ใจว่าคุยกันรู้เรื่องแล้ว” สีหน้าและแววตาต้องการคำตอบยืนยันอีกครั้ง“มันเป็นไปแล้ว และเราก็หาแหล่งเงินกู้ที่ไหนไม่ได้ด้วย”น้ำเสียงบ่งบอกยืนยัน ว่าคนที่เอ่ยกำลังถอดใจกับสิ่งที่เป็นจริง ที่สำคัญ เขาไม่อยากให้ภรรยารู้ถึงข้อเสนอของอีกฝ่าย“คุณว่าไงนะ!” ลินดาตกใจยิ่งกว่า เพราะสิ่งที่สามีเอ่ยออกมานั้นเท่ากับบริษัทไร้เงินทุนทุกทาง“ก็อย่างที่เห็น ต่อไปก็เข้าใจไว้ด้วยว่าการเงินเราจะมันติดลบ จะใช้จ่ายอะไร ก็ให้ระวังหน่อย เพราะ...”‘เรากำลังจะถูกฟ้องล้มละลายอีกไม่ช้า’ เขาหยุดกลืน
แค่เพียงไม่กี่ประโยคที่ผ่านหู เลือดในกายสูบฉีดเร็วแรงเร่งให้หัวใจทำงานหนัก มือเรียวออกอาการสั่นน้อย ๆ พยายามยื่นมือเรียวผลักประตูที่อ้าอยู่น้อยนิด และพาตัวเองเข้าไป“คุณหนู...” เสียงเบาหวิวเหมือนเรียกเตือนด้วยความห่วงใยของแม่นมนุ่น หญิงสาวที่ถูกเรียกไว้หันมาสบตา ฉายแววเจ็บปวดกับสิ่งที่ได้ยินมา แต่หากจ้องไปให้ลึกลงไปในแววตานั้น มันแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวแสงเทียนพยักหน้าเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกได้ หากแต่ทุกอย่างมันถึงจุดที่จะได้รับรู้และหาทางแก้ไขร่วมกัน เมื่อเธอเติบโตอยู่อย่างสุขสบายและเรียนจบมาด้วยเงินของบริษัท เธอก็ต้องรับรู้ถึงความสั่นคลอนของบริษัทเช่นกัน... ทันทีที่เห็นบุคคลเข้ามาใหม่ผู้สูงวัยทั้งสองก็หยุดการมีปากเสียง“ยัยเทียน/ลูกเทียน” สองสามีเอ่ยเรียกพร้อมกัน“ลูกมาเมื่อไหร่ แล้วทำไมไม่โทรมาบอกพ่อ... แล้วนี่กลับมายังไง ทำไมไม่โทรมาก่อน พ่อจะได้ให้คนไปรับ...” คนเป็นพ่อเอ่ยถามลูกสาวเพียงคนเดียวเป็นชุด พร้อมกับลุกขึ้นเดินมาหา“ไม่เป็นไรพ่อ หนูกลับมาแล้ว”“อึม...พ่อดีใจที่ลูกกลับมา”“คุณพ่อ คุณแม่...”เสียงเรียกที่เปล่งออกมา มันร้าวในใจของคนที่ได้ยินยิ่งนัก จา