แค่เพียงไม่กี่ประโยคที่ผ่านหู เลือดในกายสูบฉีดเร็วแรงเร่งให้หัวใจทำงานหนัก มือเรียวออกอาการสั่นน้อย ๆ พยายามยื่นมือเรียวผลักประตูที่อ้าอยู่น้อยนิด และพาตัวเองเข้าไป
“คุณหนู...” เสียงเบาหวิวเหมือนเรียกเตือนด้วยความห่วงใยของแม่นมนุ่น หญิงสาวที่ถูกเรียกไว้หันมาสบตา ฉายแววเจ็บปวดกับสิ่งที่ได้ยินมา แต่หากจ้องไปให้ลึกลงไปในแววตานั้น มันแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว
แสงเทียนพยักหน้าเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกได้ หากแต่ทุกอย่างมันถึงจุดที่จะได้รับรู้และหาทางแก้ไขร่วมกัน เมื่อเธอเติบโตอยู่อย่างสุขสบายและเรียนจบมาด้วยเงินของบริษัท เธอก็ต้องรับรู้ถึงความสั่นคลอนของบริษัทเช่นกัน...
ทันทีที่เห็นบุคคลเข้ามาใหม่ผู้สูงวัยทั้งสองก็หยุดการมีปากเสียง
“ยัยเทียน/ลูกเทียน” สองสามีเอ่ยเรียกพร้อมกัน
“ลูกมาเมื่อไหร่ แล้วทำไมไม่โทรมาบอกพ่อ... แล้วนี่กลับมายังไง ทำไมไม่โทรมาก่อน พ่อจะได้ให้คนไปรับ...” คนเป็นพ่อเอ่ยถามลูกสาวเพียงคนเดียวเป็นชุด พร้อมกับลุกขึ้นเดินมาหา
“ไม่เป็นไรพ่อ หนูกลับมาแล้ว”
“อึม...พ่อดีใจที่ลูกกลับมา”
“คุณพ่อ คุณแม่...”
เสียงเรียกที่เปล่งออกมา มันร้าวในใจของคนที่ได้ยินยิ่งนัก จากนั้นเธอก็โผเข้าหาบุคคลทั้งสอง โอบกอดร่างอวบของคนเป็นแม่อย่างรักใคร่และซบอกอุ่น สูดกลิ่นกายที่เธอเคยคุ้นชินมาหลายปีด้วยความคิดถึง ก่อนจะผละออกไปซบอกหนาของคนเป็นพ่อ น้ำตาเม็ดใสไหลริน มือเรียวรีบปาดทิ้ง
“ทำไมเพิ่งกลับมา พ่อให้แม่ส่งเงินไปให้ตั้งนานแล้ว” คนเป็นพ่อเอ่ยถามเสียงสั่น พร้อมสีหน้าเคร่งขรึมมองลูกสาวคนเดียวด้วยความแปลกใจ และดีใจในคราเดียว แต่สำหรับคนเป็นพ่ออย่างเขา ลูกมาช้าดีกว่าลูกไม่กลับมาเสียเลย แต่อีกด้าน คนเป็นแม่กลับทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก มืออวบอูมดึงกลับฉับพลัน เมื่อนึกอะไรบางอย่างได้
“....” คำถามของคนเป็นพ่อทำเอาแสงเทียนคิ้วขมวดมุ่นหันมองผู้เป็นแม่ที่หลบสายตาต่ำ แค่นี้เธอก็พอเดาได้ แม่เธอไม่เลิกนิสัยเดิม...
“ลูกกลับมาแล้วก็ดีใจแล้วล่ะ... แล้วลูกกลับมากับใครหรือเปล่า” เสียงแหลมของคนเป็นแม่เอ่ยขัดขึ้นและประโยคหลังหันมาถามลูกสาว และหยุดการซักถามไปได้
ตาคมวาววับมองคนเป็นแม่ตาปริบ ๆ จะให้ตอบตอนนี้ เธอไม่ไว้ใจคนเป็นแม่นัก...!
เรื่องที่ยังค้างคาเอ่ยไม่จบ คุณปิยะจึงเงียบไว้ แม้จะติดใจคำถามของคนเป็นภรรยาที่เอ่ยถามลูกสาวไป แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องจะไปจะมากับใคร เพราะมันเป็นเรื่องของหนุ่มสาว และมั่นใจว่าลูกสาวของตัวเองรักในความเป็นกุลสตรี จะปล่อยเนื้อปล่อยตัวคงเป็นไปไม่ได้
ป้านุ่นที่เดินนำคุณหนูของตนเองไปก่อนหน้านี้ รับกระเป๋าแล้วรีบกระวีกระวาดจัดเตรียมห้องนอน ด้วยใบหน้าปลื้มยินดีกับการกลับมาของคุณหนู ส่วนคนในครอบครัวก็ได้พูดคุยซักถามเรื่องราวกันต่อ โดยพ่อแม่ลูกโอบกอดกันจนหายชื่นใจ และซักถามเรื่องราวต่างๆ ของกันและกัน ไม่ได้วกกลับไปยังเรื่องที่เธอเพิ่งได้ยินผ่านหูให้สะเทือนใจอีก และดูเหมือนผู้ใหญ่ทั้งสองก็ไม่อยากคุยเรื่องนั้นต่อหน้าลูกสาวเช่นกัน
ทุกอย่างเหมือนจะเงียบลง ไม่มีใครเอ่ยอะไรกับเรื่องที่คุยกันจนเป็นประเด็นก่อนหน้า แต่ใครเลยจะรู้ว่าภายในที่เงียบนิ่งยากที่จะหยั่งถึงในจิตใจของแต่ละฝ่าย ต่างคนต่างอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง จุดมุ่งหมายของแต่ละคนยากจะคาดเดา!
“บอกแม่ได้ยังว่าลูกกลับมาได้ยังไง หรือกลับมากับใคร”
คำถามที่นางต้องรู้คำตอบให้ได้ จึงเป็นประเด็นหลัก หลังจากที่กินอาหารกลางวันเสร็จ
สิ้นคำถาม เสียงวางแก้วน้ำของคนเป็นพ่อดังขึ้น ทำให้คนเป็นภรรยาหันไปค้อนใส่
ปิยะไม่อยากรับรู้จึงลุกขึ้นเดินออกไป โดยมีสายตาละห้อยของลูกสาวมองตาม
“ว่าไง บอกแม่มา” เมื่อเห็นว่าสามีเดินหายหลังไปแล้วก็หันมาเร่งเอาคำตอบจากลูกสาวต่อ
คนถูกถามได้แต่นั่งกลืนน้ำลายลงคอ
“ตกลงลูกกลับมากับใคร หากไม่กลับมากับใคร แล้วลูกได้เงินที่ไหนกลับมา” นางถามซ้ำอีกครั้ง เมื่อคนที่อยู่ขวางลำในการตั้งคำถามของนางเดินออกไปแล้ว
“คะ...” หญิงสาวมองคนเป็นแม่อย่างแปลกใจ
“เอ่อ...” ลินดาทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะนางเองที่มีชนักติดตัว
“ไหน ๆ ลูกก็เรียนจบแล้ว หากมีฟงมีแฟนมันก็ไม่ผิดและไม่ได้น่าเกลียดอะไร ลูกก็เอามาให้พ่อกับแม่รู้จักบ้างสิ พ่อกับแม่ยินดี”
ผู้เป็นมารดาเลี่ยงจากเรื่องเงินค่าใช่จ่ายเดินทางกลับของลูกที่ตนเองจ่ายไปจนหมด ก็หันไปพูดอีกเรื่อง น้ำเสียงและสีหน้าไม่ปิดบัง ว่าตนเองยินดีแค่ไหนหากลูกสาวจะคบกับใครไม่ว่าเพศไหน ก็แค่อย่าให้ลูกของนางเสียเปรียบ ซึ่งก่อนหน้านั้นนางรู้ข่าวคราวเรื่องของลูกสาวจากเพื่อนที่ในวงสังคมไฮโซ ที่ไปเรียนด้วยกันอยู่บ้างแต่ถึงยังไง นางก็ไม่อาจสรุป ตามที่ได้ฟังจากปากคนอื่นได้ นอกเสียจากความจริงออกจากปากลูกสาวนางเอง ที่สำคัญผู้หญิงที่ลูกสาวกำลังคบอยู่ รวยอย่างที่ได้รับข่าวมาจริงหรือไม่...“... ไม่ว่าคุณแม่จะไปรู้อะไรมา ตอนนี้เทียนไม่อยากคิดอะไรเรื่องอื่น คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้บริษัทของคุณพ่ออยู่รอด”เสียงหวานบอกไปตามความตั้งใจ“ลูกได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วใช่ไหม”“ค่ะ หนูจะลองหาวิธีดู” เธอเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นเมื่อย้อนกลับไปคิดถึงใครบางคน หัวใจก็พลันเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง และดูครั้งนี้จะหนักกว่าเก่า หากเทียบกับความจริงที่เพิ่งรับรู้มา‘ใคร’ ที่เธอเผลอรับสาย เบอร์ไม่คุ้นชิน เสียงนุ่มหากฟังดูทรงพลังเหมือนมนตร์สะกด ให้นิ่งฟังจนจบประโยค และตอนนี้จะทำยังไงกับเธอคนนั้น ที่ไม่รู้เลยว่า เขาเป็นใครและต้องการอะไรกันแน่
ภาพจำเมื่อหลายวันก่อนในห้องพัก ร่างสมส่วนของแสงเทียน ยืนมองดูตัวเองอยู่หน้ากระจกเงา สำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง ระหว่างนั้นเครื่องมือสื่อสารที่วางไว้หัวเตียงก็ดังขึ้น ใบหน้าเรียบนิ่งก่อนจะฉีกยิ้มหวาน‘ไม่พ่อก็แม่คงโทรมาหา’ เธอคิดพลางละสายตาจากกระจกเงา หยิบสิ่งของที่ส่งเสียงมองหน้าจอเพื่อหาคำตอบ แต่กลับไม่ใช่เบอร์ที่เธอรอคอย หัวใจหล่นวูบ สายตาที่เคยเบิกบานฉายแววดีใจหม่นลง ความหวังที่จะได้กลับไทยคงต้องรอไปอีกวันสองวันหรือเป็นอาทิตย์!“ขอโทษนะคะ โทรผิดหรือเปล่าคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างสุภาพ แม้จะไม่คุ้นเคยกับน้ำเสียงปลายสายบวกกับเบอร์ไม่คุ้นเคย ทำให้แสงเทียนเลือกที่จะถามคำถามนี้ตั้งแต่กดรับสาย“หากคนที่คุยอยู่ คือคุณแสงเทียน เตชะรัฐลูกสาวแสนสวยของคุณปิยะ เตชรัฐก็ใช่ค่ะ ไม่ผิดเบอร์” ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิง คำพูดทุกคำเน้นชัดเหมือนรู้ลึกคิ้วเรียวงามของแสงเทียนขมวดเข้าหากันแล้วถามกับตัวเอง ‘ใครกัน’“ขอโทษนะคะ คุณเป็นใครและต้องการอะไร”แม้คำพูดอาจฟังดูไม่สุภาพ แต่เธอก็เลือกที่จะทำ เพราะเบอร์ที่ใช้มีอยู่แค่สามคนที่รู้ พ่อ แม่ และเพื่อนสนิทคือเอลิส หากแต่ตอนนี้ไม่รู้ใครที่ไหนกลับมาพูดจาเหมือนร
...เพราะเรื่องบางเรื่องที่ถูกปิดบังเอาไว้ แต่ความคุ้นเคยที่อยู่กันมาจนเกิดเป็นความไว้ใจ เรื่องที่ร้ายแรงของเจ้านายก็ถูกระบายให้ลูกจ้างอย่างเขาได้ฟังเสมอ และตอนนี้เรื่องทุกอย่างยังคงเป็นความลับต่อไป! “ถึงแล้วครับ” ลุงเทิดเอ่ยบอกเมื่อรถเก๋งคันงามจอดเข้าที่ “ค่ะ!” เสียงหวานสะดุ้งเล็กน้อย สายตาที่เคยเหม่อลอยเริ่มจับจ้องสิ่งรอบกายตรงหน้า โรงแรมขนาดใหญ่สูงตระหง่านมันทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นถี่รัว คำพูดที่คุยก่อนหน้า บนห้องนอนไม่กี่ชั่วโมงแวบเข้ามา...“คุณ...” เสียงหวานกรอกเข้าไป หยุดเว้นคำพูดเมื่ออีกฝ่ายรับสายและตอบกลับมา แค่ ‘สวัสดีค่ะ’ และเธอก็สวนไปด้วยคำถามน้ำเสียงนุ่มนวลทันที“ยังจำฉัน… ‘แสงแทน’ ได้ไหมคะ... คนที่คุณเคยโทรหา” เสียงหวานกรอกคำพูดเข้าไป ทั้งที่ใจเริ่มประหม่า หากปลายสายตอบว่าจำไม่ได้ แล้วเธอจะเริ่มต้นคำพูดใด ไม่ให้ดูไม่เสียหน้า... ปลายสายเงียบเหมือนกำลังใช้เวลาครุ่นคิด แต่เปล่าเลยเธอจำได้สนิท และเอ่ยออกมาในที่สุด ‘จำได้ สาวสวยนามว่า แสงเทียน เตชะรัฐ มีอะไรงั้นหรือ หรือตัดสินใจได้แล้ว... ทางนี้ยังยืนยันคำเดิมนะ’ น้ำเสียงที่ส่งออกมา นุ่มลึกจนแสงเทียนร้อ
“สวัสดีค่ะ NY เมโทรพอยท์ไทยแลนด์ ยินดีให้บริการค่ะ”เสียงหวานดังมาจากพนักงานสาว รูปร่างสูงโปร่งแต่งแต้มไว้อย่างสวยงามในชุดไทย สไบตีเกล็ดดูหรูในสายตาแขกมาเยือน เสื้อกระดุมผ่าหน้าคอกลม แขนสามส่วน กระโปรงป้าย จากนั้นก็ก้มพนมมือไหว้เมื่อก้าวแรกของแขกผ่านเข้ามาแสงเทียนยิ้มพยักหน้ารับอย่างมีไมตรีตอบรับกลับไป ก่อนก้าวผ่านสาวสวยด้านหน้า ตรงไปยังเคาน์เตอร์หรูตัวเตี้ยรูปตัว L ต่อข้างลายไม้ตกแต่งประดับด้วยแก้วเจียระไนฝังในตัวไม้ได้อย่างสวยงาม แสงเทียนส่งยิ้มหวานที่ต่อเนื่องมาจากอีกคนให้คนที่เธอกำลังต้องการสอบถามถึงคนที่เธอนัดพบ “ขอโทษนะคะ ดิฉัน แสงเทียน นัดไว้กับคุณ... คุณธัญกร เทียนเทพ ไม่ทราบว่าจะพบได้ที่ไหนคะ” เธอมั่นใจว่าบอกชื่อถูกต้องไม่ตกหล่น “อ๋อค่ะ เดี๋ยวยังไงจะให้พนักงานพาไปนะคะ แต่ต้องรอนะคะ เพราะตอนนี้คุณธัญกรยังติดประชุมอยู่ค่ะ” เสียงนุ่มนวลเอ่ยบอกเหตุผลคำตอบที่ได้ทำให้แสงเทียนมั่นใจว่าไม่พลาด ผู้หญิงที่เธอคุยด้วยทั้งที่ไม่มีความสนิทเป็นการส่วนตัวและไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน หากแต่เธอก็ไม่ได้เอะใจว่าเหตุใดคำตอบของพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ ถึงไม่ซักถามอะไรอีก“ค่ะ” เธอตอบร
ธัญกรยิ้มพราว เธอรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าคือลูกผู้บริหารที่มีตำแหน่งทัดเทียมกันกับเธอ หากแต่ตอนนี้ผู้สูงวัย ต้องการวางมือปล่อยให้หุ้นส่วนรุ่นใหม่ดูแล เพราะปัญหาภายในครอบครัวยังไม่ลงตัว ตามที่ได้ยินมาจากวงสังคมธุรกิจ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของความอยู่รอดของธุรกิจ จึงตัดสินใจยอมร่วมหุ้นด้วย“งานโรงแรมของเราไม่ได้มีปัญหาทางการเงิน แต่เพราะผมอายุมากแล้ว จะทำจะคิดอะไรก็ไม่ทันเด็ก ๆ รุ่นใหม่ ผมจึงอยากได้คนอย่างคุณธัญกรเข้าร่วมหุ้นด้วย ผมอยากวางมือเต็มแก่ แต่ก็มีเพียงลูกสาวคนเดียวที่รักดี แต่ผมยังไม่กล้าวางมือให้เธอดูแลเพียงลำพัง ส่วนลูกชายอีกคนที่ผมเหลืออยู่กลับไม่รู้จักทำมาหากิน... หากคุณยอม ผมให้คุณบริหารไปคนเดียวพลาง ๆ ก่อน จนกว่าลูกชายผมจะพร้อมกลับมาทำหน้าที่ไปพร้อมกับคุณ” คำพูดของ เทวัน ทำเอาธัญกรที่อยากก้าวหน้าในงานธุรกิจทุก ๆ ด้านมีหรือจะปฏิเสธ และบัดนี้เธอก็ได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ในสถานะผู้บริหารของโรงแรมดังระดับห้าดาว แม้จะแค่ชั่วคราวในฐานะผู้ร่วมหุ้นรายใหญ่ แต่เธอจะก้าวไปข้างหน้าต่อยอดยิ่งขึ้นไปอีก“ว่างก็สะกิดมานะคะ” เอลิสย้ำกับคนเก่งหาตัวจับยากอย่างธัญกร ในขณะคนที่อยู่ในห้วงความคิดรีบหันม
ในห้องทำงานหรูตกแต่งได้อย่างลงตัว เก้าอี้ตัวงามถูกเจ้าของดึงออกก่อนจะนั่งลงอย่างมาดราชสีห์ สายตาคมวาวไม่ได้ละจากใบหน้างาม ก่อนจะผายมือเชิญแขกมาเยือนอีกครั้ง“เชิญนั่งค่ะ จะได้ต่อด้วยเรื่องของ ‘เรา’ ที่คุณ...” ธัญกรหยุดไว้แค่นั้น“แสงเทียน เตชะรัฐค่ะ...” แสงเทียนแนะนำตัวเองไปในตัว แล้วเอ่ยต่อ “หรือหากไม่รังเกียจจะเรียกเทียนก็ได้นะคะ”มุมปากอวบอิ่มสีเรื่อกรีดยิ้ม “ได้สิ คุณเทียน งั้นคุณก็เรียกแทนตัวเองว่าเทียนและเรียกฉันว่าคุณธัญเป็นไง” เป็นประโยคเหมือนขอความคิดเห็น หากแต่คิดดูอีกเหมือนเป็นคำสั่งกราย ๆ แต่แสงเทียนไม่ได้คิดมากถึงเรื่องนั้น“ได้ค่ะ”เพราะไม่อยากให้บรรยากาศของการพบกันครั้งแรกดูอึดอัดเธอจึงตอบรับอย่างว่าง่าย“ดี งั้นก็มาคุยเรื่องของเรา” ธัญกรเน้นน้ำเสียงให้อีกฝ่ายเข้าใจชัดขึ้น“ค่ะ เรื่องของเราที่คุณเคยบอกไว้ เหมือนว่าคุณรู้ดีทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวของเทียน คุณธัญรู้อะไรแค่ไหนคะ” ทั้งที่ได้ยินและเห็นกับตากับสถานภาพของครอบครัวตอนนี้ แต่เธอก็อยากหยั่งเชิงอีกฝ่ายดู“ใช่ รู้ดีเลยล่ะ” สายตามองประสานกัน เหมือนต่างคนต่างกำลังค้นหาความนึกคิดของอีกฝ่าย ก่อนที่เจ้าของห้องจะเอ่ยข
ธัญกรจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา แม้เวลาผ่านไปไม่นาน การสัมผัสแค่เพียงสายตาและเสียงหวาน ทำให้หัวใจผู้หญิงอย่างเธอรู้สึกปวดหนึบ อยากทำลายฝันที่เต็มไปด้วยพลังและมุ่งหวังของคนตรงหน้าเสียเดี่ยวนั้น แต่เธอต้องเลือกว่าจะเล่นแบบไหนให้สาแก่ใจ!“คนอย่าง ธัญกร เทียนเทพ พูดจริงทำจริง ไม่ทราบว่า ตระกูล ‘เตชรัฐ’ จะทำจริงได้หรือเปล่า” หญิงสาวเอ่ยถามหากแต่สายตาจับจ้องใบหน้าหวานที่ตกแต่งไว้อย่างลงตัว เธอชอบมองเวลาปากอิ่มขยับไหวยามเอ่ยวาจา หากได้ลิ้มลอง มันคงหอมหวานยิ่งกว่า... นักธุรกิจสาวแอบคิดลวนลามหญิงสาวตรงหน้า ครั้นก็แอบเสียดายที่เธอเป็นคนตระกูล ‘เตชะรัฐ’กระนั้นร่างกายที่สมบูรณ์แบบด้วยวัย ก็เป็นใจร้อนวูบวาบไปทั่วช่องท้องไปกับความคิด ทั้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนไหนเพียงเพราะความคิด เว้นแต่...อยากระบายเท่านั้น!“อย่าเอ่ยถึงตระกูลเลยค่ะ แค่ถามว่าพร้อมหรือเปล่า... ก็มีคำตอบให้คุณเดี๋ยวนี้” ใบหน้าหวานเชิดขึ้นเล็กน้อยถึงเธอจะจนตรอกแต่ก็พร้อมปกป้องตระกูลของตัวเอง งั้นก็อย่าหาว่า ‘เนตรศิริ’ ใจร้าย! ธัญกรยิ้มเหยียด ยอมรับใจอีกฝ่าย “ใจแบบนี้ น่าจะร่วมงานกันได้ไม่ยากนะ”“พูดแบบนี้ คุณธัญเปลี่ยนใจช่วยบริษัท
หากแต่ทนอ่านไปจนบรรทัดสุดท้าย ล่างสุดมีลายเซ็นเจ้าของสัญญาลงชื่อไว้เรียบร้อย เหมือนเขาเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้สำหรับงานนี้แล้ว“....” สายตาที่เคยไหวระริกด้วยความหวังมาบัดนี้เหลือไว้แค่ร่องรอยความเจ็บปวด ใบหน้าหวานขาวซีดสลับเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อในเวลาถัดมาเธอคงหลากหลายความรู้สึก... ธัญกรคิดไปหลังจากที่นั่งจับตาดูคนตรงหน้าอยู่ตลอดเวลา หากแต่เหตุใดต้องแคร์ เมื่อมั่นใจว่ายังไงเธอก็ไม่กล้าปฏิเสธเมื่อเห็นว่าเวลาสมควรกับการทำความเข้าใจ ท่ามกลางความเงียบ เสียงนุ่มลึกก็เอ่ยขึ้นเพื่อขีดเส้นตาย“เวลามีให้คุณเทียนไม่มาก จะเซ็นก็เซ็น”สายตาคมภายใต้ขนตางามงอนตวัดมองแล้วพูดขึ้น “มันไม่เกินไปหน่อยหรือคะ” แค่สายตาที่มองมาอย่างดูถูก ก็เจ็บปวดมากพอ แต่จะให้แลกร่างกายกับการยื้อบริษัทไม่ให้ล่ม มันมากเกินไป ผู้หญิงคนนี้เอาสมองส่วนไหนคิด... แม้พยายามย้ำคิดและกลืนความหดหู่เอาไว้ แต่ก็ยังรู้สึกสมเพชตัวเองไม่ได้ริมฝีปากอวบอิ่มยกยิ้มมุมปากแล้วตอบกลับ“คุณเทียนก็แค่เอาของที่มีอยู่แล้วลงทุน ส่วนฉันต้องลงทุนของที่มองไม่เห็นว่าผลจะออกมายังไง...”“คุณธัญ...” เหมือนโดนตบหน้า โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร “คุณเอาร่