“สวัสดีค่ะ NY เมโทรพอยท์ไทยแลนด์ ยินดีให้บริการค่ะ”เสียงหวานดังมาจากพนักงานสาว รูปร่างสูงโปร่งแต่งแต้มไว้อย่างสวยงามในชุดไทย สไบตีเกล็ดดูหรูในสายตาแขกมาเยือน เสื้อกระดุมผ่าหน้าคอกลม แขนสามส่วน กระโปรงป้าย จากนั้นก็ก้มพนมมือไหว้เมื่อก้าวแรกของแขกผ่านเข้ามาแสงเทียนยิ้มพยักหน้ารับอย่างมีไมตรีตอบรับกลับไป ก่อนก้าวผ่านสาวสวยด้านหน้า ตรงไปยังเคาน์เตอร์หรูตัวเตี้ยรูปตัว L ต่อข้างลายไม้ตกแต่งประดับด้วยแก้วเจียระไนฝังในตัวไม้ได้อย่างสวยงาม แสงเทียนส่งยิ้มหวานที่ต่อเนื่องมาจากอีกคนให้คนที่เธอกำลังต้องการสอบถามถึงคนที่เธอนัดพบ “ขอโทษนะคะ ดิฉัน แสงเทียน นัดไว้กับคุณ... คุณธัญกร เทียนเทพ ไม่ทราบว่าจะพบได้ที่ไหนคะ” เธอมั่นใจว่าบอกชื่อถูกต้องไม่ตกหล่น “อ๋อค่ะ เดี๋ยวยังไงจะให้พนักงานพาไปนะคะ แต่ต้องรอนะคะ เพราะตอนนี้คุณธัญกรยังติดประชุมอยู่ค่ะ” เสียงนุ่มนวลเอ่ยบอกเหตุผลคำตอบที่ได้ทำให้แสงเทียนมั่นใจว่าไม่พลาด ผู้หญิงที่เธอคุยด้วยทั้งที่ไม่มีความสนิทเป็นการส่วนตัวและไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน หากแต่เธอก็ไม่ได้เอะใจว่าเหตุใดคำตอบของพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ ถึงไม่ซักถามอะไรอีก“ค่ะ” เธอตอบร
ธัญกรยิ้มพราว เธอรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าคือลูกผู้บริหารที่มีตำแหน่งทัดเทียมกันกับเธอ หากแต่ตอนนี้ผู้สูงวัย ต้องการวางมือปล่อยให้หุ้นส่วนรุ่นใหม่ดูแล เพราะปัญหาภายในครอบครัวยังไม่ลงตัว ตามที่ได้ยินมาจากวงสังคมธุรกิจ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของความอยู่รอดของธุรกิจ จึงตัดสินใจยอมร่วมหุ้นด้วย“งานโรงแรมของเราไม่ได้มีปัญหาทางการเงิน แต่เพราะผมอายุมากแล้ว จะทำจะคิดอะไรก็ไม่ทันเด็ก ๆ รุ่นใหม่ ผมจึงอยากได้คนอย่างคุณธัญกรเข้าร่วมหุ้นด้วย ผมอยากวางมือเต็มแก่ แต่ก็มีเพียงลูกสาวคนเดียวที่รักดี แต่ผมยังไม่กล้าวางมือให้เธอดูแลเพียงลำพัง ส่วนลูกชายอีกคนที่ผมเหลืออยู่กลับไม่รู้จักทำมาหากิน... หากคุณยอม ผมให้คุณบริหารไปคนเดียวพลาง ๆ ก่อน จนกว่าลูกชายผมจะพร้อมกลับมาทำหน้าที่ไปพร้อมกับคุณ” คำพูดของ เทวัน ทำเอาธัญกรที่อยากก้าวหน้าในงานธุรกิจทุก ๆ ด้านมีหรือจะปฏิเสธ และบัดนี้เธอก็ได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ในสถานะผู้บริหารของโรงแรมดังระดับห้าดาว แม้จะแค่ชั่วคราวในฐานะผู้ร่วมหุ้นรายใหญ่ แต่เธอจะก้าวไปข้างหน้าต่อยอดยิ่งขึ้นไปอีก“ว่างก็สะกิดมานะคะ” เอลิสย้ำกับคนเก่งหาตัวจับยากอย่างธัญกร ในขณะคนที่อยู่ในห้วงความคิดรีบหันม
ในห้องทำงานหรูตกแต่งได้อย่างลงตัว เก้าอี้ตัวงามถูกเจ้าของดึงออกก่อนจะนั่งลงอย่างมาดราชสีห์ สายตาคมวาวไม่ได้ละจากใบหน้างาม ก่อนจะผายมือเชิญแขกมาเยือนอีกครั้ง“เชิญนั่งค่ะ จะได้ต่อด้วยเรื่องของ ‘เรา’ ที่คุณ...” ธัญกรหยุดไว้แค่นั้น“แสงเทียน เตชะรัฐค่ะ...” แสงเทียนแนะนำตัวเองไปในตัว แล้วเอ่ยต่อ “หรือหากไม่รังเกียจจะเรียกเทียนก็ได้นะคะ”มุมปากอวบอิ่มสีเรื่อกรีดยิ้ม “ได้สิ คุณเทียน งั้นคุณก็เรียกแทนตัวเองว่าเทียนและเรียกฉันว่าคุณธัญเป็นไง” เป็นประโยคเหมือนขอความคิดเห็น หากแต่คิดดูอีกเหมือนเป็นคำสั่งกราย ๆ แต่แสงเทียนไม่ได้คิดมากถึงเรื่องนั้น“ได้ค่ะ”เพราะไม่อยากให้บรรยากาศของการพบกันครั้งแรกดูอึดอัดเธอจึงตอบรับอย่างว่าง่าย“ดี งั้นก็มาคุยเรื่องของเรา” ธัญกรเน้นน้ำเสียงให้อีกฝ่ายเข้าใจชัดขึ้น“ค่ะ เรื่องของเราที่คุณเคยบอกไว้ เหมือนว่าคุณรู้ดีทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวของเทียน คุณธัญรู้อะไรแค่ไหนคะ” ทั้งที่ได้ยินและเห็นกับตากับสถานภาพของครอบครัวตอนนี้ แต่เธอก็อยากหยั่งเชิงอีกฝ่ายดู“ใช่ รู้ดีเลยล่ะ” สายตามองประสานกัน เหมือนต่างคนต่างกำลังค้นหาความนึกคิดของอีกฝ่าย ก่อนที่เจ้าของห้องจะเอ่ยข
ธัญกรจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา แม้เวลาผ่านไปไม่นาน การสัมผัสแค่เพียงสายตาและเสียงหวาน ทำให้หัวใจผู้หญิงอย่างเธอรู้สึกปวดหนึบ อยากทำลายฝันที่เต็มไปด้วยพลังและมุ่งหวังของคนตรงหน้าเสียเดี่ยวนั้น แต่เธอต้องเลือกว่าจะเล่นแบบไหนให้สาแก่ใจ!“คนอย่าง ธัญกร เทียนเทพ พูดจริงทำจริง ไม่ทราบว่า ตระกูล ‘เตชรัฐ’ จะทำจริงได้หรือเปล่า” หญิงสาวเอ่ยถามหากแต่สายตาจับจ้องใบหน้าหวานที่ตกแต่งไว้อย่างลงตัว เธอชอบมองเวลาปากอิ่มขยับไหวยามเอ่ยวาจา หากได้ลิ้มลอง มันคงหอมหวานยิ่งกว่า... นักธุรกิจสาวแอบคิดลวนลามหญิงสาวตรงหน้า ครั้นก็แอบเสียดายที่เธอเป็นคนตระกูล ‘เตชะรัฐ’กระนั้นร่างกายที่สมบูรณ์แบบด้วยวัย ก็เป็นใจร้อนวูบวาบไปทั่วช่องท้องไปกับความคิด ทั้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนไหนเพียงเพราะความคิด เว้นแต่...อยากระบายเท่านั้น!“อย่าเอ่ยถึงตระกูลเลยค่ะ แค่ถามว่าพร้อมหรือเปล่า... ก็มีคำตอบให้คุณเดี๋ยวนี้” ใบหน้าหวานเชิดขึ้นเล็กน้อยถึงเธอจะจนตรอกแต่ก็พร้อมปกป้องตระกูลของตัวเอง งั้นก็อย่าหาว่า ‘เนตรศิริ’ ใจร้าย! ธัญกรยิ้มเหยียด ยอมรับใจอีกฝ่าย “ใจแบบนี้ น่าจะร่วมงานกันได้ไม่ยากนะ”“พูดแบบนี้ คุณธัญเปลี่ยนใจช่วยบริษัท
หากแต่ทนอ่านไปจนบรรทัดสุดท้าย ล่างสุดมีลายเซ็นเจ้าของสัญญาลงชื่อไว้เรียบร้อย เหมือนเขาเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้สำหรับงานนี้แล้ว“....” สายตาที่เคยไหวระริกด้วยความหวังมาบัดนี้เหลือไว้แค่ร่องรอยความเจ็บปวด ใบหน้าหวานขาวซีดสลับเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อในเวลาถัดมาเธอคงหลากหลายความรู้สึก... ธัญกรคิดไปหลังจากที่นั่งจับตาดูคนตรงหน้าอยู่ตลอดเวลา หากแต่เหตุใดต้องแคร์ เมื่อมั่นใจว่ายังไงเธอก็ไม่กล้าปฏิเสธเมื่อเห็นว่าเวลาสมควรกับการทำความเข้าใจ ท่ามกลางความเงียบ เสียงนุ่มลึกก็เอ่ยขึ้นเพื่อขีดเส้นตาย“เวลามีให้คุณเทียนไม่มาก จะเซ็นก็เซ็น”สายตาคมภายใต้ขนตางามงอนตวัดมองแล้วพูดขึ้น “มันไม่เกินไปหน่อยหรือคะ” แค่สายตาที่มองมาอย่างดูถูก ก็เจ็บปวดมากพอ แต่จะให้แลกร่างกายกับการยื้อบริษัทไม่ให้ล่ม มันมากเกินไป ผู้หญิงคนนี้เอาสมองส่วนไหนคิด... แม้พยายามย้ำคิดและกลืนความหดหู่เอาไว้ แต่ก็ยังรู้สึกสมเพชตัวเองไม่ได้ริมฝีปากอวบอิ่มยกยิ้มมุมปากแล้วตอบกลับ“คุณเทียนก็แค่เอาของที่มีอยู่แล้วลงทุน ส่วนฉันต้องลงทุนของที่มองไม่เห็นว่าผลจะออกมายังไง...”“คุณธัญ...” เหมือนโดนตบหน้า โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร “คุณเอาร่
เจ้าของดวงหน้างามคลียิ้มบาง ๆ แล้วพูดขึ้น “เสียเวลาตั้งนานสองนาน จะไปทั้งแบบนี้ไม่เหมาะมั้งคะ...”สายตาและน้ำเสียงชวนเสียวช่องท้อง สายตาจับจ้องอยู่ตรงริมฝีปากยัก แสงเทียนรีบออกแรงสะบัดตัวออกห่าง เมื่อรู้สึกถึงแรงคุกคาม “ปล่อย! อย่ามาทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้นะ”“บ้าเหรอ แค่จะขอหากำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ”ไม่รอคำตอบรับหรือคำคัดค้าน ใบหน้างามก็ก้มลงมาหาปากอวบอิ่มประกบปิดริมฝีปากของคนหัวแข็งที่อ้าค้างทันที และเป็นจังหวะให้ลิ้นร้อนชื้นของเธอเข้าซอกซอนอย่างง่ายดาย โดยอีกฝ่ายไม่ทันตั้งรับ“อึก อืออ” เสียงแผ่วร้องประท้วงดังเล็ดลอดออกมา หากแต่ริมฝีปากอวบอิ่มที่มีชั้นเชิงกว่ากดน้ำหนักแล้วบดขยี้ด้วยความช่ำชองเสียงหวานแหลมถูกกลืนหาย ร่างบางออกอาการสั่นมือไม้อ่อน เมื่อได้รับสัมผัสสิ่งแปลกใหม่ ที่ไม่ได้ร้องขอ โดยอีกฝ่ายไม่รอคำอุทธรณ์ใด ๆ จากเธอ“อือ...” เธอรวบรวมแรงอันน้อยนิด ส่งเสียงลอดไรฟันเพื่อประท้วงและใช้ปากสูดเอาอากาศปอด แต่มันยังไม่เต็มอิ่ม เมื่อมือเรียวที่จับท้ายทอยกลับเพิ่มน้ำหนักและล็อกเป้าแน่นกว่าเดิมแสงตาเหลือกลานด้วยความตื่นกลัวจึงรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีไปที่กำปั้นแล้วทุบไปบนไหล่มนสองสามครั้งแต่อีก
แสงเทียนวิ่งออกมายืนคว้างอยู่กลางลานด้านหน้าตึกสูง สายตาสาดมองหารถของลุงเทิด ใจภาวนาขอให้อีกฝ่ายรอเธอที่จุดไหนสักแห่งไม่ไกลจากที่เธอยืนอยู่ “คุณเทียนครับ” แสงเทียนสะดุ้งโหยง แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ยิ้มอย่างโล่งใจ “ลุงเทิด...”“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ลุงเทิดถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นแววตาลุกลนเหมือนเด็กน้อยเจอเรื่องตื่นตกใจมา“ไม่มีอะไร เรากลับกันเถอะค่ะ”แสงเทียนบอกปัด ในขณะที่คนอาบน้ำร้อนมาก่อนจับสังเกตได้ แต่เมื่อเจ้าตัวบอกมาแบบนั้น ผู้สูงวัยใหญ่จึงปล่อยผ่าน จากนั้นก็เดินนำไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก“คุณหนูจะกลับเลยไหมครับ”หลังจากที่เคลื่อนรถออกมาแล้วลุงเทิดก็ถามขึ้นแสงเทียนที่ทิ้งแผ่นหลังไปบนเบาะและพักสายตาอยู่ ตอบกลับ “กลับบ้านเลยค่ะ”เสียงนั้นดูอ่อนล้ากว่าขามา ลุงเทิดจึงปล่อยให้คนด้านหลังพักผ่อน ส่วนตัวเองก็ทำหน้าที่ไปบ้าน ‘เตชะรัฐ’หน้าประตูรั้วรีโมทอัลลอยมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนออกันอยู่ ทำให้ลุงเทิดต้องบีบแตรขอทาง หากคนพวกนั้นที่อายุอยู่ในราวยี่สิบถึงสี่สิบห้าปีหันมามองจากนั้นก็เดินตรงมาหา ซึ่งลุงเทิดรู้ได้ในทันทีว่าคนกลุ่มนั้นคือพวกไหน“มีอะไรหรือคะ...” แ
แสงเทียนกลืนน้ำลายลงคอ เข้าใจและเห็นใจ แต่เธอก็หาทางช่วยอยู่ หากมันยังไม่สำเร็จ“วันนี้หากไม่ได้เงิน พวกเราจะรออยู่หน้าบ้าน พร้อมกับไลฟ์สด ให้คนอื่นรู้ไปเลยว่าบริษัทนี้ขี้โกง”ไม่ใช่คำขู่แต่ผู้หญิงคนนั้นดึงมือถือออกมาเพื่อเตรียมพร้อมแสงเทียนหน้าเจื่อน เช่นนั้นครอบครัวของเธอก็คงไม่มีความหน้าเชื่อถือและหากข่าวแพร่กระจายออกไป จะมีนักลงทุนคนไหนกล้ายื่นมือมาช่วยหรือเข้ามาเป็นหุ้นส่วน คิดเช่นนั้นเธอจึงรีบห้ามพนักงานหญิงคนนั้นไว้“ไม่ได้นะคะ คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะคะ” แสงเทียนรีบปราม แม้จะเห็นใจทุกคนก็ตาม“ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อพ่อคุณตั้งใจโกง”“พ่อเทียนไม่ได้โกงหรอกค่ะ ท่านก็หาทางอยู่ แต่หากคุณไลฟ์สดออกไป ทางที่จะหามันก็ยิ่งตันขึ้น ขอร้องนะคะ ทุกคนใจเย็น ๆ นะคะ”“เราไม่สนแล้ว ในเมื่องานก็ไม่ได้ทำ... พวกคุณจะมีทางหรือไม่มี ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้ว รีบจ่ายเงินที่ค้างมา เรื่องจะได้จบ ๆ ” ผู้หญิงคนเดิมยกมือขึ้นเท้าสะเอวโดยมือข้างหนึ่งกำโทรศัพท์พร้อมทำตามที่พูดแสงเทียนหน้าซีดจนขาวยิ่งกว่ากระดาษหันไปมองลุงเทิดเพื่อขอความคิดเห็น แต่ลุงเทิดก็ยืนทำหน้ากลื่นไม่เข้าคายไม่ออกไร้คำพูดเช่นกัน“เอางี้ดีไหมคะ