แสงเทียนกลืนน้ำลายลงคอ เข้าใจและเห็นใจ แต่เธอก็หาทางช่วยอยู่ หากมันยังไม่สำเร็จ“วันนี้หากไม่ได้เงิน พวกเราจะรออยู่หน้าบ้าน พร้อมกับไลฟ์สด ให้คนอื่นรู้ไปเลยว่าบริษัทนี้ขี้โกง”ไม่ใช่คำขู่แต่ผู้หญิงคนนั้นดึงมือถือออกมาเพื่อเตรียมพร้อมแสงเทียนหน้าเจื่อน เช่นนั้นครอบครัวของเธอก็คงไม่มีความหน้าเชื่อถือและหากข่าวแพร่กระจายออกไป จะมีนักลงทุนคนไหนกล้ายื่นมือมาช่วยหรือเข้ามาเป็นหุ้นส่วน คิดเช่นนั้นเธอจึงรีบห้ามพนักงานหญิงคนนั้นไว้“ไม่ได้นะคะ คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะคะ” แสงเทียนรีบปราม แม้จะเห็นใจทุกคนก็ตาม“ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อพ่อคุณตั้งใจโกง”“พ่อเทียนไม่ได้โกงหรอกค่ะ ท่านก็หาทางอยู่ แต่หากคุณไลฟ์สดออกไป ทางที่จะหามันก็ยิ่งตันขึ้น ขอร้องนะคะ ทุกคนใจเย็น ๆ นะคะ”“เราไม่สนแล้ว ในเมื่องานก็ไม่ได้ทำ... พวกคุณจะมีทางหรือไม่มี ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้ว รีบจ่ายเงินที่ค้างมา เรื่องจะได้จบ ๆ ” ผู้หญิงคนเดิมยกมือขึ้นเท้าสะเอวโดยมือข้างหนึ่งกำโทรศัพท์พร้อมทำตามที่พูดแสงเทียนหน้าซีดจนขาวยิ่งกว่ากระดาษหันไปมองลุงเทิดเพื่อขอความคิดเห็น แต่ลุงเทิดก็ยืนทำหน้ากลื่นไม่เข้าคายไม่ออกไร้คำพูดเช่นกัน“เอางี้ดีไหมคะ
เมื่อได้คำตอบจากลูกสาวนางก็พูดขึ้นด้วยความหงุดหงิด“น่าผิดหวังจริง ๆ”“แม่คะ...” เสียงขื่นเรียกผู้เป็นแม่ ทั้งที่อยากเดินหนีเพราะสมองของเธอไม่อยากรับพลังลบเพิ่ม แต่ก็กลัวอีกฝ่ายคิดมาก “แม่หวังในสิ่งที่เป็นไปได้แม่จะไม่ผิดหวังในตัวเทียนแน่นอนเลยค่ะ”“พูดดีไปเถอะ ก็อย่าให้เหมือนพ่อละกัน” นางกระแทกเสียงใส่ แสงเทียนน้ำตาตกใน“หนูลูกพ่อนะคะแล้วก็ลูกแม่ด้วย...” เธอยอมรับด้วยความภาคภูมิใจ และนั่นทำให้ผู้เป็นแม่คิดว่าลูกสาวประชดและไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ยิ่งคำพูดนางไร้ค่าในความคิดของลูก จนเกิดเป็นความน้อยใจ“ยัยเทียน!”แสงเทียนถอนหายใจเพื่อคลายความรู้สึกตึงเครียด เธอไม่อยากให้แม่หรือใครต้องมาหงุดหงิดหรือกล่าวโทษใส่กัน “ว่าแต่แม่หวังอะไรจากเทียนหรือคะ”นางมองหน้าลูกสาว ใจคิดว่าลูกประชดนางอยู่ แต่เมื่อลูกเปิดโอกาสนางก็ขอพูดในสิ่งที่อยู่ในใจ“แม่นึกว่าลูกออกไปหาผู้หญิงคนนั้นเสียอีก” คนนั้นของนางแสงเทียนเดาว่าเป็นเอลิส“เอลิสหรือคะ”“ใช่ แม่หวังว่าลูกจะทำตามที่แม่แนะนำ... เขารวยมากไม่ใช่เหรอ”“ค่ะ ยังไงหนูขอขึ้นไปพักผ่อนก่อนนะคะ” จากนั้นเธอก็เดินเลี่ยงออกไป“อ้าว ยายเทียน แม่ยังคุยไม่จบเลย โอ้ยลูกค
ร้านอาหารกึ่งบาร์เอลิสจองโต๊ะที่แยกเป็นสัดส่วนเพื่อความเป็นส่วนตัว จากนั้นก็แวะไปทิ้งข้อความให้ธัญกร แล้วเข้าไปดูห้องแชทที่ตั้งธีมสีชมพูไว้ ว่าอีกฝ่ายได้ทิ้งข้อความอะไรไว้ให้ตัวเองบ้างหรือเปล่า แต่ก็มีเพียงข้อความเก่าที่เปิดอ่านไปแล้ว เอลิสจึงมองดูบรรยาการภายในร้านเพื่อฆ่าเวลาโดยก่อนหน้านั้นเธอได้เข้าไปศึกษาหาข้อมูลสถานที่และแหล่งท่องเที่ยวในโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีสถานที่มากมายดูดีมีระดับแต่เธอเลือกสถานที่ที่ใกล้และเดินทางได้สะดวกที่สุดเพื่อให้แสงเทียนสิบนาทีต่อมาในขณะที่นั่งมองอะไรไปเรื่อย ช่องแชทสีชมพูที่เปิดค้างไว้ ก็มีข้อความใหม่เด้งมา เอลิสรีบก้มมองแล้วรีบเลื่อนกลับลงไปอ่าน(กำลังเดินเข้ามา ยกมือฉายไฟด้วย)ข้อความพิมพ์บอกมาอย่างนั้น เอลิสก็รีบลุกขึ้นจากโต๊ะและชะเง้อออกมามองตรงประตูทางเข้า และเห็นแสงเทียนเจ้าของร่างบางสมส่วนในชุดเดรสสั้นเข้ารูปสีชมพูคอเปิดกว้างโชว์ลาดไหล่นวลเนียนมาแต่ไกล...เอลิสเดินออกไปยืนรอเพื่อให้แสงเทียนเห็น จากนั้นก็พากันเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ“รอนานหรือเปล่าคะ” แสงเทียนถามเมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว“ไม่หรอก เพิ่งมานั่งไม่กี่นาทีเอง ว่าแต่เดินทางลำบาก”“ไม่นะ
ในขณะที่เอลิสลุกขึ้นยืนเพื่อให้คนที่เข้ามาใหม่เห็นได้ง่ายขึ้น“ขอโทษที่ให้รอนะคะ” ทันทีที่เดินมาถึงธัญกรก็พูดขึ้นด้วยความเกรงใจ“ไม่เลย...” ปากบอกด้วยความเต็มใจ หากสายตามองสาวด้านข้างที่ดูสวยสง่าใบหน้าสวยราวกับนางฟ้าผิวขาวใส ยิ่งรูปร่างและสัดส่วนไม่ต้องพูดถึง เอลิสกลืนน้ำลายลงคอ...เธอคือคนพิเศษของธัญกรก็ไม่แปลก ทั้งสวยทั้งงดงามหยาดฟ้ามาดินสะขนาดนี้ เหมาะสมกันที่สุด! เอลิสสรุปในขณะที่แสงเทียนนั่งนิ่งเหมือนร่างกายไร้ซึ่งวิญญาณจน ธัญกรกระแอมดัง ทั้งคู่จึงสะดุ้งกลับมามีสติอีกครั้ง“เชิญนั่งก่อนค่ะ”เอลิสผายมือเชิญให้ทั้งคู่นั่ง โดยยังมีอาการเลิ่กลั่กอยู่ในขณะที่ แสงเทียนเก็บไม้เก็บมืออย่างอัตโนมัติสองสาวที่มาทีหลังจึงหย่อนก้นลงนั่ง แล้วยิ้มบาง ๆ ตอบรับ บรรยากาศจึงดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย“คนพิเศษของคุณธัญ...สวยจนทำเอาเกือบลืมหายใจเลยค่ะ”เอลิสพูดจากใจ ประโยคหลังสายตาจับจ้องคนที่ตัวเองกำลังเอ่ยชม โดยไม่กลัวเสียฟอร์มธัญกรยิ้มภูมิใจพร้อมกับคำชมที่ไม่เกินจริง “ทั้งสวยทั้งเก่ง”คนถูกชมหันไปฉีกยิ้มใส่เพื่อน สายตาบอกเป็นนัยน์ ชมกันเองเกินไปแล้ว! ก่อนจะเหลือบตามองสาวอีกคนที่นั่งเงียบ “ไม่คิดแนะ
ธัญกรยกยิ้ม เริ่มสนุก “งั้นก็กินสิ” จากนั้นก็เลิกสนใจคนที่เธอต่อปากต่อคำด้วย แล้วหันไปตักข้าวเข้าปาก ทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแสงเทียนหน้าม่าน เอลิสมองหน้าแสงเทียนสลับกับมองหน้าธัญกร รู้สึกได้ว่าสองคนนี้มีอะไรมากว่าคนแปลกหน้าที่เคยช่วยไว้เมื่อครั้งนั้น แต่ทำทีว่ามองไม่เห็นอาการตึงของคนทั้งคู่ที่มีใส่กัน...“กินเถอะ” เอลิสบอกกับแสงเทียนเธอจึงหยิบช้อนของตัวเองขึ้นมาเขี่ยข้าวในจานต่อ จะกินแต่ก็ไม่กิน!“อาหารไทยร้านนี้อร่อยมาก แบบนี้ต้องมากินบ่อย ๆ”หลังจากที่เงียบไปได้พักใหญ่ ธัญกรก็พูดขึ้นหยางหลิงหลิงเหลือบตามองเพื่อนรักแล้วกระตุกยิ้มมุมปากเพียงนิด “ไม่ต้องเกรงใจนะคะ ให้คิดว่านั่งร่วมโต๊ะพี่ ๆ น้อง ๆ”หยางหลิงหลิงพูดขึ้น โดยไม่ได้เจาะจงว่าบอกใครเป็นพิเศษ จากนั้นก็นั่งกินข้าวต่อในระหว่างนั้นเสียงสั่นเตือนของเครื่องมือสื่อสารทำให้เจ้าของหยุดชะงัก“ขอโทษนะคะ” หยางหลิงหลิงบอกทุกคนเพื่อเป็นมารยาทจากนั้นก็หยิบเครื่องมือสื่อสารที่เปิดเพียงระบบสั่นไว้ขึ้นมาดู จากนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที“มีอะไรหรือเปล่า” ธัญกรถามเมื่อเห็นถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปของเพื่อนสนิท“ต้องไปแล้ว”ประโยคสั้น ๆ ข
หลังจากของคาวถูกเก็บออกไป เครื่องดื่มเย็น ๆ ก็ถูกนำมาเสิร์ฟ โดยแสงเทียนมองด้วยความแปลกใจ ซึ่งเอลิสเข้าใจสายตานั้นดีก็ตอบหน้าระรื่น“สักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก...” ปากบอกเพื่อนสายตาก็มองพาดไปยังแขกคนสำคัญที่นั่งอมยิ้มอยู่ แล้วเอ่ยขึ้นต่อ “นานแล้วที่ไม่ได้กิน ตั้งแต่วันนั้นเลยนะคะ” เธอสบตากับธัญกรที่ตอนนี้นั่งควงแก้วก้านยาวในมือด้วยท่าทางผ่อนคลายและเป็นกันเอง ซึ่งภาพนั้นดูมีเสน่ห์น่ามอง จากนั้นก็หันไปมองหน้าเพื่อนรัก ที่มีอาการต่างออกไป“เทียน นี่ที่นัดเธอออกมาเพราะเรื่องนี้เลยนะ” เมื่อนึกขึ้นได้ก็พูดเกริ่นไว้ก่อน“เรื่องอะไร สำคัญจนคุยทางโทรศัพท์ไม่ได้” แกล้งเย้าเพื่อน ทั้งที่เธอเองก็ได้โอกาสเพื่อพูดเรื่องสำคัญเช่นกันเอลิสยิ้มยิงฟันใส่เมื่อโดนย้อน “แหม้ เรื่องนี้มันจะดีกว่า หากได้เจอหน้าและได้ทำความรู้จักกัน...”“เหรอ แล้วเรื่องอะไรว่ามา” แสงเทียนจ้องหน้ารอฟัง ตาจดจ่ออยู่ที่ริมฝีปากเพื่อนรัก“ดื่มก่อน” แทนที่จะตอบเลย กลับต่อรองให้แสงแทนดื่มไวน์ในแก้ว“เอลิส...” น้ำเสียงสิ้นหวัง มองเพื่อนอย่างอ่อนใจ “รู้อยู่ว่าดื่มไม่เก่ง” พูดพร้อมสายตาตัดพ้อ“ดื่มไม่เก่ง ใช่ว่าจะดื่มไม่ได้... นะดื่มด้วยก
แสงเทียนประคองตัวเดินกลับมาที่โต๊ะ ตั้งใจว่ากลับมาแล้วจะขอตัวกลับบ้านเพราะเริ่มไม่ไหว แต่เมื่อมาถึง ก็พบว่าเพื่อนของตัวเองไม่ได้นั่งอยู่ที่เดิมก็ร้อนใจ จะเอ่ยปากถามคนที่นั่งอยู่ก็กระดากใจ จึงสาดสายตามองหาเองเผื่อว่าจะเจอ“กลับไปแล้ว” ธัญกรรับรู้ได้จากอาการจึงตอบให้อีกฝ่ายเลิกมองหาแสงเทียนตกใจคาดไม่ถึง ว่าจะโดนทิ้งจริง ๆ จากนั้นก็นั่งทำหน้าผิดหวัง รีบร้อนอะไรขนาดไม่รอกันเลย! เธอตัดพ้อในช่วงจังหวะนั้นก็มีข้อความแจ้งเตือนเข้ามา ใบหน้าที่ยังหงิกงอ ก็ก้มมองดูหน้าจอจึงพบว่าเป็นข้อความจากเอลิส(เทียนเอลิสขอโทษเทียนด้วยนะ ทางนี้งานมีปัญหานิดหน่อยต้องรีบกลับไปจัดการ ยังไงเทียนก็ให้คุณธัญเขาไปส่งนะ...ทำตัวน่ารักกับเขาด้วยล่ะ) ประโยคหลังเอลิสตั้งใจให้ขำ แต่แสงเทียนขำไม่ออกเมื่ออ่านข้อความจบเธอก็กระแทกมือถือลงบนโต๊ะ บ่งบอกความรู้สึกทางอารมณ์ได้ จากนั้นก็ยกมือขึ้นใช้นิ้วกดคลึงตรงขมับที่ปวดแปลบขึ้น ซึ่งอาการของเธอนั้น มีสายตาของธัญกรจับจ้องอยู่“รีบกลับไหม จะได้ไปส่ง” ธัญกรถามทั้งที่เธอพอเดาได้แสงเทียนช้อนตาขึ้นมอง “ไม่รบกวนคุณหรอกค่ะ... ยังไงเราก็แยกกันตรงนี้เลยดีกว่า”พูดจบแสงเทียนก็ยันตัวลุก
แม้จะไม่ปรารถนาจูบนั้น แต่ความรู้สึกยังติดอยู่บนริมฝีปาก!สายตาแข็งกร้าวจ้องนิ่งบนใบหน้าเนียนที่แต่งไว้อย่างสวยงามและลงตัว แล้วค่อย ๆ พูดออกมาทีละคำ พร้อมกับไล่สายตามองไปทั่วใบหน้าและหยุดอยู่ตรงริมฝีปากสีเรื่อได้รูป“ปากไม่เก่งแล้วเหรอ...” จากนั้นสายตาค่อย ๆ เปลี่ยนจนแสงเทียนรู้สึกเย็นยะเยือกเข้าไปในหัวใจ โดยเธอไม่สามารถเดาทางได้เลย ว่าหลังจากนี้คนตรงหน้าต้องการเล่นเกมอารมณ์อะไรกับเธอกันแน่...“หลีก!”เมื่อรู้สึกเสียวสันหลัง แสงเทียนก็พยายามหาทางออกโดยการพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด แต่ธัญกรมีหรือจะยอม เมื่อเจอมวยถูกคู่ เกมนี้มีคนเจ็บต้องเข้ากระดูกดำ!“รู้ดีว่าอะไรบ้า ๆ ก็ทำมาแล้ว แต่ก็ยังกล้าปากดีใส่... เงียบทำไมล่ะพูดออกมาสิ”เสียงนุ่มลึกกระตุ้นท้าทายรั้งให้อีกฝ่ายจำใจยืนฟังแสงเทียนกำหมัด หายใจเข้าออกช้า ๆ แล้วพูดขึ้น“ลองทำอีก ก็จะ...” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้น หากแต่ธัญกรก็เร็วพอจึงคว้าข้อมือเรียวไว้พร้อมกับกดแรงบีบ แล้วเค้นคำพูดออกมา“รอบนี้ตบมา มันไม่จบแค่จูบแน่...”น้ำเสียงเน้น อีกทั้งสายตาประกายกร้าว ก่อนจะกดข้อมือเรียวลงช้า ๆ และสะบัดปล่อยออกไปไกลตัว ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงเงีย
สุดท้ายแสงเทียนไม่อาจปฏิเสธความต้องการที่รุ่มเร้าเข้ามาในกายได้ โดยที่ธัญกรเป็นคนจัดมันก่อน จุดมาก็ตอบสนองให้... เธอก้มลงซุกไซร้ซอกคอขาว ในขณะที่มือถูกดึงให้หยุดอยู่ที่หน้าอกตูมเมื่อเจ้าของเปิดทางแสงเทียนจึงตอบสนองกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลไป เธอออกแรงบีบหน้าอกล้นมือนั้นด้วยความกลัดมัน“อ่าส์...”เจ้าของอกตูมครางออกมาแสงเทียนได้ใจจากนั้นเธอก็ดึงผ้าขนหนูออกจากกายงามเช่นเดียวกับธัญกรเองก็ดึงผ้าขนหนูออกจากตัวของแสงเทียนต่างฝ่ายต่างไร้สิ่งปกปิด จากนั้นต่างก็ประคองกันไปยังเตียงนุ่มที่เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดงละลานตาจัดแต่งเป็นรูปหัวใจ“อืม อืมส์...” ต่างคนต่างพรมจูบอีกฝ่าย แล้วส่งเสียงหวานตอบรับกัน จากนั้นัญกรก็ดันร่างบางให้นอนราบไปบนเตียงตัวเองขยับขึ้นค่อม แล้วใช้แขนเกี่ยวขางามให้ยกสูง ส่วนตัวเองก็ก้มหน้าลงไปยังช่องทางรักสีหวานทันที“อึก!” แสงเทียงส่งเสียงสะท้านไหว เมื่ออีกฝ่ายใช้ปลายจมูกโด่งกดลงไปตรงจุดอ่อนไว สลับกับริมฝีปากอุ่นฝากฝังตรงจุดนั้น ในขณะที่มือข้างหนึ่งขยำอยู่ตรงสองเต้ากลมสลับกันไปมาอย่างเป็นจังหวะ“อะ อ่าส์” ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายลิ้นพลิ้วแหย่ลึกลงไปในช่องแคบสลับกับ
“นั้นนะสิ แต่คงไม่เป็นอะไรหรอกมั่ง ไม่งั้นคงนั่งพิมพ์มือถือไม่ได้” แสงเทียนปลอบใจตัวเอง แต่สีหน้าก็ยังไม่คลายความกังวลธัญกรจึงยื่นมือไปกุมไหล่มนแล้วบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ แล้วเอ่ยขึ้น“คงไม่เป็นไรหรอก หากมีอะไรร้ายแรงกว่านี้ คงมีข่าวจากใครบ้างแหละ อย่างเช่นจากคุณปรายฟ้า แต่นี่เงียบกันอยู่” แสงเทียนโล่งใจมากขึ้นเมื่อฟังเหตุผลของธัญกร“แล้วพี่ได้คุยกับใบข้าวอีกหรือเปล่า”“ไม่นะ หลังจากที่ทักทายเธอพร้อมกับเทียน พี่ก็ยุ่งต้อนรับแขกผู้หลักผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้ตามไปคุยที่โต๊ะอีก”“ค่ะ ช่วงที่เธอกลับก็เห็นพี่ต้อนรับแขกผู้ใหญ่อยู่...”“เทียนไม่คิดอะไรมากแล้วใช่ไหม” ด้วยแคร์ความรู้สึก จึงอดถามไม่ได้“ไม่ค่ะ เพราะหลังจากนั้นเทียนก็เห็นเธอไปนั่งกับแขกผู้ชายที่เราเคยเจอในร้ายอาหารวันนั้น แล้วกลับออกไปด้วยกัน”“อ้อนั่นน้องชายเอลิสนะ”“อ้าว แล้วทำไม่เทียนไม่รู้”“น้องชายต่างแม่ พี่เองก็เพิ่งรู้ ตอนที่คุณเทวันเอามาแนะนำให้รู้จักนะ”เธอตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง สื่อให้เห็นถึงความคิดที่ไร้ข้อกังขาใด ๆแสงเทียนยิ้มตอบตาเป็นประกายมองใบหน้างามตรงหน้าเนิ่นนาน ...ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของธัญกร
แม้มีบางคนได้พูดไว้ว่า...ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือ ผู้หญิง การพึ่งตัวเองได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ‘อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนนั้นแลคือที่พึ่งแห่งตน’ ...หากแต่ช่วงชีวิตหนึ่งเธอก็อยากให้ใครดูแลเช่นกัน“โอเค ผมขอเวลา เพื่อพิสูจน์ตัวเองในเรื่องหน้าที่การงานและการเปลี่ยนแปลง... ในช่วงนี้ผมขอให้ข้าวเป็นกำลังใจให้ผมนะครับ” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยออกมา ไม่มีแววล้อเล่น ใบข้าวสบตาพร้อมยิ้มรับ เธอควรให้โอกาสเขาและเพื่อให้โอกาสตัวเธอเพื่อเอาความรู้สึกใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่“ค่ะ ถึงตอนนั้น ข้าวคงพร้อมให้คุณเข้ามาพบพ่อแม่”ธามไทถึงกับโผเข้าสวมกอดร่างเปล่าเปลือย กดจมูกโด่งไปบนแก้มเนียนหลายครั้งติดต่อกันจนชุ่มปอด“ขอบคุณ ขอบคุณที่ข้าวให้โอกาสและเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ให้ผม” คนเคยเสเพลกล่าวน้ำเสียงตื้นตัน ใบข้าวสวมกอดเอวสอบด้วยความตื้นตันเป็นครั้งแรกเนิ่นนาน ก่อนบทรักครั้งใหม่จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้แถมความรู้สึกใหม่เข้ามาเติมเต็มจนห้องนอนเกือบกลายเป็นบ่อน้ำตาลดี ๆ นี่เอง... หนึ่งเดือนต่อมา บ้านเตชะรัฐซึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่จัดงานแต่ง เลี้ยงแขกแบบปุบเฟ่ โดยในงานประดับประดาด้วยดอกกุหลาบสีหวาน จัดเป็
บรรยากาศโดยรอบดูหดหู่ตาม มินตราและธานินมองหน้ากัน เพราะเขาทั้งสองไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้นานแล้ว แต่เพื่อความสะดวกใจของอีกฝ่าย จึงคิดว่าวันนี้จะปรับความเข้าใจกันใหม่ ก่อนจะหันมายิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย“เอาเป็นว่า อะไรที่ยังค้างคาใจ ขอให้ทิ้งไปได้เลย เพราะฉันทั้งสองไม่เคยเก็บสิ่งพวกนั้นมาบั่นทอนความมุ่งหวังที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า เพราะพวกฉันถือว่า ความก้าวหน้ามีให้คว้าอยู่ตลอดเวลา และ ‘หากไม่มีวันนั้น พวกฉันก็คงไม่มีวันนี้’ หวังว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเด็ดขาดของมินตรา ไม่มีใครไม่กล้ายอมรับความจริง โดยเฉพาะลินดาใบหน้าบิดเบี้ยวเมื่ออีกฝ่ายพูดจบนิ้วเรียวยกขึ้นกรีดน้ำตาที่ร่วงลงมาหยดแล้วหยดเล่า ด้วยความซาบซึ้งใจที่อีกฝ่ายไม่คิดหาความกับเรื่องที่ผ่านมาอีก“โอเค ทีนี้ก็มาว่ากันเรื่องอื่นนะ”ครานี้ธานิน คนอารมณ์ดีเป็นนิจเอ่ยขึ้น ธัญกรใจเต้นหวั่น ๆ ไม่อยากให้พ่อพูด จนอีกฝ่ายน้ำตาตกอย่างแม่อีก หากแต่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ“บริษัทรับเหมาที่คุณปิยะดูแลอยู่ ผมได้พูดกับลูกธัญแล้วว่า หุ้นครึ่งหนึ่งยังเป็นของคุณเหมือนเดิม หากแต่เปลี่ยนคนบริหาร ไม่ใช่อะไรหรอกลูกธัญบอกว่า คุณปิยะควรวางม
“ขอบคุณค่ะแม่...” น้ำเสียงสั่นเครือพยายามเปล่งออกมาเมื่อผู้เป็นแม่ยืนยันความตั้งใจอีกครั้ง ก่อนจะก้มมองของขวัญบนคอตนเองผ่านกระจกเงา หากแต่ความสวยงามของเพชรนั้นกลับไม่เรียกความสดชื่นจากใบหน้าเธอได้ ก่อนจะหันมาโอบเอวผู้เป็นแม่แล้วซบใบหน้าลงเพื่อซึมซับความอบอุ่นที่นานมากแล้วเธอไม่เคยแสดงกิริยาแบบนี้เนิ่นนานกว่าร่างบางจะผละห่าง“กลัวหรือลูก” นางเอ่ยถามเมื่อพิศมองใบหน้าที่แต้มสีสันไว้เพียงบาง ๆ หากสวยน่ามอง แต่ตัดกับสีหน้าหม่นหมอง จนนางรู้สึกใจคอไม่ดีตามแต่ก็นั้นละ นางเองก็หวั่นอยู่ไม่น้อย แต่พยายามปิดความรู้สึกเอาไว้ ...เมื่ออีกฝ่ายให้โอกาสก็อยากทำในสิ่งที่สมควรที่สุด“...ค่ะแม่” เธอตอบกลับไปเสียงแผ่ว มือเรียวยื่นไปจับไหล่ลูกแล้วบีบเบา ๆ ให้กำลังใจ“เราออกกันไปกันเถอะ” นางเอ่ยชวนพร้อมดันร่างบางให้เดินนางรู้ว่าลูกสาวเครียดด้วยเรื่องใด หากไม่ใช่คำพูดของผู้เป็นพ่อในวันนั้น...‘อย่าให้พ่อรู้นะว่าลูกยังติดต่อกับฝ่ายนั้นอีก’ ทันทีที่ถูกซักถามจนได้ความผู้เป็นพ่อก็ออกคำสั่งห้ามทันที‘แล้วเรื่องที่เขาจะมาบ้านล่ะทำไง’ น้ำเสียงกริ่งเกรงเอ่ยถามสามี ที่บัดนี้หน้าบูดบึ้ง จนนางไม่อยากสู้หน้า‘จะมาทำไ
แม่บ้านคนสนิทส่ายหน้ารัว เธอจึงหันมองชายหนุ่มอีกครั้ง“คุณทำอะไรกับคนในบ้านข้าวคะ”“ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่บอกและแนะนำตัวก็เท่านั้น”“เท่านั้นของคุณ มันเท่าไหน”“ไม่เอานาที่รัก ผมแค่ให้ทุกคนรู้ว่าคุณเป็นเมีย และเท่ากับผมก็เป็นเจ้านายของเขา”“นี่จะบ้าหรือเปล่า คุณบอกคนของข้าวแบบนี้ได้ไง” เธอเอ่ยด้วยความผิดหวัง “บ้าที่ไหน” ธามไทเสียงอ่อนลง ไม่อยากทะเลาะกับหญิงสาวขึ้นมาดื้อๆ“บ้า ทำอะไรไม่บอกกล่าว น่าเกลียดที่สุด” เธอยังด่าไม่เลิก หากแต่แปลกใจไม่น้อยที่ดูอีกฝ่ายใจเย็นลง“อย่าด่าผมอีกเลยนะ” ประกายตาเว้าวอนหากแต่ใบข้าวจิกค้อนอย่างหมั่นไส้“ทำเกินไป ก็ต้องด่าสิ คุณพูดดีรู้เรื่องซะที่ไหน” “โธ่ ผมทำแค่นั้นเอง” เขาอุทธรณ์ เสียงแผ่ว ผิดจากก่อนหน้านั้น ป้าพาซ่อนยิ้มความรักหนุ่มสาวช่างร้อนแรงไม่ว่าสมัยไหน เฮ้อ...คนสูงวัยได้แต่ถอนหายใจใบข้าวหน้าแดงก่ำทั้งอายทั้งโกรธ อาการเหมือนเสือสิ้นลาย ผิดจากก่อนหน้า ที่สำคัญเขาแสดงอาการนั้นต่อหน้าคนในบ้านอีก ไม่อายก็ด้านแล้ว! “แค่ไหนของคุณ ต่อไปห้ามไปแสดงตัวแบบนี้กับใครอีกเข้าใจไหมคะ”“ครับ แต่...” เขารับคำแต่มีประโยคทิ้งท้ายสายตาพราว ใ
ใบข้าวเดินกลับเข้าบ้านด้วยสีหน้าหม่นหมองเมื่อการถูกรักแต่เธอไม่ได้รู้สึกรักตอบ กับการรักเขาแต่เขาไม่รักตอบ คนที่อยู่ตรงจุดนั้น คงเจ็บไม่ต่างกับเธอตอนนี้สินะ...“กลับมาแล้วเหรอ” เท้าบางที่พาตัวเหม่อลอยเดินเข้าบ้านหยุดชะงัก ก่อนจะมองต้นเสียงที่คุ้นเคย“ธามไท...” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาคล้ายกระซิบ คาดไม่ถึงก่อนจะหันมองไปอีกทางและเห็นว่ารถคันหรูที่ธามไทใช้อยู่เป็นประจำจอดอยู่ บ้าจริง! เธอก่นด่าตัวเอง เพราะมัวแต่เหม่อลอยจึงไม่ทันได้สังเกต กว่าจะไหวตัว ก็ไม่ทันแล้ว“มาเมื่อไหร่แล้วคะ” แม้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่กล้ารุนแรงที่เธอขัดคำสั่ง แต่ก็หวั่นใจไม่ได้ เมื่อบ้านหลังใหญ่หลังนี้ มีแค่เธอกับคนใช้อีกสองคนเท่านั้น ที่สำคัญเธอไม่อยากให้เรื่องถึงหูพ่อแม่ ที่กำลังเดินทางเที่ยวรอบโลกอยู่ในขณะนี้ใบหน้าที่รอคอยอย่างมีความหวัง เจือแววผิดหวัง เมื่อผู้หญิงที่ตนเองตั้งหน้าตามหา ไม่ได้แสดงอาการดีใจแม้แต่น้อย“มานานแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าใบข้าวหนีผมมาจากห้อง...” น้ำเสียงเจือแววน้อยใจ มองหญิงสาวด้วยสายตาผิดหวัง “ร้ายนักนะ ผมแค่เผลอหลับไปหน่อยเดียวก็หนีผมทันที รอจังหวะอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ” น้ำเสียงขุ่นข้นตามอารมณ์ที่หลั่
“แม่ จะบ่นอะไรธัญอีกคะ”เธอโอดครวญ เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังนั่งกวักมือเรียกอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม โดยมีผู้เป็นพ่อนั่งอยู่ที่เดิม“อย่าบ่นอะไรธัญเลยนะคะ นี่ก็หาลูกสะใภ้เก่ง ๆ มาให้พ่อกับแม่แล้วไง” นั่งลงแล้วซุกใบหน้าลงบนไหล่ผู้เป็นแม่ “โอ๊ย แม่เจ็บ ๆ”ออดอ้อนได้ไม่ทันไรก็ต้องร้องเสียงหลง เมื่อนิ้วเรียวงามหนีบลงบนสีข้างแรงจนเธอสะดุ้งโหยง แต่ก็ไม่ได้คิดปัดป้องหรือเอี้ยวตัวหนีแต่อย่างใด“แม่นี่ปวดหัวกับลูกจริง ๆ เลยนะ คราก่อนแม่เตือน เรื่องหนูใบข้าว ไม่ทันไรก็เรื่องหนูเทียนอีก”“ตอนไหนแม่”“ก็ครั้งก่อนโน่นไง ที่แม่รู้มาว่าลูกกำลังหลอกให้หนูใบข้าวทำอะไร แล้วให้ความหวังอะไรกับเธอไว้ล่ะ แม่กลัวจะเป็นเรื่องจะแย่ แล้วนี่อะไร...เฮ้อ ไม่ไหวจริง ๆ เลย” คำพูดเท้าความทำให้ธัญกรคิดได้...งั้นโธ่...ไอ้เราก็เข้าใจว่าแม่เอ่ยถึงเรื่องที่จะจัดการกับคู่อริเสียอีก ดันมาเป็นห่วงเรื่องใบข้าวซะงั้น“แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องธัญกับใบข้าวหรอกค่ะ เธอมีคนอื่นมานานแล้ว ที่ยังไม่รู้ใจตัวเอง”คำพูดและสีหน้ายืนยันหนักแน่น ระหว่างเธอกับใบข้าวเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน“ให้มันจริงเถอะ แม่กลัวว่าเธอจะมาทลายความฝันให้ล้มไม่เป็นท่าเ
หลังจากที่ป้าจันเดินออกไปแล้วบรรยากาศในห้องโถงก็เงียบไป ด้วยความประหม่าด้วยกันหรือไรก็ไม่อาจทราบได้ และเมื่อบรรยากาศชวนอึดอัดมากขึ้น เจ้าของบ้านที่เพิ่งมาถึงจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น“ปิยะสบายดีอยู่ไหม” ธานินเอ่ยถามถึงเพื่อนรักลินดาเหลือบตามองชายร่วมหุ้นสามีเมื่อครั้งอดีต กึ่ง ๆ ละอายแก่ใจ ก่อนจะเอ่ยตอบไม่เต็มเสียงนัก“ก็...สบายดี” ตอบไปฝ่ามือก็ถูกันไปมาจนชื่นเหงื่อ“ผมขอโทษด้วยนะ ที่ลูกผมทำเรื่องยุ่งยากให้ เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้ถูกต้องโดยเฉพาะเรื่องหนูแสงเทียน”คำพูดจริงจังและหนักแน่นไหลเข้ามากระทบโสตประสาท ทำให้หลายคนในที่นั้นเงียบงันคำว่า เรื่องทุกอย่างสะดุดหู ก่อนจะค่อย ๆ หายใจไม่ออก เมื่อก้อนแข็ง ๆ อัดแน่นขึ้นมาจุกอยู่ในอก โดยเฉพาะลินดาหน้าซีดเผือด คิดไม่ถึงว่าคู่ผัวเมียจะยอมพูดแค่เรื่องที่กำลังเกิดขึ้น โดยไม่กล่าวถึงเรื่องในอดีตที่ครอบครัวนางได้ทำเอาไว้...น่าละอายใจจริง!“พ่อจะการเรื่องอะไรอีกคะ ก็ธัญจัดการไปหมดแล้ว” ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและจริงจังไหวระริก คาดหวัง หากพ่อจะตำหนิเรื่องที่เธอก่อขึ้นก็พร้อมยอมรับฟัง หากแต่ประโยคท้ายชัดเจนจนไม่ต้องค้นหาคำตอบอีกต