หลังจากของคาวถูกเก็บออกไป เครื่องดื่มเย็น ๆ ก็ถูกนำมาเสิร์ฟ โดยแสงเทียนมองด้วยความแปลกใจ ซึ่งเอลิสเข้าใจสายตานั้นดีก็ตอบหน้าระรื่น“สักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก...” ปากบอกเพื่อนสายตาก็มองพาดไปยังแขกคนสำคัญที่นั่งอมยิ้มอยู่ แล้วเอ่ยขึ้นต่อ “นานแล้วที่ไม่ได้กิน ตั้งแต่วันนั้นเลยนะคะ” เธอสบตากับธัญกรที่ตอนนี้นั่งควงแก้วก้านยาวในมือด้วยท่าทางผ่อนคลายและเป็นกันเอง ซึ่งภาพนั้นดูมีเสน่ห์น่ามอง จากนั้นก็หันไปมองหน้าเพื่อนรัก ที่มีอาการต่างออกไป“เทียน นี่ที่นัดเธอออกมาเพราะเรื่องนี้เลยนะ” เมื่อนึกขึ้นได้ก็พูดเกริ่นไว้ก่อน“เรื่องอะไร สำคัญจนคุยทางโทรศัพท์ไม่ได้” แกล้งเย้าเพื่อน ทั้งที่เธอเองก็ได้โอกาสเพื่อพูดเรื่องสำคัญเช่นกันเอลิสยิ้มยิงฟันใส่เมื่อโดนย้อน “แหม้ เรื่องนี้มันจะดีกว่า หากได้เจอหน้าและได้ทำความรู้จักกัน...”“เหรอ แล้วเรื่องอะไรว่ามา” แสงเทียนจ้องหน้ารอฟัง ตาจดจ่ออยู่ที่ริมฝีปากเพื่อนรัก“ดื่มก่อน” แทนที่จะตอบเลย กลับต่อรองให้แสงแทนดื่มไวน์ในแก้ว“เอลิส...” น้ำเสียงสิ้นหวัง มองเพื่อนอย่างอ่อนใจ “รู้อยู่ว่าดื่มไม่เก่ง” พูดพร้อมสายตาตัดพ้อ“ดื่มไม่เก่ง ใช่ว่าจะดื่มไม่ได้... นะดื่มด้วยก
แสงเทียนประคองตัวเดินกลับมาที่โต๊ะ ตั้งใจว่ากลับมาแล้วจะขอตัวกลับบ้านเพราะเริ่มไม่ไหว แต่เมื่อมาถึง ก็พบว่าเพื่อนของตัวเองไม่ได้นั่งอยู่ที่เดิมก็ร้อนใจ จะเอ่ยปากถามคนที่นั่งอยู่ก็กระดากใจ จึงสาดสายตามองหาเองเผื่อว่าจะเจอ“กลับไปแล้ว” ธัญกรรับรู้ได้จากอาการจึงตอบให้อีกฝ่ายเลิกมองหาแสงเทียนตกใจคาดไม่ถึง ว่าจะโดนทิ้งจริง ๆ จากนั้นก็นั่งทำหน้าผิดหวัง รีบร้อนอะไรขนาดไม่รอกันเลย! เธอตัดพ้อในช่วงจังหวะนั้นก็มีข้อความแจ้งเตือนเข้ามา ใบหน้าที่ยังหงิกงอ ก็ก้มมองดูหน้าจอจึงพบว่าเป็นข้อความจากเอลิส(เทียนเอลิสขอโทษเทียนด้วยนะ ทางนี้งานมีปัญหานิดหน่อยต้องรีบกลับไปจัดการ ยังไงเทียนก็ให้คุณธัญเขาไปส่งนะ...ทำตัวน่ารักกับเขาด้วยล่ะ) ประโยคหลังเอลิสตั้งใจให้ขำ แต่แสงเทียนขำไม่ออกเมื่ออ่านข้อความจบเธอก็กระแทกมือถือลงบนโต๊ะ บ่งบอกความรู้สึกทางอารมณ์ได้ จากนั้นก็ยกมือขึ้นใช้นิ้วกดคลึงตรงขมับที่ปวดแปลบขึ้น ซึ่งอาการของเธอนั้น มีสายตาของธัญกรจับจ้องอยู่“รีบกลับไหม จะได้ไปส่ง” ธัญกรถามทั้งที่เธอพอเดาได้แสงเทียนช้อนตาขึ้นมอง “ไม่รบกวนคุณหรอกค่ะ... ยังไงเราก็แยกกันตรงนี้เลยดีกว่า”พูดจบแสงเทียนก็ยันตัวลุก
แม้จะไม่ปรารถนาจูบนั้น แต่ความรู้สึกยังติดอยู่บนริมฝีปาก!สายตาแข็งกร้าวจ้องนิ่งบนใบหน้าเนียนที่แต่งไว้อย่างสวยงามและลงตัว แล้วค่อย ๆ พูดออกมาทีละคำ พร้อมกับไล่สายตามองไปทั่วใบหน้าและหยุดอยู่ตรงริมฝีปากสีเรื่อได้รูป“ปากไม่เก่งแล้วเหรอ...” จากนั้นสายตาค่อย ๆ เปลี่ยนจนแสงเทียนรู้สึกเย็นยะเยือกเข้าไปในหัวใจ โดยเธอไม่สามารถเดาทางได้เลย ว่าหลังจากนี้คนตรงหน้าต้องการเล่นเกมอารมณ์อะไรกับเธอกันแน่...“หลีก!”เมื่อรู้สึกเสียวสันหลัง แสงเทียนก็พยายามหาทางออกโดยการพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด แต่ธัญกรมีหรือจะยอม เมื่อเจอมวยถูกคู่ เกมนี้มีคนเจ็บต้องเข้ากระดูกดำ!“รู้ดีว่าอะไรบ้า ๆ ก็ทำมาแล้ว แต่ก็ยังกล้าปากดีใส่... เงียบทำไมล่ะพูดออกมาสิ”เสียงนุ่มลึกกระตุ้นท้าทายรั้งให้อีกฝ่ายจำใจยืนฟังแสงเทียนกำหมัด หายใจเข้าออกช้า ๆ แล้วพูดขึ้น“ลองทำอีก ก็จะ...” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้น หากแต่ธัญกรก็เร็วพอจึงคว้าข้อมือเรียวไว้พร้อมกับกดแรงบีบ แล้วเค้นคำพูดออกมา“รอบนี้ตบมา มันไม่จบแค่จูบแน่...”น้ำเสียงเน้น อีกทั้งสายตาประกายกร้าว ก่อนจะกดข้อมือเรียวลงช้า ๆ และสะบัดปล่อยออกไปไกลตัว ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงเงีย
แสงเทียนผู้ไม่ชินระบบนั่งวินที่สำคัญชุดของเธอคงยากที่จะใช้บริการและผู้ชายหน้าตาดุดันดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก เธอจึงยืนเลิ่กลั่กสองจิตสองใจไม่กล้าพูดตอบโต้ ทำให้ผู้ชายรูปร่างสูงล่ำผิวดำแดงเพราะทำงานกลางแดดมานานเดินเข้ามาใกล้เพื่อสอบถามให้ได้ความ หากแต่เมื่อเดินมาใกล้ ก็มองแสงเทียนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดขึ้น“เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ให้ดีกว่านะครับ” แสงเทียนอึ้งจนพูดไม่ออก ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากวินที่หน้าตาดูไม่เป็นมิตรหากนี่แหละ มองคนอย่ามองแค่รูปลักษณ์ภายนอก...บ้านเตชะรัฐ“คุณหนูเทียน”“อ้าวลุงเทิด มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้คะ”“ก็ยืนรอคุณหนูนั่นแหละครับ ทีแรกผมนึกว่าคุณหนูจะนั่งมากับรถคันแรกเสียอีก แต่เห็นจอดอยู่นานคุณหนูก็ไม่ลงมาซักที ว่าจะเดินออกไปดู แต่พอดีรถคันนั้นก็ขับออกไป แล้วรถคันที่คุณหนูนั่งมาก็มาจอดให้คุณหนูลงนี่แหละครับ”แสงเทียนคิ้วขมวด “รถ?”“ครับ รถเก๋งสีดำ” ลุงเทิดยืนยัน“รถเก๋งสีดำ... ” เธอคิดตาม แล้วนึกถึงรถเก๋งคันใหม่เอี่ยมของนักธุรกิจดังอย่างธัญกร คงไม่ใช่หรอก... เธอค้านขึ้นมาในความคิด จากนั้นก็รีบปัดทิ้ง “คนขับผ่านไปผ่านมาแถวนี้หรือเปล่าคะ อาจบังเอิญจอดคุยโทรศัพท์” เ
ปรายฟ้ารู้ว่าเอลิสไม่ชอบขี้หน้า แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแม้อีกฝ่ายจะหน้าตึงใส่ทุกครั้งที่เผชิญด้วยกันก็ตาม“ค่ะ แต่อย่าลืมเอกสารและข้อมูลที่คุณเอลิสต้องพูดตามที่ท่านเทวันสั่งไว้... นี่ค่ะ” แล้วยกแท็บเล็ตให้อีกฝ่ายดู ยิ่งทำให้เอลิสหัวเสีย แล้วเดินเข้ามากระชากแท็บเล็ตในมือของปรายฟ้า จากนั้นก็เดินหน้าตึงออกไป จนพนักงานคนอื่น ๆ รีบหลบสายตาก้มหน้าต่ำกันเป็นแถว ๆแสงเทียนเดินผ่านเข้ามาหน้าประตู โดยมีพนักงานยืนรอบริการเหมือนเคย เธอเพียงพยักหน้ารับคำทักทาย จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าเคาน์เตอร์ พนักงานสาวสวยคุ้นหน้าและจำเธอได้“สวัสดีค่ะ ได้นัดคุณธัญกรไว้ไหมคะ...”“อ้อ...” เธอยังไม่ทันตอบรับหรือปฏิเสธ ก็มีเสียงสนทนาของผู้หญิงเล็ดลอดผ่านเข้ามาเหมือนระฆังดังหมดยก ทุกอย่างหยุดนิ่ง หากประโยคคำพูดของสองสาวที่ดังมาตามเส้นทางอย่างต่อเนื่อง ทำให้บุคคลที่ยืนอยู่อีกมุมได้ยินชัดเจน“ตกลงสรุปว่าไง”“จะว่าไงล่ะ รอบนี้ท่านเทวันโกธรเอาเรื่องเลยนะ เห็นว่าจะไม่ยุ่งปล่อยให้เด็ก ๆ จัดการกันเอง”“แล้วเรื่องค่าปรับล่ะ...”“แกรู้ไหม คุณเอลิสยืดอกรับผิดชอบเองเลย...”“เฮ้ยจริงเหรอ ยอดเ
มุมปากบางกระตุกยิ้มอย่างเป็นต่อ “คนเดือดร้อนไม่ใช่ฉัน ฉะนั้น สิทธิ์ที่จะเลือกและเรียกร้องมีมากกว่า คุณเทียนว่าไหม” สายตาและน้ำเสียงเยาะเย้ย เพราะเห็นทางชนะของตัวเอง แม้ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง... เพราะคนอย่างเธอไม่เคยง้อใคร ยกเว้นผู้หญิงตรงหน้า!“นั้นแหละเขาเรียกว่าเห็นแก่ตัว!” แสงเทียนต่อว่าซ้ำจากที่คิดว่าอีกฝ่ายจะตีหน้ายักษ์ชักสีหน้าใส่ กลับกันธัญกรกลับยกยิ้มแล้วยกมือขึ้นประสาน สายตามองมาที่เธอ“หรือว่าคุณเห็นแก่ได้...” เสียงนั้นหนักแน่นยามที่พูดประโยคนี้ออกมาแสงเทียนหน้าชา “คุณนั่นแหละเห็นแก่ได้ คิดว่าตัวเองแน่ ถึงได้ตั้งข้อเสนอบ้า ๆ แบบนี้ขึ้นมา” แล้วแสงเทียนก็สะบัดแผ่นกระดาษให้รู้ว่าเธอไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอ แต่ก็ขัดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว“แล้วคิดหรือว่าที่ผ่านมาพ่อของคุณจะไปวิ่งเต้นหาทุนจากที่อื่น แล้วเป็นไง ได้ไหมล่ะ”ธัญกรเอ่ยอย่างรู้ดี เกือบปีแล้วที่นักธุรกิจที่เคยรุ่งเรืองอย่าง ปิยะต้องประคองตัวและแอบวิ่งเต้นหาเงินทุนอยู่เงียบ ๆ ซึ่งคนในวงการเดียวกันต่างรู้ดีและรู้ลึก แค่ไม่ซ้ำเติมและเอาชื่อเสียงเข้ามาพัวพัน อีกทั้งคงกลัวเหตุการณ์จะซ้ำรอยเดิมเหมือนสิบกว่าปีก่อนแสงเทียนคิดตามและคิ
เมื่อได้ฟังคำหนักแน่น ใบหน้าสวยคมของธัญกรก็ยิ้มบาง ๆ ในหน้า หากไม่ปล่อยให้คนตรงหน้าได้ปรับตัว คงโหดร้ายเกินไปล่ะ...“ได้ อย่างนั้นจะโทรหาอีกครั้ง ...หวังว่าสัญญาเป็นสัญญานะ แต่ตอนนี้ขอมัดจำก่อน...” จบประโยคคำพูดร่างบางก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วโนมตัวมาด้านหน้า ด้วยความรวดเร็วก็ใช้จมูกโด่งฝังลงไปตรงแก้มสีนวลพร้อมเสียงดังฟอด โดยที่เจ้าของแก้มสุกปลั่งยังไม่ทันตั้งรับ“คุณ!” แสงเทียนร้องเรียกเสียงหลงเมื่อตั้งสติได้ แต่อีกฝ่ายดึงตัวเองกลับไปนั่งบนเก้าอี้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น“อย่าลืมที่สั่งล่ะ ถึงแล้วโทรมารายงานด้วย” ธัญกรย้ำแสงเทียนทั้งโกรธทั้งอายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองจิกให้เขารู้ตัว แล้วถามกลับน้ำเสียงติดประชด“นี่เป็นคำสั่งใช่ไหมคะ”ธัญกรยักไหล่ จากนั้นแสงเทียนก็เดินปึงปังออกไปโดยมีสายตากรุ่มกริ่มมองตามแผ่นหลัง ธัญกรยอมรับว่าแสงเทียนทำให้หัวใจของเธอเต้นแปลก ๆ ไปตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรก และยิ่งได้สัมผัสแนบชิดยิ่งทำให้หัวใจเกือบไม่อยู่กับร่องกับรอย ‘เป็นอะไรมากไปหรือเปล่าธัญกร... ’ใบสวยที่เต็มไปด้วยความมั่นใจสะบัดหน้าค้านแรง ๆ และหันกลับไปสนใจกระดาษสีขาวที่อีกฝ่ายเซ็นทิ้งไว้และเ
ถึงอีกฝ่ายไม่เคยบอกใคร ๆ ว่าเป็นแฟน แต่เธอก็หวังไว้ว่าอีกไม่ช้าคนในห้องก็ต้องยกตำแหน่งนี้ให้เธออย่าง แน่นอน...“หรือคะ”คนทำตามหน้าที่ถามกลับสีหน้าไม่มั่นใจนัก เพราะเพิ่งได้ทำงานร่วมกับเจ้านายคนใหม่ เธอจึงไม่มั่นใจเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายมากนัก“ค่ะ คุณไม่ต้องกลัว หากเกิดอะไรขึ้นใบข้าวจะรับผิดชอบเอง” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยอย่างมั่นใจอย่างผู้หญิงก๋ากั่น“เอ่อ... จะดีหรือคะ ขอโทรเรียนคุณธัญกรก่อนนะคะ”เลขาหน้าหวานร้องขอทั้งที่รู้ว่าคงไม่ได้ตามที่ขอแน่“อุ๊ย! หากเป็นแบบนั้น ก็ไม่เรียกว่าเซอร์ไพรส์สิคะ” น้ำเสียงเง้างอด ส่งสายตาออดอ้อนขอความเห็นใจ เผื่อผู้หญิงด้วยกันจะเข้าใจความรู้สึกผู้หญิงด้วยกันใบหน้าตกแต่งไว้อย่างดีตีหน้าเศร้า ริมฝีปากยู่ คิ้วขมวด สีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ อย่างจำยอมให้สาวสวยทำตามต้องการ “ขอบคุณนะคะ” ว่าแล้วเธอก็ยิ้มร่า แทรกกายเข้าไปในห้องทันที โดยมีสายตาละห้อยของเลขาสาวมองตามด้วยใจตุ้บ ๆ ต่อม ๆ“ใครอ่ะพี่แคท สวยเชียว” ใบหน้าอวบ ๆ โผล่ขึ้นถามอย่างอยากรู้มาแต่ไกล คนถูกถามค้อนขวับถลึงตาตอบ “ไม่รู้สักเรื่องจะได้ไหม ไป ๆ ทำงาน” ว่าแล้วเธอก็กลับไปนั
สุดท้ายแสงเทียนไม่อาจปฏิเสธความต้องการที่รุ่มเร้าเข้ามาในกายได้ โดยที่ธัญกรเป็นคนจัดมันก่อน จุดมาก็ตอบสนองให้... เธอก้มลงซุกไซร้ซอกคอขาว ในขณะที่มือถูกดึงให้หยุดอยู่ที่หน้าอกตูมเมื่อเจ้าของเปิดทางแสงเทียนจึงตอบสนองกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลไป เธอออกแรงบีบหน้าอกล้นมือนั้นด้วยความกลัดมัน“อ่าส์...”เจ้าของอกตูมครางออกมาแสงเทียนได้ใจจากนั้นเธอก็ดึงผ้าขนหนูออกจากกายงามเช่นเดียวกับธัญกรเองก็ดึงผ้าขนหนูออกจากตัวของแสงเทียนต่างฝ่ายต่างไร้สิ่งปกปิด จากนั้นต่างก็ประคองกันไปยังเตียงนุ่มที่เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดงละลานตาจัดแต่งเป็นรูปหัวใจ“อืม อืมส์...” ต่างคนต่างพรมจูบอีกฝ่าย แล้วส่งเสียงหวานตอบรับกัน จากนั้นัญกรก็ดันร่างบางให้นอนราบไปบนเตียงตัวเองขยับขึ้นค่อม แล้วใช้แขนเกี่ยวขางามให้ยกสูง ส่วนตัวเองก็ก้มหน้าลงไปยังช่องทางรักสีหวานทันที“อึก!” แสงเทียงส่งเสียงสะท้านไหว เมื่ออีกฝ่ายใช้ปลายจมูกโด่งกดลงไปตรงจุดอ่อนไว สลับกับริมฝีปากอุ่นฝากฝังตรงจุดนั้น ในขณะที่มือข้างหนึ่งขยำอยู่ตรงสองเต้ากลมสลับกันไปมาอย่างเป็นจังหวะ“อะ อ่าส์” ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายลิ้นพลิ้วแหย่ลึกลงไปในช่องแคบสลับกับ
“นั้นนะสิ แต่คงไม่เป็นอะไรหรอกมั่ง ไม่งั้นคงนั่งพิมพ์มือถือไม่ได้” แสงเทียนปลอบใจตัวเอง แต่สีหน้าก็ยังไม่คลายความกังวลธัญกรจึงยื่นมือไปกุมไหล่มนแล้วบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ แล้วเอ่ยขึ้น“คงไม่เป็นไรหรอก หากมีอะไรร้ายแรงกว่านี้ คงมีข่าวจากใครบ้างแหละ อย่างเช่นจากคุณปรายฟ้า แต่นี่เงียบกันอยู่” แสงเทียนโล่งใจมากขึ้นเมื่อฟังเหตุผลของธัญกร“แล้วพี่ได้คุยกับใบข้าวอีกหรือเปล่า”“ไม่นะ หลังจากที่ทักทายเธอพร้อมกับเทียน พี่ก็ยุ่งต้อนรับแขกผู้หลักผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้ตามไปคุยที่โต๊ะอีก”“ค่ะ ช่วงที่เธอกลับก็เห็นพี่ต้อนรับแขกผู้ใหญ่อยู่...”“เทียนไม่คิดอะไรมากแล้วใช่ไหม” ด้วยแคร์ความรู้สึก จึงอดถามไม่ได้“ไม่ค่ะ เพราะหลังจากนั้นเทียนก็เห็นเธอไปนั่งกับแขกผู้ชายที่เราเคยเจอในร้ายอาหารวันนั้น แล้วกลับออกไปด้วยกัน”“อ้อนั่นน้องชายเอลิสนะ”“อ้าว แล้วทำไม่เทียนไม่รู้”“น้องชายต่างแม่ พี่เองก็เพิ่งรู้ ตอนที่คุณเทวันเอามาแนะนำให้รู้จักนะ”เธอตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง สื่อให้เห็นถึงความคิดที่ไร้ข้อกังขาใด ๆแสงเทียนยิ้มตอบตาเป็นประกายมองใบหน้างามตรงหน้าเนิ่นนาน ...ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของธัญกร
แม้มีบางคนได้พูดไว้ว่า...ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือ ผู้หญิง การพึ่งตัวเองได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ‘อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนนั้นแลคือที่พึ่งแห่งตน’ ...หากแต่ช่วงชีวิตหนึ่งเธอก็อยากให้ใครดูแลเช่นกัน“โอเค ผมขอเวลา เพื่อพิสูจน์ตัวเองในเรื่องหน้าที่การงานและการเปลี่ยนแปลง... ในช่วงนี้ผมขอให้ข้าวเป็นกำลังใจให้ผมนะครับ” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยออกมา ไม่มีแววล้อเล่น ใบข้าวสบตาพร้อมยิ้มรับ เธอควรให้โอกาสเขาและเพื่อให้โอกาสตัวเธอเพื่อเอาความรู้สึกใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่“ค่ะ ถึงตอนนั้น ข้าวคงพร้อมให้คุณเข้ามาพบพ่อแม่”ธามไทถึงกับโผเข้าสวมกอดร่างเปล่าเปลือย กดจมูกโด่งไปบนแก้มเนียนหลายครั้งติดต่อกันจนชุ่มปอด“ขอบคุณ ขอบคุณที่ข้าวให้โอกาสและเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ให้ผม” คนเคยเสเพลกล่าวน้ำเสียงตื้นตัน ใบข้าวสวมกอดเอวสอบด้วยความตื้นตันเป็นครั้งแรกเนิ่นนาน ก่อนบทรักครั้งใหม่จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้แถมความรู้สึกใหม่เข้ามาเติมเต็มจนห้องนอนเกือบกลายเป็นบ่อน้ำตาลดี ๆ นี่เอง... หนึ่งเดือนต่อมา บ้านเตชะรัฐซึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่จัดงานแต่ง เลี้ยงแขกแบบปุบเฟ่ โดยในงานประดับประดาด้วยดอกกุหลาบสีหวาน จัดเป็
บรรยากาศโดยรอบดูหดหู่ตาม มินตราและธานินมองหน้ากัน เพราะเขาทั้งสองไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้นานแล้ว แต่เพื่อความสะดวกใจของอีกฝ่าย จึงคิดว่าวันนี้จะปรับความเข้าใจกันใหม่ ก่อนจะหันมายิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย“เอาเป็นว่า อะไรที่ยังค้างคาใจ ขอให้ทิ้งไปได้เลย เพราะฉันทั้งสองไม่เคยเก็บสิ่งพวกนั้นมาบั่นทอนความมุ่งหวังที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า เพราะพวกฉันถือว่า ความก้าวหน้ามีให้คว้าอยู่ตลอดเวลา และ ‘หากไม่มีวันนั้น พวกฉันก็คงไม่มีวันนี้’ หวังว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเด็ดขาดของมินตรา ไม่มีใครไม่กล้ายอมรับความจริง โดยเฉพาะลินดาใบหน้าบิดเบี้ยวเมื่ออีกฝ่ายพูดจบนิ้วเรียวยกขึ้นกรีดน้ำตาที่ร่วงลงมาหยดแล้วหยดเล่า ด้วยความซาบซึ้งใจที่อีกฝ่ายไม่คิดหาความกับเรื่องที่ผ่านมาอีก“โอเค ทีนี้ก็มาว่ากันเรื่องอื่นนะ”ครานี้ธานิน คนอารมณ์ดีเป็นนิจเอ่ยขึ้น ธัญกรใจเต้นหวั่น ๆ ไม่อยากให้พ่อพูด จนอีกฝ่ายน้ำตาตกอย่างแม่อีก หากแต่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ“บริษัทรับเหมาที่คุณปิยะดูแลอยู่ ผมได้พูดกับลูกธัญแล้วว่า หุ้นครึ่งหนึ่งยังเป็นของคุณเหมือนเดิม หากแต่เปลี่ยนคนบริหาร ไม่ใช่อะไรหรอกลูกธัญบอกว่า คุณปิยะควรวางม
“ขอบคุณค่ะแม่...” น้ำเสียงสั่นเครือพยายามเปล่งออกมาเมื่อผู้เป็นแม่ยืนยันความตั้งใจอีกครั้ง ก่อนจะก้มมองของขวัญบนคอตนเองผ่านกระจกเงา หากแต่ความสวยงามของเพชรนั้นกลับไม่เรียกความสดชื่นจากใบหน้าเธอได้ ก่อนจะหันมาโอบเอวผู้เป็นแม่แล้วซบใบหน้าลงเพื่อซึมซับความอบอุ่นที่นานมากแล้วเธอไม่เคยแสดงกิริยาแบบนี้เนิ่นนานกว่าร่างบางจะผละห่าง“กลัวหรือลูก” นางเอ่ยถามเมื่อพิศมองใบหน้าที่แต้มสีสันไว้เพียงบาง ๆ หากสวยน่ามอง แต่ตัดกับสีหน้าหม่นหมอง จนนางรู้สึกใจคอไม่ดีตามแต่ก็นั้นละ นางเองก็หวั่นอยู่ไม่น้อย แต่พยายามปิดความรู้สึกเอาไว้ ...เมื่ออีกฝ่ายให้โอกาสก็อยากทำในสิ่งที่สมควรที่สุด“...ค่ะแม่” เธอตอบกลับไปเสียงแผ่ว มือเรียวยื่นไปจับไหล่ลูกแล้วบีบเบา ๆ ให้กำลังใจ“เราออกกันไปกันเถอะ” นางเอ่ยชวนพร้อมดันร่างบางให้เดินนางรู้ว่าลูกสาวเครียดด้วยเรื่องใด หากไม่ใช่คำพูดของผู้เป็นพ่อในวันนั้น...‘อย่าให้พ่อรู้นะว่าลูกยังติดต่อกับฝ่ายนั้นอีก’ ทันทีที่ถูกซักถามจนได้ความผู้เป็นพ่อก็ออกคำสั่งห้ามทันที‘แล้วเรื่องที่เขาจะมาบ้านล่ะทำไง’ น้ำเสียงกริ่งเกรงเอ่ยถามสามี ที่บัดนี้หน้าบูดบึ้ง จนนางไม่อยากสู้หน้า‘จะมาทำไ
แม่บ้านคนสนิทส่ายหน้ารัว เธอจึงหันมองชายหนุ่มอีกครั้ง“คุณทำอะไรกับคนในบ้านข้าวคะ”“ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่บอกและแนะนำตัวก็เท่านั้น”“เท่านั้นของคุณ มันเท่าไหน”“ไม่เอานาที่รัก ผมแค่ให้ทุกคนรู้ว่าคุณเป็นเมีย และเท่ากับผมก็เป็นเจ้านายของเขา”“นี่จะบ้าหรือเปล่า คุณบอกคนของข้าวแบบนี้ได้ไง” เธอเอ่ยด้วยความผิดหวัง “บ้าที่ไหน” ธามไทเสียงอ่อนลง ไม่อยากทะเลาะกับหญิงสาวขึ้นมาดื้อๆ“บ้า ทำอะไรไม่บอกกล่าว น่าเกลียดที่สุด” เธอยังด่าไม่เลิก หากแต่แปลกใจไม่น้อยที่ดูอีกฝ่ายใจเย็นลง“อย่าด่าผมอีกเลยนะ” ประกายตาเว้าวอนหากแต่ใบข้าวจิกค้อนอย่างหมั่นไส้“ทำเกินไป ก็ต้องด่าสิ คุณพูดดีรู้เรื่องซะที่ไหน” “โธ่ ผมทำแค่นั้นเอง” เขาอุทธรณ์ เสียงแผ่ว ผิดจากก่อนหน้านั้น ป้าพาซ่อนยิ้มความรักหนุ่มสาวช่างร้อนแรงไม่ว่าสมัยไหน เฮ้อ...คนสูงวัยได้แต่ถอนหายใจใบข้าวหน้าแดงก่ำทั้งอายทั้งโกรธ อาการเหมือนเสือสิ้นลาย ผิดจากก่อนหน้า ที่สำคัญเขาแสดงอาการนั้นต่อหน้าคนในบ้านอีก ไม่อายก็ด้านแล้ว! “แค่ไหนของคุณ ต่อไปห้ามไปแสดงตัวแบบนี้กับใครอีกเข้าใจไหมคะ”“ครับ แต่...” เขารับคำแต่มีประโยคทิ้งท้ายสายตาพราว ใ
ใบข้าวเดินกลับเข้าบ้านด้วยสีหน้าหม่นหมองเมื่อการถูกรักแต่เธอไม่ได้รู้สึกรักตอบ กับการรักเขาแต่เขาไม่รักตอบ คนที่อยู่ตรงจุดนั้น คงเจ็บไม่ต่างกับเธอตอนนี้สินะ...“กลับมาแล้วเหรอ” เท้าบางที่พาตัวเหม่อลอยเดินเข้าบ้านหยุดชะงัก ก่อนจะมองต้นเสียงที่คุ้นเคย“ธามไท...” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาคล้ายกระซิบ คาดไม่ถึงก่อนจะหันมองไปอีกทางและเห็นว่ารถคันหรูที่ธามไทใช้อยู่เป็นประจำจอดอยู่ บ้าจริง! เธอก่นด่าตัวเอง เพราะมัวแต่เหม่อลอยจึงไม่ทันได้สังเกต กว่าจะไหวตัว ก็ไม่ทันแล้ว“มาเมื่อไหร่แล้วคะ” แม้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่กล้ารุนแรงที่เธอขัดคำสั่ง แต่ก็หวั่นใจไม่ได้ เมื่อบ้านหลังใหญ่หลังนี้ มีแค่เธอกับคนใช้อีกสองคนเท่านั้น ที่สำคัญเธอไม่อยากให้เรื่องถึงหูพ่อแม่ ที่กำลังเดินทางเที่ยวรอบโลกอยู่ในขณะนี้ใบหน้าที่รอคอยอย่างมีความหวัง เจือแววผิดหวัง เมื่อผู้หญิงที่ตนเองตั้งหน้าตามหา ไม่ได้แสดงอาการดีใจแม้แต่น้อย“มานานแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าใบข้าวหนีผมมาจากห้อง...” น้ำเสียงเจือแววน้อยใจ มองหญิงสาวด้วยสายตาผิดหวัง “ร้ายนักนะ ผมแค่เผลอหลับไปหน่อยเดียวก็หนีผมทันที รอจังหวะอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ” น้ำเสียงขุ่นข้นตามอารมณ์ที่หลั่
“แม่ จะบ่นอะไรธัญอีกคะ”เธอโอดครวญ เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังนั่งกวักมือเรียกอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม โดยมีผู้เป็นพ่อนั่งอยู่ที่เดิม“อย่าบ่นอะไรธัญเลยนะคะ นี่ก็หาลูกสะใภ้เก่ง ๆ มาให้พ่อกับแม่แล้วไง” นั่งลงแล้วซุกใบหน้าลงบนไหล่ผู้เป็นแม่ “โอ๊ย แม่เจ็บ ๆ”ออดอ้อนได้ไม่ทันไรก็ต้องร้องเสียงหลง เมื่อนิ้วเรียวงามหนีบลงบนสีข้างแรงจนเธอสะดุ้งโหยง แต่ก็ไม่ได้คิดปัดป้องหรือเอี้ยวตัวหนีแต่อย่างใด“แม่นี่ปวดหัวกับลูกจริง ๆ เลยนะ คราก่อนแม่เตือน เรื่องหนูใบข้าว ไม่ทันไรก็เรื่องหนูเทียนอีก”“ตอนไหนแม่”“ก็ครั้งก่อนโน่นไง ที่แม่รู้มาว่าลูกกำลังหลอกให้หนูใบข้าวทำอะไร แล้วให้ความหวังอะไรกับเธอไว้ล่ะ แม่กลัวจะเป็นเรื่องจะแย่ แล้วนี่อะไร...เฮ้อ ไม่ไหวจริง ๆ เลย” คำพูดเท้าความทำให้ธัญกรคิดได้...งั้นโธ่...ไอ้เราก็เข้าใจว่าแม่เอ่ยถึงเรื่องที่จะจัดการกับคู่อริเสียอีก ดันมาเป็นห่วงเรื่องใบข้าวซะงั้น“แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องธัญกับใบข้าวหรอกค่ะ เธอมีคนอื่นมานานแล้ว ที่ยังไม่รู้ใจตัวเอง”คำพูดและสีหน้ายืนยันหนักแน่น ระหว่างเธอกับใบข้าวเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน“ให้มันจริงเถอะ แม่กลัวว่าเธอจะมาทลายความฝันให้ล้มไม่เป็นท่าเ
หลังจากที่ป้าจันเดินออกไปแล้วบรรยากาศในห้องโถงก็เงียบไป ด้วยความประหม่าด้วยกันหรือไรก็ไม่อาจทราบได้ และเมื่อบรรยากาศชวนอึดอัดมากขึ้น เจ้าของบ้านที่เพิ่งมาถึงจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น“ปิยะสบายดีอยู่ไหม” ธานินเอ่ยถามถึงเพื่อนรักลินดาเหลือบตามองชายร่วมหุ้นสามีเมื่อครั้งอดีต กึ่ง ๆ ละอายแก่ใจ ก่อนจะเอ่ยตอบไม่เต็มเสียงนัก“ก็...สบายดี” ตอบไปฝ่ามือก็ถูกันไปมาจนชื่นเหงื่อ“ผมขอโทษด้วยนะ ที่ลูกผมทำเรื่องยุ่งยากให้ เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้ถูกต้องโดยเฉพาะเรื่องหนูแสงเทียน”คำพูดจริงจังและหนักแน่นไหลเข้ามากระทบโสตประสาท ทำให้หลายคนในที่นั้นเงียบงันคำว่า เรื่องทุกอย่างสะดุดหู ก่อนจะค่อย ๆ หายใจไม่ออก เมื่อก้อนแข็ง ๆ อัดแน่นขึ้นมาจุกอยู่ในอก โดยเฉพาะลินดาหน้าซีดเผือด คิดไม่ถึงว่าคู่ผัวเมียจะยอมพูดแค่เรื่องที่กำลังเกิดขึ้น โดยไม่กล่าวถึงเรื่องในอดีตที่ครอบครัวนางได้ทำเอาไว้...น่าละอายใจจริง!“พ่อจะการเรื่องอะไรอีกคะ ก็ธัญจัดการไปหมดแล้ว” ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและจริงจังไหวระริก คาดหวัง หากพ่อจะตำหนิเรื่องที่เธอก่อขึ้นก็พร้อมยอมรับฟัง หากแต่ประโยคท้ายชัดเจนจนไม่ต้องค้นหาคำตอบอีกต