พ.ศ.2545แรงผลักประตูเข้ามาโดยไม่ส่งสัญญาณ ทำให้เจ้าของห้องสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมอง และเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ก็ก้มหน้าอ่านเอกสารของตัวเองที่ค้างอยู่ต่อ ในขณะที่บุคคลเข้ามาใหม่พร้อมแฟ้มเอกสารในมือก็โยนลงบนโต๊ะ ไร้ซึ่งความเกรงใจจนสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะตกกระเด็นบางอย่างหล่นกลิ้งไปไกล“หากไม่พร้อมคุย นายก็ค่อยเข้ามาหาฉันก็ได้” เจ้าของโต๊ะเอ่ยอย่างใจเย็น สายตาจับจ้องสิ่งที่ถูกโยนลงมาตรงหน้า“ทำเป็นเล่น” คนพกอารมณ์มาเต็มเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นข้นโดยไม่มีทีท่าสำนึกผิดหรือขอโทษเพื่อนร่วมหุ้นส่วนบุรุษที่มีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาเงยหน้ามองเพื่อน แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูดก็ได้ ใช่ว่าฉันจะไม่ฟังความคิดเห็นนาย” เจ้าของห้องมองเพื่อนรัก ...จากคนใจเย็นหากวันนี้เหมือนพกภูเขาไฟเข้ามาหา“ใช่นายฟัง แต่นายก็แค่ฟัง” น้ำเสียงและสีหน้าเต็มไปด้วยความอัดอั้นมองหน้าเพื่อนด้วยสายตาตัดพ้อและตำหนิไปด้วยมือเรียวหนาทั้งสองข้างยกขึ้นสูงระดับอก “งั้นว่ามา...” เจ้าของห้องจริงจังขึ้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่ “พูดเลย นายอึดอัดอะไร” สายตาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างรอฟัง คนพกอารมณ์มาเต็
สามเดือนต่อมาสิ่งที่ธานินคาดคะเนไว้ก็เป็นจริง แต่กำไรที่หักต้นทุนและค่าใช่จ่ายต่าง ๆ เมื่อเอามาหารสองก็ได้กำไรน้อยกว่าครั้งก่อนอยู่มาก ซึ่งทำให้ปิยะรู้สึกผิดหวังในตัวเขา จากนั้นก็มีทีท่าห่างเหินไม่เข้าใกล้ เลี่ยงแม้กระทั่งวันที่ต้องเข้าประชุมร่วมกัน...ธานินจากที่เป็นคนมั่นใจในตัวเองก็เริ่มหวั่นวิตกและละอายแก่ใจ จนคิดว่าตัวเองอาจสร้างปัญหาให้เพื่อนเพิ่มขึ้น แต่นั่นไม่สำคัญเท่าสายตาและคำพูดทับถมของคนรอบข้าง...ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาธานินเก็บความคิดน้อยเนื้อต่ำใจไว้เพียงลำพัง จนภรรยาที่เฝ้ามองอย่างผิดสังเกตจึงตัดสินใจถามขึ้น อีกทั้งข่าวที่ได้รับฟังมามีเค้าความจริง...สี่ทุ่ม หลังจากที่มินตรายืนชะเง้อมองไปยังประตูทางเข้า จนในที่สุดก็เห็นรถเก๋งคันคุ้นตาขับเข้ามา เธอยืนมองจนสามีเดินลงมาจากนั้นก็รีบเดินกลับเข้าบ้านเพื่อเตรียมน้ำดื่มเย็น ๆ รอรับอย่างเช่นทุกวัน“ช่วงนี้งานเยอะหรือคะ”“นิดหน่อย...” น้ำเสียงเหนื่อยเอ่ยตอบพร้อมกับพิงพนักเก้าอี้เหมือนคนหมดแรง ซึ่งพักหลัง ๆ เธอเห็นอาการเช่นนี้ของสามีบ่อยมากจนรู้สึกเป็นห่วงจับใจ“เล่าให้ฟังได้ไหมคะ”จากที่ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องงาน วันนี้ก็ทนเก็บความห
ปัจจุบัน บ้านเตชะรัฐแก้วในมือเรียวหนาถูกกำแน่น อึดใจต่อมาก็ง้างขึ้นสูงจากนั้นก็ถูกเหวี่ยงลอยว่อนไปกลางอากาศ โดยเจ้าของใส่ความอัดอั้นออกไปเต็มแรงเมื่อสิ่งเปาะบางร่วงปะทะพื้นแข็ง ๆ ก็ไม่เหลือรูปเดิม และไม่ได้ทำให้คนที่ทุกข์หนักคลายความตึงเครียดลงได้ หากเสียงกระจัดกระจายยิ่งสร้างความโกรธเคืองและหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น“ไอ้เด็กนั้น ที่แท้ก็เป็นลูกไอ้ธานิน เนตรศิริ นี่เอง”กรามหนาบดเบียด สีหน้าเครียดตึง เมื่อเขาลงทุนว่าจ้างนักสืบ เพื่อหาข้อมูลนักธุรกิจหญิง ธัญกร เทียนเทพ จนรู้เดี๋ยวนี่เองว่าเธอเปลี่ยนมาใช้นามสกุลผู้เป็นแม่ จาก ‘เนตรศิริ’ เป็น ‘เทียนเทพ’ และไม่แปลกใจที่เด็กคนนั้นพูดจาแทงใจดำเข้าเต็ม ๆ หากเขารู้มาก่อนหน้านั้น อย่าหวังว่าจะเดินเข้าไปให้เด็กเมื่อวานซืนถอนหงอกเล่น!“หากคุณอยากให้บริษัทของคุณอยู่รอด...” ดวงตากลมใสหากแน่วแน่ ปรายตามองผู้สูงวัย “ก็เอาลูกสาวมาต่อรองสิคะ เผื่อฉันจะสนุกด้วย”“หมายความว่าไง ทำไมต้องเป็นลูกสาวในเมื่อผลกำไร มันก็คือเงินทั้งนั้น”คนหัวการค้าพูดเสียงสั่นตกใจมุมปากยักกระตุกเพียงนิดแล้วจางหายไป จากนั้นใบหน้าที่ไร้อารมณ์ก็กรีดรอยยิ้มออกมา ดวงตาเปล่งประกายแพ
คฤหาสน์เทียนเทพในห้องโถงที่เงียบสงบ หากวันนี้กลับทำให้คนที่อยู่ประจำร้อนรนด้วยคำพูดปลายสายจากแดนไกล“ธัญ... ทำอะไรก็นึกถึงผลที่ตามมาด้วยนะลูก...”ประโยคพูดเตือนมาจากปลายสาย คนรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองทำอะไรอยู่ขมวดคิ้ว แล้วกลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงออดอ้อน“คุณแม่คะ... ประโยคเมื่อกี้หนูขอเปลี่ยนได้ไหมคะ หนูอยากได้คำพูดที่ฟังแล้วชื่นใจ แบบที่แม่เคยถามกับหนูทุกครั้ง”“แล้วแกจะให้แม่พูดว่าไง... ลูกสบายดีไหม กินอะไรหรือยัง ทำงานอย่าหักโหมนะ แบบนี้แกไม่เบื่อหรือไง”“ไม่เบื่อนะคะ... ก็นาน ๆ แม่จะโทร.มาสักครั้ง มันต้องประโยคพวกนี้ขึ้นก่อนไม่ใช่หรือคะ” คนรอความหวังยิ้มกริ่มจากนั้นเสียงถอนหายใจแรง ๆ ของผู้เป็นแม่ดังตามสาย พร้อมกับคำพูดยาวเหยียด“ประโยคพวกนี้ แม่ต้องคิดก่อนว่าลูกของแม่อายุปูนไหน ไม่กินไม่สบายไม่ดูแลตัวเอง ก็ปล่อยให้นอนง่อยอยู่อย่างนั้นไป ไม่รักตัวเองแล้วใครจะรัก เหอะ บอกให้วางมือ แล้วมาช่วยงานที่ร้านก็ไม่ฟัง” น้ำเสียงกึ่งประชดน้อยใจในตัวลูกสาวมากกว่าดูแคลน“โธ่แม่... หนูสำนึกทันไหมเนี่ย”จากที่อยากให้ผู้เป็นแม่พูดเอาใจ ก็ได้คำแซะมาเป็นกระบุงแต่เธอรู้ดี ว่
นิวยอร์ก เมื่อสองเดือนก่อน“เรียบร้อยแล้วค่ะ พี่อย่าลืมที่สัญญากับหนูไว้นะคะ”เจ้าของเสียงนุ่มหวานเอ่ยย้ำมากับปลายสาย ซึ่งงานที่เธอได้รับมอบหมาย ได้ทำสำเร็จลงแล้ว“รอกลับไทยแล้วทุกอย่างจะเป็นตามที่ตกลงกันไว้”“แล้วไม่คิดมาหากันก่อนหรือคะ หนู...” เสียงหวานหยุดเว้นจังหวะ “คิดถึงพี่จะแย่”เจ้าของเสียงหวานโอดครวญซึ่งธัญกรไม่ต้องเดาว่าหากอยู่ต่อหน้า หล่อนจะเย้ายวนจนเธออดใจไม่ไหวแค่ไหน“ฉันติดธุระ ต้องรีบกลับ... ส่วนเธอกลับไทยเมื่อไหร่คงได้เจอกัน”น้ำเสียงเป็นงานเป็นการมากว่าหลงใหลคู่สนทนาทำให้ปลายสายไม่กล้าตอแยและจำใจต้องวางสายไปเมื่ออีกฝ่ายวางสายไปแล้ว ธัญกรก็นั่งพักสายตา อึดใจต่อมาเธอก็ผลุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเตรียมตัวออกจากที่พักเพื่อทำภารกิจ...สองชั่วโมงต่อมาธัญกรก็ถึงที่หมาย นั่นก็คือสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในกรุงนิวยอร์ก เจ้าของดวงตาคมมองตรงไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นและปะทะเข้ากับกลุ่มหนุ่มสาวที่กำลังจับกลุ่มส่งเสียงเฮฮาแข่งกับเสียงดนตรีที่ทางร้านเปิดขับกล่อมเพื่อสร้างบรรยากาศให้แขกภายในร้าน“เฮ้ยกินหน่อย” เสียงเชียร์จากเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มดังชัดเจน หากเจ้าของร่างบางรีบส่ายหน้าใช้มือด
“ห่วงออกหน้าออกตาไปหรือเปล่า”เพื่อนชายที่นั่งเงียบมานาน เอ่ยขึ้นด้วยความรำคาญ“ห่วงกันมาก ทำไมไม่ออกหน้ากินเองล่ะ”เพื่อนอีกคนพูดเสริมขึ้นมาอีกเอลิสมองจิก “ไม่เจอกับตัวเองบ้างก็แล้วไป” เอลิสกล่าวทิ้งสายตาไว้ เพราะคิดว่าสิ่งที่เธอแสดงมันคือความห่วงใยของเพื่อนคนหนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่เพื่อนบางคนอยากข่มอยากเอาชนะ ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำตัวเป็นจุดเด่นแต่อย่างใด“กลัวที่ไหน...” เพื่อนชายตาสีน้ำข้าวย้อนอย่างไม่เกรงเอลิสกำหมัดขึ้นสูงแล้วพูดขึ้น “คิดว่าถ้าฉันดื่มแทนแล้วเรื่องจะจบเหรอ” พร้อมกับสาดสายตามองคนต้นเรื่อง ที่ดูภูมิใจในการกระทำของตัวเอง“ไม่เป็นไร...มันจบแล้ว คุยเรื่องอื่นกันต่อเถอะ” แสงเทียนเอ่ยตัดจบจากนั้นทุกคนก็ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไร เคยเกิดขึ้น โดยแสงเทียนก็นั่งเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้เพื่อนคนอื่น ๆ หมดสนุกเพราะเธอเป็นต้นเหตุเมื่อเวลาผ่านไป แอลกอฮอล์ถูกเติมเต็มเป็นปริมาณมาก ๆ ทุกคนก็เริ่มปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการ หนุ่ม ๆ สาว ๆที่ไม่เคยกล้าแสดงออกก็เริ่มจับคู่แล้วแลกจูบกันดูดดื่ม มือไม้ต่างก็คลำสะเปะสะปะบ้างก็บีบเค้นคลึงคู่ของตัวเองโดยไม่สนสายตาของใครต่อใครในขณะที่แส
แสงเทียนใจหล่นวาบแววตาเลิ่กลั่ก หาทางหนีทีไล่ แต่ชายแปลกหน้าก็ไม่เว้นจังหวะ โดยเดินเข้ามาจนประชิด จนทั้งคู่พากันถอยหลังเพื่อตั้งหลัก“ต้องการอะไร” แสงเทียนฝืนใจถามออกไป ในขณะที่เอลิสเริ่มหน้าซีดมุมปากหนายกยิ้ม สายตามองแสงเทียนตาเป็นประกาย “พวกเรามาทำความรู้จักกันดีไหม”แสงเทียนกำหมัดแน่น “คงไม่ได้หรอก”“ทำไมล่ะ... ” ดวงตาที่เคยเป็นประกายเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเมื่อโดนบอกปัด“หรือว่า...” หนึ่งในนั้นยกมือขึ้นหมายจะจับใบหน้าของแสงเทียนแต่เธอเอี้ยวตัวหลบ แต่โดนผู้ชายอีกคนผลักจนเซแต่เอลิสคว้าไว้ได้ทัน“อย่ามายุ่งกับพวกเรา!” แสงเทียนบอกเสียงกร้าวเมื่อพยุงตัวยืนตรงได้“ชอบ ก็ต้องยุ่งป่าวว่ะ” คนหนึ่งพูดขึ้นโดยไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังคุกคามคนอื่น จากนั้นก็พากันหัวเราะชอบใจ พร้อมกับพยายามต้อนให้แสงเทียนกับเอลิสเข้าไปในมุมมืดแสงเทียนเหงื่อตก เธออยากสู้ แต่เพราะประเมินแล้วว่าร่างกายของตัวเองคงได้แค่ก้าวขาหนี หากรุนแรงหรือต่อต้านมากกว่านี้ เรื่องคงไม่จบแค่การคุกคาม เธอจึงพยายามประคองเวลาเพื่อให้คนอื่น ๆ ผ่านมาเจอ แต่ก็ไร้วี่แวว...ซึ่งในจังหวะเดียวกันนั้นเสียงแตรรถของใครคนหนึ่งก็ดังสนั่นจนทุกคนในที่
ก๊อก ก๊อก...เสียงเคาะประตูทำให้แสงเทียนรีบหันไปดู และการขยับแบบรวดเร็วทำให้เธอเจ็บหัวจี๊ด มีการกระตุกของกล้ามเนื้อบริเวณขมับด้านที่เธอจับไว้ เสียงด้านนอกดังผ่านประตูเข้ามาซ้ำ ๆ เธอจึงตรงดิ่งไปยังประตู ก่อนจะส่องดูทางช่องเล็กๆ ว่าใคร จากนั้นริมฝีปากบางคลี่ขยาย แล้วรีบเปิดให้อีกฝ่ายเข้ามา“เป็นไง” เธอซัดด้วยคำถามทันทีเมื่อประตูอ้าออกเอลิสที่เพิ่งกลับจากจัดการเรื่องบางอย่างให้เธอหยุดนิ่งเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจะโผล่หน้าเข้ามา เพื่อนจะซัดด้วยคำถามง่าย ๆ แต่เธอก็เข้าใจความรู้สึกของคนรอเป็นอย่างดี...อาการคนคิดถึงบ้าน!“เอลิสซะอย่าง ต้องได้มาอยู่แล้ว”เธอโชว์ตั๋วเครื่องบินในมือสองใบให้คนที่โผล่เข้ามาอย่างปลาบปลื้ม ก่อนจะก้าวพ้นประตูเข้ามาด้านใน แล้วปิดสนิทลงเอลิสเป็นสาวลูกครึ่งไทยฝรั่งเศสวัย28ปี รูปร่างสูงใหญ่กว่าสาวไทย มองผู้หญิงที่ตนเองหลงรัก บัดนี้นัยน์ตาของเธอยังมีแววเศร้าหลงเหลือให้เห็น ซึ่งใคร ๆ ก็คิดว่าเป็นแฟนกันมาตลอด ทั้งที่เธอพยายามปกปิดท่าทีแล้วก็ตาม“ขอบคุณมาก ๆ นะ...” น้ำเสียงตื่นเต้นเอ่ยบอก แล้วยื่นมือไปรับของตรงหน้า “สองใบนี่ หรือ...” คิ้วเรียวยาวดั่งคันศรขมวดเข้าหากัน“จะ