คฤหาสน์เทียนเทพ
ในห้องโถงที่เงียบสงบ หากวันนี้กลับทำให้คนที่อยู่ประจำร้อนรนด้วยคำพูดปลายสายจากแดนไกล
“ธัญ... ทำอะไรก็นึกถึงผลที่ตามมาด้วยนะลูก...”
ประโยคพูดเตือนมาจากปลายสาย คนรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองทำอะไรอยู่ขมวดคิ้ว แล้วกลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“คุณแม่คะ... ประโยคเมื่อกี้หนูขอเปลี่ยนได้ไหมคะ หนูอยากได้คำพูดที่ฟังแล้วชื่นใจ แบบที่แม่เคยถามกับหนูทุกครั้ง”
“แล้วแกจะให้แม่พูดว่าไง... ลูกสบายดีไหม กินอะไรหรือยัง ทำงานอย่าหักโหมนะ แบบนี้แกไม่เบื่อหรือไง”
“ไม่เบื่อนะคะ... ก็นาน ๆ แม่จะโทร.มาสักครั้ง มันต้องประโยคพวกนี้ขึ้นก่อนไม่ใช่หรือคะ” คนรอความหวังยิ้มกริ่ม
จากนั้นเสียงถอนหายใจแรง ๆ ของผู้เป็นแม่ดังตามสาย พร้อมกับคำพูดยาวเหยียด
“ประโยคพวกนี้ แม่ต้องคิดก่อนว่าลูกของแม่อายุปูนไหน ไม่กินไม่สบายไม่ดูแลตัวเอง ก็ปล่อยให้นอนง่อยอยู่อย่างนั้นไป ไม่รักตัวเองแล้วใครจะรัก เหอะ บอกให้วางมือ แล้วมาช่วยงานที่ร้านก็ไม่ฟัง” น้ำเสียงกึ่งประชดน้อยใจในตัวลูกสาวมากกว่าดูแคลน
“โธ่แม่... หนูสำนึกทันไหมเนี่ย”
จากที่อยากให้ผู้เป็นแม่พูดเอาใจ ก็ได้คำแซะมาเป็นกระบุงแต่เธอรู้ดี ว่าคำพูดของแม่ทั้งหมด ก็เพราะอยากให้เธอดูแลตัวเองและอยากให้อยู่ด้วยกัน ซึ่งเธอทำตามคำขอของแม่และน้องสาวไม่ได้!
“เถอะเปลี่ยนจากสำนึก เป็นปรับทัศนคติเถอะ”
“ทัศนคติหนูดีจะตาย แม่ไม่เห็นหรือว่ามีหลายบริษัทอยากได้หนูไปเป็นหุ้นส่วนแค่ไหน”
นางยอมรับถึงข้อนี้ “ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะยัยตัวดี”
“โธ่แม่...ลูกหมดกำลังใจแล้วเนี่ย”
“เถอะ!”
เสียงต้นสาย ทำเอาธัญกรใจแป้ว สงสัยงานนี้แม่เอาจริง...!
“ทำมาเป็นพูดดี... กลับเข้าเรื่องเลย แม่ไม่เห็นด้วยหรอกนะสิ่งที่ลูกกำลังทำอยู่”
“แม่ไปฟังอะไรที่ไหนมาคะ...” เธอยังย้อนไปด้วยอารมณ์ขัน
“นี่ แม่ซีเรียสนะ” เสียงนุ่มหากฟังดูจริงจังขึ้น
ธัญกรถอนหายใจจำนนต่อคำพูด
“ค่ะคุณแม่”
“ดี หัดยอมรับตรง ๆ ใช่ว่าแม่จะไม่ให้ลูกคบกับใคร หรือชอบแบบไหนแม่ไม่ห้าม เพราะโลกเปิดกว้าง อีกอย่างเขาก็ยอมรับกันทั่วโลก... แต่ก็อย่าให้มันโจ่งแจ้งนัก แม่ยิ่งใจบาง ๆ อยู่ รอแม่ทำใจได้เมื่อไหร่ลูกค่อยเปิดตัวนะ”
“อ้อเรื่องนี้นี่เอง ...ได้ค่ะ แต่แม่ก็อย่าทำใจนานนักนะคะ ช่วงนี้งานหนูเยอะ ก็อยากผ่อนคลาย แต่หนูสัญญานะคะ จากนี้จะทำอะไรเงียบ ๆ แต่แม่ก็อย่าไปฟังข่าวบนโซเซียลมากนะ เพราะความจริงมีไม่ถึงครึ่งของเรื่องเลยค่ะ”
“แม่เห็นกับตาค่ะ...” นางบอกน้ำเสียงแดกดัน “ผู้หญิงชุดแดง เว้าหน้าเว้าหลังนัวเนียออกสื่อ!”
ธัญกรครุ่นคิดกับประโยคของผู้เป็นแม่ ‘ผู้หญิงชุดแดง เว้าหน้าเว้าหลังนัวเนียออกสื่อ…’ จากนั้นเธอก็ยิ้มกริ่ม
“อ้อ หนูก็นึกว่าอะไร... เขาก็แค่เพื่อน ที่นัดเจอกันนาน ๆ ครั้ง แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ”
คราแรกก็กลัวว่าใช่เรื่องที่ตัวเองกำลังตัดสินใจทำอยู่หรือไม่ แต่ตอนนี้กระจ่างแล้ว เพราะหากเป็นเรื่องผู้หญิงที่แม่กล่าวถึงเขาตัดจบทุกอย่างได้
“เพื่อนนี่แหละตัวดี... ดีกับเราก็ดีไป แต่แทงข้างหลังเราเมื่อไหร่ ลูกก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเจ็บแค่ไหน...” เสียงปลายสายอ่อนลง
ไม่ต้องเดาว่าคนพูดจะมีสีหน้าเศร้าแค่ไหน เพราะสิ่งที่พูดถึงมันฝังอยู่ในใจ ทั้งที่ปากบอกว่าผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป...
ใครจะปล่อยผ่านก็ปล่อยไป แต่คนคนนี้พร้อมเอาคืนแล้ว!
“มันไม่มีอยู่แล้วค่ะ” เธอยืนยัน เพราะคนอย่างเธอ หากได้เจอ จะเอาคืนหลายเท่า!
“อย่ามั่นใจไปนะ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ” คนอาบน้ำร้อนมาก่อนเอ่ยย้ำ
“ค่ะ หนูผ่านมาเยอะ แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องพวกนี้หรอกค่ะ” น้ำเสียงที่ฟังแล้วระรื่นสดใสหากเปลี่ยนเป็นจริงจัง
“อย่าลืมว่าลูกมีครอบครัว มีอะไรบอกแม่หรือน้องก็ได้ อย่าตัดสินใจอะไรคนเดียว เพราะแม่ก็อยากทำหน้าที่แม่ให้ลูกเหมือนกัน” น้ำเสียงนั้นจริงจัง คนฟังอบอุ่นในอกและซาบซึ้งใจ
...หากอยู่ใกล้ จะกอดแม่ให้จมอก
“ค่ะ หากมีเรื่องที่หนูคิดไม่ตก หนูจะปรึกษาแม่เป็นคนแรกเลยคะ”
“สัญญา...”
“ค่ะหนูสัญญา” แต่นิ้วกลางกับนิ้วชี้ไขว้กัน เพราะคนมีเรื่องจริง ๆ เรื่องบางเรื่องเขาต้องปิดคนในครอบครัวให้ถึงที่สุด
“แม่วางสายแล้วนะ”
“ค่ะ หนูรักแม่นะคะ”
“แม่รักลูกเช่นกัน”
จากนั้นคนเป็นแม่ก็กดวางสาย ในขณะที่ธัญกรกำมือถือไว้แน่น สายตาเหม่อมองไปไกล พอ ๆ กับความคิด ที่ไม่มีวันหยุดอยู่ที่เดิม…
‘หนูไม่ยอมแพ้ ให้คนที่ฉกฉวยโอกาส ยามที่เราล้มแล้วข้าม โดยไม่ได้เอาคืนหรอกค่ะ’
น้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนต้องการเอ่ยฝากลม โดยมือเรียวกำสิ่งที่อยู่ในมือแน่นขึ้นตามแรงโทสะ
หากเจ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่อยากเอาคืน คงแหลกคามือไปแล้ว
ฉันจะฉีกหน้ากากผู้ดี เพื่อลบมลทินและกอบกู้ศักดิ์ศรีของพ่อกับแม่กลับมาเอง!
นิวยอร์ก เมื่อสองเดือนก่อน“เรียบร้อยแล้วค่ะ พี่อย่าลืมที่สัญญากับหนูไว้นะคะ”เจ้าของเสียงนุ่มหวานเอ่ยย้ำมากับปลายสาย ซึ่งงานที่เธอได้รับมอบหมาย ได้ทำสำเร็จลงแล้ว“รอกลับไทยแล้วทุกอย่างจะเป็นตามที่ตกลงกันไว้”“แล้วไม่คิดมาหากันก่อนหรือคะ หนู...” เสียงหวานหยุดเว้นจังหวะ “คิดถึงพี่จะแย่”เจ้าของเสียงหวานโอดครวญซึ่งธัญกรไม่ต้องเดาว่าหากอยู่ต่อหน้า หล่อนจะเย้ายวนจนเธออดใจไม่ไหวแค่ไหน“ฉันติดธุระ ต้องรีบกลับ... ส่วนเธอกลับไทยเมื่อไหร่คงได้เจอกัน”น้ำเสียงเป็นงานเป็นการมากว่าหลงใหลคู่สนทนาทำให้ปลายสายไม่กล้าตอแยและจำใจต้องวางสายไปเมื่ออีกฝ่ายวางสายไปแล้ว ธัญกรก็นั่งพักสายตา อึดใจต่อมาเธอก็ผลุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเตรียมตัวออกจากที่พักเพื่อทำภารกิจ...สองชั่วโมงต่อมาธัญกรก็ถึงที่หมาย นั่นก็คือสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในกรุงนิวยอร์ก เจ้าของดวงตาคมมองตรงไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นและปะทะเข้ากับกลุ่มหนุ่มสาวที่กำลังจับกลุ่มส่งเสียงเฮฮาแข่งกับเสียงดนตรีที่ทางร้านเปิดขับกล่อมเพื่อสร้างบรรยากาศให้แขกภายในร้าน“เฮ้ยกินหน่อย” เสียงเชียร์จากเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มดังชัดเจน หากเจ้าของร่างบางรีบส่ายหน้าใช้มือด
“ห่วงออกหน้าออกตาไปหรือเปล่า”เพื่อนชายที่นั่งเงียบมานาน เอ่ยขึ้นด้วยความรำคาญ“ห่วงกันมาก ทำไมไม่ออกหน้ากินเองล่ะ”เพื่อนอีกคนพูดเสริมขึ้นมาอีกเอลิสมองจิก “ไม่เจอกับตัวเองบ้างก็แล้วไป” เอลิสกล่าวทิ้งสายตาไว้ เพราะคิดว่าสิ่งที่เธอแสดงมันคือความห่วงใยของเพื่อนคนหนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่เพื่อนบางคนอยากข่มอยากเอาชนะ ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำตัวเป็นจุดเด่นแต่อย่างใด“กลัวที่ไหน...” เพื่อนชายตาสีน้ำข้าวย้อนอย่างไม่เกรงเอลิสกำหมัดขึ้นสูงแล้วพูดขึ้น “คิดว่าถ้าฉันดื่มแทนแล้วเรื่องจะจบเหรอ” พร้อมกับสาดสายตามองคนต้นเรื่อง ที่ดูภูมิใจในการกระทำของตัวเอง“ไม่เป็นไร...มันจบแล้ว คุยเรื่องอื่นกันต่อเถอะ” แสงเทียนเอ่ยตัดจบจากนั้นทุกคนก็ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไร เคยเกิดขึ้น โดยแสงเทียนก็นั่งเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้เพื่อนคนอื่น ๆ หมดสนุกเพราะเธอเป็นต้นเหตุเมื่อเวลาผ่านไป แอลกอฮอล์ถูกเติมเต็มเป็นปริมาณมาก ๆ ทุกคนก็เริ่มปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการ หนุ่ม ๆ สาว ๆที่ไม่เคยกล้าแสดงออกก็เริ่มจับคู่แล้วแลกจูบกันดูดดื่ม มือไม้ต่างก็คลำสะเปะสะปะบ้างก็บีบเค้นคลึงคู่ของตัวเองโดยไม่สนสายตาของใครต่อใครในขณะที่แส
แสงเทียนใจหล่นวาบแววตาเลิ่กลั่ก หาทางหนีทีไล่ แต่ชายแปลกหน้าก็ไม่เว้นจังหวะ โดยเดินเข้ามาจนประชิด จนทั้งคู่พากันถอยหลังเพื่อตั้งหลัก“ต้องการอะไร” แสงเทียนฝืนใจถามออกไป ในขณะที่เอลิสเริ่มหน้าซีดมุมปากหนายกยิ้ม สายตามองแสงเทียนตาเป็นประกาย “พวกเรามาทำความรู้จักกันดีไหม”แสงเทียนกำหมัดแน่น “คงไม่ได้หรอก”“ทำไมล่ะ... ” ดวงตาที่เคยเป็นประกายเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเมื่อโดนบอกปัด“หรือว่า...” หนึ่งในนั้นยกมือขึ้นหมายจะจับใบหน้าของแสงเทียนแต่เธอเอี้ยวตัวหลบ แต่โดนผู้ชายอีกคนผลักจนเซแต่เอลิสคว้าไว้ได้ทัน“อย่ามายุ่งกับพวกเรา!” แสงเทียนบอกเสียงกร้าวเมื่อพยุงตัวยืนตรงได้“ชอบ ก็ต้องยุ่งป่าวว่ะ” คนหนึ่งพูดขึ้นโดยไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังคุกคามคนอื่น จากนั้นก็พากันหัวเราะชอบใจ พร้อมกับพยายามต้อนให้แสงเทียนกับเอลิสเข้าไปในมุมมืดแสงเทียนเหงื่อตก เธออยากสู้ แต่เพราะประเมินแล้วว่าร่างกายของตัวเองคงได้แค่ก้าวขาหนี หากรุนแรงหรือต่อต้านมากกว่านี้ เรื่องคงไม่จบแค่การคุกคาม เธอจึงพยายามประคองเวลาเพื่อให้คนอื่น ๆ ผ่านมาเจอ แต่ก็ไร้วี่แวว...ซึ่งในจังหวะเดียวกันนั้นเสียงแตรรถของใครคนหนึ่งก็ดังสนั่นจนทุกคนในที่
ก๊อก ก๊อก...เสียงเคาะประตูทำให้แสงเทียนรีบหันไปดู และการขยับแบบรวดเร็วทำให้เธอเจ็บหัวจี๊ด มีการกระตุกของกล้ามเนื้อบริเวณขมับด้านที่เธอจับไว้ เสียงด้านนอกดังผ่านประตูเข้ามาซ้ำ ๆ เธอจึงตรงดิ่งไปยังประตู ก่อนจะส่องดูทางช่องเล็กๆ ว่าใคร จากนั้นริมฝีปากบางคลี่ขยาย แล้วรีบเปิดให้อีกฝ่ายเข้ามา“เป็นไง” เธอซัดด้วยคำถามทันทีเมื่อประตูอ้าออกเอลิสที่เพิ่งกลับจากจัดการเรื่องบางอย่างให้เธอหยุดนิ่งเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจะโผล่หน้าเข้ามา เพื่อนจะซัดด้วยคำถามง่าย ๆ แต่เธอก็เข้าใจความรู้สึกของคนรอเป็นอย่างดี...อาการคนคิดถึงบ้าน!“เอลิสซะอย่าง ต้องได้มาอยู่แล้ว”เธอโชว์ตั๋วเครื่องบินในมือสองใบให้คนที่โผล่เข้ามาอย่างปลาบปลื้ม ก่อนจะก้าวพ้นประตูเข้ามาด้านใน แล้วปิดสนิทลงเอลิสเป็นสาวลูกครึ่งไทยฝรั่งเศสวัย28ปี รูปร่างสูงใหญ่กว่าสาวไทย มองผู้หญิงที่ตนเองหลงรัก บัดนี้นัยน์ตาของเธอยังมีแววเศร้าหลงเหลือให้เห็น ซึ่งใคร ๆ ก็คิดว่าเป็นแฟนกันมาตลอด ทั้งที่เธอพยายามปกปิดท่าทีแล้วก็ตาม“ขอบคุณมาก ๆ นะ...” น้ำเสียงตื่นเต้นเอ่ยบอก แล้วยื่นมือไปรับของตรงหน้า “สองใบนี่ หรือ...” คิ้วเรียวยาวดั่งคันศรขมวดเข้าหากัน“จะ
9.00 ในประเทศไทย “ให้เอลิสไปส่งนะ จะได้รู้จักคุณพ่อคุณแม่ของเทียนด้วย”เอลิสเริ่มรุก หลังจากที่เดินออกมาจากประตูผู้โดยสารขาออก และหยิบกระเป๋าจากช่องลำเลียงเรียบร้อย โดยไม่ลืมหยิบของแสงเทียนติดมาด้วย“อย่าเพิ่งดีกว่า...คือเทียนอยากให้เวลากับตัวเองได้อยู่กับพ่อแม่ ไม่ได้เจอพวกท่านนานแล้ว” แสงเทียนบอกปัดอย่างถนอมน้ำใจอีกฝ่ายที่สุดแล้ว ซึ่งเธอรู้ดีว่าเอลิสจริงใจแค่ไหน แต่เป็นเธอที่ยังไม่พร้อมเสียเอง โดยเหตุผลสำคัญอยู่ในใจที่เธอไม่เคยขุดคุ้ยออกมาให้ใครได้รับรู้ “งั้นเทียนกลับถึงบ้าน โทรมานะคะ” เอลิสบอกด้วยความเป็นห่วง “ได้ แต่ยังไงเทียนต้องขอบคุณเอลิสนะ... สำหรับทุกอย่าง”แสงเทียนตอบรับ พร้อมกับยิ้มหวาน จากนั้นก็รับกระเป๋าจากอีกคนมาถือไว้ “ยังไงเทียนจะโทรหานะคะ” เธอย้ำไม่ลืมที่จะยิ้มหวานส่งให้อีกรอบเพื่อไม่ให้อีกคนรู้สึกใจฝ่อกับการปฏิเสธครั้งนี้“ค่ะ” เธอรับคำ แต่ใจลึก ๆ ก็รู้สึกหวิวเล็กน้อย ไม่คิดว่าคนที่คบกันมานานจะยังไม่เปิดใจให้เข้าถึงครอบครัว... ‘ขอเวลาให้สาอีกนิดนะเอลิส...’แสงเทียนซาบซึ้งในน้ำใจของเอลิสตลอดที่คบหากัน หากหัวใจของเธอกลับเหมือนมีอะไรบางอย่า
“คุณก็น่าจะเข้าใจ หากเขาลดตัวลงมาร่วมหุ้นกับเรา ผมก็คงไม่ต้องมานั่งจมอยู่อย่างนี้” แววตาหม่นเจือจางเครือน้ำใส ผิดหวังเสียใจ ทนทุกข์ไร้หนทาง พยายามสื่อให้ภรรยาเห็นถึงความเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่กำลังเล่นงานครอบครัวตอนนี้เต็มทน ว่าตนต้องทนแค่ไหนที่ต้องบากหน้าเข้าไปหาหญิงสาวคราวลูกเพื่อขอให้มาพยุงบริษัทที่ใกล้จะล้มเต็มที ที่สำคัญคนที่คิดจะไปพึ่งใบบุญกลับเป็นลูกสาว ของคนที่พวกตนเคยกระทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย!“ฮะ จริงหรือ...” ร่างอวบพองามผละไปหาสามีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวงาม เหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่สามีเอ่ยผ่านหูไป “คุณแน่ใจว่าคุยกันรู้เรื่องแล้ว” สีหน้าและแววตาต้องการคำตอบยืนยันอีกครั้ง“มันเป็นไปแล้ว และเราก็หาแหล่งเงินกู้ที่ไหนไม่ได้ด้วย”น้ำเสียงบ่งบอกยืนยัน ว่าคนที่เอ่ยกำลังถอดใจกับสิ่งที่เป็นจริง ที่สำคัญ เขาไม่อยากให้ภรรยารู้ถึงข้อเสนอของอีกฝ่าย“คุณว่าไงนะ!” ลินดาตกใจยิ่งกว่า เพราะสิ่งที่สามีเอ่ยออกมานั้นเท่ากับบริษัทไร้เงินทุนทุกทาง“ก็อย่างที่เห็น ต่อไปก็เข้าใจไว้ด้วยว่าการเงินเราจะมันติดลบ จะใช้จ่ายอะไร ก็ให้ระวังหน่อย เพราะ...”‘เรากำลังจะถูกฟ้องล้มละลายอีกไม่ช้า’ เขาหยุดกลืน
แค่เพียงไม่กี่ประโยคที่ผ่านหู เลือดในกายสูบฉีดเร็วแรงเร่งให้หัวใจทำงานหนัก มือเรียวออกอาการสั่นน้อย ๆ พยายามยื่นมือเรียวผลักประตูที่อ้าอยู่น้อยนิด และพาตัวเองเข้าไป“คุณหนู...” เสียงเบาหวิวเหมือนเรียกเตือนด้วยความห่วงใยของแม่นมนุ่น หญิงสาวที่ถูกเรียกไว้หันมาสบตา ฉายแววเจ็บปวดกับสิ่งที่ได้ยินมา แต่หากจ้องไปให้ลึกลงไปในแววตานั้น มันแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวแสงเทียนพยักหน้าเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกได้ หากแต่ทุกอย่างมันถึงจุดที่จะได้รับรู้และหาทางแก้ไขร่วมกัน เมื่อเธอเติบโตอยู่อย่างสุขสบายและเรียนจบมาด้วยเงินของบริษัท เธอก็ต้องรับรู้ถึงความสั่นคลอนของบริษัทเช่นกัน... ทันทีที่เห็นบุคคลเข้ามาใหม่ผู้สูงวัยทั้งสองก็หยุดการมีปากเสียง“ยัยเทียน/ลูกเทียน” สองสามีเอ่ยเรียกพร้อมกัน“ลูกมาเมื่อไหร่ แล้วทำไมไม่โทรมาบอกพ่อ... แล้วนี่กลับมายังไง ทำไมไม่โทรมาก่อน พ่อจะได้ให้คนไปรับ...” คนเป็นพ่อเอ่ยถามลูกสาวเพียงคนเดียวเป็นชุด พร้อมกับลุกขึ้นเดินมาหา“ไม่เป็นไรพ่อ หนูกลับมาแล้ว”“อึม...พ่อดีใจที่ลูกกลับมา”“คุณพ่อ คุณแม่...”เสียงเรียกที่เปล่งออกมา มันร้าวในใจของคนที่ได้ยินยิ่งนัก จา
ผู้เป็นมารดาเลี่ยงจากเรื่องเงินค่าใช่จ่ายเดินทางกลับของลูกที่ตนเองจ่ายไปจนหมด ก็หันไปพูดอีกเรื่อง น้ำเสียงและสีหน้าไม่ปิดบัง ว่าตนเองยินดีแค่ไหนหากลูกสาวจะคบกับใครไม่ว่าเพศไหน ก็แค่อย่าให้ลูกของนางเสียเปรียบ ซึ่งก่อนหน้านั้นนางรู้ข่าวคราวเรื่องของลูกสาวจากเพื่อนที่ในวงสังคมไฮโซ ที่ไปเรียนด้วยกันอยู่บ้างแต่ถึงยังไง นางก็ไม่อาจสรุป ตามที่ได้ฟังจากปากคนอื่นได้ นอกเสียจากความจริงออกจากปากลูกสาวนางเอง ที่สำคัญผู้หญิงที่ลูกสาวกำลังคบอยู่ รวยอย่างที่ได้รับข่าวมาจริงหรือไม่...“... ไม่ว่าคุณแม่จะไปรู้อะไรมา ตอนนี้เทียนไม่อยากคิดอะไรเรื่องอื่น คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้บริษัทของคุณพ่ออยู่รอด”เสียงหวานบอกไปตามความตั้งใจ“ลูกได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วใช่ไหม”“ค่ะ หนูจะลองหาวิธีดู” เธอเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นเมื่อย้อนกลับไปคิดถึงใครบางคน หัวใจก็พลันเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง และดูครั้งนี้จะหนักกว่าเก่า หากเทียบกับความจริงที่เพิ่งรับรู้มา‘ใคร’ ที่เธอเผลอรับสาย เบอร์ไม่คุ้นชิน เสียงนุ่มหากฟังดูทรงพลังเหมือนมนตร์สะกด ให้นิ่งฟังจนจบประโยค และตอนนี้จะทำยังไงกับเธอคนนั้น ที่ไม่รู้เลยว่า เขาเป็นใครและต้องการอะไรกันแน่