ผู้เป็นมารดาเลี่ยงจากเรื่องเงินค่าใช่จ่ายเดินทางกลับของลูกที่ตนเองจ่ายไปจนหมด ก็หันไปพูดอีกเรื่อง น้ำเสียงและสีหน้าไม่ปิดบัง ว่าตนเองยินดีแค่ไหนหากลูกสาวจะคบกับใครไม่ว่าเพศไหน ก็แค่อย่าให้ลูกของนางเสียเปรียบ ซึ่งก่อนหน้านั้นนางรู้ข่าวคราวเรื่องของลูกสาวจากเพื่อนที่ในวงสังคมไฮโซ ที่ไปเรียนด้วยกันอยู่บ้าง
แต่ถึงยังไง นางก็ไม่อาจสรุป ตามที่ได้ฟังจากปากคนอื่นได้ นอกเสียจากความจริงออกจากปากลูกสาวนางเอง ที่สำคัญผู้หญิงที่ลูกสาวกำลังคบอยู่ รวยอย่างที่ได้รับข่าวมาจริงหรือไม่...
“... ไม่ว่าคุณแม่จะไปรู้อะไรมา ตอนนี้เทียนไม่อยากคิดอะไรเรื่องอื่น คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้บริษัทของคุณพ่ออยู่รอด”
เสียงหวานบอกไปตามความตั้งใจ
“ลูกได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ หนูจะลองหาวิธีดู” เธอเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น
เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงใครบางคน หัวใจก็พลันเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง และดูครั้งนี้จะหนักกว่าเก่า หากเทียบกับความจริงที่เพิ่งรับรู้มา
‘ใคร’ ที่เธอเผลอรับสาย เบอร์ไม่คุ้นชิน เสียงนุ่มหากฟังดูทรงพลังเหมือนมนตร์สะกด ให้นิ่งฟังจนจบประโยค และตอนนี้จะทำยังไงกับเธอคนนั้น ที่ไม่รู้เลยว่า เขาเป็นใครและต้องการอะไรกันแน่
ที่สำคัญ เบอร์ส่วนตัวของเธอไปอยู่ที่ผู้หญิงคนนั้นได้อย่างไร...แสงเทียนครุ่นคิด คิ้วเรียวผูกปมตั้งคำถามให้กับตัวเอง แต่ก็ต้องหลุดจากภวังค์เมื่อคำพูดของมารดาดังขึ้น
“แกจะทำอะไรได้ ขนาดพ่อของแกอยู่ในวงการธุรกิจมาหลายปี ยังไม่มีที่ไหนกล้าปล่อยเงินกู้ซักราย... มีทางเดียว หากแกจะช่วยจริง ๆ ก็หาแฟนรวย ๆ แล้วเอาเงินเค้ามาหมุน แค่นี้บริษัทพ่อแกก็ไม่ล้ม”
คำพูดแนะนำที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ พร้อมกับคำเรียกที่ฟังดูข่มให้คนที่คิดหาทางจนมุม
“คุณแม่...” แสงเทียนเอ่ยเรียกด้วยความตกใจ ก่อนที่ใบหน้างามจะตีหน้านิ่งและเอ่ยบอกออกไปว่า
“หากเค้ารู้ว่าทางครอบครัวเรากำลังมีปัญหา ใครที่ไหนเขาจะมาคบกับเทียน”
พูดไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากให้คนเป็นแม่เห็นดีเห็นงามกับเรื่องที่กำลังคิดอยู่ แต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดเช่นนั้น
ใบหน้าอวบที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางชั้นดี ยิ้มรับกับความคิดของตัวเอง โดยไม่สนใจคำพูดและความคิดเห็นของคนเป็นลูก
“ไม่ลองไม่รู้ แล้วคนที่เทียนคบอยู่น่ะ เธอรวยไม่ใช่เหรอ เอามาให้แม่รู้จักบ้างสิ” นัยน์ตาฉายแววดีใจอย่างเห็นได้ชัด สำเนียงเรียกขานเปลี่ยนไปเพราะความหวังที่จะให้ลูกสาวใจอ่อน
“คุณแม่...”
เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวมองผู้เป็นมารดาด้วยความอ่อนใจ
“เหอะน่า แม่รู้หรอก ว่าแกคบกับลูกคนรวย” สุดท้ายนางก็เลือกพูดสิ่งที่ได้รับรู้มา หากทุกอย่างเป็นจริง หนทางที่จะยื้อบริษัทไว้ก็มีมาก
“มะ แม่...” ตากลมโตเบิกกว้าง ไม่คิดว่าคำพูดแบบนี้จะออกมาจากปากของคนเป็นแม่
“หรือไม่จริงบอกแม่มาหน่อยซิ ซื่อเอลิสอะไรนั่นใช่ไหม หากเธอชอบลูกแม่จริง แม่จัดการให้ลูกได้นะ แค่ลูกพามาให้แม่รู้จักก็พอ” น้ำเสียงตื่นเต้นมากกว่าการเค้นเอาความจริง จ้องมองลูกสาวอย่างมีความหวัง
แสงเทียนน้ำตาเอ่อรื่น ได้แต่ก้มหน้าเงียบ ป้านุ่นที่ยืนรอจัดเก็บโต๊ะเดินเลี่ยงออกไปออกไป เพื่อให้สองแม่ลูกได้คุยกันสะดวกขึ้น
“แม่ต้องเข้าใจผิดแน่ ๆ เลยค่ะ มัน...”
“ไม่ต้องเขิน แม่รู้ คนอื่น ๆ เขาก็รู้” นางพูดแทรก ไม่รอคำอธิบาย
แสงเทียนกลืนน้ำลายลงคอ อึดอัด โดยเธอไม่อยากให้ผู้เป็นแม่คิดไปไหนต่อไหน
“แม่คะ แม่ฟังเทียนนะคะ...” เธอเรียกใส่น้ำหนักเสียง
นางหยุดแล้วมองหน้าลูกสาวคนเดียวคิ้วขมวด “อะไร...”
“แม่ฟังเทียนนะคะ เทียนต้องพึ่งพาตัวเองก่อน คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ส่วนเรื่องอื่นแม่ต้องได้ยินจากปากเทียนเองเท่านั้นนะคะ”
ทุกประโยคประกาศชัด นางได้แต่อ้าปากค้าง ทั้งผิดหวังทั้งเสียหน้า สายตาที่มองลูกสาวเปลี่ยนไป
“อวดดี!” นางต่อว่าลูกสาว
“จะว่าเทียนอวดดีก็ได้นะคะ หากเรื่องที่เราจะทำไม่ไปเบียดเบียนใคร”
ลินดาแบะปากมองลูกสาวด้วยสายตาเหยียด ๆ ในคำพูดถือดีที่ไม่ฟังความคิดเห็นของตน
“แกมันก็ไม่ต่างอะไรกับพ่อ อวดดี เจอคนรวยแล้วไม่รีบตะครุบไว้ คนอื่นก็เอาไปกินกันพอดี พ่อแกก็เหมือนกัน ลองเด็กเหลือขอนั่นปฏิเสธ ก็ควรทำหน้าหนาไปขอร้องใหม่อีกครั้งก็ยังดี แต่นี่กลับมานั่งจมอยู่กับขวดเหล้า”
สุดท้ายนางก็วกกลับไปค่อนขอดคนอื่น ก่อนจะลุกขึ้นตีหน้ายักษ์เดินออกไป
สายตาเศร้าหมองมองแผ่นหลังของคนเป็นแม่ ก่อนจะคลายสีหน้านิ่งขึง ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ‘เด็กเหลือขอ ที่แม่พูดถึงใช่คุณหรือเปล่า...” แสงเทียนคิดแล้วก็รู้สึกเห็นใจคนที่แม่กล่าวถึงขึ้นมาจับใจ ‘ฉันจะไปพบคุณตามที่บอก...’ สายตามุ่งมั่นอยู่ในทีเอ่ยบอกกับตัวเองในใจ
หากผู้หญิงคนนั้นคือคนคนเดี๋ยวที่จะช่วยให้บริษัทอยู่รอด เธอก็พร้อมจะเดินไปหา ตามข้อเสนอที่ยังค้างคาอยู่...
ภาพจำเมื่อหลายวันก่อนในห้องพัก ร่างสมส่วนของแสงเทียน ยืนมองดูตัวเองอยู่หน้ากระจกเงา สำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง ระหว่างนั้นเครื่องมือสื่อสารที่วางไว้หัวเตียงก็ดังขึ้น ใบหน้าเรียบนิ่งก่อนจะฉีกยิ้มหวาน‘ไม่พ่อก็แม่คงโทรมาหา’ เธอคิดพลางละสายตาจากกระจกเงา หยิบสิ่งของที่ส่งเสียงมองหน้าจอเพื่อหาคำตอบ แต่กลับไม่ใช่เบอร์ที่เธอรอคอย หัวใจหล่นวูบ สายตาที่เคยเบิกบานฉายแววดีใจหม่นลง ความหวังที่จะได้กลับไทยคงต้องรอไปอีกวันสองวันหรือเป็นอาทิตย์!“ขอโทษนะคะ โทรผิดหรือเปล่าคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างสุภาพ แม้จะไม่คุ้นเคยกับน้ำเสียงปลายสายบวกกับเบอร์ไม่คุ้นเคย ทำให้แสงเทียนเลือกที่จะถามคำถามนี้ตั้งแต่กดรับสาย“หากคนที่คุยอยู่ คือคุณแสงเทียน เตชะรัฐลูกสาวแสนสวยของคุณปิยะ เตชรัฐก็ใช่ค่ะ ไม่ผิดเบอร์” ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิง คำพูดทุกคำเน้นชัดเหมือนรู้ลึกคิ้วเรียวงามของแสงเทียนขมวดเข้าหากันแล้วถามกับตัวเอง ‘ใครกัน’“ขอโทษนะคะ คุณเป็นใครและต้องการอะไร”แม้คำพูดอาจฟังดูไม่สุภาพ แต่เธอก็เลือกที่จะทำ เพราะเบอร์ที่ใช้มีอยู่แค่สามคนที่รู้ พ่อ แม่ และเพื่อนสนิทคือเอลิส หากแต่ตอนนี้ไม่รู้ใครที่ไหนกลับมาพูดจาเหมือนร
...เพราะเรื่องบางเรื่องที่ถูกปิดบังเอาไว้ แต่ความคุ้นเคยที่อยู่กันมาจนเกิดเป็นความไว้ใจ เรื่องที่ร้ายแรงของเจ้านายก็ถูกระบายให้ลูกจ้างอย่างเขาได้ฟังเสมอ และตอนนี้เรื่องทุกอย่างยังคงเป็นความลับต่อไป! “ถึงแล้วครับ” ลุงเทิดเอ่ยบอกเมื่อรถเก๋งคันงามจอดเข้าที่ “ค่ะ!” เสียงหวานสะดุ้งเล็กน้อย สายตาที่เคยเหม่อลอยเริ่มจับจ้องสิ่งรอบกายตรงหน้า โรงแรมขนาดใหญ่สูงตระหง่านมันทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นถี่รัว คำพูดที่คุยก่อนหน้า บนห้องนอนไม่กี่ชั่วโมงแวบเข้ามา...“คุณ...” เสียงหวานกรอกเข้าไป หยุดเว้นคำพูดเมื่ออีกฝ่ายรับสายและตอบกลับมา แค่ ‘สวัสดีค่ะ’ และเธอก็สวนไปด้วยคำถามน้ำเสียงนุ่มนวลทันที“ยังจำฉัน… ‘แสงแทน’ ได้ไหมคะ... คนที่คุณเคยโทรหา” เสียงหวานกรอกคำพูดเข้าไป ทั้งที่ใจเริ่มประหม่า หากปลายสายตอบว่าจำไม่ได้ แล้วเธอจะเริ่มต้นคำพูดใด ไม่ให้ดูไม่เสียหน้า... ปลายสายเงียบเหมือนกำลังใช้เวลาครุ่นคิด แต่เปล่าเลยเธอจำได้สนิท และเอ่ยออกมาในที่สุด ‘จำได้ สาวสวยนามว่า แสงเทียน เตชะรัฐ มีอะไรงั้นหรือ หรือตัดสินใจได้แล้ว... ทางนี้ยังยืนยันคำเดิมนะ’ น้ำเสียงที่ส่งออกมา นุ่มลึกจนแสงเทียนร้อ
“สวัสดีค่ะ NY เมโทรพอยท์ไทยแลนด์ ยินดีให้บริการค่ะ”เสียงหวานดังมาจากพนักงานสาว รูปร่างสูงโปร่งแต่งแต้มไว้อย่างสวยงามในชุดไทย สไบตีเกล็ดดูหรูในสายตาแขกมาเยือน เสื้อกระดุมผ่าหน้าคอกลม แขนสามส่วน กระโปรงป้าย จากนั้นก็ก้มพนมมือไหว้เมื่อก้าวแรกของแขกผ่านเข้ามาแสงเทียนยิ้มพยักหน้ารับอย่างมีไมตรีตอบรับกลับไป ก่อนก้าวผ่านสาวสวยด้านหน้า ตรงไปยังเคาน์เตอร์หรูตัวเตี้ยรูปตัว L ต่อข้างลายไม้ตกแต่งประดับด้วยแก้วเจียระไนฝังในตัวไม้ได้อย่างสวยงาม แสงเทียนส่งยิ้มหวานที่ต่อเนื่องมาจากอีกคนให้คนที่เธอกำลังต้องการสอบถามถึงคนที่เธอนัดพบ “ขอโทษนะคะ ดิฉัน แสงเทียน นัดไว้กับคุณ... คุณธัญกร เทียนเทพ ไม่ทราบว่าจะพบได้ที่ไหนคะ” เธอมั่นใจว่าบอกชื่อถูกต้องไม่ตกหล่น “อ๋อค่ะ เดี๋ยวยังไงจะให้พนักงานพาไปนะคะ แต่ต้องรอนะคะ เพราะตอนนี้คุณธัญกรยังติดประชุมอยู่ค่ะ” เสียงนุ่มนวลเอ่ยบอกเหตุผลคำตอบที่ได้ทำให้แสงเทียนมั่นใจว่าไม่พลาด ผู้หญิงที่เธอคุยด้วยทั้งที่ไม่มีความสนิทเป็นการส่วนตัวและไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน หากแต่เธอก็ไม่ได้เอะใจว่าเหตุใดคำตอบของพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ ถึงไม่ซักถามอะไรอีก“ค่ะ” เธอตอบร
ธัญกรยิ้มพราว เธอรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าคือลูกผู้บริหารที่มีตำแหน่งทัดเทียมกันกับเธอ หากแต่ตอนนี้ผู้สูงวัย ต้องการวางมือปล่อยให้หุ้นส่วนรุ่นใหม่ดูแล เพราะปัญหาภายในครอบครัวยังไม่ลงตัว ตามที่ได้ยินมาจากวงสังคมธุรกิจ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของความอยู่รอดของธุรกิจ จึงตัดสินใจยอมร่วมหุ้นด้วย“งานโรงแรมของเราไม่ได้มีปัญหาทางการเงิน แต่เพราะผมอายุมากแล้ว จะทำจะคิดอะไรก็ไม่ทันเด็ก ๆ รุ่นใหม่ ผมจึงอยากได้คนอย่างคุณธัญกรเข้าร่วมหุ้นด้วย ผมอยากวางมือเต็มแก่ แต่ก็มีเพียงลูกสาวคนเดียวที่รักดี แต่ผมยังไม่กล้าวางมือให้เธอดูแลเพียงลำพัง ส่วนลูกชายอีกคนที่ผมเหลืออยู่กลับไม่รู้จักทำมาหากิน... หากคุณยอม ผมให้คุณบริหารไปคนเดียวพลาง ๆ ก่อน จนกว่าลูกชายผมจะพร้อมกลับมาทำหน้าที่ไปพร้อมกับคุณ” คำพูดของ เทวัน ทำเอาธัญกรที่อยากก้าวหน้าในงานธุรกิจทุก ๆ ด้านมีหรือจะปฏิเสธ และบัดนี้เธอก็ได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ในสถานะผู้บริหารของโรงแรมดังระดับห้าดาว แม้จะแค่ชั่วคราวในฐานะผู้ร่วมหุ้นรายใหญ่ แต่เธอจะก้าวไปข้างหน้าต่อยอดยิ่งขึ้นไปอีก“ว่างก็สะกิดมานะคะ” เอลิสย้ำกับคนเก่งหาตัวจับยากอย่างธัญกร ในขณะคนที่อยู่ในห้วงความคิดรีบหันม
ในห้องทำงานหรูตกแต่งได้อย่างลงตัว เก้าอี้ตัวงามถูกเจ้าของดึงออกก่อนจะนั่งลงอย่างมาดราชสีห์ สายตาคมวาวไม่ได้ละจากใบหน้างาม ก่อนจะผายมือเชิญแขกมาเยือนอีกครั้ง“เชิญนั่งค่ะ จะได้ต่อด้วยเรื่องของ ‘เรา’ ที่คุณ...” ธัญกรหยุดไว้แค่นั้น“แสงเทียน เตชะรัฐค่ะ...” แสงเทียนแนะนำตัวเองไปในตัว แล้วเอ่ยต่อ “หรือหากไม่รังเกียจจะเรียกเทียนก็ได้นะคะ”มุมปากอวบอิ่มสีเรื่อกรีดยิ้ม “ได้สิ คุณเทียน งั้นคุณก็เรียกแทนตัวเองว่าเทียนและเรียกฉันว่าคุณธัญเป็นไง” เป็นประโยคเหมือนขอความคิดเห็น หากแต่คิดดูอีกเหมือนเป็นคำสั่งกราย ๆ แต่แสงเทียนไม่ได้คิดมากถึงเรื่องนั้น“ได้ค่ะ”เพราะไม่อยากให้บรรยากาศของการพบกันครั้งแรกดูอึดอัดเธอจึงตอบรับอย่างว่าง่าย“ดี งั้นก็มาคุยเรื่องของเรา” ธัญกรเน้นน้ำเสียงให้อีกฝ่ายเข้าใจชัดขึ้น“ค่ะ เรื่องของเราที่คุณเคยบอกไว้ เหมือนว่าคุณรู้ดีทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวของเทียน คุณธัญรู้อะไรแค่ไหนคะ” ทั้งที่ได้ยินและเห็นกับตากับสถานภาพของครอบครัวตอนนี้ แต่เธอก็อยากหยั่งเชิงอีกฝ่ายดู“ใช่ รู้ดีเลยล่ะ” สายตามองประสานกัน เหมือนต่างคนต่างกำลังค้นหาความนึกคิดของอีกฝ่าย ก่อนที่เจ้าของห้องจะเอ่ยข
ธัญกรจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา แม้เวลาผ่านไปไม่นาน การสัมผัสแค่เพียงสายตาและเสียงหวาน ทำให้หัวใจผู้หญิงอย่างเธอรู้สึกปวดหนึบ อยากทำลายฝันที่เต็มไปด้วยพลังและมุ่งหวังของคนตรงหน้าเสียเดี่ยวนั้น แต่เธอต้องเลือกว่าจะเล่นแบบไหนให้สาแก่ใจ!“คนอย่าง ธัญกร เทียนเทพ พูดจริงทำจริง ไม่ทราบว่า ตระกูล ‘เตชรัฐ’ จะทำจริงได้หรือเปล่า” หญิงสาวเอ่ยถามหากแต่สายตาจับจ้องใบหน้าหวานที่ตกแต่งไว้อย่างลงตัว เธอชอบมองเวลาปากอิ่มขยับไหวยามเอ่ยวาจา หากได้ลิ้มลอง มันคงหอมหวานยิ่งกว่า... นักธุรกิจสาวแอบคิดลวนลามหญิงสาวตรงหน้า ครั้นก็แอบเสียดายที่เธอเป็นคนตระกูล ‘เตชะรัฐ’กระนั้นร่างกายที่สมบูรณ์แบบด้วยวัย ก็เป็นใจร้อนวูบวาบไปทั่วช่องท้องไปกับความคิด ทั้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนไหนเพียงเพราะความคิด เว้นแต่...อยากระบายเท่านั้น!“อย่าเอ่ยถึงตระกูลเลยค่ะ แค่ถามว่าพร้อมหรือเปล่า... ก็มีคำตอบให้คุณเดี๋ยวนี้” ใบหน้าหวานเชิดขึ้นเล็กน้อยถึงเธอจะจนตรอกแต่ก็พร้อมปกป้องตระกูลของตัวเอง งั้นก็อย่าหาว่า ‘เนตรศิริ’ ใจร้าย! ธัญกรยิ้มเหยียด ยอมรับใจอีกฝ่าย “ใจแบบนี้ น่าจะร่วมงานกันได้ไม่ยากนะ”“พูดแบบนี้ คุณธัญเปลี่ยนใจช่วยบริษัท
หากแต่ทนอ่านไปจนบรรทัดสุดท้าย ล่างสุดมีลายเซ็นเจ้าของสัญญาลงชื่อไว้เรียบร้อย เหมือนเขาเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้สำหรับงานนี้แล้ว“....” สายตาที่เคยไหวระริกด้วยความหวังมาบัดนี้เหลือไว้แค่ร่องรอยความเจ็บปวด ใบหน้าหวานขาวซีดสลับเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อในเวลาถัดมาเธอคงหลากหลายความรู้สึก... ธัญกรคิดไปหลังจากที่นั่งจับตาดูคนตรงหน้าอยู่ตลอดเวลา หากแต่เหตุใดต้องแคร์ เมื่อมั่นใจว่ายังไงเธอก็ไม่กล้าปฏิเสธเมื่อเห็นว่าเวลาสมควรกับการทำความเข้าใจ ท่ามกลางความเงียบ เสียงนุ่มลึกก็เอ่ยขึ้นเพื่อขีดเส้นตาย“เวลามีให้คุณเทียนไม่มาก จะเซ็นก็เซ็น”สายตาคมภายใต้ขนตางามงอนตวัดมองแล้วพูดขึ้น “มันไม่เกินไปหน่อยหรือคะ” แค่สายตาที่มองมาอย่างดูถูก ก็เจ็บปวดมากพอ แต่จะให้แลกร่างกายกับการยื้อบริษัทไม่ให้ล่ม มันมากเกินไป ผู้หญิงคนนี้เอาสมองส่วนไหนคิด... แม้พยายามย้ำคิดและกลืนความหดหู่เอาไว้ แต่ก็ยังรู้สึกสมเพชตัวเองไม่ได้ริมฝีปากอวบอิ่มยกยิ้มมุมปากแล้วตอบกลับ“คุณเทียนก็แค่เอาของที่มีอยู่แล้วลงทุน ส่วนฉันต้องลงทุนของที่มองไม่เห็นว่าผลจะออกมายังไง...”“คุณธัญ...” เหมือนโดนตบหน้า โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร “คุณเอาร่
เจ้าของดวงหน้างามคลียิ้มบาง ๆ แล้วพูดขึ้น “เสียเวลาตั้งนานสองนาน จะไปทั้งแบบนี้ไม่เหมาะมั้งคะ...”สายตาและน้ำเสียงชวนเสียวช่องท้อง สายตาจับจ้องอยู่ตรงริมฝีปากยัก แสงเทียนรีบออกแรงสะบัดตัวออกห่าง เมื่อรู้สึกถึงแรงคุกคาม “ปล่อย! อย่ามาทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้นะ”“บ้าเหรอ แค่จะขอหากำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ”ไม่รอคำตอบรับหรือคำคัดค้าน ใบหน้างามก็ก้มลงมาหาปากอวบอิ่มประกบปิดริมฝีปากของคนหัวแข็งที่อ้าค้างทันที และเป็นจังหวะให้ลิ้นร้อนชื้นของเธอเข้าซอกซอนอย่างง่ายดาย โดยอีกฝ่ายไม่ทันตั้งรับ“อึก อืออ” เสียงแผ่วร้องประท้วงดังเล็ดลอดออกมา หากแต่ริมฝีปากอวบอิ่มที่มีชั้นเชิงกว่ากดน้ำหนักแล้วบดขยี้ด้วยความช่ำชองเสียงหวานแหลมถูกกลืนหาย ร่างบางออกอาการสั่นมือไม้อ่อน เมื่อได้รับสัมผัสสิ่งแปลกใหม่ ที่ไม่ได้ร้องขอ โดยอีกฝ่ายไม่รอคำอุทธรณ์ใด ๆ จากเธอ“อือ...” เธอรวบรวมแรงอันน้อยนิด ส่งเสียงลอดไรฟันเพื่อประท้วงและใช้ปากสูดเอาอากาศปอด แต่มันยังไม่เต็มอิ่ม เมื่อมือเรียวที่จับท้ายทอยกลับเพิ่มน้ำหนักและล็อกเป้าแน่นกว่าเดิมแสงตาเหลือกลานด้วยความตื่นกลัวจึงรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีไปที่กำปั้นแล้วทุบไปบนไหล่มนสองสามครั้งแต่อีก