ภาพจำเมื่อหลายวันก่อนในห้องพัก ร่างสมส่วนของแสงเทียน ยืนมองดูตัวเองอยู่หน้ากระจกเงา สำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง ระหว่างนั้นเครื่องมือสื่อสารที่วางไว้หัวเตียงก็ดังขึ้น ใบหน้าเรียบนิ่งก่อนจะฉีกยิ้มหวาน
‘ไม่พ่อก็แม่คงโทรมาหา’ เธอคิดพลางละสายตาจากกระจกเงา หยิบสิ่งของที่ส่งเสียงมองหน้าจอเพื่อหาคำตอบ แต่กลับไม่ใช่เบอร์ที่เธอรอคอย หัวใจหล่นวูบ สายตาที่เคยเบิกบานฉายแววดีใจหม่นลง ความหวังที่จะได้กลับไทยคงต้องรอไปอีกวันสองวันหรือเป็นอาทิตย์!
“ขอโทษนะคะ โทรผิดหรือเปล่าคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างสุภาพ แม้จะไม่คุ้นเคยกับน้ำเสียงปลายสายบวกกับเบอร์ไม่คุ้นเคย ทำให้แสงเทียนเลือกที่จะถามคำถามนี้ตั้งแต่กดรับสาย
“หากคนที่คุยอยู่ คือคุณแสงเทียน เตชะรัฐลูกสาวแสนสวยของคุณปิยะ เตชรัฐก็ใช่ค่ะ ไม่ผิดเบอร์” ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิง คำพูดทุกคำเน้นชัดเหมือนรู้ลึก
คิ้วเรียวงามของแสงเทียนขมวดเข้าหากันแล้วถามกับตัวเอง ‘ใครกัน’
“ขอโทษนะคะ คุณเป็นใครและต้องการอะไร”
แม้คำพูดอาจฟังดูไม่สุภาพ แต่เธอก็เลือกที่จะทำ เพราะเบอร์ที่ใช้มีอยู่แค่สามคนที่รู้ พ่อ แม่ และเพื่อนสนิทคือเอลิส หากแต่ตอนนี้ไม่รู้ใครที่ไหนกลับมาพูดจาเหมือนรู้จักประวัติความเป็นมาของครอบครัวเธอดี
ปลายสายเว้นจังหวะ เหมือนกำลังชั่งใจบางอย่าง แล้วเอ่ยออกมาว่า “ใคร... ที่คุ้นเคยกันดีกับครอบครัวเตชรัฐและวันนี้ด้วยความหวังดี จะมาบอกว่าสิ่งที่ทำให้คุณอยู่อย่างสุขสบายอยู่ทุกวันนี้กำลังล้ม และทางเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม คุณควรกลับมาสะสาง เพราะพ่อคุณคงทำต่อไปไม่ไหว รักที่จะกตัญญูก็กลับมา จะคอย... ”
สายที่โทรเข้ามาวางไปแล้ว แต่ความรู้สึกของคนที่ได้ฟังมันยังสับสนปนเประคนสงสัย
เขาจะคอยอะไรจากเธอ...
แล้วเขาเป็นใคร คนที่เธอรู้จักหรือเปล่า...
ตอนนี้คำถามที่เคยมีอยู่ในหัวหลายวัน กำลังจะเปิดเผยความจริง ว่าเขาคนนั้นเป็นใครและต้องการอะไรกันแน่...
“คุณหนูจะออกไปไหนหรือคะ”
ป้านุ่นที่เดินออกมาจากในครัว หลังที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเอ่ยถาม เมื่อเห็นคุณหนูที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไม่ถึง 24 ชั่วโมง ไม่ทันได้พัก ก็จะเตรียมตัวออกข้างนอกอีกแล้ว
สาวสวยในชุดกางเกงขายาวสีครีมขากระบอกเสื้อด้านในสีดำลูกไม้คอวีมีระบายเล็ก ๆน่ารัก สวมทับด้วยเสื้อนอกสีครีมเนื้อผ้าแบบเดียวกันกับกางเกง ซึ่งเป็นภาพรวมที่ดูแล้วคุณหนูของนางเป็นสาวมั่นที่สวยคมในสายตานาง ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาด คำพูดที่หนักแน่นซึ่งติดตัวมาตั้งแต่เด็ก คุณแม่ที่ว่าเอาแต่ใจยังยอมล่าถอย
“เทียนจะออกไปธุระสักหน่อย ป้านุ่นช่วยเรียนคุณพ่อกับคุณแม่ด้วยนะคะ” ร่างสมส่วนยิ้มกับคำบอกกล่าวของตัวเอง แต่คนที่ได้รับฟังทำหน้าบุเลี่ยน รับคำเบา ๆ
“ค่ะ”
เมื่อกล่าวจบแสงเทียนจึงก้าวออกด้านนอก มุ่งตรงไปยังโรงรถที่หมายตาเอาไว้ตั้งแต่อยู่บนห้อง คนทำหน้าที่ขับรถก้ม ๆ เงย ๆ เช็ดถูเตรียมพร้อมกับการรับใช้นาย
ใบหน้าหวานวูบไหวกวาดสายตาเพ่งมองบรรยากาศโดยรอบ ตอนเข้ามาเธอลืมสังเกตสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เพราะมัวแต่ดีใจในการกลับมาของตัวเอง
แม้สิ่งแวดล้อมภายในตัวบ้านไม่เคยผ่านสายตามาสามปีเต็มๆ แต่ต้นไม้ทุกต้นกลับสูงใหญ่ ชูช่อละลานตาให้ร่มเงากับเจ้าของเหมือนตอบแทนกับสิ่งที่มันได้รับ หากแต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ความหดหู่และบีบคั้นความรู้สึก ยากจะหาคำใดเอ่ยออกมาที่จุดหนึ่ง ซึ่งตรงนี้บ่งบอกถึงฐานะทางการเงิน และการใช้สอยของครอบครัวเป็นอย่างดี
สายตาจับจ้องร่องรอยหวนคิดถึงภาพในอดีต รถที่เคยจอดเรียงราย โดยเจ้าของบ้านจะเลือกใช้ตามใจต้องการ มาบัดนี้เหลืออยู่แค่คันเดียว ภาพที่อยู่ตรงหน้ามันสะท้อนออกมาให้เห็น ว่าสถานะทางการเงินของครอบครัวกำลังเป็นเช่นไร
“ลุงเทิดไปส่งเทียนหน่อยสิ” เสียงหวานเอ่ยบอก
ชายสูงวัยที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยยิ้มกว้าง
“เรียบร้อยแล้วครับ จะไปไหนบอกมาเลยพร้อมบริการครับ” น้ำเสียงระรื่นเอ่ยบอก พร้อมเก็บผ้าขนหนูในมือและขวดสีดำไม่ใหญ่นัก เดินอ้อมไปที่กระโปรงหลัง และปิดเข้าที่เรียบร้อย
“ N Y เมโทรพอยท์ ถนนรามคำแหง 81 ลุงไปถูกไหมคะ” แสงเทียนบอกจุดหมายปลายทางที่ตนเองต้องไป
“โอ๊ย สบายมาก ผมเคยไปมาแล้ว ตัดกับถนนลาดพร้าวใช่ไหมครับ แต่เอ๊ะ...”
‘คุณหนูเทียนจะไปทำไมที่นั่น...’
ลุงเทิดผ่อนน้ำเสียงลงในตอนท้าย โดยอีกฝ่ายไม่ทันได้ยินและมีคำถามขึ้นมาในความคิด ก่อนจะยื่นมือหนาทำหน้าที่เปิดประตูให้คุณหนูสาวสวยนั่งประจำที่ด้านหลัง สายตายังคงจับจ้องร่างบางสมส่วน ส่งแววตาห่วงใยออกไป
...เพราะเรื่องบางเรื่องที่ถูกปิดบังเอาไว้ แต่ความคุ้นเคยที่อยู่กันมาจนเกิดเป็นความไว้ใจ เรื่องที่ร้ายแรงของเจ้านายก็ถูกระบายให้ลูกจ้างอย่างเขาได้ฟังเสมอ และตอนนี้เรื่องทุกอย่างยังคงเป็นความลับต่อไป! “ถึงแล้วครับ” ลุงเทิดเอ่ยบอกเมื่อรถเก๋งคันงามจอดเข้าที่ “ค่ะ!” เสียงหวานสะดุ้งเล็กน้อย สายตาที่เคยเหม่อลอยเริ่มจับจ้องสิ่งรอบกายตรงหน้า โรงแรมขนาดใหญ่สูงตระหง่านมันทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นถี่รัว คำพูดที่คุยก่อนหน้า บนห้องนอนไม่กี่ชั่วโมงแวบเข้ามา...“คุณ...” เสียงหวานกรอกเข้าไป หยุดเว้นคำพูดเมื่ออีกฝ่ายรับสายและตอบกลับมา แค่ ‘สวัสดีค่ะ’ และเธอก็สวนไปด้วยคำถามน้ำเสียงนุ่มนวลทันที“ยังจำฉัน… ‘แสงแทน’ ได้ไหมคะ... คนที่คุณเคยโทรหา” เสียงหวานกรอกคำพูดเข้าไป ทั้งที่ใจเริ่มประหม่า หากปลายสายตอบว่าจำไม่ได้ แล้วเธอจะเริ่มต้นคำพูดใด ไม่ให้ดูไม่เสียหน้า... ปลายสายเงียบเหมือนกำลังใช้เวลาครุ่นคิด แต่เปล่าเลยเธอจำได้สนิท และเอ่ยออกมาในที่สุด ‘จำได้ สาวสวยนามว่า แสงเทียน เตชะรัฐ มีอะไรงั้นหรือ หรือตัดสินใจได้แล้ว... ทางนี้ยังยืนยันคำเดิมนะ’ น้ำเสียงที่ส่งออกมา นุ่มลึกจนแสงเทียนร้อ
“สวัสดีค่ะ NY เมโทรพอยท์ไทยแลนด์ ยินดีให้บริการค่ะ”เสียงหวานดังมาจากพนักงานสาว รูปร่างสูงโปร่งแต่งแต้มไว้อย่างสวยงามในชุดไทย สไบตีเกล็ดดูหรูในสายตาแขกมาเยือน เสื้อกระดุมผ่าหน้าคอกลม แขนสามส่วน กระโปรงป้าย จากนั้นก็ก้มพนมมือไหว้เมื่อก้าวแรกของแขกผ่านเข้ามาแสงเทียนยิ้มพยักหน้ารับอย่างมีไมตรีตอบรับกลับไป ก่อนก้าวผ่านสาวสวยด้านหน้า ตรงไปยังเคาน์เตอร์หรูตัวเตี้ยรูปตัว L ต่อข้างลายไม้ตกแต่งประดับด้วยแก้วเจียระไนฝังในตัวไม้ได้อย่างสวยงาม แสงเทียนส่งยิ้มหวานที่ต่อเนื่องมาจากอีกคนให้คนที่เธอกำลังต้องการสอบถามถึงคนที่เธอนัดพบ “ขอโทษนะคะ ดิฉัน แสงเทียน นัดไว้กับคุณ... คุณธัญกร เทียนเทพ ไม่ทราบว่าจะพบได้ที่ไหนคะ” เธอมั่นใจว่าบอกชื่อถูกต้องไม่ตกหล่น “อ๋อค่ะ เดี๋ยวยังไงจะให้พนักงานพาไปนะคะ แต่ต้องรอนะคะ เพราะตอนนี้คุณธัญกรยังติดประชุมอยู่ค่ะ” เสียงนุ่มนวลเอ่ยบอกเหตุผลคำตอบที่ได้ทำให้แสงเทียนมั่นใจว่าไม่พลาด ผู้หญิงที่เธอคุยด้วยทั้งที่ไม่มีความสนิทเป็นการส่วนตัวและไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน หากแต่เธอก็ไม่ได้เอะใจว่าเหตุใดคำตอบของพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ ถึงไม่ซักถามอะไรอีก“ค่ะ” เธอตอบร
ธัญกรยิ้มพราว เธอรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าคือลูกผู้บริหารที่มีตำแหน่งทัดเทียมกันกับเธอ หากแต่ตอนนี้ผู้สูงวัย ต้องการวางมือปล่อยให้หุ้นส่วนรุ่นใหม่ดูแล เพราะปัญหาภายในครอบครัวยังไม่ลงตัว ตามที่ได้ยินมาจากวงสังคมธุรกิจ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของความอยู่รอดของธุรกิจ จึงตัดสินใจยอมร่วมหุ้นด้วย“งานโรงแรมของเราไม่ได้มีปัญหาทางการเงิน แต่เพราะผมอายุมากแล้ว จะทำจะคิดอะไรก็ไม่ทันเด็ก ๆ รุ่นใหม่ ผมจึงอยากได้คนอย่างคุณธัญกรเข้าร่วมหุ้นด้วย ผมอยากวางมือเต็มแก่ แต่ก็มีเพียงลูกสาวคนเดียวที่รักดี แต่ผมยังไม่กล้าวางมือให้เธอดูแลเพียงลำพัง ส่วนลูกชายอีกคนที่ผมเหลืออยู่กลับไม่รู้จักทำมาหากิน... หากคุณยอม ผมให้คุณบริหารไปคนเดียวพลาง ๆ ก่อน จนกว่าลูกชายผมจะพร้อมกลับมาทำหน้าที่ไปพร้อมกับคุณ” คำพูดของ เทวัน ทำเอาธัญกรที่อยากก้าวหน้าในงานธุรกิจทุก ๆ ด้านมีหรือจะปฏิเสธ และบัดนี้เธอก็ได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ในสถานะผู้บริหารของโรงแรมดังระดับห้าดาว แม้จะแค่ชั่วคราวในฐานะผู้ร่วมหุ้นรายใหญ่ แต่เธอจะก้าวไปข้างหน้าต่อยอดยิ่งขึ้นไปอีก“ว่างก็สะกิดมานะคะ” เอลิสย้ำกับคนเก่งหาตัวจับยากอย่างธัญกร ในขณะคนที่อยู่ในห้วงความคิดรีบหันม
ในห้องทำงานหรูตกแต่งได้อย่างลงตัว เก้าอี้ตัวงามถูกเจ้าของดึงออกก่อนจะนั่งลงอย่างมาดราชสีห์ สายตาคมวาวไม่ได้ละจากใบหน้างาม ก่อนจะผายมือเชิญแขกมาเยือนอีกครั้ง“เชิญนั่งค่ะ จะได้ต่อด้วยเรื่องของ ‘เรา’ ที่คุณ...” ธัญกรหยุดไว้แค่นั้น“แสงเทียน เตชะรัฐค่ะ...” แสงเทียนแนะนำตัวเองไปในตัว แล้วเอ่ยต่อ “หรือหากไม่รังเกียจจะเรียกเทียนก็ได้นะคะ”มุมปากอวบอิ่มสีเรื่อกรีดยิ้ม “ได้สิ คุณเทียน งั้นคุณก็เรียกแทนตัวเองว่าเทียนและเรียกฉันว่าคุณธัญเป็นไง” เป็นประโยคเหมือนขอความคิดเห็น หากแต่คิดดูอีกเหมือนเป็นคำสั่งกราย ๆ แต่แสงเทียนไม่ได้คิดมากถึงเรื่องนั้น“ได้ค่ะ”เพราะไม่อยากให้บรรยากาศของการพบกันครั้งแรกดูอึดอัดเธอจึงตอบรับอย่างว่าง่าย“ดี งั้นก็มาคุยเรื่องของเรา” ธัญกรเน้นน้ำเสียงให้อีกฝ่ายเข้าใจชัดขึ้น“ค่ะ เรื่องของเราที่คุณเคยบอกไว้ เหมือนว่าคุณรู้ดีทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวของเทียน คุณธัญรู้อะไรแค่ไหนคะ” ทั้งที่ได้ยินและเห็นกับตากับสถานภาพของครอบครัวตอนนี้ แต่เธอก็อยากหยั่งเชิงอีกฝ่ายดู“ใช่ รู้ดีเลยล่ะ” สายตามองประสานกัน เหมือนต่างคนต่างกำลังค้นหาความนึกคิดของอีกฝ่าย ก่อนที่เจ้าของห้องจะเอ่ยข
ธัญกรจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา แม้เวลาผ่านไปไม่นาน การสัมผัสแค่เพียงสายตาและเสียงหวาน ทำให้หัวใจผู้หญิงอย่างเธอรู้สึกปวดหนึบ อยากทำลายฝันที่เต็มไปด้วยพลังและมุ่งหวังของคนตรงหน้าเสียเดี่ยวนั้น แต่เธอต้องเลือกว่าจะเล่นแบบไหนให้สาแก่ใจ!“คนอย่าง ธัญกร เทียนเทพ พูดจริงทำจริง ไม่ทราบว่า ตระกูล ‘เตชรัฐ’ จะทำจริงได้หรือเปล่า” หญิงสาวเอ่ยถามหากแต่สายตาจับจ้องใบหน้าหวานที่ตกแต่งไว้อย่างลงตัว เธอชอบมองเวลาปากอิ่มขยับไหวยามเอ่ยวาจา หากได้ลิ้มลอง มันคงหอมหวานยิ่งกว่า... นักธุรกิจสาวแอบคิดลวนลามหญิงสาวตรงหน้า ครั้นก็แอบเสียดายที่เธอเป็นคนตระกูล ‘เตชะรัฐ’กระนั้นร่างกายที่สมบูรณ์แบบด้วยวัย ก็เป็นใจร้อนวูบวาบไปทั่วช่องท้องไปกับความคิด ทั้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนไหนเพียงเพราะความคิด เว้นแต่...อยากระบายเท่านั้น!“อย่าเอ่ยถึงตระกูลเลยค่ะ แค่ถามว่าพร้อมหรือเปล่า... ก็มีคำตอบให้คุณเดี๋ยวนี้” ใบหน้าหวานเชิดขึ้นเล็กน้อยถึงเธอจะจนตรอกแต่ก็พร้อมปกป้องตระกูลของตัวเอง งั้นก็อย่าหาว่า ‘เนตรศิริ’ ใจร้าย! ธัญกรยิ้มเหยียด ยอมรับใจอีกฝ่าย “ใจแบบนี้ น่าจะร่วมงานกันได้ไม่ยากนะ”“พูดแบบนี้ คุณธัญเปลี่ยนใจช่วยบริษัท
หากแต่ทนอ่านไปจนบรรทัดสุดท้าย ล่างสุดมีลายเซ็นเจ้าของสัญญาลงชื่อไว้เรียบร้อย เหมือนเขาเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้สำหรับงานนี้แล้ว“....” สายตาที่เคยไหวระริกด้วยความหวังมาบัดนี้เหลือไว้แค่ร่องรอยความเจ็บปวด ใบหน้าหวานขาวซีดสลับเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อในเวลาถัดมาเธอคงหลากหลายความรู้สึก... ธัญกรคิดไปหลังจากที่นั่งจับตาดูคนตรงหน้าอยู่ตลอดเวลา หากแต่เหตุใดต้องแคร์ เมื่อมั่นใจว่ายังไงเธอก็ไม่กล้าปฏิเสธเมื่อเห็นว่าเวลาสมควรกับการทำความเข้าใจ ท่ามกลางความเงียบ เสียงนุ่มลึกก็เอ่ยขึ้นเพื่อขีดเส้นตาย“เวลามีให้คุณเทียนไม่มาก จะเซ็นก็เซ็น”สายตาคมภายใต้ขนตางามงอนตวัดมองแล้วพูดขึ้น “มันไม่เกินไปหน่อยหรือคะ” แค่สายตาที่มองมาอย่างดูถูก ก็เจ็บปวดมากพอ แต่จะให้แลกร่างกายกับการยื้อบริษัทไม่ให้ล่ม มันมากเกินไป ผู้หญิงคนนี้เอาสมองส่วนไหนคิด... แม้พยายามย้ำคิดและกลืนความหดหู่เอาไว้ แต่ก็ยังรู้สึกสมเพชตัวเองไม่ได้ริมฝีปากอวบอิ่มยกยิ้มมุมปากแล้วตอบกลับ“คุณเทียนก็แค่เอาของที่มีอยู่แล้วลงทุน ส่วนฉันต้องลงทุนของที่มองไม่เห็นว่าผลจะออกมายังไง...”“คุณธัญ...” เหมือนโดนตบหน้า โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร “คุณเอาร่
เจ้าของดวงหน้างามคลียิ้มบาง ๆ แล้วพูดขึ้น “เสียเวลาตั้งนานสองนาน จะไปทั้งแบบนี้ไม่เหมาะมั้งคะ...”สายตาและน้ำเสียงชวนเสียวช่องท้อง สายตาจับจ้องอยู่ตรงริมฝีปากยัก แสงเทียนรีบออกแรงสะบัดตัวออกห่าง เมื่อรู้สึกถึงแรงคุกคาม “ปล่อย! อย่ามาทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้นะ”“บ้าเหรอ แค่จะขอหากำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ”ไม่รอคำตอบรับหรือคำคัดค้าน ใบหน้างามก็ก้มลงมาหาปากอวบอิ่มประกบปิดริมฝีปากของคนหัวแข็งที่อ้าค้างทันที และเป็นจังหวะให้ลิ้นร้อนชื้นของเธอเข้าซอกซอนอย่างง่ายดาย โดยอีกฝ่ายไม่ทันตั้งรับ“อึก อืออ” เสียงแผ่วร้องประท้วงดังเล็ดลอดออกมา หากแต่ริมฝีปากอวบอิ่มที่มีชั้นเชิงกว่ากดน้ำหนักแล้วบดขยี้ด้วยความช่ำชองเสียงหวานแหลมถูกกลืนหาย ร่างบางออกอาการสั่นมือไม้อ่อน เมื่อได้รับสัมผัสสิ่งแปลกใหม่ ที่ไม่ได้ร้องขอ โดยอีกฝ่ายไม่รอคำอุทธรณ์ใด ๆ จากเธอ“อือ...” เธอรวบรวมแรงอันน้อยนิด ส่งเสียงลอดไรฟันเพื่อประท้วงและใช้ปากสูดเอาอากาศปอด แต่มันยังไม่เต็มอิ่ม เมื่อมือเรียวที่จับท้ายทอยกลับเพิ่มน้ำหนักและล็อกเป้าแน่นกว่าเดิมแสงตาเหลือกลานด้วยความตื่นกลัวจึงรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีไปที่กำปั้นแล้วทุบไปบนไหล่มนสองสามครั้งแต่อีก
แสงเทียนวิ่งออกมายืนคว้างอยู่กลางลานด้านหน้าตึกสูง สายตาสาดมองหารถของลุงเทิด ใจภาวนาขอให้อีกฝ่ายรอเธอที่จุดไหนสักแห่งไม่ไกลจากที่เธอยืนอยู่ “คุณเทียนครับ” แสงเทียนสะดุ้งโหยง แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ยิ้มอย่างโล่งใจ “ลุงเทิด...”“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ลุงเทิดถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นแววตาลุกลนเหมือนเด็กน้อยเจอเรื่องตื่นตกใจมา“ไม่มีอะไร เรากลับกันเถอะค่ะ”แสงเทียนบอกปัด ในขณะที่คนอาบน้ำร้อนมาก่อนจับสังเกตได้ แต่เมื่อเจ้าตัวบอกมาแบบนั้น ผู้สูงวัยใหญ่จึงปล่อยผ่าน จากนั้นก็เดินนำไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก“คุณหนูจะกลับเลยไหมครับ”หลังจากที่เคลื่อนรถออกมาแล้วลุงเทิดก็ถามขึ้นแสงเทียนที่ทิ้งแผ่นหลังไปบนเบาะและพักสายตาอยู่ ตอบกลับ “กลับบ้านเลยค่ะ”เสียงนั้นดูอ่อนล้ากว่าขามา ลุงเทิดจึงปล่อยให้คนด้านหลังพักผ่อน ส่วนตัวเองก็ทำหน้าที่ไปบ้าน ‘เตชะรัฐ’หน้าประตูรั้วรีโมทอัลลอยมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนออกันอยู่ ทำให้ลุงเทิดต้องบีบแตรขอทาง หากคนพวกนั้นที่อายุอยู่ในราวยี่สิบถึงสี่สิบห้าปีหันมามองจากนั้นก็เดินตรงมาหา ซึ่งลุงเทิดรู้ได้ในทันทีว่าคนกลุ่มนั้นคือพวกไหน“มีอะไรหรือคะ...” แ
สุดท้ายแสงเทียนไม่อาจปฏิเสธความต้องการที่รุ่มเร้าเข้ามาในกายได้ โดยที่ธัญกรเป็นคนจัดมันก่อน จุดมาก็ตอบสนองให้... เธอก้มลงซุกไซร้ซอกคอขาว ในขณะที่มือถูกดึงให้หยุดอยู่ที่หน้าอกตูมเมื่อเจ้าของเปิดทางแสงเทียนจึงตอบสนองกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลไป เธอออกแรงบีบหน้าอกล้นมือนั้นด้วยความกลัดมัน“อ่าส์...”เจ้าของอกตูมครางออกมาแสงเทียนได้ใจจากนั้นเธอก็ดึงผ้าขนหนูออกจากกายงามเช่นเดียวกับธัญกรเองก็ดึงผ้าขนหนูออกจากตัวของแสงเทียนต่างฝ่ายต่างไร้สิ่งปกปิด จากนั้นต่างก็ประคองกันไปยังเตียงนุ่มที่เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดงละลานตาจัดแต่งเป็นรูปหัวใจ“อืม อืมส์...” ต่างคนต่างพรมจูบอีกฝ่าย แล้วส่งเสียงหวานตอบรับกัน จากนั้นัญกรก็ดันร่างบางให้นอนราบไปบนเตียงตัวเองขยับขึ้นค่อม แล้วใช้แขนเกี่ยวขางามให้ยกสูง ส่วนตัวเองก็ก้มหน้าลงไปยังช่องทางรักสีหวานทันที“อึก!” แสงเทียงส่งเสียงสะท้านไหว เมื่ออีกฝ่ายใช้ปลายจมูกโด่งกดลงไปตรงจุดอ่อนไว สลับกับริมฝีปากอุ่นฝากฝังตรงจุดนั้น ในขณะที่มือข้างหนึ่งขยำอยู่ตรงสองเต้ากลมสลับกันไปมาอย่างเป็นจังหวะ“อะ อ่าส์” ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายลิ้นพลิ้วแหย่ลึกลงไปในช่องแคบสลับกับ
“นั้นนะสิ แต่คงไม่เป็นอะไรหรอกมั่ง ไม่งั้นคงนั่งพิมพ์มือถือไม่ได้” แสงเทียนปลอบใจตัวเอง แต่สีหน้าก็ยังไม่คลายความกังวลธัญกรจึงยื่นมือไปกุมไหล่มนแล้วบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ แล้วเอ่ยขึ้น“คงไม่เป็นไรหรอก หากมีอะไรร้ายแรงกว่านี้ คงมีข่าวจากใครบ้างแหละ อย่างเช่นจากคุณปรายฟ้า แต่นี่เงียบกันอยู่” แสงเทียนโล่งใจมากขึ้นเมื่อฟังเหตุผลของธัญกร“แล้วพี่ได้คุยกับใบข้าวอีกหรือเปล่า”“ไม่นะ หลังจากที่ทักทายเธอพร้อมกับเทียน พี่ก็ยุ่งต้อนรับแขกผู้หลักผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้ตามไปคุยที่โต๊ะอีก”“ค่ะ ช่วงที่เธอกลับก็เห็นพี่ต้อนรับแขกผู้ใหญ่อยู่...”“เทียนไม่คิดอะไรมากแล้วใช่ไหม” ด้วยแคร์ความรู้สึก จึงอดถามไม่ได้“ไม่ค่ะ เพราะหลังจากนั้นเทียนก็เห็นเธอไปนั่งกับแขกผู้ชายที่เราเคยเจอในร้ายอาหารวันนั้น แล้วกลับออกไปด้วยกัน”“อ้อนั่นน้องชายเอลิสนะ”“อ้าว แล้วทำไม่เทียนไม่รู้”“น้องชายต่างแม่ พี่เองก็เพิ่งรู้ ตอนที่คุณเทวันเอามาแนะนำให้รู้จักนะ”เธอตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง สื่อให้เห็นถึงความคิดที่ไร้ข้อกังขาใด ๆแสงเทียนยิ้มตอบตาเป็นประกายมองใบหน้างามตรงหน้าเนิ่นนาน ...ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของธัญกร
แม้มีบางคนได้พูดไว้ว่า...ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือ ผู้หญิง การพึ่งตัวเองได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ‘อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนนั้นแลคือที่พึ่งแห่งตน’ ...หากแต่ช่วงชีวิตหนึ่งเธอก็อยากให้ใครดูแลเช่นกัน“โอเค ผมขอเวลา เพื่อพิสูจน์ตัวเองในเรื่องหน้าที่การงานและการเปลี่ยนแปลง... ในช่วงนี้ผมขอให้ข้าวเป็นกำลังใจให้ผมนะครับ” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยออกมา ไม่มีแววล้อเล่น ใบข้าวสบตาพร้อมยิ้มรับ เธอควรให้โอกาสเขาและเพื่อให้โอกาสตัวเธอเพื่อเอาความรู้สึกใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่“ค่ะ ถึงตอนนั้น ข้าวคงพร้อมให้คุณเข้ามาพบพ่อแม่”ธามไทถึงกับโผเข้าสวมกอดร่างเปล่าเปลือย กดจมูกโด่งไปบนแก้มเนียนหลายครั้งติดต่อกันจนชุ่มปอด“ขอบคุณ ขอบคุณที่ข้าวให้โอกาสและเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ให้ผม” คนเคยเสเพลกล่าวน้ำเสียงตื้นตัน ใบข้าวสวมกอดเอวสอบด้วยความตื้นตันเป็นครั้งแรกเนิ่นนาน ก่อนบทรักครั้งใหม่จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้แถมความรู้สึกใหม่เข้ามาเติมเต็มจนห้องนอนเกือบกลายเป็นบ่อน้ำตาลดี ๆ นี่เอง... หนึ่งเดือนต่อมา บ้านเตชะรัฐซึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่จัดงานแต่ง เลี้ยงแขกแบบปุบเฟ่ โดยในงานประดับประดาด้วยดอกกุหลาบสีหวาน จัดเป็
บรรยากาศโดยรอบดูหดหู่ตาม มินตราและธานินมองหน้ากัน เพราะเขาทั้งสองไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้นานแล้ว แต่เพื่อความสะดวกใจของอีกฝ่าย จึงคิดว่าวันนี้จะปรับความเข้าใจกันใหม่ ก่อนจะหันมายิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย“เอาเป็นว่า อะไรที่ยังค้างคาใจ ขอให้ทิ้งไปได้เลย เพราะฉันทั้งสองไม่เคยเก็บสิ่งพวกนั้นมาบั่นทอนความมุ่งหวังที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า เพราะพวกฉันถือว่า ความก้าวหน้ามีให้คว้าอยู่ตลอดเวลา และ ‘หากไม่มีวันนั้น พวกฉันก็คงไม่มีวันนี้’ หวังว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเด็ดขาดของมินตรา ไม่มีใครไม่กล้ายอมรับความจริง โดยเฉพาะลินดาใบหน้าบิดเบี้ยวเมื่ออีกฝ่ายพูดจบนิ้วเรียวยกขึ้นกรีดน้ำตาที่ร่วงลงมาหยดแล้วหยดเล่า ด้วยความซาบซึ้งใจที่อีกฝ่ายไม่คิดหาความกับเรื่องที่ผ่านมาอีก“โอเค ทีนี้ก็มาว่ากันเรื่องอื่นนะ”ครานี้ธานิน คนอารมณ์ดีเป็นนิจเอ่ยขึ้น ธัญกรใจเต้นหวั่น ๆ ไม่อยากให้พ่อพูด จนอีกฝ่ายน้ำตาตกอย่างแม่อีก หากแต่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ“บริษัทรับเหมาที่คุณปิยะดูแลอยู่ ผมได้พูดกับลูกธัญแล้วว่า หุ้นครึ่งหนึ่งยังเป็นของคุณเหมือนเดิม หากแต่เปลี่ยนคนบริหาร ไม่ใช่อะไรหรอกลูกธัญบอกว่า คุณปิยะควรวางม
“ขอบคุณค่ะแม่...” น้ำเสียงสั่นเครือพยายามเปล่งออกมาเมื่อผู้เป็นแม่ยืนยันความตั้งใจอีกครั้ง ก่อนจะก้มมองของขวัญบนคอตนเองผ่านกระจกเงา หากแต่ความสวยงามของเพชรนั้นกลับไม่เรียกความสดชื่นจากใบหน้าเธอได้ ก่อนจะหันมาโอบเอวผู้เป็นแม่แล้วซบใบหน้าลงเพื่อซึมซับความอบอุ่นที่นานมากแล้วเธอไม่เคยแสดงกิริยาแบบนี้เนิ่นนานกว่าร่างบางจะผละห่าง“กลัวหรือลูก” นางเอ่ยถามเมื่อพิศมองใบหน้าที่แต้มสีสันไว้เพียงบาง ๆ หากสวยน่ามอง แต่ตัดกับสีหน้าหม่นหมอง จนนางรู้สึกใจคอไม่ดีตามแต่ก็นั้นละ นางเองก็หวั่นอยู่ไม่น้อย แต่พยายามปิดความรู้สึกเอาไว้ ...เมื่ออีกฝ่ายให้โอกาสก็อยากทำในสิ่งที่สมควรที่สุด“...ค่ะแม่” เธอตอบกลับไปเสียงแผ่ว มือเรียวยื่นไปจับไหล่ลูกแล้วบีบเบา ๆ ให้กำลังใจ“เราออกกันไปกันเถอะ” นางเอ่ยชวนพร้อมดันร่างบางให้เดินนางรู้ว่าลูกสาวเครียดด้วยเรื่องใด หากไม่ใช่คำพูดของผู้เป็นพ่อในวันนั้น...‘อย่าให้พ่อรู้นะว่าลูกยังติดต่อกับฝ่ายนั้นอีก’ ทันทีที่ถูกซักถามจนได้ความผู้เป็นพ่อก็ออกคำสั่งห้ามทันที‘แล้วเรื่องที่เขาจะมาบ้านล่ะทำไง’ น้ำเสียงกริ่งเกรงเอ่ยถามสามี ที่บัดนี้หน้าบูดบึ้ง จนนางไม่อยากสู้หน้า‘จะมาทำไ
แม่บ้านคนสนิทส่ายหน้ารัว เธอจึงหันมองชายหนุ่มอีกครั้ง“คุณทำอะไรกับคนในบ้านข้าวคะ”“ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่บอกและแนะนำตัวก็เท่านั้น”“เท่านั้นของคุณ มันเท่าไหน”“ไม่เอานาที่รัก ผมแค่ให้ทุกคนรู้ว่าคุณเป็นเมีย และเท่ากับผมก็เป็นเจ้านายของเขา”“นี่จะบ้าหรือเปล่า คุณบอกคนของข้าวแบบนี้ได้ไง” เธอเอ่ยด้วยความผิดหวัง “บ้าที่ไหน” ธามไทเสียงอ่อนลง ไม่อยากทะเลาะกับหญิงสาวขึ้นมาดื้อๆ“บ้า ทำอะไรไม่บอกกล่าว น่าเกลียดที่สุด” เธอยังด่าไม่เลิก หากแต่แปลกใจไม่น้อยที่ดูอีกฝ่ายใจเย็นลง“อย่าด่าผมอีกเลยนะ” ประกายตาเว้าวอนหากแต่ใบข้าวจิกค้อนอย่างหมั่นไส้“ทำเกินไป ก็ต้องด่าสิ คุณพูดดีรู้เรื่องซะที่ไหน” “โธ่ ผมทำแค่นั้นเอง” เขาอุทธรณ์ เสียงแผ่ว ผิดจากก่อนหน้านั้น ป้าพาซ่อนยิ้มความรักหนุ่มสาวช่างร้อนแรงไม่ว่าสมัยไหน เฮ้อ...คนสูงวัยได้แต่ถอนหายใจใบข้าวหน้าแดงก่ำทั้งอายทั้งโกรธ อาการเหมือนเสือสิ้นลาย ผิดจากก่อนหน้า ที่สำคัญเขาแสดงอาการนั้นต่อหน้าคนในบ้านอีก ไม่อายก็ด้านแล้ว! “แค่ไหนของคุณ ต่อไปห้ามไปแสดงตัวแบบนี้กับใครอีกเข้าใจไหมคะ”“ครับ แต่...” เขารับคำแต่มีประโยคทิ้งท้ายสายตาพราว ใ
ใบข้าวเดินกลับเข้าบ้านด้วยสีหน้าหม่นหมองเมื่อการถูกรักแต่เธอไม่ได้รู้สึกรักตอบ กับการรักเขาแต่เขาไม่รักตอบ คนที่อยู่ตรงจุดนั้น คงเจ็บไม่ต่างกับเธอตอนนี้สินะ...“กลับมาแล้วเหรอ” เท้าบางที่พาตัวเหม่อลอยเดินเข้าบ้านหยุดชะงัก ก่อนจะมองต้นเสียงที่คุ้นเคย“ธามไท...” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาคล้ายกระซิบ คาดไม่ถึงก่อนจะหันมองไปอีกทางและเห็นว่ารถคันหรูที่ธามไทใช้อยู่เป็นประจำจอดอยู่ บ้าจริง! เธอก่นด่าตัวเอง เพราะมัวแต่เหม่อลอยจึงไม่ทันได้สังเกต กว่าจะไหวตัว ก็ไม่ทันแล้ว“มาเมื่อไหร่แล้วคะ” แม้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่กล้ารุนแรงที่เธอขัดคำสั่ง แต่ก็หวั่นใจไม่ได้ เมื่อบ้านหลังใหญ่หลังนี้ มีแค่เธอกับคนใช้อีกสองคนเท่านั้น ที่สำคัญเธอไม่อยากให้เรื่องถึงหูพ่อแม่ ที่กำลังเดินทางเที่ยวรอบโลกอยู่ในขณะนี้ใบหน้าที่รอคอยอย่างมีความหวัง เจือแววผิดหวัง เมื่อผู้หญิงที่ตนเองตั้งหน้าตามหา ไม่ได้แสดงอาการดีใจแม้แต่น้อย“มานานแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าใบข้าวหนีผมมาจากห้อง...” น้ำเสียงเจือแววน้อยใจ มองหญิงสาวด้วยสายตาผิดหวัง “ร้ายนักนะ ผมแค่เผลอหลับไปหน่อยเดียวก็หนีผมทันที รอจังหวะอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ” น้ำเสียงขุ่นข้นตามอารมณ์ที่หลั่
“แม่ จะบ่นอะไรธัญอีกคะ”เธอโอดครวญ เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังนั่งกวักมือเรียกอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม โดยมีผู้เป็นพ่อนั่งอยู่ที่เดิม“อย่าบ่นอะไรธัญเลยนะคะ นี่ก็หาลูกสะใภ้เก่ง ๆ มาให้พ่อกับแม่แล้วไง” นั่งลงแล้วซุกใบหน้าลงบนไหล่ผู้เป็นแม่ “โอ๊ย แม่เจ็บ ๆ”ออดอ้อนได้ไม่ทันไรก็ต้องร้องเสียงหลง เมื่อนิ้วเรียวงามหนีบลงบนสีข้างแรงจนเธอสะดุ้งโหยง แต่ก็ไม่ได้คิดปัดป้องหรือเอี้ยวตัวหนีแต่อย่างใด“แม่นี่ปวดหัวกับลูกจริง ๆ เลยนะ คราก่อนแม่เตือน เรื่องหนูใบข้าว ไม่ทันไรก็เรื่องหนูเทียนอีก”“ตอนไหนแม่”“ก็ครั้งก่อนโน่นไง ที่แม่รู้มาว่าลูกกำลังหลอกให้หนูใบข้าวทำอะไร แล้วให้ความหวังอะไรกับเธอไว้ล่ะ แม่กลัวจะเป็นเรื่องจะแย่ แล้วนี่อะไร...เฮ้อ ไม่ไหวจริง ๆ เลย” คำพูดเท้าความทำให้ธัญกรคิดได้...งั้นโธ่...ไอ้เราก็เข้าใจว่าแม่เอ่ยถึงเรื่องที่จะจัดการกับคู่อริเสียอีก ดันมาเป็นห่วงเรื่องใบข้าวซะงั้น“แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องธัญกับใบข้าวหรอกค่ะ เธอมีคนอื่นมานานแล้ว ที่ยังไม่รู้ใจตัวเอง”คำพูดและสีหน้ายืนยันหนักแน่น ระหว่างเธอกับใบข้าวเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน“ให้มันจริงเถอะ แม่กลัวว่าเธอจะมาทลายความฝันให้ล้มไม่เป็นท่าเ
หลังจากที่ป้าจันเดินออกไปแล้วบรรยากาศในห้องโถงก็เงียบไป ด้วยความประหม่าด้วยกันหรือไรก็ไม่อาจทราบได้ และเมื่อบรรยากาศชวนอึดอัดมากขึ้น เจ้าของบ้านที่เพิ่งมาถึงจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น“ปิยะสบายดีอยู่ไหม” ธานินเอ่ยถามถึงเพื่อนรักลินดาเหลือบตามองชายร่วมหุ้นสามีเมื่อครั้งอดีต กึ่ง ๆ ละอายแก่ใจ ก่อนจะเอ่ยตอบไม่เต็มเสียงนัก“ก็...สบายดี” ตอบไปฝ่ามือก็ถูกันไปมาจนชื่นเหงื่อ“ผมขอโทษด้วยนะ ที่ลูกผมทำเรื่องยุ่งยากให้ เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้ถูกต้องโดยเฉพาะเรื่องหนูแสงเทียน”คำพูดจริงจังและหนักแน่นไหลเข้ามากระทบโสตประสาท ทำให้หลายคนในที่นั้นเงียบงันคำว่า เรื่องทุกอย่างสะดุดหู ก่อนจะค่อย ๆ หายใจไม่ออก เมื่อก้อนแข็ง ๆ อัดแน่นขึ้นมาจุกอยู่ในอก โดยเฉพาะลินดาหน้าซีดเผือด คิดไม่ถึงว่าคู่ผัวเมียจะยอมพูดแค่เรื่องที่กำลังเกิดขึ้น โดยไม่กล่าวถึงเรื่องในอดีตที่ครอบครัวนางได้ทำเอาไว้...น่าละอายใจจริง!“พ่อจะการเรื่องอะไรอีกคะ ก็ธัญจัดการไปหมดแล้ว” ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและจริงจังไหวระริก คาดหวัง หากพ่อจะตำหนิเรื่องที่เธอก่อขึ้นก็พร้อมยอมรับฟัง หากแต่ประโยคท้ายชัดเจนจนไม่ต้องค้นหาคำตอบอีกต