ผมชื่อโยธิน ผมมีคอนโดฯ หนึ่งห้องที่ได้มาจากการขายบ้านหลังเก่า หลังจากที่พ่อแม่ของผมพากันลาจากโลกนี้ไป ทิ้งผมไว้เพียงลำพังบนโลกที่โหดร้ายใบนี้ และตอนนี้ผมเองก็กำลังจะตายตามไป เพราะมีใครก็ไม่รู้มาบอกกับผมว่าเขาเป็นเจ้าของห้องนี้…!! “มะ เมื่อกี้คุณพูดว่ายังไงนะครับ!?” “ผมบอกว่า คุณต้องย้ายออกจากห้องนี้ภายในเดือนนี้ ได้ยินชัดเจนไหมครับ” “ย้ายออก! ทำไมผมต้องย้ายออกด้วย นี่มันห้องของผม ผมซื้อ ผมมีหลักฐาน” “ครับ เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ตอนนี้ห้องนี้ถูกขายให้ผมแล้ว”
View Moreวันศุกร์ สิบเอ็ดนาฬิกาเศษ
ก๊อก! ก๊อก!! ก๊อก!!! ก๊อก!!! ก๊อก!!! เสียงเคาะประตูดังถี่รัวมากขึ้นเรื่อยๆ มันดังแบบนี้มาพักหนึ่งแล้ว คนที่มาเคาะประตูนั้น เคาะราวกับว่ามีใครใกล้ตายแล้วอย่างนั้นแหละ มันรบกวนการนอนเน่านอนอืดของผมเอามากๆ ถึงแม้ว่าวันนี้มันจะเป็นวันศุกร์ เป็นวันที่ใครๆ หลายคนยังต้องออกไปทำงานกันอยู่ แต่ผมคนนี้ไม่ต้องไปทำงานเพราะว่าผม...ตกงาน ใช่แล้ว ผมตกงาน ถูกไล่ออกจากงานเมื่ออาทิตย์ก่อนเซ่นพิษเศรษฐกิจ แม้งานที่ผมทำจะเป็นเพียงตำแหน่งเล็กๆ ในออฟฟิศใหญ่ใจกลางอโศก แต่ผมก็เสียดายมันมาก เพราะมันเป็นท่อน้ำเลี้ยงเดียวในชีวิตผม ผมเกลียดโรคระบาดที่ใครต่อใครก็ต้องเผชิญกันทั่วโลก เกลียดเพราะว่ามันทำให้ผมต้องตกงาน ซ้ำร้าย...ก่อนหน้านั้นเพียงไม่นาน ผมดันจับได้ว่าแฟนแอบนอกใจ แถมมันยังเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของผมด้วยการพาชู้มาทำอะไรกันลับหลังผม ทำเรื่องทุเรศๆ ในห้องของผม บนเตียงนอนของผม ใช้ของของผมอย่างหน้าด้านๆ ทำเรื่องชั่วๆ กันในห้องที่ผมเรียกได้เต็มปากว่ามันคือบ้าน บ้านหลังเดียวในชีวิตที่ผมมี แล้ววันนั้นผมก็ตัดสินใจบอกเลิกไปในทันที มันเจ็บนะ เจ็บมากด้วย แต่ผมคิดว่ามันดีแล้วที่ผมตัดสินใจแบบนั้น เจ็บทีเดียว ดีกว่าเจ็บซ้ำๆ หลายๆ ที แล้วต้องทนอยู่เหมือนคนไร้ค่า ให้เขาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเล่นเหมือนของตาย ผมมุดหน้าเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนหนานุ่มอีกครั้งหลังจากที่เสียงเคาะประตูเงียบไป ทว่ามันกลับมาดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้มันไม่ได้ดังแบบการเคาะปกติ หรือเคาะรัวๆ ให้รำคาญหูแล้ว แต่มันดังเป็นจังหวะเพลงหนูมาลีแทน และมันก็ดังมากขึ้นเรื่อยๆ ตามมาด้วยเสียงตะโกนห้าวทุ้มของผู้ชาย… “นี่! ผมรู้นะว่ามีคนอยู่ข้างในน่ะ รีบๆ มาเปิดประตูซะ ก่อนที่ผมจะพังเข้าไป!!” อ่า...นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย! ผมจำต้องละทิ้งความตั้งใจที่ว่าจะทำเมินเฉย เพราะไม่อยากเจอหน้าใครในตอนนี้ เพียงแค่นี้ชีวิตของผมก็ยุ่งวุ่นวายและห่อเหี่ยวมากพอแล้ว ผมไม่พร้อมที่จะพูดคุยกับใครเลยจริงๆ อยากจะอยู่คนเดียวเงียบๆ สักพัก แล้วค่อยคิดหาทางไปต่อ แต่บอกตามตรงว่าเศรษฐกิจยุคนี้ ท่ามกลางโรคระบาดแบบนี้ ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงต่อไปดี จะไปหาสมัครงานใหม่ที่ไหนดี แล้วมันจะยังมีบริษัทไหนที่รับคนเพิ่มอยู่บ้าง เฮ้อ...แต่เท่าที่ดูข่าว มีแต่บริษัทที่ปิดตัวลงและบางที่ก็ปลดพนักงานออก นี่ยังดีนะที่ผมยังพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง และมีที่ซุกหัวนอนแบบที่ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเช่ารายเดือน “นี่! จะเปิดไม่เปิด ไม่มาเปิดกูจะพังเข้าไปแล้วนะโว้ย!!” อา...เขาดูเกรี้ยวกราดไม่เบา ว่าแต่ว่า…เท่าที่จำได้ ผมไม่ได้มีนัดอะไรกับใคร และไม่ได้นัดเพื่อนคนไหนมาบ้านนี่นา แต่ถึงอย่างนั้นก็คงต้องไปเปิดเพราะถ้าไม่เปิดประตู บ้านผมคงได้พังกันพอดี เท่าที่ฟังจากเสียงแล้วผมว่าเขาไม่น่าจะล้อเล่นนะ แกร๊ก! ผมยื่นมือไปปลดล็อกประตูแล้วเปิดแง้มออก ยืนสะลึมสะลือเพราะยังคงง่วงอยู่ เมื่อคืนดูซีรีส์ซอมบี้ญี่ปุ่นเกือบเช้าแน่ะ ตื่นนอนตอนนี้มันไม่ใช่เวลาอะ อย่างน้อยๆ ผมควรได้ตื่นบ่ายนะ แต่ว่าผมก็ต้องตื่นแหละ เพราะมีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้มาเคาะประตูห้องผมอยู่ได้ พอขยี้ตา แงะขี้ตาออกจากหัวตาแล้ว ผมก็ต้องกะพริบตาถี่ๆ เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้ สวมหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้าไปครึ่งหน้า ดูไม่คุ้นตาผมเลยสักนิด หรือว่าเขาจะมาเคาะผิดห้อง...? อ่า…ลืมไป ที่ใส่หน้ากากอนามัยเขาคงใส่กันเชื้อโรค มีแต่ผมที่อ้าปากหาวหวอดๆ อย่างที่ไม่เกรงกลัวว่าเชื้อโรคมันจะพุ่งมาเข้าปอด ผมเลิกคิ้ว จ้องมองเขาครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “มีอะไรหรือเปล่าครับ” แล้วเขาก็ขมวดคิ้ว มองผมที่สภาพดูไม่จืดตั้งแต่หัวจดเท้า มองด้วยสายตาดูแคลนปะปนไปกับความไม่พอใจ ซึ่งมันค่อนไปทางโกรธและโมโหเพราะสายตาของเขาน่ากลัว ผมที่อยู่ในชุดนอนหลวมๆ ตัวโคร่งได้แต่กะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจในสถานการณ์ อะไรคือการที่มาเคาะห้องคนอื่นรัวๆ ราวกับว่ามีเรื่องราวไม่ดีเกิดขึ้น แล้วมายืนทำหน้าทำตาเหมือนอยากจะฆ่ากันแบบนี้ล่ะครับ “เอ่อ...คุณมาผิดห้องหรือเปล่าครับ” ผมถามออกไปแบบนั้น เพราะคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ จากนั้นก็ยกมือปิดปากหาวหวอดๆ อีกครั้ง ทว่าเขากลับแค่นหัวเราะหึหึในลำคอ ยกมือขึ้นมากอดอก ยืนทอดน่องแล้วกวาดสายตามองผมอย่างเอาเรื่อง พร้อมกับคำถามที่ทำให้ผมงงมากกว่าเดิม “ทำไมคุณยังอยู่ที่นี่อีกล่ะ” “...???” อะไรทำให้เขาถามคำถามนี้กับผม ไม่อยู่นี่แล้วผมควรต้องไปอยู่ไหนอย่างนั้นเหรอ นี่มันบ้านของผมนะ!! เมื่อเห็นผมนิ่งๆ งงๆ เขาก็เลิกคิ้วขึ้นสูง แววตาดูหงุดหงิดขึ้นกว่าเดิม “คุณควรย้ายออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” คราวนี้ผมหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ถามกลับไปด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมผมต้องย้ายออกไปไหนด้วยล่ะ นี่มันบ้านผมน่ะคุณ” “เดี๋ยวก่อนนะ” เขาว่าแล้วมองผมอย่างครุ่นคิด “นี่คุณไม่เห็นป้ายที่ผมแปะไว้หน้าห้องเหรอ?” “ป้าย? ป้ายอะไรของคุณครับ แล้วทำไมต้องเอามาแปะไว้หน้าห้องผมด้วยล่ะ คุณกำลังพูดเรื่องอะไรของคุณเนี่ย ผมงงไปหมดแล้วนะ” ผมขึ้นเสียงถาม เพราะเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้วเหมือนกัน หงุดหงิดที่ต้องตื่นมาเจอเรื่องบ้าบออะไรก็ไม่รู้แต่เช้าเลยเนี่ย ถ้าเข้าใจผิดกัน ก็รีบๆ พูดมาจะได้เคลียร์ๆ มาแปะปงแปะป้ายอะไร ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด “ป้ายให้ย้ายออกไงคุณ ห้องนี้มันถูกขายให้ผมตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว” อะไรนะ!? ถูกขาย? อะไรคือถูกขาย แล้วใครขาย ผมงงจนต้องกะพริบตาปริบๆ รัวๆ สมองเริ่มรวน ลำคอผมเริ่มตีบตันขึ้นทุกที “มะ เมื่อกี้คุณพูดว่ายังไงนะ!?” เขาถอนหายใจใส่ผมเสียงดัง คงเพราะรำคาญ จากนั้นพูดช้าๆ ชัดๆ ให้ผมได้ฟังอีกครั้ง เพื่อตอกย้ำว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้ฟังอะไรผิดเพี้ยนไป “...ผมบอกว่า คุณต้องย้ายออกจากห้องนี้ ภายในเดือนนี้ ได้ยินชัดเจนไหมครับ” “ย้ายออก! ดะ เดี๋ยวก่อนนะ คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าครับ นี่มันห้องของผม แล้วผมก็ไม่ได้ไปทำสัญญาซื้อขายกับใครด้วย แล้วทำไมผมต้องย้ายออกแค่เพราะคุณบอกว่าผมต้องย้ายด้วย นี่มันห้องของผม ผมซื้อ! ผมมีหลักฐาน!!” “...ครับ เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ตอนนี้ห้องนี้ถูกขายให้ผมแล้ว” ผมงง ผมอึ้ง ผมสับสนไปหมดกับคำพูดของผู้ชายใส่แมสสีดำตรงหน้า เขาพูดมาอย่างจริงจังไร้แววล้อเล่น และผมก็คิดว่าเขาคงไม่ล้อเล่นแน่ๆ เพราะการแต่งตัวของเขาก็ดูดีภูมิฐาน ดูมีฐานะไม่เบา คงไม่เอาเรื่องแบบนี้มาล้อคนแปลกหน้าจนๆ อย่างผมเล่นหรอกใช่ไหม…? “…ดะ เดี๋ยวก่อนนะ ผมสับสนงงไปหมดแล้ว คุณบอกว่าคุณซื้อห้องนี้เหรอ?” “ใช่ ผมซื้อห้องนี้เมื่อเดือนก่อน แล้วก็ซื้อในราคาตลาดและถูกกฎหมายด้วย” คำตอบของเขาทำผมแข้งขาอ่อนแรง ไร้กำลังจนต้องพิงตัวกับกรอบประตูเอาไว้ เพื่อกันไม่ให้ตัวเองล้มลงไปกองกับพื้นให้ขายขี้หน้ามากไปกว่านี้ ทว่าผมก็ยังเข่าทรุดอยู่ดี “เฮ้ยคุณ!” แล้วเขาก็เข้ามาช่วยประคองผมไว้อย่างมีน้ำใจ ผมคว้าแขนเขา จับยึดแขนของเขาเอาไว้เป็นหลักพยุงตัว พลางละล่ำละลักถามออกไปอย่างลนลาน “ละ แล้วคุณซื้อกับใคร ใครขายให้คุณ ใครเป็นคนขายให้คุณเหรอครับ” คำถามของผมมันบ้ามาก แต่ผมมั่นใจมากว่าตัวเองเก็บเอกสารสำคัญต่างๆ ไว้ในเซฟเล็กๆ ที่เก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าเอาไว้เป็นอย่างดี มันไม่มีทางเลยที่มันจะไปอยู่ในมือของคนอื่นได้ เพราะมีแค่ผมกับแฟนเก่าของผมเท่านั้นที่รู้รหัสเซฟ หรือว่า... ผมเบิกตาโพลง น้ำตาของผมร่วงแหมะๆ ลงมาอาบแก้มทันทีที่ผมคิดได้ มันคงไม่ใช่อย่างที่ผมคิดหรอกใช่ไหม เขาคงไม่ใจร้ายทำแบบนี้กับผมได้ลงคอหรอกใช่ไหม เขาคงไม่เลวขนาดนั้นหรอก ผมคิดแบบนี้ถูกใช่หรือเปล่า ดวงตาของผมพร่ามัวเพราะม่านน้ำตา แต่ก็พอมองเห็นได้ว่าคนตรงหน้าของผมกำลังขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะใส่แมสสีดำปิดบังใบหน้าส่วนที่เหลืออยู่ แต่ผมเดาว่าสีหน้าของเขาเหมือนจะงงเล็กน้อย และดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจสถานการณ์ของผมแล้ว เข้าใจแล้วว่าผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยกับการขายบ้านของตัวเองเลย “ฮึก...ฮือออ!” “เอ่อ...คุณโอเคไหม? พอจะเดินไหวหรือเปล่า ผมเข้าไปข้างในได้ไหม?” ผมมองคนถามแล้วร้องไห้ออกมาเสียงดังกว่าเดิม พยักหน้าบอกเขาว่าผมโอเคกับให้เขาพยุงผมเข้ามาข้างในได้ จากนั้นเขาก็แทรกตัวเข้ามาข้างในโดยรั้งผมเข้ามาด้วย แล้วประตูห้องก็ปิดลง ชั่วอึดใจเดียวผมก็มานั่งร้องไห้อยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่นพ่วงตำแหน่งห้องรับรองแขกนานๆ ครั้งแล้ว โดยที่มีเขานั่งลงข้างๆ ห่างจากผมประมาณหนึ่ง “คะ คุณครับ คุณซื้อห้องของผมจริงๆ เหรอ?” ผมหันไปถามพลางเขย่าต้นขาของเขาแรงๆ นี่มันเหมือนความฝันเลย ไม่อยากยอมรับเลยว่ามันคือเรื่องจริง เพราะถ้าเป็นเรื่องจริงชีวิตผมก็คงไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ตกงานไม่พอ บ้านที่ใช้ซุกหัวนอนก็กำลังจะไม่มี ผมกำลังจะกลายเป็นคนเร่ร่อน ยิ่งคิดผมยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม ร้องจนไหล่สั่นตัวสั่น น้ำตาแตกพลั่กๆ ราวกับที่กั้นเขื่อนแตก แล้วน้ำทะลักออกมาจากเขื่อนท่วมพื้นที่ใกล้เคือง เพราะน้ำตานองเต็มสองแก้มผมไปหมด คนตรงหน้าผมเขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่หยิบเอกสารบางอย่างในซองสีน้ำตาลออกมา ยื่นมันให้ผมได้ดูเต็มสองตาที่พร่าเบลอแทนคำตอบ ผมใช้หลังมือเช็ดน้ำตาออกลวกๆ กวาดสายตาไล่อ่านข้อมูลในกระดาษสองสามแผ่นนั้น การซื้อขายถูกต้องทุกอย่าง แต่มันผิดที่ผมไม่ได้เป็นคนเซ็นลงนามอะไรทั้งนั้น และลายมือที่เซ็นชื่อก็ไม่ใช่ลายมือผม ถึงแม้ว่ามันจะคล้ายกันมากๆ จนคนอื่นอาจจะแยกแยะไม่ออก แต่เพราะว่าเป็นผม เพราะว่าผมเป็นเจ้าของลายมือตัวจริง ผมถึงได้ดูออกในทันทีว่ามันถูกปลอมแปลงขึ้นมา “ล้านห้า!?” ผมเบิกตาโพลง พลางตะโกนเสียงดังเพราะตกใจกับราคาขาย ห้องนี้ที่ผมเรียกมันว่าบ้าน ผมซื้อมาในราคาเกือบๆ สามล้าน ตกแต่งเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ตีราคาไปก็สามล้านนิดๆ แต่นี่ไอ้เวรตะไลนั่นมันขายห้องผมในราคาล้านห้า อย่างน้อยๆ มันก็ต้องได้สักสองล้านไหมล่ะ ห้องยังดีๆ อยู่เลยแถมทำเลที่ตั้งก็ถือว่าอยู่ในศูนย์กลางการค้า ผมอุตส่าห์ยอมตัดใจขายบ้านของพ่อแม่ เพราะไม่อยากอยู่ในห้วงเวลาเก่าๆ ที่ทรมานผมจากการคิดถึงพ่อกับแม่ เพื่อมาซื้อคอนโดฯ อยู่เพราะมีเพื่อนบ้านมากมาย ถึงแม้ว่าความเป็นจริงจะไม่ค่อยได้คุยกับใครเลยก็เถอะ แต่เพราะมันมีผู้คนหลากหลายอยู่รวมกัน ผมถึงไม่รู้สึกเหงาเหมือนตอนที่อยู่คนเดียวในบ้านที่ไม่มีใครให้กลับไปหาอีกแล้ว “ไอ้เหี้ยฟลุ๊ค!!!!” ผมตะคอกเสียงออกมาอย่างเหลือทน จนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมสะดุ้งตามไปด้วย เขาหันมามองผมด้วยแววตาประหลาดใจ ทว่าเพียงไม่กี่นาทีก็ปรับเป็นปกติเหมือนเดิม แววตานิ่งๆ เรียบๆ แต่เริ่มสับสนปะปนไปกับความไม่แน่ใจ “คุณซื้อห้องนี้ล้านห้าเองเหรอ? ทำไมราคาถูกแบบนี้ล่ะ แล้วเงินล่ะ โอนไปให้มันหมดหรือยังครับ” ที่ผมถามไม่ใช่ว่าผมอยากได้เงินหรอกนะ แต่เพราะว่าถ้ายังโอนให้ไม่หมด ก็หมายความว่าห้องนี้ยังไม่ถูกขายโดยสมบูรณ์ ผมอาจจะยังมีเวลาทวงคืนได้ แม้ว่ามันจะยากก็เหอะ “หลักฐานก็ครบซะขนาดนั้นแล้ว มันก็ต้องเรียบร้อยหมดแล้วสิคุณ ไม่งั้นผมจะมาเคาะห้องเรียกคุณทำไมล่ะ” ผมทำหน้าม่อยลง หมดหวังเพราะทางตัน “ละ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมยังอยู่ในห้อง…” “ก็คนที่ขายห้องนี้ให้ผม เขาบอกว่าเขาเป็นตัวแทนของคุณ และบอกว่าคุณขออยู่ต่ออีกสักพักเพื่อหาห้องใหม่ แต่ผมมาทีไรก็เห็นห้องล็อกจากข้างในตลอด ใบแจ้งที่แปะไว้ตรงประตูก็ไม่มี นึกว่าคุณดื้อด้านไม่ยอมไปเองซะอีก” “เขาบอกแบบนั้นคุณก็เชื่อ? แล้วคุณซื้อบ้านยังไงโดยที่ไม่ดูในห้องก่อน” ผมมองหน้าเขาด้วยความหงุดหงิด “แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่เชื่อล่ะ เขาเป็นถึงทนายนะคุณ แล้วที่คุณถามเมื่อกี้ ผมเคยมาดูห้องของคุณแล้ว ถ้าไม่ได้ดูห้องก่อน คุณคิดว่าผมจะกล้าเอาเงินล้านมาทิ้งหรือไง” อ่า…ก็ถูก อ่า...ไอ้เหี้ยฟลุ๊ค!!!! ไอ้เวรเอ้ย!!!!!!! “แล้วคุณพร้อมจะย้ายออกไปเมื่อไหร่ล่ะ ผมจะได้ให้ช่างเข้ามารีโนเวทห้องใหม่ซะที” “หา!? ย้าย? จะให้ผมย้ายไปอยู่ไหน ผมไม่มีที่ไปแล้ว ห้องนี้มันเป็นบ้านหลังเดียวที่ผมมีอยู่นะ” พูดมาน้ำตาผมก็รื้นขึ้นมาอีก แล้วก็หยดแหมะๆ ลงมาอีกแล้ว ผมได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ คงหนักใจแหละเพราะเสียเงินไปแล้วตั้งล้านกว่าบาท แถมผมยังมานั่งร้องไห้ฟูมฟายเป็นควายอยู่ตรงหน้าด้วย “ถึงอย่างนั้นก็เหอะ ยังไงคุณก็ต้องย้ายออกนะครับ” ผมส่ายหน้า วิงวอนเขาทางสีหน้าและสายตา ปากก็พร่ำพูด “ผมไม่มีที่ไป” “นั่นมันเป็นปัญหาของคุณนะครับ ไม่เกี่ยวกับผม” ผมบีบน้ำตาหนักกว่าเดิม สูดน้ำมูกจนแทบสำลัก “ตะ แต่ว่าผม...” “ผมให้เวลาคุณแค่ถึงพรุ่งนี้เย็นนะ” พูดจบเขาก็ทำท่าจะลุกขึ้นยืน ผมเลยรีบคว้ามือของเขาเอาไว้ “ผมตกงาน! ถ้าคุณเอาบ้านของผมไปอีก แล้วผมจะทำยังไงล่ะ ผมจะไปอยู่ที่ไหน คุณ…ผมของร้อง อย่าเอาบ้านของผมไปเลยนะ ฮืออออ” เขาก้มลงมามองผม คิ้วขมวดเข้าหากัน ผมเลยยิ่งบีบน้ำตาให้มากๆ ไม่ใช่ว่าผมเล่นละครนะ แต่ว่าผมอยากร้องไห้จริงๆ ทำไมไอ้ฟลุ๊คมันถึงได้ชั่ว ได้เลวขนาดนี้ รู้ทั้งรู้ว่าผมมีแค่ห้องนี้เท่านั้น มันยังทำแบบนั้นกับผมได้ลงคอ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง คุณลองไปคุยกับคนที่เอาบ้านคุณมาขายสิ” ผมส่ายหน้า “มันไปแล้ว ฮึก!” “เฮ้อ!” เขาถอนหายใจใส่ผมอีก ผมยิ่งร้อนใจ จะไปตามหาไอ้ฟลุ๊คก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ไหน จะไปแจ้งความดีไหมนะ แต่ตำรวจจะรับแจ้งหรือเปล่า หลักฐานอะไรผมก็ไม่มี มีแค่ลายเซ็นปลอมๆ มันจะเพียงพอใช้เป็นหลักฐานได้ไหม ตอนนี้ผมมืดแปดด้านไปหมด ผมเงยหน้ามองคนตรงหน้าแล้วเม้มปากเก็บเสียงสะอื้น ผมไม่รู้ว่า ถ้าหากว่าผมบอกเขาว่าอย่าเอาบ้านของผมไปเลย เขาจะรับฟังคำขอของผมไหม แต่ว่าเงินล้านห้าที่เขาเสียไปล่ะ เขาจะยอมเหรอ เงินล้านห้านะ ไม่ใช่ร้อยห้าสิบ ที่เขาจะได้ยอมทิ้งมันไปง่ายๆ “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ผมจะให้คุณอยู่ที่นี่ไปก่อน จนกว่าคุณจะหาทางไปได้ แต่ว่าระหว่างนี้ผมคงต้องให้คนเข้ามารีโนเวทห้องใหม่ทั้งหมดเพราะผมจะย้ายเข้ามาอยู่ ตอนที่ช่างเข้ามา คุณก็ออกไปอยู่ที่อื่นก่อนก็แล้วกัน” “หา!? แล้วจะให้ผมไปอยู่ไหน ผมก็บอกแล้วว่าไม่มีที่ไป” “คุณไม่มีเพื่อนเหรอ? ไปขออยู่กับเพื่อนก่อนก็ได้ ไม่แน่ตอนนั้นคุณอาจจะมีที่ให้ไปแล้วก็ได้นะ” “เพื่อนผมเขามีแฟน อยู่กับแฟน ผมไปอยู่ด้วยไม่ได้หรอก” “…พ่อแม่ล่ะ” “ตายหมดแล้ว” เขาเงียบไปชั่วครู่กับคำตอบของผม จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาอีก ระหว่างที่เราสองคนมองสบตากันในระดับใบหน้าที่แตกต่าง “ญาติพี่น้องของคุณล่ะ” “ไม่มีหรอก ผมไม่ได้ติดต่อพวกเขานานแล้ว ป่านนี้คงคิดว่าผมตายไปแล้วมั้ง” แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาอีกรอบ “คุณนี่มันตัวปัญหาจริงๆ” ผมขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจที่โดนด่าว่าเป็นตัวปัญหา แต่ก็พอจะเข้าใจว่าตัวเองกำลังสร้างปัญหา ถึงแม้ว่าผมจะไม่อยากเป็นปัญหาให้ใครก็ตาม แต่เพราะว่ามันมีคนสร้างปัญหาให้ผมก่อน ผมก็เลยต้องทำตัวเป็นปัญหาใส่คนอื่นต่อ เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ลำบากไปมากกว่านี้ในวันที่ฝนตกพรำๆ ในวันที่ตื่นมาในตอนเช้าแล้วพบว่าสายฝนกำลังกระหน่ำเทลงมาอย่างหนักหน่วงแบบนี้ สำหรับคนส่วนมากแล้ว ถ้าต้องออกไปทำงานมันคงเป็นอะไรที่แย่สุดๆ เพราะไหนจะสภาพอากาศที่ชื้นขึ้นจนอบอ้าว ไหนจะเสี่ยงต่อการโดนฝนแล้วเจ็บป่วยอีกแต่…แต่สำหรับผมแล้ว ผมไม่ห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ เพราะเรื่องที่ผมห่วงตอนนี้มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือตอนไหน? เมื่อไหร่!? ผมถึงจะได้ลุกไปอาบน้ำล้างตัว ล้างคราบคาวกามออกไปจากตัวสักที!!ไอ้บ้าเอ้ย…นี่จะล่อผมจนตายคาเตียงจริงๆ ใช่ไหม ก็แค่ไม่เรียกที่รักคะ ที่รักขา ตอนคร่อมขี่กันเนี่ย กะจะเอาจนผมตาเหลือกคางเหลืองตายเลยหรือไง ฮือออออ กูอยากจะบ้าตายรายวันจริงๆ ทำไมถึงได้เอาแต่ใจตัวเองและมีกำลังหื่นกามได้ถึงขนาดนี้“อ๊ะ อือ พะ พอแล้ว ฮื้อออ พอก่อน ผมจะตายแล้ว” ผมอ้อนวอนครวญครางออกมาด้วยเสียงอันผะแผ่ว เพื่อร้องขอให้อีกฝ่ายไว้ชีวิต ถ้าหากเขายังทำต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ ผมต้องตายแน่“อืม…อะไรกันคุณโย ทำไมคุณถึงร่างกายอ่อนแอแบบนี้ล่ะ หืม?”“อ๊า! บะ เบาๆ หน่อย แล้วผมก็ไม่ได้อ่อนแอ คุณต่างหากที่ไม่…ไม่รู้จักพอ อื้อ! นี่มัน…รอบที่เท่าไหร่แล้ว เจลหล่อลื่น…หมดไปกี่ขวด…แล้
แขกที่ไม่ได้เชิญเย็นวันนี้บ้านผมจะมีแขกล่ะ ซึ่งมันเป็นแขกที่จู่ๆ ตัวมันก็อัญเชิญตัวเองมาเป็นแขก โดยที่ผมเองก็เพิ่งทราบเหมือนกันว่า เย็นนี้ผมกับคุณกฤษณ์จะมีแขกมาร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วย จากที่คิดว่าจะสั่งอาหารเมนูง่ายๆ มากินกันสองคนแบบผัวๆ เมียๆ นั่งดูซีรีส์ คุยหยอกเอินกันเรื่อยเปื่อย แล้วก็จบลงที่เราทั้งคู่เปลือยเปล่าล่อนจ้อน แต่ผมกลับต้องมาทำเมนูตามสิ่งที่แขกที่ไม่ได้เชิญมาบอกซะอย่างนั้นมันบอกว่าอยากกินอาหารอิตาเลียน ฉิบหาย! กูคงทำเป็นมั้ง เชฟมือทองเลยมั้งกูอะ แค่อาหารไทยบางอย่างที่ง่ายๆ ผมยังทำไม่ค่อยจะอร่อยเลยครับ ส่วนคนที่บอกว่าอร่อยนั่นน่ะ เขามันคงลิ้นจระเข้แล้ว อย่างเช่น…สามีสุดหล่อของผมเอง ที่พอผมทำอะไรให้กินก็บอกว่าอร่อยอย่างนั้น อร่อยอย่างนี้ แต่ผมว่านะ อีกหน่อยแก่ตัวไป ไม่ได้ตัดขาก็ได้ไปนอนฟอกไตอยู่เตียงข้างๆ กันอะ คิกคิก ถึงแม้ว่าตอนที่ได้อ่านสาส์นจากเพื่อนรัก แล้วอยากพิมพ์ด่ากลับไปมากๆ แต่ด้วยความที่ผมเองก็เป็นคนมีมโนธรรมอยู่บ้างคนหนึ่ง เพราะงั้น…จะเห็นแก่คุณงามความดีของมัน ที่มันคอยช่วยซัพพอร์ต คอยให้การช่วยเหลือคุณกฤษณ์ ในการซุ่มจัดเตรียมงานแต่งงานของเ
ฝึกเอาใจใส่สามีนี่ก็ผ่านวันแต่งงานมาแล้วเกือบหนึ่งอาทิตย์ ผมกับคุณกฤษณ์พักกันอยู่ที่เรือนเล็กทรงไทยทันสมัย ให้ความรู้สึกเหมือนมาพักที่รีสอร์ทมากกว่าพักอยู่บ้านซะอีก เรือนเล็กหลังนี้ตั้งอยู่ภายในอาณาเขตรั้วของคฤหาสน์หลังใหญ่ของหม่อมแม่คุณกฤษณ์ เดิมทีผมเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่ค้างที่นี่หรอก เพราะว่ามันให้ความรู้สึกแปลกๆ มันไม่คุ้นชินที่ต้องมาอยู่ในบ้านหลังใหญ่อย่างนี้ แต่ว่าผมก็ไม่อยากหักหน้าผู้ใหญ่ท่าน ในเมื่อท่านแสดงความเมตตาต่อผม ผมที่เป็นเด็กกว่า แถมยังหลงรักลูกชายท่านหัวปักหัวปำขนาดนี้จะกล้าขัดได้อย่างไรผู้ใหญ่ว่ายังไง ผมก็ว่าแบบนั้น เพราะที่ผ่านมาก็ถือว่าท่านเมตตาเด็กที่ไม่มีอะไรติดตัวอย่างผมมากๆ แล้ว ที่ยอมให้เด็กตัวคนเดียวแถมยังจนอีกอย่างผม คบหาและแต่งงานกับลูกชายเพียงคนเดียวของท่าน แทนที่จะได้แต่งงานมีลูกหลานไว้สืบสกุล แถมวันงานท่านยังเดินยิ้มแย้ม เชิดหน้าชูตา ไม่สน ไม่แคร์ว่าจะมีกลุ่มคนที่ได้รับเชิญมาเป็นแขกในงานมงคล จะแอบซุบซิบนินทา ว่าร้ายอะไรให้ระคายหูบ้าง ที่ลูกชายเพียงคนเดียวของท่านแต่งงานกับผู้ชายด้วยกันเอง แถมผู้ชายคนนั้นยังเป็นแค่คนธรรมดาๆ อีกด้วยวันนั้น หลังจากที่พิ
วันนี้ผมนัดเจอกับฟูจิที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ ที่ทำงานของฟูจิ เพื่อที่จะเอาของฝากที่ซื้อมาให้มันกับพี่แดนไทย คุณกฤษณ์แวะมาส่งผมที่หน้าห้างก่อนที่เขาจะเลยไปทำธุระส่วนตัวต่อร้านกาแฟชื่อดังภายในห้างสรรพสินค้า คือสถานที่นัดพบของผมกับเพื่อนเลิฟที่มีอยู่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ คือพอดีว่าผมเน้นเพื่อนที่คุณภาพไม่ได้เน้นปริมาณ เพราะงั้นก็เลยมีเพื่อนเพียงคนเดียวที่สนิทกันจริงๆ น่ะผมเข้ามารอในร้านและสั่งเครื่องดื่มมานั่งรอ เนื่องจากอากาศข้างนอกค่อนข้างร้อนจัดจนแทบเดือด นั่งจิบกาแฟที่สั่งมาได้ไม่นาน เพื่อนรักของผมก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยสภาพที่เรียกว่าตัวแทบเปื่อยจนแทบจะเหลวเป็นน้ำได้ “จิ ทางนี้” ผมเรียกเบาๆ พลางโบกมือไปมา ส่งยิ้มทักทายให้ด้วยความดีใจที่ได้เจอหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานพอสมควร“โทษทีวะมึง รถแม่งโคตรติด ข้างนอกร้อนฉิบหายเลย” มาถึงฟูจิมันบ่นๆ พลางกระพือเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนระบายความร้อน พร้อมกับนั่งลงฝั่งตรงข้ามผมก่อนที่มันจะโบกลมใส่หน้าตัวเอง ด้วยท่าทางมีจริตจะกร้าน เห็นแล้วชวนให้น่าหมั่นไส้มากกกก“เออๆ ไม่เป็นไร กูต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ ที่นัดมึงตอนเวลาพักเที่ยงแบบนี้ จะกินน้ำอะไรด
แสงแดดยามเช้า สาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกบานใสเข้ามาในห้อง แสงตกกระทบลงบนใบหน้าของผมที่นอนฝั่งใกล้หน้าต่างเข้าพอดี ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมารับแสงอรุณของเช้าวันใหม่ ไกลถึงประเทศสิงคโปร์ หันมองข้างตัวก็เจอความว่างเปล่าอีกแล้ว แต่หูก็ได้ยินเสียงน้ำไหลจากฝักบัวในห้องน้ำ ก็เลยรู้ว่าคุณกฤษณ์กำลังอาบน้ำอยู่ ผมลุกขึ้นมานั่งเอามือยีหัวตัวเองเล็กน้อยเพื่อเรียกพลัง บิดแขนเอี้ยวตัวไปมาอีกนิดหน่อย อืม...ผมว่าผมหายเป็นปกติแล้วล่ะ ไม่ปวดเมื่อยตัว ไม่มึนหัว ไม่ง่วงนอนเหมือนเมื่อวานนี้แล้ว และพอจะก้าวขาลงจากเตียงคนที่อยู่ในห้องน้ำก็เดินออกมาพอดี ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขายังมีหยดน้ำเกาะอยู่เล็กน้อย ดูบนแผงอกกว้างกำยำนั่นสิ มีหยดน้ำเม็ดเล็กๆ เกาะพราวอยู่ด้วย แล้วตรงหัวนมสีน้ำตาลเข้มของเขามันก็ตั้งชันสู้อากาศเย็นฉ่ำภายในห้องด้วย มันช่างท้าทายผมซะเหลือเกิน…ฮึ่ม!! อึก! ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากอึกใหญ่ เลื่อนสายตาจากแผงอกและหัวนมของเขาลงไปที่หน้าท้องซึ่งมีกล้ามสวยเป็นลอนงามๆ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ปมผ้าขนหนูสีขาวผืนหนาที่พันอยู่รอบเอวสอบที่ผมชอบกอด ชอบเอาขาเกาะเกี่ยวด้วยใบหน้าเห่อร้อนอา...เซ็กซี่เป็น
เกือบหนึ่งทุ่มผมกับคุณกฤษณ์ถึงได้พากันออกจากบ้าน รถติดตลอดทาง ซึ่งกว่าจะไปถึงร้านพี่ย้งที่อยู่อารีย์ก็เรียกว่าไปสายมากพอสมควร ตอนที่อยู่ในรถไอ้ฟูจิก็ไลน์มาเร่งผมยิกๆ ไม่รู้จะรีบอะไรนักหนา กลัวเหล้าที่ร้านพี่ย้งหมดร้านหรือว่ากลัวร้านพี่ย้งจะหายไปในอากาศหรือยังไงก็ไม่รู้และเพียงก้าวเท้าเข้าไปข้างในร้าน นอกจากลูกค้าที่มาใช้บริการกันอย่างหนาแน่นตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว ผมยังปะหน้ากับพี่ย้งที่ในมือถือแก้วเหล้าเป็นปกติของแกเข้าพอดี ผมคาดเดาว่าคงเป็นลูกค้าสาวๆ กลุ่มนั้นนั่นแหละ ที่จัดการแบ่งปันเครื่องดื่มที่พวกตัวเองเป็นจ่ายเงินให้กับเจ้าของร้านได้เมาเกือบหัวราน้ำตั้งแต่หัวค่ำ“โอ้โห ไอ้คุณโยครับ กว่าจะโผล่หัวมาให้พี่ให้เชื้อเจอตัวได้นะ กูนึกว่าดาราดัง!” พี่ย้งเอ่ยแกมประชด แซวผมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนเบนสายตาไปยังคนที่ยืนอยู่ข้างหลังผมซึ่งก็คือคุณกฤษณ์ จากนั้นก็ดึงสายตากลับมาที่ผมพลางเบ้ปากหน่อยๆ หนวดที่ขึ้นหรอมแหรมอยู่เหนือริมฝีปากบนนี่กระดิกยิกๆ เลย ราวกับว่าความอยากเสือกและความช่างกระแนะกระแหน มันพุ่งพล่านอยู่ในกระแสเลือดแข่งกับแอลกอฮอล์ที่แกดื่มอยู่ทุกคืน“พี่ย้ง สวัสดีครับ” ผมรีบเ
หลังกลับมาจากนครนายก นี่ก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ทุกคนก็อยู่กันอย่างสงบสุขจนน่าหวั่นเกรงหน่อยๆ เส้นทางมันราบรื่นมากเกินไปจนน่ากลัว ทางบ้านของคุณกฤษณ์ก็ไม่มีการโทรมาตามผมไปต่อว่าต่อขาน ไม่มีการเรียกตัวคุณกฤษณ์ไปพบ ไม่มีการสร้างเรื่องราวมาให้ชวนปวดใจและปวดหัวเหมือนในละครหลังข่าวแต่ว่าวันนี้มันก็มีข่าวหนึ่งที่ผมเห็นผ่านตาจากโซเชียลแล้วมันก็ทำให้ผมตกใจมากเช่นกัน ตกใจจนตาค้างเลยล่ะครับระหว่างที่ผมกำลังไถเฟซบุ๊กเล่นอยู่นั้น หน้าฟีดจากสำนักข่าวซุบซิบเซเลปคนดังก็ขึ้นข่าวของคุณริตา ผมจำเธอได้เพราะรูปเธอขึ้นเด่นหราขณะที่กำลังก้าวขาขึ้นรถคันหรูไปกับผู้ชายหนึ่งคน หัวข้อข่าวเขียนว่าทั้งคู่กำลังจะจัดงานแต่งงานกันเร็วๆ นี้ และฝ่ายชายก็เป็นถึงทายาทเศรษฐีนักธุรกิจในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์“เชี่ย!” ผมรีบถือโทรศัพท์วิ่งไปยังห้องทำงานของคุณกฤษณ์ทันที ไม่สนใจเรื่องมารยาทที่ว่าต้องเคาะประตูก่อน ผมถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป คนในห้องก็เงยหน้าขึ้นมามองอย่างงุนงง “มีอะไรหรือเปล่าครับคุณโย หน้าตาตื่นมาเชียว” คุณกฤษณ์ถาม พลางวางปากกาที่อยู่ในมือลงบนสมุดตรวจงาน พลางมองมาที่ผมด้วยสีหน้าใคร่รู้“คุณ คุณเห
“คุยอะไรกับพี่หญิงครับคุณโย” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมกับร่างกายสูงใหญ่นั่งลงข้างๆ ผม ผมมองเขาแวบหนึ่งแล้วเหลือบมองไปยังผู้หญิงอีกคนที่ยืนทำหน้าสวยอยู่ข้างๆ เจ้าของคำถาม ก่อนที่จะตอบคำถามของเขาด้วยเสียงเรียบเรื่อย “คุยเรื่องทั่วไปๆ แหละครับ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ” และถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะแสดงสีหน้าปกติ แต่ว่าภายในใจของผมก็นึกอยากจะถามเขากลับไปอยู่เหมือนกัน ว่าเขาหายหัวไปไหนมาตั้งนานสองนาน ทำไมไม่ตามผมออกมาตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าผมหนีมาจากดงผู้ดีนั้นแล้ว แต่มาคิดๆ ดูอีกทีให้มันดีๆ แล้ว หากว่าเขาทำแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ผมคงจะดูเป็นคนที่แย่มากในสายตาของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะหม่อมแม่ของเขา แล้วเสียงหวานๆ ของผู้หญิงอีกคนก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะการพูดคุย การมองตาของผมกับคนข้างๆ เหมือนว่าเธอตั้งใจที่จะแทรกเข้ามาระหว่างเราสองคนอยู่แล้ว“น้ำเย็นมากไหมคะคุณโย ริตากลัวหนาวจังเลยค่ะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อยอ่า...แต่ว่าดูจากชุดที่คุณริตาเธอใส่มาแล้ว ไม่น่าถามคำถามนี้ออกมาเลยนะครับ ดูคุณริตาเธอก็เตรียมตัวมาเล่นน้ำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เสื้อสายเดี่ยวสีหวานๆ รัดๆ ขับเน้นหน้าอกหน้าใจให้เห็นกันจะๆ แบบไม่ปิดบังสายตา
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่วันความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณกฤษณ์ก็ยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่น มันราบรื่นดีจนน่าตกใจเลยล่ะครับ วันจันทร์ถึงวันศุกร์เขาก็ออกไปทำงาน ไปสอนหนังสือ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ขลุกอยู่กับผมทั้งวันทั้งคืนโดยที่ไม่มีใครมากวนใจ เราสองคนยังคงมีค่ำคืนที่เร่าร้อนด้วยกันอยู่ทุกค่ำทุกคืน แล้วก็มีบ่อยครั้งที่ผมถามว่าเขาออกไปว่า ‘เคยคิดที่จะเบื่อเซ็กส์ของผมบ้างไหม?’ คำตอบที่ได้ก็คือผมโดนจัดหนักจัดเต็มจนร่างแทบร่วงเป็นมะม่วงถูกสอยลงมาจากต้น แล้วจากนั้นเป็นต้นมาผมก็เลิกถาม เพราะว่าผมต่อกรกับคนหื่นกามอย่างคุณกฤษณ์ไม่ไหวจริงๆ “คุณโย พรุ่งนี้พี่หญิงชวนไปปิกนิก คุณโยคิดว่าไงครับ อยากไปไหม?” คำถามจากคนที่นั่งทานข้าวเย็นด้วยกันกับผมซึ่งเขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทำให้ผมเบิกตาโตเล็กน้อย รีบเคี้ยวข้าวในปากให้หมดก่อนถามออกไป “ปิกนิกเหรอครับ?”เขาพยักหน้ารับ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ใช่ครับ ไปน้ำตกที่นครนายก ครอบครัวของผมเรามีบ้านพักอยู่ที่นั่นด้วย” พูดมาแบบนี้คงไม่คิดที่จะไปค้างคืนหรอกใช่ไหม?“พี่หญิงชวนค้างที่นั่น คงต้องค้างสักคืน” นั่นไง กูว่าแล้วเชียว“ต้องค้างด้วยเหรอครับ” ผมกะพริบตาป
Comments