ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกล เขาพาผมมาที่นี่หลังจากที่เราตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ผมจึงมุ่งหน้าไปยังแผนกที่ต้องการ ทันทีที่เดินเข้ามาในโซนขายสินค้าพวกเครื่องนอน เลือกอยู่นานสองนาน สุดท้ายแล้วผมก็ได้ชุดเครื่องนอนที่มีทุกอย่างครบจบในเซ็ทเดียวมาหนึ่งชุด นั่นก็คือผ้าปู ปลอกหมอนและผ้าห่ม ส่วนหมอนไม่ต้องห่วงหรอกมันอยู่ใกล้ๆ กันนี่เอง ถึงแม้ว่าราคาของมันจะค่อนข้างแพงอยู่สักหน่อย แต่ยังไงผมก็คงต้องซื้อ เพราะถ้าไม่มีผ้าปู ผ้าห่มกับหมอนใบใหม่ ผมก็ไม่รู้ว่าคืนนี้จะนอนหลับลงไหม?แต่จังหวะที่ผมจะหยิบเงินออกมาจ่ายกับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ ก็มีคนชิงตัดหน้าจ่ายไปซะก่อน ผมหันไปมองเจ้านายคนใหม่ซึ่งยืนกอดอกนิ่งๆ อยู่ข้างๆ แล้วก็ได้แต่เม้มปาก คนบ้าอะไรเนี่ย ทั้งหล่อทั้งใจดี ขนาดใส่แมสสีดำปิดหน้าดูเป็นบุคคลลึกลับ ทว่าเขาก็ยังหล่อทะลุแมสออกมาได้อยู่ดี ผมได้แต่อมยิ้มภายใต้หน้ากากป้องกันเชื้อโรคสีเดียวกันกับเขา เหมือนคนบ้าที่คลั่ง…รัก!“อะแฮ่ม!” แล้วเขาก็กระแอมออกมา ในขณะที่ผมยังคงจ้องเขาอยู่ไม่วางตาแบบนั้น จนเขาก้มหน้าลงมาใกล้ๆ นี่แหละ ผมถึงได้เบิกตากว้าง “จ้องขนาดนี้ จับผมกลืนลงท้องไปเลยไหมครับ
โอ๊ย! สายแล้ว!!แค่วันแรกผมก็ตื่นสายซะแล้ว เมื่อคืนผมดูซีรีส์เพลินไปหน่อย ก็ดูต่อจากเรื่องที่ดูค้างไว้เมื่อวานนั่นแหละ ซึ่งผมมัวไปทำอย่างอื่นก่อน หลังจากตัวเปื้อนผมก็ออกไปอาบน้ำใส่เสื้อผ้าเสร็จ จากนั้นก็กลับมานอนดูต่อเพราะคงออกไปข้างนอกไม่ได้แล้ว และพอเรื่องนั้นมันจบผมก็ดูเรื่องใหม่ อารมณ์ประมาณว่าดูเน็ตฟลิกซ์อยู่บ้านตัวเองอะ ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ที่ไหนแล้วมาอยู่ทำไม เพราะอะไรถึงต้องมาอาศัยอยู่บ้านคนอื่นเขาแบบนี้ตอนที่ลืมตาขึ้นมาผมก็เบิกตาโพลง ไม่มีเวลาให้ตั้งสติด้วยซ้ำ ตื่นแล้วก็รีบลงจากเตียงวิ่งออกไปอาบน้ำ จากนั้นก็วิ่งกลับมาแต่งตัวเพื่อออกมาทำงานบ้าน ผมค่อยๆ ย่องออกมาที่ห้องรับแขกเพราะกลัวว่าจะมารบกวนอะไรใครเข้า แต่พอออกมาก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว พอมองไปรอบๆ มองไปที่โซฟา...มันก็แปลกๆ “ทำไมเรียบร้อยแบบนี้ล่ะ” ผมมองนิ่งๆ พลางใช้ความคิด มันจะเป็นไปได้เหรอที่โซฟาจะไม่มีรอยเปื้อนของคราบใดๆ เลย แถมถุงยางกับซองถุงยางก็ไม่มีบนพื้นเลยสักชิ้น หรือแม้แต่ในถังขยะเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ก็ไม่มี “เอ๊ะ หรือว่าเขาจะเสียบกันสดๆ เลย” ผมเอามือลูบแขนเพราะรู้สึกขนลุก จังหวะการหายใจก็ผิด
เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเปราะบางมากกกกก ไม่ใช่ในทางด้านร่างกายหรอกนะแต่เป็นทางด้านจิตใจของผมต่างหาก ก็คุณเจ้านายคนใหม่ของผมนี่สิ ไม่รู้ว่าตั้งใจอ่อยกันหรือว่ามันยังไงกันแน่ ทำไมเขาถึงชอบอาบน้ำเวลาที่ผมขึ้นทำเก็บกวาดห้องให้เขานัก แล้วชอบเดินออกมาทั้งที่ตัวเปียกๆ มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันอยู่รอบเอวที่น่าโอบกอดนั่น กล้ามเนื้อน่าขยำ น่าลูบ น่าคลำ น่าซบไซ้ แต่หยุดก่อน...ผมก็ไม่ได้อยากจะมองนักหรอก แต่จะให้ทำยังไงได้อะก็ตาของผมมันเหลือบไปมองเอง ผมพยายามห้ามตาตัวเองแล้ว แต่ว่าหัวใจกับสมองของผมนี่สิมันไม่เชื่อฟังผมเลย ดีหน่อยที่วันนี้เขาออกไปทำงาน ผมเลยไม่ต้องทนหายใจลำบากเพราะเขาคอยจะยั่ว (?) อารมณ์ผมอยู่บ่อยๆ เรื่องยั่วไม่ใช่ว่าผมคิดเอาเองเหมือนที่ผ่านๆ มาแล้วนะ ผมว่าเขาตั้งใจยั่วตั้งใจอ่อยผมจริงๆ นั่นแหละ อย่างเช่นเมื่อวานตอนเย็นเขาชวนผมออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของสดมาไว้ เผื่อว่าผมจะทำกับข้าวกับปลาให้เขากินไม่ต้องกดแอปสั่งฟู้ดมาส่งบ่อยๆ เอาจริงเรื่องทำกับข้าวผมก็พอทำได้แหละ แต่ก็ไม่ได้อร่อยเว่อร์วังขนาดนั้น อย่างที่บอกว่าผมอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่ที่พ่อ
นัทขอตัวกลับไปหาเพื่อนที่โต๊ะหลังจากได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ยกเว้นตัวผมน่ะนะ ผมเลยได้มีจังหวะนั่งคิดและสงสัยอะไรบางอย่างกับตัวเองเงียบๆ สงสัยที่บังเอิญได้เจอเจ้าของบ้านที่นี่ในเวลานี้ สายตาก็สบประสานกับคนที่นั่งอยู่ห่างไปประมาณสองโต๊ะ มันไม่ได้ไกลแต่ก็ไม่ใกล้ เรามองตากันเงียบๆ อยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ก็แน่สิ จะให้พูดอะไรได้ล่ะก็ในเมื่อพูดไปก็ไม่ได้ยินเสียงกันและกันอยู่ดี นอกจากว่าจะตะโกนคุยกันแข่งกับเพลงแววตาของพี่เจ เจตรินอะ“อีโยมองห่าอะไรอยู่ มาชนแก้วเร็วๆ เข้า รีบกินรีบเมา ร้านจะปิดแล้วเนี่ย” แล้วก็เป็นฟูจิที่ใช้เสียงยานคางนิดๆ สะกิดผมให้ออกจากภวังค์ความคิด ตอนนี้เราอยู่กันสองคนเพราะว่าพี่แดนไทยไปเข้าห้องน้ำผมละสายตาจากคุณกฤษณ์เพื่อหันมาให้ความสนใจกับเพื่อนตัวเอง แล้วก็ได้เห็นว่ามันเองก็มองมาที่ผมด้วยสายตาเยิ้มๆ ปะปนไปกับมีคำถามอยู่ในนั้น แต่ว่ามันก็ไม่ถามออกมา ไอ้ฟูจิหันขวับไปตามสายตาของผมที่เมื่อกี้เผลอมองไปยังโต๊ะของเจ้านายคนใหม่นานพอสมควร แล้วทางนั้นก็มองมาแบบไม่หลบอีกต่างหาก“มึงรู้จักเขาเหรอ?” ฟูจิหันมาถามอย่างใคร่รู้ พูดง่ายๆ ก็คืออยากเสือกมากนั่นแหละ“
ปวดหัว...!!!เพียงแค่ลืมตาขึ้นมาผมก็ต้องหลับตาลงอีกครั้ง ข้างในหัวมันเต้นตุบๆ คล้ายๆ ว่ามันกำลังจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อคืนผมเมาหนักมากขนาดนั้นเลยเหรอวะ แต่ก็จำได้ว่าดื่มไปมากอยู่เหมือนกันนะ แล้วก็จำได้ว่าถูกไอ้เพื่อนรักมันทิ้งไว้ที่ร้านกับนายจ้างผู้หล่อเหลาของผม เฮ้อ...สรุปแล้วคือเมื่อคืนเขาคงพาผมกลับบ้านสินะ แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้วครับเนี่ย ผมคิดว่าผมควรลุกไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้รีบไปทำงานบ้านให้เสร็จ แต่เพียงแค่ขยับตัวผมก็ต้องร้องโอดครวญออกมา “โอยยย หัวกูกำลังจะแตก” ผมเอามือกุมขมับทั้งสองข้างขณะที่พยุงตัวลุกขึ้นนั่ง หลับตาลงพลางถอนหายใจออกมาเพื่อเรียกสติสตังของตัวเองให้คงที่ แต่มันไม่ง่ายเลยเพราะแค่เพียงลุกขึ้นนั่งผมก็รู้สึกเวียนหัวแล้ว ลืมตาขึ้นมาก็เหมือนๆ ว่าบ้านจะหมุนด้วยเนี่ย แต่เดี๋ยวก่อนนะ? นี่มันไม่ใช่ห้องพักของผมนี่หว่าผมกะพริบตาถี่ๆ พร้อมๆ กับมองไปรอบๆ ห้อง ห้องนี้มัน...คุ้นๆ เตียงนี้มัน...ก็คุ้น แล้ว…แล้วคนที่นอนหันหลังให้อยู่ข้างๆ ผมโดยไม่ใส่เสื้อนี่มัน...ก็คุ้น “เฮ้ย!!!” ผมร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกับผมวะเนี่ย แล้วก็ไม่ต้อ
ผมติดอยู่กับความรู้สึกอึดอัดที่ยากอธิบายมาหลายวัน แต่ทุกวันที่ผ่านมาก็ยังต้องทำตัวเองให้ปกติเหมือนเดิม เหมือนก่อนหน้าที่ผมกับเขายังไม่ได้แนบเนื้อกัน แต่มันก็ทำยากอะ ก็คนมันเคยๆ กันไปแล้วปะ จะให้ทำตัวเหมือนเดิมมันก็ยากอยู่นะ ผมยังคงทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี เป็นเมดที่ดี ทำงานให้คุ้มกับค่าจ้างที่เขาให้ และพยายามไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของนายจ้าง ไม่ว่าเขาจะพาใครต่อใครกลับมาด้วยก็ตามแต่บางครั้งบางทีผมก็สงสัยนะสงสัยว่าเขาต้องเป็นคนที่คงจะชอบกินเด็กนักศึกษาหนุ่มๆ เอ๊าะๆ มากแน่ๆ เพราะแต่ละครั้งแต่ละทีที่เขาพากลับมาด้วยนั้น มันก็ไม่พ้นพวกเด็กนักศึกษาหาค่าเทอม ที่ผมคิดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าผมบูลลี่ใครนะ เพียงแค่มันคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ เพราะแต่ละคนที่มาก็ไม่เคยที่จะซ้ำหน้ากันเลยสักหน“หงุดหงิดอะไรอีโย ดูทำหน้าเข้าสิ ทำหน้าอย่างกับว่ามึงจะกินหัวใครอย่างนั้นแหละ” ฟูจิค้ำคางอยู่ฝั่งตรงข้าม เอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ ก่อนคีบชาบูในหม้อร้อนๆ ขึ้นมาเป่าแล้วส่งเข้าปาก เคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อยซึ่งต่างจากผมที่เป็นฝ่ายชวนแต่กลับไม่อยากอาหารเท่าที่ควรวันนี้เป็นวันหยุดของฟูจิ ผมเลยชวนมันออกม
ผมยืนเอามือกุมแก้ม หลังจากที่พาตัวเองเข้ามาหลบภัยความเขินในห้องพัก วางกระเป๋าลงบนเตียง ยืนสูดหายใจพักใหญ่ให้จิตใจสงบเลิกฟุ้งซ่าน แต่ยังไม่ทันจะได้รูดซิบเปิดกระเป๋า เพื่อรื้อของออกมาจัดวางให้เข้าที่ โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าด้านหลังของกางเกงก็ส่งเสียงร้อง พร้อมกับสั่นครืดๆ จนรู้สึกจั๊กจี้ที่ตูดเบาๆ“ใครโทรมาวะ” พอเอาออกมาดูก็เป็นอันต้องขมวดคิ้ว เพราะเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอมันไม่คุ้นตาผมเลยจริงๆ เบอร์แปลกเบอร์นี้เป็นของใคร? มันเป็นเบอร์ที่ผมไม่ได้เมมไว้ในเครื่อง และไม่มีอยู่ในโทรศัพท์แน่ๆ ผมมั่นใจมาก หรือว่าจะเป็นเบอร์มิจฉาชีพที่กำลังระบาดหนักพอๆ กับโรคโควิด19 อยู่ตอนนี้กันนะ ผมถอนหายใจพลางขมวดคิ้ว นึกในใจว่า พวกมึงไม่ต้องโทรมาหลอกอะไรกูหรอก กูไม่มีเงินให้มึงหรอกโว้ย! แล้วอีกอย่างนะ ถึงกูมีกูก็ไม่โง่เชื่อพวกมึงหรอกเพราะว่ากูน่ะนะ เป็นคนฉลาดติดตามข่าวสารของพวกลวงโลกแบบนี้มึงตลอดแหละ อย่ามาหลอกแดกคนจนๆ อย่างกูให้ยาก หึ!ผมปล่อยให้สายตัดไปเพราะตั้งใจที่จะไม่กดรับอยู่แล้ว แต่ไม่นานมันก็โชว์เบอร์ขึ้นมาอีกรอบ แล้วรอบนี้ผมตัดสินใจรับเพราะว่าคันปากยุบยิบอยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วย“ท
ฝ่ามืออุ่นที่วางทาบบนหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลง เขาออกแรงดันจนผมต้องเอนตัวไปด้านหลัง โดยมีร่างกำยำกับแผ่นอกกว้างแน่นตึงของร่างสูงเคลื่อนกายคร่อมอยู่ด้านบน และในขณะที่แผ่นหลังของผมกำลังจะแตะเบาะ ผมก็เอาศอกยันที่นอนต้านแรงของอีกฝ่ายไว้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาวาววับที่มีความต้องการฉายชัดอยู่ในนั้นเขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามในการที่ผมยับยั้งเขาไว้ ไม่ปล่อยตัวเลยตามเลยทั้งๆ ที่ผมเองก็มีความต้องการไม่ต่างจากเขา ผมเม้มปากกะพริบตาถี่ๆ ตื่นเต้นนิดหน่อยที่เขาบอกว่าจะจองผมทั้งตัว แต่ว่าแบบนี้มันไม่ถูกต้องหรือเปล่า จู่ๆ จะมาจงมาจองกันง่ายๆ แบบนี้เลยได้ไง“ทำไม?” เขาถามเสียงอ่อน ทำหน้าทำตาหงอยเหมือนหมาเศร้า แต่มือไม้ลูบไล้ต้นขาของผม แล้วบีบเค้นเบาๆ อย่างยั่วยวน“ก็ คุณมั่ว…” พูดออกไปแล้วผมก็มองหน้าอีกฝ่ายอย่างหวาดหวั่น กลัวทำให้เขาโกรธแล้วเขาอาจจะทุบตีผมเอาได้ ผมยังไม่อยากโดนใครตี มันเจ็บ...ผมเคยโดนมาแล้ว โดนตบหน้าเจ็บมาก หน้าบวมตั้งหลายวัน โดนตบทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ผิดเลยสักนิด ก็แค่จับได้ที่แฟนเก่าพาชู้มานอนในบ้าน นอนบนเตียงของตัวเองเท่านั้นเอง “ผมตรวจโรคทุกปี ตรวจโควิดทุกเช้า ไม่ได้เป็นโรคอะไร
ในวันที่ฝนตกพรำๆ ในวันที่ตื่นมาในตอนเช้าแล้วพบว่าสายฝนกำลังกระหน่ำเทลงมาอย่างหนักหน่วงแบบนี้ สำหรับคนส่วนมากแล้ว ถ้าต้องออกไปทำงานมันคงเป็นอะไรที่แย่สุดๆ เพราะไหนจะสภาพอากาศที่ชื้นขึ้นจนอบอ้าว ไหนจะเสี่ยงต่อการโดนฝนแล้วเจ็บป่วยอีกแต่…แต่สำหรับผมแล้ว ผมไม่ห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ เพราะเรื่องที่ผมห่วงตอนนี้มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือตอนไหน? เมื่อไหร่!? ผมถึงจะได้ลุกไปอาบน้ำล้างตัว ล้างคราบคาวกามออกไปจากตัวสักที!!ไอ้บ้าเอ้ย…นี่จะล่อผมจนตายคาเตียงจริงๆ ใช่ไหม ก็แค่ไม่เรียกที่รักคะ ที่รักขา ตอนคร่อมขี่กันเนี่ย กะจะเอาจนผมตาเหลือกคางเหลืองตายเลยหรือไง ฮือออออ กูอยากจะบ้าตายรายวันจริงๆ ทำไมถึงได้เอาแต่ใจตัวเองและมีกำลังหื่นกามได้ถึงขนาดนี้“อ๊ะ อือ พะ พอแล้ว ฮื้อออ พอก่อน ผมจะตายแล้ว” ผมอ้อนวอนครวญครางออกมาด้วยเสียงอันผะแผ่ว เพื่อร้องขอให้อีกฝ่ายไว้ชีวิต ถ้าหากเขายังทำต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ ผมต้องตายแน่“อืม…อะไรกันคุณโย ทำไมคุณถึงร่างกายอ่อนแอแบบนี้ล่ะ หืม?”“อ๊า! บะ เบาๆ หน่อย แล้วผมก็ไม่ได้อ่อนแอ คุณต่างหากที่ไม่…ไม่รู้จักพอ อื้อ! นี่มัน…รอบที่เท่าไหร่แล้ว เจลหล่อลื่น…หมดไปกี่ขวด…แล้
แขกที่ไม่ได้เชิญเย็นวันนี้บ้านผมจะมีแขกล่ะ ซึ่งมันเป็นแขกที่จู่ๆ ตัวมันก็อัญเชิญตัวเองมาเป็นแขก โดยที่ผมเองก็เพิ่งทราบเหมือนกันว่า เย็นนี้ผมกับคุณกฤษณ์จะมีแขกมาร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วย จากที่คิดว่าจะสั่งอาหารเมนูง่ายๆ มากินกันสองคนแบบผัวๆ เมียๆ นั่งดูซีรีส์ คุยหยอกเอินกันเรื่อยเปื่อย แล้วก็จบลงที่เราทั้งคู่เปลือยเปล่าล่อนจ้อน แต่ผมกลับต้องมาทำเมนูตามสิ่งที่แขกที่ไม่ได้เชิญมาบอกซะอย่างนั้นมันบอกว่าอยากกินอาหารอิตาเลียน ฉิบหาย! กูคงทำเป็นมั้ง เชฟมือทองเลยมั้งกูอะ แค่อาหารไทยบางอย่างที่ง่ายๆ ผมยังทำไม่ค่อยจะอร่อยเลยครับ ส่วนคนที่บอกว่าอร่อยนั่นน่ะ เขามันคงลิ้นจระเข้แล้ว อย่างเช่น…สามีสุดหล่อของผมเอง ที่พอผมทำอะไรให้กินก็บอกว่าอร่อยอย่างนั้น อร่อยอย่างนี้ แต่ผมว่านะ อีกหน่อยแก่ตัวไป ไม่ได้ตัดขาก็ได้ไปนอนฟอกไตอยู่เตียงข้างๆ กันอะ คิกคิก ถึงแม้ว่าตอนที่ได้อ่านสาส์นจากเพื่อนรัก แล้วอยากพิมพ์ด่ากลับไปมากๆ แต่ด้วยความที่ผมเองก็เป็นคนมีมโนธรรมอยู่บ้างคนหนึ่ง เพราะงั้น…จะเห็นแก่คุณงามความดีของมัน ที่มันคอยช่วยซัพพอร์ต คอยให้การช่วยเหลือคุณกฤษณ์ ในการซุ่มจัดเตรียมงานแต่งงานของเ
ฝึกเอาใจใส่สามีนี่ก็ผ่านวันแต่งงานมาแล้วเกือบหนึ่งอาทิตย์ ผมกับคุณกฤษณ์พักกันอยู่ที่เรือนเล็กทรงไทยทันสมัย ให้ความรู้สึกเหมือนมาพักที่รีสอร์ทมากกว่าพักอยู่บ้านซะอีก เรือนเล็กหลังนี้ตั้งอยู่ภายในอาณาเขตรั้วของคฤหาสน์หลังใหญ่ของหม่อมแม่คุณกฤษณ์ เดิมทีผมเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่ค้างที่นี่หรอก เพราะว่ามันให้ความรู้สึกแปลกๆ มันไม่คุ้นชินที่ต้องมาอยู่ในบ้านหลังใหญ่อย่างนี้ แต่ว่าผมก็ไม่อยากหักหน้าผู้ใหญ่ท่าน ในเมื่อท่านแสดงความเมตตาต่อผม ผมที่เป็นเด็กกว่า แถมยังหลงรักลูกชายท่านหัวปักหัวปำขนาดนี้จะกล้าขัดได้อย่างไรผู้ใหญ่ว่ายังไง ผมก็ว่าแบบนั้น เพราะที่ผ่านมาก็ถือว่าท่านเมตตาเด็กที่ไม่มีอะไรติดตัวอย่างผมมากๆ แล้ว ที่ยอมให้เด็กตัวคนเดียวแถมยังจนอีกอย่างผม คบหาและแต่งงานกับลูกชายเพียงคนเดียวของท่าน แทนที่จะได้แต่งงานมีลูกหลานไว้สืบสกุล แถมวันงานท่านยังเดินยิ้มแย้ม เชิดหน้าชูตา ไม่สน ไม่แคร์ว่าจะมีกลุ่มคนที่ได้รับเชิญมาเป็นแขกในงานมงคล จะแอบซุบซิบนินทา ว่าร้ายอะไรให้ระคายหูบ้าง ที่ลูกชายเพียงคนเดียวของท่านแต่งงานกับผู้ชายด้วยกันเอง แถมผู้ชายคนนั้นยังเป็นแค่คนธรรมดาๆ อีกด้วยวันนั้น หลังจากที่พิ
วันนี้ผมนัดเจอกับฟูจิที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ ที่ทำงานของฟูจิ เพื่อที่จะเอาของฝากที่ซื้อมาให้มันกับพี่แดนไทย คุณกฤษณ์แวะมาส่งผมที่หน้าห้างก่อนที่เขาจะเลยไปทำธุระส่วนตัวต่อร้านกาแฟชื่อดังภายในห้างสรรพสินค้า คือสถานที่นัดพบของผมกับเพื่อนเลิฟที่มีอยู่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ คือพอดีว่าผมเน้นเพื่อนที่คุณภาพไม่ได้เน้นปริมาณ เพราะงั้นก็เลยมีเพื่อนเพียงคนเดียวที่สนิทกันจริงๆ น่ะผมเข้ามารอในร้านและสั่งเครื่องดื่มมานั่งรอ เนื่องจากอากาศข้างนอกค่อนข้างร้อนจัดจนแทบเดือด นั่งจิบกาแฟที่สั่งมาได้ไม่นาน เพื่อนรักของผมก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยสภาพที่เรียกว่าตัวแทบเปื่อยจนแทบจะเหลวเป็นน้ำได้ “จิ ทางนี้” ผมเรียกเบาๆ พลางโบกมือไปมา ส่งยิ้มทักทายให้ด้วยความดีใจที่ได้เจอหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานพอสมควร“โทษทีวะมึง รถแม่งโคตรติด ข้างนอกร้อนฉิบหายเลย” มาถึงฟูจิมันบ่นๆ พลางกระพือเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนระบายความร้อน พร้อมกับนั่งลงฝั่งตรงข้ามผมก่อนที่มันจะโบกลมใส่หน้าตัวเอง ด้วยท่าทางมีจริตจะกร้าน เห็นแล้วชวนให้น่าหมั่นไส้มากกกก“เออๆ ไม่เป็นไร กูต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ ที่นัดมึงตอนเวลาพักเที่ยงแบบนี้ จะกินน้ำอะไรด
แสงแดดยามเช้า สาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกบานใสเข้ามาในห้อง แสงตกกระทบลงบนใบหน้าของผมที่นอนฝั่งใกล้หน้าต่างเข้าพอดี ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมารับแสงอรุณของเช้าวันใหม่ ไกลถึงประเทศสิงคโปร์ หันมองข้างตัวก็เจอความว่างเปล่าอีกแล้ว แต่หูก็ได้ยินเสียงน้ำไหลจากฝักบัวในห้องน้ำ ก็เลยรู้ว่าคุณกฤษณ์กำลังอาบน้ำอยู่ ผมลุกขึ้นมานั่งเอามือยีหัวตัวเองเล็กน้อยเพื่อเรียกพลัง บิดแขนเอี้ยวตัวไปมาอีกนิดหน่อย อืม...ผมว่าผมหายเป็นปกติแล้วล่ะ ไม่ปวดเมื่อยตัว ไม่มึนหัว ไม่ง่วงนอนเหมือนเมื่อวานนี้แล้ว และพอจะก้าวขาลงจากเตียงคนที่อยู่ในห้องน้ำก็เดินออกมาพอดี ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขายังมีหยดน้ำเกาะอยู่เล็กน้อย ดูบนแผงอกกว้างกำยำนั่นสิ มีหยดน้ำเม็ดเล็กๆ เกาะพราวอยู่ด้วย แล้วตรงหัวนมสีน้ำตาลเข้มของเขามันก็ตั้งชันสู้อากาศเย็นฉ่ำภายในห้องด้วย มันช่างท้าทายผมซะเหลือเกิน…ฮึ่ม!! อึก! ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากอึกใหญ่ เลื่อนสายตาจากแผงอกและหัวนมของเขาลงไปที่หน้าท้องซึ่งมีกล้ามสวยเป็นลอนงามๆ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ปมผ้าขนหนูสีขาวผืนหนาที่พันอยู่รอบเอวสอบที่ผมชอบกอด ชอบเอาขาเกาะเกี่ยวด้วยใบหน้าเห่อร้อนอา...เซ็กซี่เป็น
เกือบหนึ่งทุ่มผมกับคุณกฤษณ์ถึงได้พากันออกจากบ้าน รถติดตลอดทาง ซึ่งกว่าจะไปถึงร้านพี่ย้งที่อยู่อารีย์ก็เรียกว่าไปสายมากพอสมควร ตอนที่อยู่ในรถไอ้ฟูจิก็ไลน์มาเร่งผมยิกๆ ไม่รู้จะรีบอะไรนักหนา กลัวเหล้าที่ร้านพี่ย้งหมดร้านหรือว่ากลัวร้านพี่ย้งจะหายไปในอากาศหรือยังไงก็ไม่รู้และเพียงก้าวเท้าเข้าไปข้างในร้าน นอกจากลูกค้าที่มาใช้บริการกันอย่างหนาแน่นตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว ผมยังปะหน้ากับพี่ย้งที่ในมือถือแก้วเหล้าเป็นปกติของแกเข้าพอดี ผมคาดเดาว่าคงเป็นลูกค้าสาวๆ กลุ่มนั้นนั่นแหละ ที่จัดการแบ่งปันเครื่องดื่มที่พวกตัวเองเป็นจ่ายเงินให้กับเจ้าของร้านได้เมาเกือบหัวราน้ำตั้งแต่หัวค่ำ“โอ้โห ไอ้คุณโยครับ กว่าจะโผล่หัวมาให้พี่ให้เชื้อเจอตัวได้นะ กูนึกว่าดาราดัง!” พี่ย้งเอ่ยแกมประชด แซวผมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนเบนสายตาไปยังคนที่ยืนอยู่ข้างหลังผมซึ่งก็คือคุณกฤษณ์ จากนั้นก็ดึงสายตากลับมาที่ผมพลางเบ้ปากหน่อยๆ หนวดที่ขึ้นหรอมแหรมอยู่เหนือริมฝีปากบนนี่กระดิกยิกๆ เลย ราวกับว่าความอยากเสือกและความช่างกระแนะกระแหน มันพุ่งพล่านอยู่ในกระแสเลือดแข่งกับแอลกอฮอล์ที่แกดื่มอยู่ทุกคืน“พี่ย้ง สวัสดีครับ” ผมรีบเ
หลังกลับมาจากนครนายก นี่ก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ทุกคนก็อยู่กันอย่างสงบสุขจนน่าหวั่นเกรงหน่อยๆ เส้นทางมันราบรื่นมากเกินไปจนน่ากลัว ทางบ้านของคุณกฤษณ์ก็ไม่มีการโทรมาตามผมไปต่อว่าต่อขาน ไม่มีการเรียกตัวคุณกฤษณ์ไปพบ ไม่มีการสร้างเรื่องราวมาให้ชวนปวดใจและปวดหัวเหมือนในละครหลังข่าวแต่ว่าวันนี้มันก็มีข่าวหนึ่งที่ผมเห็นผ่านตาจากโซเชียลแล้วมันก็ทำให้ผมตกใจมากเช่นกัน ตกใจจนตาค้างเลยล่ะครับระหว่างที่ผมกำลังไถเฟซบุ๊กเล่นอยู่นั้น หน้าฟีดจากสำนักข่าวซุบซิบเซเลปคนดังก็ขึ้นข่าวของคุณริตา ผมจำเธอได้เพราะรูปเธอขึ้นเด่นหราขณะที่กำลังก้าวขาขึ้นรถคันหรูไปกับผู้ชายหนึ่งคน หัวข้อข่าวเขียนว่าทั้งคู่กำลังจะจัดงานแต่งงานกันเร็วๆ นี้ และฝ่ายชายก็เป็นถึงทายาทเศรษฐีนักธุรกิจในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์“เชี่ย!” ผมรีบถือโทรศัพท์วิ่งไปยังห้องทำงานของคุณกฤษณ์ทันที ไม่สนใจเรื่องมารยาทที่ว่าต้องเคาะประตูก่อน ผมถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป คนในห้องก็เงยหน้าขึ้นมามองอย่างงุนงง “มีอะไรหรือเปล่าครับคุณโย หน้าตาตื่นมาเชียว” คุณกฤษณ์ถาม พลางวางปากกาที่อยู่ในมือลงบนสมุดตรวจงาน พลางมองมาที่ผมด้วยสีหน้าใคร่รู้“คุณ คุณเห
“คุยอะไรกับพี่หญิงครับคุณโย” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมกับร่างกายสูงใหญ่นั่งลงข้างๆ ผม ผมมองเขาแวบหนึ่งแล้วเหลือบมองไปยังผู้หญิงอีกคนที่ยืนทำหน้าสวยอยู่ข้างๆ เจ้าของคำถาม ก่อนที่จะตอบคำถามของเขาด้วยเสียงเรียบเรื่อย “คุยเรื่องทั่วไปๆ แหละครับ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ” และถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะแสดงสีหน้าปกติ แต่ว่าภายในใจของผมก็นึกอยากจะถามเขากลับไปอยู่เหมือนกัน ว่าเขาหายหัวไปไหนมาตั้งนานสองนาน ทำไมไม่ตามผมออกมาตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าผมหนีมาจากดงผู้ดีนั้นแล้ว แต่มาคิดๆ ดูอีกทีให้มันดีๆ แล้ว หากว่าเขาทำแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ผมคงจะดูเป็นคนที่แย่มากในสายตาของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะหม่อมแม่ของเขา แล้วเสียงหวานๆ ของผู้หญิงอีกคนก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะการพูดคุย การมองตาของผมกับคนข้างๆ เหมือนว่าเธอตั้งใจที่จะแทรกเข้ามาระหว่างเราสองคนอยู่แล้ว“น้ำเย็นมากไหมคะคุณโย ริตากลัวหนาวจังเลยค่ะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อยอ่า...แต่ว่าดูจากชุดที่คุณริตาเธอใส่มาแล้ว ไม่น่าถามคำถามนี้ออกมาเลยนะครับ ดูคุณริตาเธอก็เตรียมตัวมาเล่นน้ำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เสื้อสายเดี่ยวสีหวานๆ รัดๆ ขับเน้นหน้าอกหน้าใจให้เห็นกันจะๆ แบบไม่ปิดบังสายตา
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่วันความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณกฤษณ์ก็ยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่น มันราบรื่นดีจนน่าตกใจเลยล่ะครับ วันจันทร์ถึงวันศุกร์เขาก็ออกไปทำงาน ไปสอนหนังสือ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ขลุกอยู่กับผมทั้งวันทั้งคืนโดยที่ไม่มีใครมากวนใจ เราสองคนยังคงมีค่ำคืนที่เร่าร้อนด้วยกันอยู่ทุกค่ำทุกคืน แล้วก็มีบ่อยครั้งที่ผมถามว่าเขาออกไปว่า ‘เคยคิดที่จะเบื่อเซ็กส์ของผมบ้างไหม?’ คำตอบที่ได้ก็คือผมโดนจัดหนักจัดเต็มจนร่างแทบร่วงเป็นมะม่วงถูกสอยลงมาจากต้น แล้วจากนั้นเป็นต้นมาผมก็เลิกถาม เพราะว่าผมต่อกรกับคนหื่นกามอย่างคุณกฤษณ์ไม่ไหวจริงๆ “คุณโย พรุ่งนี้พี่หญิงชวนไปปิกนิก คุณโยคิดว่าไงครับ อยากไปไหม?” คำถามจากคนที่นั่งทานข้าวเย็นด้วยกันกับผมซึ่งเขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทำให้ผมเบิกตาโตเล็กน้อย รีบเคี้ยวข้าวในปากให้หมดก่อนถามออกไป “ปิกนิกเหรอครับ?”เขาพยักหน้ารับ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ใช่ครับ ไปน้ำตกที่นครนายก ครอบครัวของผมเรามีบ้านพักอยู่ที่นั่นด้วย” พูดมาแบบนี้คงไม่คิดที่จะไปค้างคืนหรอกใช่ไหม?“พี่หญิงชวนค้างที่นั่น คงต้องค้างสักคืน” นั่นไง กูว่าแล้วเชียว“ต้องค้างด้วยเหรอครับ” ผมกะพริบตาป